everY
ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2 บทที่ 15 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 15 รักษาอาการเจ็บ
พวกเขาพยายามแนบตัวให้ติดกันมากที่สุดเพื่อลดโอกาสที่จะเฉี่ยวกับขอบรอยแยก แต่ขณะที่ตกถึงพื้น ไหล่และหลังของฉู่ซือกลับเจ็บจนปวดแสบปวดร้อน น่าจะแฉลบกับขอบรอยแยกที่หดแคบลง
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น พลันกลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็ตลบอบอวล เข้าปกคลุมทั้งสองไว้ในนั้นอย่างชุลมุน
ฉู่ซือขยับไหล่ เดาะลิ้นอย่างหงุดหงิดทีหนึ่ง อดทนกับความเจ็บปวดของไหล่และหลังแล้วลุกขึ้นนั่งพร้อมเอ่ยขึ้น
“ท่าทางแบบนี้ไม่น่ามองเลย รีบลุกขึ้นเถอะ”
ซ่าเอ้อพลิกกายลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่ว แขนทั้งข้างโชกไปด้วยเลือด ไม่รู้ว่าบาดเจ็บขนาดไหน ต่อให้เจ้าตัวดูไม่สะทกสะท้าน แต่ฉู่ซือก็ยังสังเกตเห็นว่าขณะที่อีกฝ่ายหมุนร่างท่าทางดูแข็งเกร็งนิดหน่อย
เป็นตามที่คิด บริเวณชายโครงใต้เสื้อกล้ามสีดำของซ่าเอ้อถูกถากเป็นแผลรอยหนึ่ง ผ้าขาดวิ่นไปรอยใหญ่ เผยให้เห็นบาดแผลเหวอะหวะเปื้อนเลือดบนผิว
หลังมือของเขาเอื้อมไปจับดวงตาสวรรค์ที่เหน็บอยู่ตรงบั้นเอว เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้รับความเสียหายก็ล้วงเครื่องสื่อสารจากกระเป๋าออกมาโยนคืนให้ฉู่ซือ
“ลองดู สั่นอยู่พักหนึ่งแล้ว” ซ่าเอ้อบอกพลางถอดเสื้อกล้ามที่ขาดวิ่นออก ร่างกายท่อนบนที่กำยำเปลือยเปล่าเผยออกมา ใต้แสงสะท้อนของไฟฉายสวมนิ้วที่สั่นไหว กล้ามอกที่แข็งแรงมีคราบเลือดสีแดงสดทาบทับ ในความเถื่อนซ่อนแววเหี้ยมเกรียม
“ขึ้นยานก่อน!” ฉู่ซือกวาดตามองบาดแผลบนตัวอีกฝ่ายรอบหนึ่ง จากนั้นจึงสังเกตความเคลื่อนไหวรอบๆ พร้อมเชื่อมต่อเครื่องสื่อสารไปด้วย
ยานบินที่จอดอยู่นอกเขตอพาร์ตเมนต์ออกจากโหมดเงียบก็ทำงานเสียงดังวึ้งทันที
ทั้งสองไม่รอให้บันไดเลื่อนลงมาก็ดีดตัวกระโดดขึ้นบนแท่นเหยียบ มุดเข้าห้องนักบินผ่านประตูยานที่กำลังเปิด
“ว่ามา” ฉู่ซือเชื่อมต่อช่องสัญญาณสื่อสารของถังได้แล้ว จากนั้นก็เดินผ่านทางเชื่อมทะลุไปที่โถงด้านหลังของยานบิน นั่นเป็นส่วนหลักของยานบิน ด้านในมีห้องรับแขก โรงอาหาร คลังอาวุธแตกต่างกันไป แน่นอนว่ารวมถึงห้องพยาบาลด้วย
“สามนาทีก่อนเราขวางวัตถุลอยกลุ่มนั้นแล้ว พวกมันติดตั้งเกราะอำพรางกันหมด ดูที่มาไม่ได้ ดูรูปลักษณ์ก็ไม่ออก แต่ประสบการณ์กับลางสังหรณ์บอกผมว่าน่าจะเป็นยานรบทหาร” ถังพูดอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเน้นเสียงไปที่บางคำเป็นระยะ ฟังแล้วเหมือนยังคาใจกับยานบินซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปเหล่านั้น “แต่ครึ่งนาทีก่อนเกิดเหตุการณ์แปลกๆ นิดหน่อย”
