everY
ทดลองอ่าน Nice Alpha ผมเป็นโอเมก้าที่ชอบอัลฟ่าเชื่องๆ ตอนที่ 2-3 #นิยายวาย
03.
ฝ่ามือยื่นโผล่พ้นออกมานอกผ้าห่มแล้วจับคลำโต๊ะข้างหัวเตียง เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาเมื่อควานมือหาของที่ต้องการไม่เจอ เขาดึงผ้าห่มที่คลุมถึงศีรษะลงก่อนดีดตัวขึ้นนั่งอย่างอิดออด แล้วจึงค่อยกะพริบตาสองสามทีไล่อาการง่วงงุนที่ยังคงหลงเหลืออยู่
อูกยองมองนาฬิกาติดผนังพลางเอียงคออย่างนึกฉงนที่โทรศัพท์หายไปจากตำแหน่งประจำของมัน เขาบิดขี้เกียจเมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาก้าวขาลงจากเตียงพลางนึกหงุดหงิดในใจว่าเมื่อวานพวกเขากินเลี้ยงกันและวันนี้คือวันอาทิตย์ แทนที่จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ แต่ดันตื่นเร็วกว่าที่คิดเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาขณะบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสายจากตอนนอน อูกยองไล่สายตามองไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงตรงกองเสื้อผ้าที่สวมใส่เมื่อวานแถวหน้าประตูห้องน้ำ
เมื่อวานเมามากขนาดนี้เลย?
อูกยองเอียงคอให้กับพฤติกรรมที่ปกติตนนั้นไม่เคยทำ เขาหยิบสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายกันออก ก่อนโยนเสื้อผ้าทั้งหมดลงตะกร้าผ้าและเดินไปเปิดเครื่องชงกาแฟในห้องครัว กลิ่นกาแฟหอมเข้มอบอวลไปทั่วห้อง เขาดื่มด่ำไปกับกาแฟหอมกรุ่นที่เพิ่งรินลงแก้ว ก่อนจะถือแก้วแล้วหมุนตัวออกเดิน ในหัวนึกถึงใบหน้าของชีฮูเมื่อวานที่ถามเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มสุขุม
‘งั้นเราสองคนในตอนนี้ล่ะครับ…เรากำลังดึงดูดกันอยู่หรือเปล่า’
อูกยองหยุดยืนถือแก้วในมือนิ่ง รอยย่นผุดขึ้นบนหน้าผาก เขาวางแก้วลงบนโต๊ะอาหารก่อนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นมาถูใบหน้าอย่างแรง การกระทำของเมื่อวานเวียนย้อนกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่องพลางคิดว่าตัวเองทำอะไรน่าอับอายลงไป
ถ้าเห็นว่าเมาแล้วก็เดินหนีไปสิ ทำไมหมอนั่นต้องมานั่งเป็นเพื่อนด้วยนะ
อูกยองใช้นิ้วเคาะโต๊ะเสียงดังรัวๆ แทนการระบายความอึดอัด เขาคิดว่าตัวเองแปลกไปที่ชอบเข้าไปวุ่นวายกับอีกฝ่ายทั้งๆ ที่นั่นไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเพราะภาพจำตอนเจอกันที่คลินิกครั้งแรกมันประทับใจเขามาก หรือเพราะเห็นอีกฝ่ายมากับเจ้าเต้าหู้กันแน่ อูกยองประทับใจที่อีกฝ่ายเชื่อฟังคำพูดเขาเป็นอย่างดี ทั้งที่อีกฝ่ายจะรู้สึกไปในทางลบกับเขา จะคิดว่าเขาไร้มารยาทหรืออวดดีก็ได้ อีกทั้งเขายังชอบใจที่ชายคนนั้นไม่ได้หยิ่งผยอง แม้จะเป็นอัลฟ่ายีนเด่นที่ปกติแล้วจะชอบทำตัวถือตนและคิดว่าตัวเองมีอำนาจใหญ่คับโลก
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยนึกอยากสานสัมพันธ์ฉันมิตรกับใครเป็นการส่วนตัวเลย เขาถึงได้อึ้งทึ่งกับตัวเองที่กล้านั่งดื่มกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่นำมารักษา ซ้ำยังชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอัลฟ่ากับโอเมก้าอีก
เขาเกลียดการผูกมิตรส่วนตัวกับผู้คนที่พบเจอกันในการทำงานมาก อูกยองรัวเคาะนิ้วด้วยความหงุดหงิดเสร็จก็ถอนหายใจอีกครั้งพลางยกกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มก่อนจะลุกขึ้นยืน
อูกยองคิดว่าคลินิกของเขากับที่พักอาศัยของชายคนนั้นน่าจะอยู่ในละแวกเดียวกันแน่ๆ เพราะปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องให้ต้องไปที่โรงพยาบาลหรือคลินิกใหญ่ คนส่วนมากก็มักจะพาสัตว์เลี้ยงมารักษาที่คลินิกใกล้บ้านอยู่แล้ว จะว่าไปแล้วต่อให้เขากับชายคนนั้นมีโอกาสที่จะอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันสูงมาก แต่โอกาสที่จะได้พบเจอกันโดยบังเอิญนั้นมันจะมากสักแค่ไหนเชียว ขนาดจะเจอหน้าคนในคอนโดฯ เดียวกันสักครั้งสองครั้งยังยากเลย หากไม่ได้มาใช้บริการที่คลินิกก็คงไม่มีเรื่องที่จะได้เจอหน้ากันเลย ถ้าหากต้องเจอหน้าอีกฝ่ายที่คลินิกจริงๆ แม้ใจไม่พร้อมแต่เขาเองก็จะพยายามไม่คิดมาก เพราะเวลาเจอกันในคลินิกอีกฝ่ายก็จะเป็นแค่เจ้าของสัตว์ ไม่ได้มีสถานะอะไรไปมากหรือน้อยกว่านั้น