“อะไร” ฉู่ซือรื้อค้นอยู่หลายที่ โยนขวดโยนกระป๋องที่เกะกะขวางทางออกไปหลายใบ ในที่สุดก็เจอกล่องพยาบาลใบหนึ่ง พอได้แล้วก็ถือมันเดินไปทางห้องนักบิน
ถังเล่า “ที่ผมคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นยานรบทหาร เพราะประสิทธิภาพอาวุธกับระบบป้องกันของพวกเขาเหนือกว่าเรามาก ถึงพวกเราจะเป็นต่อเรื่องจำนวน แต่ถ้าปะทะกันตรงๆ คงจะเป็นฝ่ายถูกไล่อย่างเดียว อย่าหาว่าผมพูดเลยนะ ยานบินของผู้พเนจรกลุ่มนี้ล้าสมัยเกินไป”
“เพ้อเจ้อหาพ่องเหอะ!” เสียงสบถด่าของคาร์ลอส เบลกดังแทรกมาอย่างชัดเจน
ถังว่าต่อ “เอาเหอะ ยังไม่ยอมรับอีก เอาเป็นว่าศึกคุมเชิงรอบนี้ดูยังไงฝ่ายตรงข้ามก็ได้เปรียบกว่ามาก สิ่งที่พวกเราทำได้มีแต่ปั่นจังหวะพวกเขาให้วุ่นวาย ฉุดขาพวกเขาประวิงเวลาสักหน่อย แต่ที่แปลกคือจู่ๆ ก็หยุดการกระชับวงล้อม เหมือนจะถอยทัพกลับแล้ว”
ฉู่ซือย่นคิ้ว “เพราะกาลอวกาศที่ย้อนกลับมาเพิ่งพังทลายไปเมื่อกี้ พวกเขาไปก็ไม่เจออะไรหรอก”
“มิน่าล่ะ!” ถังถึงบางอ้อ “แต่พวกเขาเองก็ถอนกำลังได้เร็วเหลือเกิน ไม่มีท่าทีจะยืดเยื้อกับเราเลย นี่ถ้าเป็นผม อย่างน้อยก็ต้องสู้กันสักตั้งก่อนแล้วค่อยไป”
“แต่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นาย” เมื่อฉู่ซือเดินกลับถึงห้องนักบิน ซ่าเอ้อกำลังใช้เสื้อกล้ามสีดำที่ถอดออกมาเช็ดคราบเลือดบนตัว เขาเช็ดลวกๆ จากนั้นก็ม้วนเสื้อกล้ามสีดำเปื้อนเลือดเป็นก้อนแล้วโยนเข้าตู้กำจัดขยะตรงมุมห้อง
เขายังคงไม่ยอมนั่งเก้าอี้ แต่นั่งเอียงตัวพิงขอบแผงควบคุมการบิน กดปุ่มบนนั้นด้วยมือเดียว ให้ยานบินเข้าสู่โหมดระบบขับขี่อัจฉริยะ
ขณะฉู่ซือนำกล่องพยาบาลวางบนแผงควบคุมการบิน ซ่าเอ้อเหลือบตาขึ้นมองเขา ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปดันคันบังคับอันหนึ่งเบาๆ
ยานบินทั้งลำสั่นสะเทือนทีหนึ่ง อุปกรณ์ต่อพ่วงส่งเสียงกระทบกันดังโคร้งเคร้งหลายสิบครั้ง ดวงตาสวรรค์ที่เขาเชื่อมต่อกับระบบส่วนกลางดังตึ๊งเสียงหนึ่ง…
“ปืนใหญ่ระเบิดอนุภาคนำวิถีเข้าประจำที่ ตอร์ปิโดไร้เสียงควบคุมรอบทิศเข้าประจำที่ ระบบพ่วงลากอวกาศเข้าประจำที่ เกราะนิรภัยการวาร์ปไม่ระบุพิกัดเข้าประจำที่ เกราะล่องหนอเนกประสงค์เข้าประจำที่”
ฉู่ซือ “…”
เสียงของถังในเครื่องสื่อสารเงียบลงกะทันหัน หลังจากเงียบอยู่ประมาณสามวินาทีก็เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ
“หัวหน้า คุณจะทำอะไร พวกเราสู้ไม่ได้นะ!”