“ว่าแต่…ระหว่างเรากับเขานี่ดึงดูดกันหรือเปล่านะ”
อูกยองบ่นงึมงำพลางนึกถึงคำตอบของชีฮูที่บอกว่าไม่รู้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
หลังจากขับรถมานานสามชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดก็ถึงที่หมาย อูกยองก้าวลงจากรถพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆบดบัง สถานที่แห่งนี้โอบล้อมไปด้วยหุบเขาเขียวชอุ่มและท้องฟ้าสีคราม สายลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อยมาปะทะเข้ากับเส้นผมของอูกยอง
แม้ตอนนี้จะยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่หากไม่ได้คิดไปเองว่าช่วงเวลาของฤดูนี้มันกำลังสั้นลงเรื่อยๆ เขาคงต้องเตรียมตัวต้อนรับฤดูอันแสนทรหดที่ใกล้จะมาถึงในไม่ช้านี้ เพราะฤดูร้อนกับฤดูหนาวของที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ไม่ว่าคนหรือสัตว์ต่างก็ยากลำบากพอควร
สายตาคมกวาดมองพื้นที่กว้างซึ่งถูกล้อมด้วยลวดหนาม เขาทำตัวราวกับเป็นผู้คุมที่มาคอยสอดส่องบริเวณโดยรอบแบบละเอียดยิบและเช็กกล้องวงจรปิดว่ายังทำงานดีอยู่หรือไม่
ตึกอาคารหลายหลังตั้งกระจายอยู่ภายในสนามที่มีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากอาคารใกล้ประตูทางเข้า เธอเห็นอูกยองเข้า ก่อนจะวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าปีติยินดี
“อูกยอง!”
อูกยองยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้หญิงวัยกลางคนที่เดินปรี่เข้ามาเปิดประตู ก่อนจะคว้าจับมือของเขาเอาไว้ เธอมองมาที่ชายหนุ่มด้วยความรักใคร่ รอบดวงตาปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นอันเป็นเครื่องยืนยันว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเธอเหนื่อยยากเพียงใด
“สบายดีไหมครับ”
“สบายดีสิจ๊ะ แล้วจู่ๆ จะมาทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนล่ะลูก”
“หลังจากที่นี่สร้างเสร็จผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้มาเลยนี่ครับ เลยอยากมาดูสักหน่อยแล้วก็อยากทานบิบิมกุกซู* ฝีมือคุณป้าด้วย ทำให้ผมทานหน่อยได้ไหมครับ”
“แหม แค่อูกยองของป้าออกปาก จะกี่ร้อยจานป้าก็ทำให้ได้อยู่แล้วจ้ะ ขับรถมาตั้งนานคงเหนื่อยแย่ นี่ป้าก็ว่าจะออกมากินมื้อเที่ยงพอดี เรากินก่อนแล้วค่อยออกมาเยี่ยมดูก็แล้วกันนะ”
บิบิมกุกซูรสเปรี้ยวหวานที่คลุกเคล้ากับไข่และแตงกวาถูกวางไว้ตรงหน้าของอูกยอง ในขณะที่หญิงวัยกลางคนกำลังรื้อค้นหวังหาของกินเล่นมาเพิ่มให้ แต่อูกยองก็ปรามเอาไว้ก่อน
“น่าจะโทรมาบอกกันสักหน่อยสิ ป้าจะได้เตรียมอะไรอร่อยๆ ไว้ให้”
“บิบิมกุกซูของคุณป้าอร่อยที่สุดแล้วครับ ผมก็บอกไปแล้วว่าผมมากินจานนี้โดยเฉพาะเลย”
“ปัดโธ่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ครั้งหน้าต้องโทรมาบอกก่อนล่ะ เข้าใจไหม”
อูกยองแย้มรอยยิ้มที่ส่งไปถึงดวงตาก่อนยกตะเกียบขึ้น อดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอกับเมนูที่ไม่ได้กินมานาน
“ช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจอะไรบ้างหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่าตอนนี้แล้วล่ะ ทั้งหมดนี่ก็ต้องขอบคุณเธอนะ ป้าไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีเลย”
“พูดอะไรแบบนั้นตลอดเลยนะครับ คุณป้าก็รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแบบคุณป้าได้”
“ป้ามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะมีเธอร่วมลำบากมาด้วยกันนั่นแหละ ลำพังแค่ตัวป้าคนเดียว ป่านนี้มีหวังได้ทิ้งเด็กๆ พวกนี้แล้วก็คงจะหนีหายไปแล้วล่ะ”
ผู้จัดการพัคนึกย้อนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาพลางใช้ทิชชูซับน้ำตาไปด้วย เมื่อราวๆ ยี่สิบปีก่อนเธอเริ่มรวบรวมสุนัขจรจัดและจัดตั้งมูลนิธิเพื่อสัตว์ไร้บ้านขึ้นมาด้วยความสงสาร