ฉู่ซือมองซ่าเอ้อด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “นายจะทำอะไร”
บนจอบังคับเป้าหมายเกือบหนึ่งร้อยจุดที่ล็อกเป้ากะทันหันเปลี่ยนเป็นจุดแสงสีฟ้าในเวลาเดียวกัน
ตึ๊ง
“เป้าหมายเปิดเกราะนิรภัยการวาร์ปแล้ว คาดว่ากำลังจะทำการวาร์ปกลุ่ม คำนวณเวลา สามวินาที”
“นับเวลาถอยหลัง สาม…”
ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นยานรบทหารจริง ระบบการวาร์ปย่อมเหนือกว่าของพลเรือนมาก พิกัดแม่นยำ รวดเร็ว ความสั่นไหวน้อย เกราะคุ้มกันแข็งแรง ซ่าเอ้อหรี่ตามองหน้าจอ โหมดการขับขี่ถูกเขาปรับเป็นโหมดแมนนวลในหนึ่งวินาที
จากนั้นก็เห็นเขาจับคันบังคับหมุนเป็นวงกลมราวกับรูปห่วง ยานบินตีวงเลี้ยวกะทันหันกลางอวกาศด้วยความเร็วที่แม้แต่ฉู่ซือก็ยังต้องจับเก้าอี้นักบิน ศีรษะถึงไม่ไปกระแทกกับแผงควบคุมการบิน
“สอง…”
ขณะตีวงหมุนอย่างรวดเร็ว ซ่าเอ้อก็คำนวณองศากับเวลาเรียบร้อยแล้ว เขากดปุ่มพาวเวอร์ปุ่มหนึ่ง
ตึ๊ง
“ทำการยิงโซ่ลากอวกาศเรียบร้อย”
“หนึ่ง…”
วินาทีที่การนับเวลาถอยหลังจบลงก็ได้ยินเสียงครืดคราดดังสนั่นขึ้นสี่ครั้ง จุดแสงสีฟ้าเกือบร้อยจุดบนจอที่เป็นสัญลักษณ์แทนฝ่ายตรงข้ามก็ทำการวาร์ปในพริบตา หายลับไปจากเศษเสี้ยวดาวเคราะห์นี้ เหลือเพียงจุดแสงสีฟ้าสองจุดที่ยังตะเกียกตะกายอยู่ตรงนั้น
เพราะพวกมันถูกซ่าเอ้อเกี่ยวไว้ได้ในเวลาสามวินาทีแล้วลากออกจากประตูวาร์ป
ตึ๊ง
“ทำการยิงตอร์ปิโดไร้เสียงควบคุมรอบทิศเรียบร้อย”
การปฏิบัติการของซ่าเอ้อแทบจะลื่นไหลไร้การสะดุด อีกฝ่ายน่าจะยังไม่ทันได้สติจากการถูกลอบกัดฉุดลากจนทำให้การวาร์ปล้มเหลว ก็ถูกซ้ำด้วยตอร์ปิโดไร้เสียงควบคุมรอบทิศอีกรอบ เครื่องกลของยานบินจึงหยุดทำงานทันที
ตึ๊ง…
“ระบบวาร์ปไม่ระบุพิกัดในแผนที่ทำงาน…นับเวลาถอยหลัง สาม…สอง…หนึ่ง วาร์ปเสร็จสิ้น กางเกราะล่องหนอเนกประสงค์ ปฏิบัติการทุกคำสั่งเสร็จสิ้น ใช้เวลาทั้งหมดสิบวินาที ความเร็วเกินระบบอัจฉริยะขั้นสูง เก้าสิบสองเปอร์เซ็นต์ ชมเราหน่อยสิ”
ด้วยการสั่งการที่ผิดมนุษย์มนาของซ่าเอ้อและเสียงเจื้อยแจ้วของดวงตาสวรรค์ การปฏิบัติการลอบกัดจี้ปล้นอันเป็นพฤติกรรมของอันธพาลสำเร็จในเวลาสั้นๆ เพียงสิบวินาที พร้อมลากผลเก็บเกี่ยวแห่งชัยชนะแสนรันทดได้อีกสอง ยานบินก็ลอยอยู่ในหมู่ดาวแห่งใหม่อย่างเชื่องช้า
ซ่าเอ้อจึงปล่อยมือจากคันบังคับ ก่อนตอบคำถามก่อนหน้านี้ “ไม่ทำอะไร คันไม้คันมือ เลยจับมาเล่นสักสองลำ”
ฉู่ซือ “…”
คุณหยางคนนี้คันไม้คันมือจริงหรือไม่เขาไม่รู้ เขารู้แต่ว่าเมื่อถูกบังคับเข้าโหมดเงียบแล้ว โครงนอกของยานบินก็จะเกิดไฟฟ้าสถิตอยู่สิบสองชั่วโมง ซึ่งจะเข้าใกล้ไม่ได้ แต่หลังสิบสองชั่วโมงนี้แล้วพวกเขาก็สามารถลากคอคนที่อยู่ด้านในออกมาสอบสวนให้กระจ่างทีละคนได้เลย
“หัวหน้า พวกคุณวาร์ปไปไหนแล้ว ทำไมกางเกราะล่องหนด้วยล่ะ”
เสียงของถังขาดหายติดขัดอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาเป็นปกติ เห็นได้ว่าสถานการณ์ทางพวกเขาก็นิ่งแล้ว
ฉู่ซือคิดในใจว่าใครจะไปตรัสรู้ว่าวาร์ปไปไหนแล้ว คนอย่างซ่าเอ้อ หยางที่ไม่เคยออกไพ่ตามกติกาน่าจะวาร์ปตามใจไปเรื่อยกระมัง วาร์ปไปตรงไหนก็ตรงนั้น
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกนายหลบก่อน เตรียมตัวรับมือการโจมตีกลับหลังอีกฝ่ายรู้ตัวว่าสมาชิกหายไป แล้วก็บอกคาร์ลอส เบลกว่า…”
“คนนั้นอะ จับได้จริงเรอะ ถ้าเป็นพวกนครซิลเวอร์จริงอย่าลืมลากพวกมันกลับมาล่ะ ฉันกับพวกรออยู่ทางนี้ แล้วก็! อย่าทำยานบินสุดรักสุดหวงของฉันพังล่ะ! ใช้ถนอมๆ หน่อย! มันอยู่กับฉันมาเกือบร้อยปีแล้วเฟ้ย!”
ฉู่ซือ “…” มีซ่าเอ้ออยู่ก็พูดยากจริงๆ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสัญญาณไปเลย
สองวินาทีผ่านไปถังก็ส่งข้อความมาข้อความหนึ่ง…
‘เชี่ย!’
ผ่านไปอีกสองวินาทีถังก็ส่งข้อความที่สองมา…
‘หัวหน้า ข้อความเมื่อกี้ผมไม่ได้เป็นคนส่งนะ!!’
ฉู่ซือตอบกลับประโยคหนึ่งว่า…
‘รู้แล้ว’
เขาตอบข้อความแล้วก็เชื่อมต่อพอร์ตโทรจิตของเครื่องสื่อสารและดวงตาสวรรค์เข้าด้วยกัน ข้อมูลที่สแกนได้จากในอพาร์ตเมนต์ของเจี่ยงชีถูกดวงตาสวรรค์รับไปเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์
ตึ๊ง
“เอกสารนี้ถูกเข้ารหัสระดับ S เก้าชั้น ใช้เวลาการถอดรหัสราว…” ดวงตาสวรรค์คำนวณเงียบๆ ครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อ “ยี่สิบชั่วโมง”
ซ่าเอ้อเคาะบนแผ่นประมวลผล “ช้าขนาดนี้ แกคิดเรื่องเกษียณไปอยู่ในถังขยะได้แล้ว”
ตึ๊ง
“งั้นคุณมาคำนวณเองไหม”
ซ่าเอ้อใช้นิ้วโป้งลูบที่จุดเซ็นเซอร์ของแผ่นประมวลด้วยรอยยิ้มละมุนและนุ่มนวลมากๆ
ตึ๊ง
“เราผิดไปแล้ว คำพูดเมื่อกี้นี้ขอจัดการใหม่ เราหมายถึงว่าเราจะพยายามถอดรหัสให้เร็วที่สุด”
ฉู่ซือ “…” ไอ้ระบบปอดแหกนี่ก็ช่างหาตัวจับยากจริงๆ
พริบตาเดียวภาพบนจอก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่ใหญ่กว่าเป็นมอนิเตอร์ความปลอดภัยของหมู่ดาวโดยรอบ ส่วนที่เล็กกว่าเป็นโพรเกรสบาร์หรือแถบความคืบหน้าการถอดรหัส กำลังไต่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลาน นานพักใหญ่จึงเห็นแถบสีแดงเล็กๆ ขีดหนึ่ง…ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ยังหืดขึ้นคอ