แรกๆ ตอนจำนวนสมาชิกยังน้อยนิดเธอยังพอทนไหว ทว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนผันสถานการณ์ก็เริ่มกลับกลายเป็นดั่งนรก จำนวนสุนัขเพิ่มพูนขึ้นในระยะเวลาอันสั้นเพราะไม่ได้จับทำหมันไว้แต่เนิ่นๆ รวมถึงมีผู้คนที่ได้ยินข่าวเรื่องมูลนิธิเข้าจึงแอบเอาสุนัขมาทิ้งไว้อีก
เธอจำต้องรับอาสาสมัครและเปิดรับเงินบริจาค แต่ก็ยังขาดแรงงานคนและเงินอยู่เสมอ สิ่งอำนวยความสะดวกกับสภาพแวดล้อมมีแต่จะย่ำแย่ลง ชีวิตของเธอเองจึงเริ่มตกต่ำตามไปด้วยโดยปริยาย ภายในใจทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งอยากหลบหนี ทว่าพอหันกลับไปมองสุนัขนับร้อยชีวิตที่เธอดูแลมาด้วยตัวคนเดียวแล้วก็ไม่กล้าจากพวกมันไป
และแล้วในตอนนั้นเองอูกยองที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ก็มาเป็นอาสาสมัครพร้อมกับเพื่อนในคณะเดียวกัน
‘คุณดูเหนื่อยจังเลยนะครับ? เดี๋ยวพวกผมจะช่วยเอง ทั้งคุณแล้วก็ทั้งสุนัขพวกนี้เลย’
นี่คือคำพูดที่เด็กหนุ่มพูดกับเธอในวันนั้น
ผู้จัดการพัคนึกเย้ยหยันคำพูดจากใบหน้าละอ่อนของอูกยองที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มาหมาดๆ ขนาดตัวเธอพยายามประคับประคองทุกอย่างมาเป็นสิบปียังทำอะไรมากไม่ได้เลย แล้วเด็กนักศึกษาแบบนี้จะมาจัดการกับนรกแห่งนี้ได้อย่างไรกัน
‘ถ้าคุณผู้จัดการอยากเปลี่ยนแปลงที่นี่ พวกผมก็จะอาสาช่วยคุณเอง’
สิ่งที่อูกยองทำในวันนั้นคือค่อยๆ จัดสร้างระบบขึ้นมา ทั้งเข้าหารุ่นพี่ชักชวนให้มาเป็นแพทย์อาสาด้วยกัน ทั้งสร้างเว็บไซต์เพื่อเอาไว้แจกแจงจำนวนเงินบริจาคกับรายละเอียดการนำไปใช้ไว้อย่างชัดเจนโปร่งใส และไม่ลืมลบที่อยู่ของมูลนิธิที่แพร่กระจายออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตเพื่อไม่ให้มีคนเอาสัตว์มาทิ้งเพิ่ม นอกจากนี้เขายังขอความร่วมมือจากชมรมอาสาสมัครกับชมรมที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์ในมหาวิทยาลัยให้มาร่วมช่วยอีกแรงด้วย
ทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว มันใช้เวลาหลายปีกับการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย สุขภาพร่างกายของพวกเด็กๆ ก็ดีขึ้นตามลำดับจากการทำโครงการแพทย์อาสาอย่างสม่ำเสมอ จนเริ่มมีคนมาอนุเคราะห์พวกสุนัขกันมากขึ้น ในที่สุดพอไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ของมูลนิธิก็เริ่มสามารถควบคุมจำนวนสุนัขได้ แถมในภายหลังผู้คนก็เริ่มมาบริจาคเงินให้กับมูลนิธิมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทางมูลนิธิได้แจกแจงจำนวนเงินที่เรี่ยไรพร้อมรายละเอียดการใช้จ่ายเอาไว้อย่างชัดเจน
ครั้นพอมีคนมาร่วมแรงร่วมใจกันก็รู้สึกได้ถึงความรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม บ้างก็มาช่วยอาบน้ำตัดขน บ้างก็ช่วยซ่อมแซมที่พักให้ใหม่ หรือบางทีก็มีกลุ่มเด็กนักเรียนมารับหน้าที่อาสาพาสุนัขไปเดินเล่น และแล้วมูลนิธิก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ยิ่งพวกเขาประกาศออกไปว่าสภาพแวดล้อมที่นี่มีคุณภาพ ไม่มีการทำการุณยฆาตและมีการจัดการเงินบริจาคที่สุจริต คนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาช่วยเหลือกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนจากบริษัทเข้ามาเป็นอาสาสมัคร รวมทั้งสนับสนุนให้ของใช้เพิ่มเติมอีกด้วย
‘พวกเงินบริจาคก้อนใหญ่มันช่วยแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละครับ สถานการณ์อาจจะกลับไปย่ำแย่เหมือนเดิมอีกก็ได้ งานนี้ไม่ใช่งานที่คุณควรทำคนเดียว แล้วนี่ก็ไม่ใช่งานที่จะสามารถรับผิดชอบได้ด้วยตัวคนเดียวด้วย ทุกคนต้องร่วมมือกันถึงจะไปรอดครับ’
อูกยองในตอนนั้นกล่าวเอาไว้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำมันทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ถ้อยคำจากเด็กนักศึกษาที่ยังไม่ทันได้ผจญโลกกว้างนั้นเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สำหรับเธอเหลือเกิน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มดำเนินผ่านมานานหลายปี กระทั่งเด็กหนุ่มเรียนจบแล้วก็ยังอุตส่าห์แวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ไม่ขาดจนชีวิตเธอมาถึงจุดนี้
“ถ้าเธอไม่จัดการที่ดินตรงนี้ให้ ป้าก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน ป้าล่ะซาบซึ้งน้ำใจเธอจริงๆ…”
ถึงสภาพแวดล้อมจะพัฒนาดีขึ้นมากเพียงใด ทว่ามูลนิธิกลับยังเป็นที่เกลียดชังจากคนในหมู่บ้าน เธอเลือกที่จะเงียบแล้วอดทนต่อสายตาทิ่มแทงและคำก่นด่ามานับยี่สิบปี โดยที่ความจริงแล้วเธอกำลังมืดแปดด้าน ทั้งเสียงเห่าหอนของสุนัข กลิ่นเหม็นสาบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไปจนถึงปัญหาการจัดการสิ่งปฏิกูล จนเจ้าของที่ดินไม่สามารถให้เช่าต่อได้ แล้วมาแจ้งให้เธอย้ายออกในที่สุด ความจริงที่เจ้าของที่ดินยอมอดทนก็เพราะเธอจ่ายค่าเช่าให้สูงกว่าราคาตลาดนั่นเอง
“ผมบอกป้าไปแล้วนี่ครับว่าผมซื้อมาเก็บไว้เพราะที่ตรงนี้เป็นที่รกร้าง ราคาก็เลยถูกมาก อีกอย่างที่ตรงนี้เป็นที่ดินของผม ผมเองก็ไม่ได้ให้ป้าใช้สอยฟรีๆ เสียหน่อย อย่ากังวลไปเลยครับ”
ที่นี่เป็นที่ที่เขาไตร่ตรองคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่ผู้จัดการพัคมาบอกด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลว่าเธอต้องหาที่ดินสำหรับย้ายมูลนิธิ เขาก็จัดการซื้อที่ดินตรงนี้ทันที ตอนแรกมันเป็นแค่ที่ดินรกร้างติดกับเนินเขาซึ่งเต็มไปด้วยหญ้า ทั้งยังอยู่ห่างจากเขตชุมชนออกมาพอประมาณซึ่งคงจะพอช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้บ้าง นอกจากนี้ที่ดินผืนนี้ก็กว้างพอให้สร้างอาคารสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กใหญ่กับแมว ซ้ำยังมีที่เหลือพอสร้างอาคารที่พักของผู้จัดการพัคกับพนักงานคนอื่นได้อย่างเหลือเฟืออีกด้วย
การตกลงซื้อขายนี้ทั้งเจ้าของที่ดินกับอูกยองต่างพอใจด้วยกันทั้งคู่ มันไม่ใช่การจ่ายเงินก้อนใหญ่ที่ชวนให้หนักใจเหมือนกับการซื้อรถนำเข้าราคาแพงหูฉี่หรือสะสมของแบรนด์เนมอะไรเสียหน่อย ถ้าสิ่งนี้มันทำให้ทุกคนมีความสุขขึ้นได้ อูกยองก็อิ่มเอมใจแล้ว
ถึงอูกยองที่อุตส่าห์ขับรถตั้งนานเพื่อถ่อไปกินบิบิมกุกซู แต่เขาก็คิดว่าควรจะช่วยทำความสะอาดตอบแทนเสียหน่อย เขาเลยจัดการทำความสะอาดกรงสัตว์จนเสร็จแล้วค่อยเดินทางกลับ ตอนนี้เขากำลังรอขึ้นลิฟต์พลางบริหารคอคลายเมื่อยขณะจ้องมองตัวเลขที่เลื่อนลงมา เขาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นบริเวณสาบเสื้อที่น่าจะมีกลิ่นเหงื่อติดอยู่ ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเพราะอยากรีบกลับไปอาบน้ำอุ่นเร็วๆ แต่ดูเหมือนวันนี้ลิฟต์จะขยับเขยื้อนชักช้าเสียเหลือเกิน
อูกยองหลับตาลงครู่หนึ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะก้าวเท้าเดินเมื่อได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิด แต่พอเขาลืมตาขึ้นก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก หัวคิ้วมนย่นเข้าหากันทันใด
“เดี๋ยวนะ…นี่คุณอยู่ที่นี่เหรอครับ”
‘ชีฮู วันนี้วันเกิดฉัน ออกมาหาอะไรดื่มด้วยกันหน่อยไหม’
‘ไม่ล่ะ’
คริส เพื่อนในวงการนายแบบที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ชีฮูเริ่มเป็นนายแบบฉีกยิ้มให้กับท่าทีไม่ยินดียินร้ายของชีฮู ก่อนกระแซะเข้าที่แขนของเขา
‘ไม่เอาน่า มาจอยแป๊บเดียวก็ได้ ฉันชวนแต่คนสนิทมาไม่กี่คนเอง แค่มาฉลองให้ฉันสักหน่อยแล้วค่อยกลับก็ยังดี’
สุดท้ายชีฮูก็มาหยุดยืนนิ่งจับลูกบิดประตูห้องที่คริสเป็นคนนัดหมาย กลิ่นฟีโรโมนเข้มข้นไหลลอดผ่านช่องประตูที่ปิดสนิทออกมาทีละน้อย ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเสยผมลวกๆ และออกแรงหมุนลูกบิดเข้าไป
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปสายตาของชีฮูพลันฉายแววหงุดหงิดพลางกวาดมองไปทั่วห้องซึ่งมีนายแบบอัลฟ่าหน้าคุ้นอยู่ประมาณห้าหกคนกับโอเมก้านับสิบกำลังกอดรัดกันแน่นจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยฟีโรโมนกลิ่นเข้มใส่กันคละคลุ้งเต็มห้องจนหายใจแทบไม่ออก หากฟีโรโมนมีรูปร่าง ตอนนี้เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นฟีโรโมนเหนียวหนืดและข้นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนราวกับเมฆฝนทึบหนา
ชายหนุ่มมองเห็นคริสกำลังซุกไซ้ลำคอพลางสอดมือเข้าไปในสาบเสื้อของโอเมก้าคนหนึ่งบนโซฟาสำหรับนั่งสองคน เขาระงับโทสะเอาไว้ก่อนเดินเข้าไปหาแล้วยกปลายเท้าเตะสะกิดเข้าที่น่องของอีกฝ่ายเบาๆ
“มาแล้วเหรอ”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเรียกฉันมาที่แบบนี้”
คริสยิ้มรับอย่างไม่สนใจท่าทีหงุดหงิดของชีฮูก่อนดึงโอเมก้าที่นั่งข้างตนมาไว้บนตัก จับเอวบางขาวมาพิงแผ่นอกของตน แล้วถกชายเสื้อของโอเมก้าขึ้นเพื่อให้หน้าอกขาวปรากฏสู่สายตาชีฮู ในขณะที่เสียงของโอเมก้าดังครางเครือเพราะถูกครอบงำจากฟีโรโมนของอัลฟ่า
“เอ้า ว่าไง นายเองก็เลิกกับคนเก่ามานานแล้วไม่ใช่หรือไง โอเมก้าพวกนี้ฉันคัดมาแต่ของดีๆ ทั้งนั้น นายเองก็เลือกสักคนสิ”
คริสใช้นิ้วสัมผัสยอดอกของโอเมก้าบนตักพลางใช้ลิ้นไล้เลียด้านหลังลำคอ ชีฮูมองภาพนั้นด้วยแววตาสะอิดสะเอียน คริสเห็นดังนั้นจึงกระซิบบางอย่างข้างหูคนบนตัก ทันใดนั้นโอเมก้าก็ลุกตรงมาหาชีฮูด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม
โอเมก้าคนนั้นโซเซลุกขึ้น ก่อนจะถอดเสื้อออกแล้วใช้แขนยาวเกี่ยวพันรอบลำคอแกร่งของชีฮูเอาไว้พลางขยับเบียดแก่นกายที่กำลังตื่นตัวของตนเข้ากับต้นขาแกร่งของอัลฟ่าอย่างไม่ลังเล
“นายเองก็มาสนุกด้วยกันสักหน่อยน่า ลองเอากับหมอนี่ดูก็ได้ บอกเลยว่าเด็ด คนละชั้นกับพวกเบต้าเลยล่ะ”
คริสเดินเข้าไปหาชีฮูที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนโดยมีโอเมก้ายืนกอดคออยู่ ก่อนจะกำเส้นผมของโอเมก้าแล้วกระชากรั้งให้เงยหน้าขึ้น ตาสีฟ้าของโอเมก้าไม่ได้สะท้อนความเจ็บปวดใดออกมา ทว่ากลับหันหน้ามามองใบหน้าของชีฮูพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
คริสดึงกางเกงพร้อมชั้นในของโอเมก้าลงด้วยความรุนแรงในทีเดียว เขากระชากเอวบางแยกออกจากชีฮูและรั้งเข้าหาตัวเอง ทันทีที่เขาปลดเข็มขัดกางเกงและควักส่วนแข็งขืนที่กำลังชูชันของตนออกมา โอเมก้าหนุ่มก็รีบก้มลงมาใช้ปากรับส่วนแข็งขืนนั้นไว้
คริสลอบเลียริมฝีปากแล้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย สายตาของเขามองไปทางชีฮูที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม คริสใช้ฝ่ามือกดแผ่นหลังของโอเมก้าที่กำลังใช้ปากกับแก่นกายของตนให้ก้มลงมามากขึ้นเพื่อให้ชีฮูได้เห็นช่องทางสีสวยที่กำลังขมิบส่งน้ำหล่อลื่นเยิ้มไหลลงมาถึงต้นขา
“อา…ไม่มีอารมณ์ทำหรือไง เลิกแสร้งทำตัวเป็นพ่อพระนักบุญแล้วมาขย้ำหมอนี่กันดีกว่าน่า โคตรเด็ดเลยนะเว้ย”
ราวกับฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาดสะบั้น ชีฮูหลับตาสะกดกลั้นอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองไว้ คริสคือคนที่เขาเคยสนิทตั้งแต่เริ่มทำอาชีพนายแบบ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายติดเหล้า ยา และเซ็กซ์ ทว่าคริสก็ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นคริสเลยเป็นอีกหนึ่งคนที่เขายอมรับทั้งในฐานะเพื่อนร่วมงานและนายแบบ
โอเมก้าอีกคนที่เมื่อครู่ติดหนึบอยู่กับอัลฟ่าคนอื่นเดินตรงเข้ามาหาชีฮู ฝ่ามือลูบไล้หน้าอกแข็งแกร่งของเขาซึ่งเป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ที่ต่อให้ไม่ปล่อยฟีโรโมนออกมา แต่สัญชาตญาณอันแข็งแกร่งกว่าอัลฟ่าทั่วไปก็ยังสามารถดึงดูดโอเมก้าได้โดยง่าย
“แค่นายปล่อยฟีโรโมนออกมา โอเมก้าที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดก็จะพากันวิ่งมารุมอ้อนนายแล้ว ไม่สนหรือไง”
คริสพูดโน้มน้าวชีฮูไม่หยุดพลางจิกผมสีบลอนด์ของโอเมก้าที่กำลังกอบกำแก่นกายใหญ่ด้วยสองมือพร้อมดูดเลียให้ ก่อนจะจับมันกระทุ้งเข้าไปในลำคอด้วยแรงอารมณ์
“อึก! แกมันน่ารำคาญ ไอ้สายตาที่เหมือนจ้องสิ่งโสโครกนั่นก็ด้วย ถ้าได้ลองสักครั้งแกก็ไม่ต่างจากฉันหรอกว่ะ”
ชีฮูกระชากข้อมือโอเมก้าที่ปล่อยฟีโรโมนพลางลูบหน้าอกของเขาออกอย่างแรง พออีกฝ่ายล้มลงก็ยังไม่วายยื่นมือเลื้อยขึ้นมาตามต้นขา ไล่ไปเรื่อยจนจวนจะถึงส่วนกลางลำตัว ชีฮูจึงรีบปัดมือนั้นออกอย่างไม่ไยดี
“ขอให้ไม่มีเรื่องที่ต้องเจอกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้อีกก็แล้วกัน”
ในวินาทีที่เขากำลังจะปิดประตูลง เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของคริสดังลอดตามออกมา สายสัมพันธ์นับสิบปีของพวกเขาเป็นอันจบลงด้วยเหตุนี้
ชีฮูเสียบหูฟังพลางมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ขณะวิ่งอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้ามาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว ใบหน้าสงบนิ่งไม่มีเหงื่อเกาะสักหยด ช่วงขายาวขยับเคลื่อนไหวด้วยท่าทางและความเร็วสม่ำเสมอแบบไม่มีหยุดพัก ทิวทัศน์ภายนอกอาจดูน่าเบื่อ แต่สายตาของเขาก็ยังเอาแต่โฟกัสไปยังจุดจุดเดียว
สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่แผ่นหลังของชีฮู ทั้งนายแบบ นางแบบ และพนักงานร่วมบริษัทต่างพยายามหาช่องว่างเพื่อที่จะเข้ามาทักทายเขากันให้วุ่น แต่กลับไม่มีช่องให้แทรกเข้าไปได้ง่ายๆ เสียที จึงได้แต่ย่ำเท้าเดินไปมาอยู่รอบๆ
ซองจุนที่เพิ่งเข้ามาในห้องออกกำลังกายทันเห็นฉากนั้นเข้าพอดีจึงยิ้มกว้างแล้วระเบิดหัวเราะออกมา สายตาของคนอื่นดูลุกลี้ลุกลนกันมาก แต่ท่าทีของชีฮูกลับยังคงสงบนิ่งไม่มีเปลี่ยน แต่ว่าก็ว่าเถอะ คนมันเคยเดินบนเวทีต่อหน้าผู้คนนับพันนับหมื่น สายตาไม่กี่คู่แค่นี้คงทำอะไรชีฮูไม่ได้อยู่แล้ว
ซองจุนขานรับเหล่าพนักงานกับโมเดลในสังกัดที่หันมาเห็นตัวเองและเอ่ยทักทายกัน จากนั้นจึงเข้าไปใกล้ชีฮูก่อนจะดึงหูฟังอีกฝ่ายออก เขาส่งยิ้มให้ชีฮูที่ขมวดคิ้วพลางหันศีรษะมาหาตน
“ฝนท่าจะตกนะเนี่ย นึกครึ้มยังไงถึงได้มาออกกำลังกายที่นี่”
ซองจุนกำลังแปลกใจ เพราะปกติชีฮูมักจะออกกำลังกายและดูแลตัวเองเอาเอง ไม่ก็จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวมามากกว่า วันนี้เขานัดชีฮูให้มาคุยเรื่องตารางงาน แต่เลขาฯ กลับบอกว่าหมอนี่มาก่อนเวลานัด แถมยังมาออกกำลังกายอยู่อีก เขาเลยจะมาดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย ชีฮูปิดเครื่องก่อนก้าวลงมาพร้อมขยับบิดตัวเล็กน้อย
“แค่อยากมา”
“แค่อยากมา?”
ซองจุนมองชีฮูที่ยักไหล่อย่างไม่แยแสแล้วถามทวนอีกครั้งทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบดีๆ อะไรกลับมา
“ออกกำลังกายเสร็จก็ล้างตัวแล้วตามมาที่ห้องทำงานฉันด้วยล่ะ ทักทายสตาฟฟ์นายสักหน่อยแล้วเดี๋ยวเริ่มคุยงานกันเลย”
ชีฮูพยักหน้ารับก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำ รอบตัวชีฮูเริ่มมีบรรดาโมเดลคนอื่นค่อยๆ ขยับเข้ามาห้อมล้อมทักทาย ชีฮูทำเพียงพยักหน้าส่งๆ ให้คนที่เข้ามาทักทายพร้อมแนะนำตัว จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างไม่นึกเหลียวแล ซองจุนเห็นดังนั้นจึงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้คนไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอ๊ย”
“เอาล่ะ นี่คือคุณจางยองมิน หัวหน้าฝ่ายที่จะมาดูแลเรื่องตารางงานทั้งหมด ส่วนนี่คุณชเวฮยอนอูผู้จัดการของนาย ก่อนอื่นเลยนะชีฮู นายไม่ใช่คนที่รับงานเยอะ เพราะงั้นพวกเขาจะไม่ได้มาดูแลนายแค่คนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนะ พวกเขาจะรับผิดชอบตารางงานของนายให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว”
“สวัสดีครับ ผมจางยองมินครับ”
“สวัสดีครับ ผมชเวฮยอนอูนะครับ โอ้โห ได้มาเห็นตัวจริงแล้วดูดีกว่าที่ได้ยินมาอีกนะครับ พอรู้ว่าตัวเองจะได้มาดูแลคุณชีฮูก็ทำเอาเมื่อคืนนอนไม่หลับเลยล่ะครับ”
ฮยอนอูที่เพิ่งทำงานได้เพียงปีเดียวพรั่งพรูความประทับใจออกมาพร้อมกับแววตาเป็นประกายระยิบระยับ แถมยังไม่ยี่หระต่อปฏิกิริยาอันเฉยเมยของชีฮูอีกต่างหาก
“แรกๆ ถ้ายังไม่สนิทกันอาจจะลำบากหน่อยนะครับคุณฮยอนอู แต่พอสนิทแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก หมอนี่ไม่ได้เอาแต่ใจหรือไร้มารยาท ทำงานด้วยง่ายแน่นอนครับ”
ซองจุนยิ้มอย่างพอใจกับฮยอนอูที่มองชีฮูเสมือนเป็นไอดอล ถ้าได้คนมนุษยสัมพันธ์ดีมาอยู่ด้วยสักคนก็คงจะสบายขึ้นมาก เพราะเจ้าชีฮูทั้งพิถีพิถันในการดูแลตัวเอง ไม่เคยสร้างเรื่อง ไม่เคยเจ้าอารมณ์ และไม่เคยงี่เง่า
แต่เห็นแบบนั้นแต่หมอนั่นก็มีจุดอ่อนในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ ช่วงแรกเลยอาจตีสนิทยากไปสักหน่อย แต่หากทำดีด้วยก็จะยอมอ่อนข้อลงไปเอง ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนอัธยาศัยดีสักคนมาช่วยทำให้บรรยากาศยืดหยุ่นมากขึ้น
“นี่เป็นงานแฟชั่นโชว์สำหรับเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในประเทศจากบริษัท B ครับ คุณชีฮูคงพอทราบอยู่บ้าง เพราะเคยเดินให้แบรนด์จากบริษัท B อยู่ปีละครั้ง ส่วนอีกงานหนึ่งเป็นงานของดีไซเนอร์ที่ทำงานในเกาหลีมาได้สามปีแล้ว แต่คุณชีฮูอาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่ ธีมเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ท่านนี้จะเป็นเสื้อผ้าที่ทำจากหนังสังเคราะห์ เน้นใช้โทนสีมืดและดูทรงพลัง”
หลังยองมินอธิบายจบซองจุนจึงเสริมขึ้น
“ก็ไม่เลวทั้งสองงานเลยนะ บริษัท B เองก็เป็นแบรนด์ดังอยู่แล้ว คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ส่วนดีไซเนอร์ท่านนี้ล่าสุดก็กำลังเนื้อหอมเป็นที่รู้จักกันในหมู่วัยรุ่นเกาหลี เห็นว่ากำลังเตรียมคอลเล็กชั่นต่างประเทศสำหรับปีหน้าอยู่ด้วย พอรู้ว่าชีฮูกลับมาถึงเกาหลีแล้วก็ติดต่อเข้ามาหาบริษัทเราไม่เว้นวันเลย คงอยากให้เราร่วมงานกับเขาไปจนถึงปีหน้าเลยล่ะมั้ง”
“งั้นก็เอาแค่งานนี้สิ”
“แล้วงานของบริษัท B ล่ะ”
“เดินเวทีเดิมๆ มันน่าเบื่อ ช่วยจัดการตารางให้ผมที แต่ผมเอาแค่โชว์ครั้งนี้นะ ไม่เอาคอลเล็กชั่นต่างประเทศ”
งานนี้น่าเสียดายเกินกว่าจะปัดผ่านเพราะแค่คำว่าน่าเบื่อ แต่ถึงกระนั้นซองจุนก็พยักหน้าเข้าใจอย่างเสียไม่ได้ เพราะเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะไปบังคับให้ชีฮูทำตามคำสั่งได้อยู่แล้ว
“โอเค ถ้านายว่าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้นี่นะ รบกวนช่วยจัดการตามนี้ทีนะครับหัวหน้าจาง”
“ครับ งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ! ไว้พบกันคราวหน้านะครับ!”
เสียงฮยอนอูดังก้องไปทั่วห้อง หลังจากสองคนนั้นออกไปแล้วซองจุนจึงพูดกลั้วหัวเราะ
“คุณฮยอนอูน่ารักใช่ไหมล่ะ หวังว่าพวกนายจะทำงานเข้าขากันได้ดีนะ พอบอกไปว่าให้มาดูแลนายเขาก็ฮึดเต็มที่เลยนะ นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้วไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานาน ไปหาอะไรกินกันหน่อยไหม”
“ไว้วันหลัง”
“ทำตัวว่างเหมือนตกงานแล้วยังจะมาปฏิเสธกันอีกนะ”
ซองจุนบ่นกระปอดกระแปดพลางจ้องชีฮูเขม็ง ชายหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดถาม
“แล้วจะทำไม”
“นายมีอะไรในใจอยู่ใช่ไหม”
“อะไร”
ชีฮูเอนกายฝังตัวลงไปกับโซฟา ซองจุนค่อยๆ พิจารณาใบหน้าของชีฮูพลางยกมุมปากขึ้น
“ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันแต่เราก็รู้จักกันมาตั้งนาน คิดว่าเห็นแวบเดียวแล้วฉันจะดูไม่ออกเหรอ นายดูค้างคาใจกับอะไรสักอย่างอยู่นะ”
พอซองจุนพูดขึ้น ชีฮูจึงลอบยิ้มยามนึกถึงสีหน้าของอูกยองที่เจอกันหน้าลิฟต์เมื่อหลายวันก่อน สีหน้านั้นราวกับอยากพูดว่า ‘ไม่เอาน่า ไม่จริงใช่ไหม ไม่หรอกมั้ง พูดออกมาสิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง’
ซองจุนพ่นลมหายใจออกมาทันทีที่เห็นสีหน้าของชีฮู
“มีอะไรจริงๆ ด้วยสินะ อะไรล่ะ เป็นเรื่องที่ฉันควรรู้ในฐานะประธานไหม”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ช่วงนี้บังเอิญได้เจอกับคนคนหนึ่งบ่อยๆ น่ะ”
“แล้วยังไง สนใจ? หรือว่ารำคาญ?”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็อยากลองพิสูจน์อยู่เหมือนกัน”
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า แสงอาทิตย์กำลังทอแสงแผ่ออกไปทั่วฟ้า ชีฮูเลือกวิ่งเหยาะๆ บนทางเท้าฝั่งที่เริ่มสัมผัสกับแสงอาทิตย์ ยามนี้ถนนกำลังปลอดโปร่งเพราะผู้คนยังไม่ค่อยออกมาสัญจรกันเท่าไร
ชีฮูวิ่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางที่โล่งว่าง มันคือรถที่จอดในตำแหน่งเดิมและเวลาเดิมมาตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้ว เขาหยุดวิ่งแล้วครุ่นคิดว่าวันนี้จะเมินไปเหมือนเดิมดีไหม แต่สุดท้ายก็สาวเท้าเดินไปทางฝั่งคนขับ
เขามองเห็นอูกยองกำลังหลับตานอนพิงเบาะคนขับผ่านกระจกที่เลือนรางเล็กน้อย ชีฮูขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ครั้นพอสังเกตเห็นแก้มนวลที่แลดูอิดโรยถัดจากใต้ดวงตาที่ปิดสนิท สองวันก่อนเขาวิ่งผ่านอูกยองที่กำลังดูโทรศัพท์อยู่ในรถไป คิดว่าคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างเลยไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่วันนี้ก็นับเป็นวันที่สามแล้ว เขาจึงไม่สามารถปล่อยผ่านได้
ชีฮูเคาะกระจกฝั่งคนขับเบาๆ เท้าที่สวมรองเท้าออกกำลังกายกระดิกด้วยความร้อนใจ ยิ่งเห็นอูกยองไม่หือไม่อือชายหนุ่มจึงเคาะกระจกแรงและรัวกว่ารอบแรก
อูกยองดีดตัวผึง ลืมตาผวากับเสียงเคาะกระจก พอเห็นว่าเป็นชีฮูที่กำลังโน้มตัวจ้องเข้ามา ใจที่เต้นถี่ระรัวจึงค่อยๆ สงบลง ชีฮูนิ่วหน้าคล้ายไม่ค่อยชอบใจที่เห็นอูกยองลูบใบหน้าด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้า
เขาชี้มือชี้ไม้ทำท่าบอกให้อูกยองที่หันมาลดกระจกลง อีกฝ่ายจึงเปิดประตูรถก่อนก้าวออกมา ชีฮูกอดอกนิ่งมองอีกคนนวดหัวไหล่คลายเส้นพร้อมกับหมุนคอ พอนวดเสร็จจนพอใจอูกยองก็ยืนพิงรถแล้วเลิกคิ้วไปทางชีฮู เสียงแหบแห้งปนอ่อนล้าถามขึ้น
“อะไรของคุณ”
“แล้วทางนั้นล่ะครับกำลังทำอะไรอยู่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความไม่พอใจของชีฮูทำให้อูกยองเอียงคอสงสัย ชีฮูจึงยกเรียวนิ้วขึ้นนวดหัวคิ้วเมื่อเห็นสายตาของอูกยองที่ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าตนคือเหตุที่ทำให้เขาไม่พอใจ
“สามวันที่ผ่านมาคุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”
อูกยองปรายตามองชีฮูทั่วทั้งตัว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดวอร์มแล้วจึงได้แต่ลูบคางนิ่งๆ
“แค่ทำธุระเฉยๆ ครับ”
ชีฮูขบกรามแน่นกับคำตอบของอูกยองที่ไม่ยอมบอกให้ชัดเจน
ทำไมถึงได้กวนใจขนาดนี้นะ
ทั้งใบหน้าอิดโรย ทั้งเสื้อเชิ้ตยับย่นราวกับอยู่กินแต่ในรถ ไหนจะสีหน้าที่ดูเนือยๆ ชวนให้สงสัยนั่นอีก ทั้งหมดนั้นมันกวนใจเขาได้อย่างน่าประหลาด
เห็นสีหน้าของชีฮูเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ อูกยองจึงถอนหายใจเบาๆ พลางคิดว่าตนคงถอยไปไหนไม่ได้แล้วจนกว่าจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง ตามเนื้อตัวรู้สึกหนักอึ้งและเมื่อยล้าอันเป็นผลกระทบจากการอดหลับอดนอนอยู่ในรถมาสามวันติด นอกจากนั้นตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาเข้างานของเขาแล้วด้วย
“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณอาทิตย์ก่อนครับ”
* โรคโฮมซิก หรือโรคคิดถึงบ้าน เป็นอาการของโรคที่เกิดกับคนที่อยู่ไกลบ้าน เป็นอาการอาลัยอาวรณ์คิดถึงพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ สัตว์เลี้ยง สิ่งของ บรรยากาศ และอีกหลายๆ สิ่งที่บ้าน โดยคนที่เป็นโรคโฮมซิกจะมีอาการเศร้าซึม หดหู่ ไม่มีความสุข
* บันไดสัตว์เลี้ยง มีไว้สำหรับการเดินขึ้นลงพื้นที่ต่างระดับ เพื่อลดความเสี่ยงในการกระแทกหรือการเจ็บขาของสัตว์ขณะกระโดด
* คอลล่า (Elizabethan Collar) มีลักษณะคล้ายจานหรือลำโพง วัสดุทำจากพลาสติก ใช้สำหรับสวมใส่ให้กับสัตว์เพื่อป้องกันการเลียบาดแผล
* ชุดสครับ (Scrub Suit) เป็นเครื่องแบบทางการแพทย์ ประกอบด้วยเสื้อแขนสั้นและกางเกงขายาว
* เทรนช์โค้ต (Trench Coat) เป็นเสื้อโค้ตตัวยาว โดยความยาวจะอยู่ที่ระดับหัวเข่าจนถึงกลางหน้าแข้ง มีกระดุมสองแถว มีเข็มขัดผ้ารัดเสื้อโค้ตตรงช่วงเอว เพื่อช่วยให้เสื้อกระชับกับตัวมากขึ้น
* บิบิมกุกซู (비빔국수) หรือหมี่ยำเกาหลี มีทั้งรสเผ็ด เปรี้ยว และหวาน นิยมทานในฤดูร้อน
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Nice Alpha ผมเป็นโอเมก้าที่ชอบอัลฟ่าเชื่องๆ (2 เล่มจบ)
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-Book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts /
comico และ ARN