ฉู่ซือเห็นมันเข้าสู่ขั้นตอนการถอดรหัสแล้วก็ไม่ได้มองอะไรอีก ก้มหน้าเปิดกล่องพยาบาล
การกักตุนเสบียงของผู้พเนจรกลุ่มนี้แตกต่างจากพลเมืองของดวงดาวอย่างสิ้นเชิง พลเมืองบนดาวไม่ต้องกังวลเรื่องพลังงาน ฉะนั้นแต่ละหลังคาเรือนจึงมีแคปซูลรักษาประจำบ้าน แคปซูลรักษาลักษณะนี้มีไว้สำหรับผู้บาดเจ็บที่อาการบาดเจ็บต่ำกว่าระดับห้า ถ้ามากกว่าระดับห้าต้องไปโรงพยาบาล แต่แคปซูลรักษาบนยานบินของผู้พเนจรกลับตรงกันข้าม
เนื่องจากตะลอนอยู่ในอวกาศมาเป็นเวลานาน ต่อให้พวกเขากักตุนพลังงานไว้มากแค่ไหนก็ต้องใช้อย่างประหยัด ฉะนั้นห้องพยาบาลจึงใช้รักษาผู้บาดเจ็บระดับแปดขึ้นไปเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือไว้สำหรับช่วยชีวิตยามฉุกเฉินเท่านั้น ถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่ได้ใช้ ที่เหลือก็อาศัยยาสารพัดในกล่องพยาบาลที่มีทั้งตรงขนานและไม่ตรงขนาน
สำหรับผู้พเนจรการปะทะกับการขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ การพักฟื้นและฟื้นตัวที่ยาวนานเป็นเรื่องเสียเวลา เมื่อไหร่ที่เจ็บไข้หรือบาดเจ็บ ยิ่งฟื้นตัวเร็วยิ่งดี ดังนั้นยาที่พวกเขากักตุนไว้จึงมีสรรพคุณเข้มข้นเป็นพิเศษจนถึงขั้นมีฤทธิ์แรง
พวกเขาใช้ยาเหล่านี้มาเป็นเวลานาน ร่างกายเคยชินไปแล้ว แต่สำหรับคนที่อยู่บนดาวมานานนั้นนับว่าฤทธิ์แรงเอาเรื่อง
นิ้วของฉู่ซือไล่หาอยู่นาน ก่อนเลือกยาสมานแผลกับยากระตุ้นเนื้อเยื่อ แล้วรื้อกระบอกฉีดยาดิจิตอลกับผ้าพันแผลฆ่าเชื้อออกมา
“มือ” เขาพูดกับซ่าเอ้อคำหนึ่ง หลังจากนั้นก็ดูใบกำกับการใช้ยา ตั้งค่าปริมาณบนกระบอกฉีดยาดิจิตอลแล้วเชื่อมพอร์ตกับปากขวดยา
ซ่าเอ้อเลิกคิ้ว “ทำอะไร ต้องไฮไฟว์กันด้วยไหม”
ฉู่ซือเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์
คิ้วของซ่าเอ้อที่เลิกขึ้นขยับลงทันที เขาเอนหลังพิงพนัก เปลี่ยนอิริยาบถที่สบายกว่าแล้วว่า “ฉันไม่ต้องใช้ของพวกนี้” พูดจบเขาก็ขยับคอยืดเส้นยืดสาย ปล่อยบาดแผลเหวอะหวะน่ากลัวบนแขนซ้ายไว้โดยไม่สนใจ ยกแขนขวาที่ไม่เป็นไรให้ฉู่ซือ “ดูสิ บาดแผลที่ถูกกรงเล็บบาดคราวก่อนไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นด้วยซ้ำ”
“นายภูมิใจมากใช่ไหม” ฉู่ซือเสี่ยงอันตรายเสมอ แต่เขายังคงไม่เข้าใจนิสัยที่เลือกเสี่ยงภัยรวมถึงต่อให้ไม่มีภัยก็จะสร้างภัยขึ้นมาเองอย่างนี้ของซ่าเอ้อ
“เปล่า แต่ความจริงก็คือฉันไม่ต้องใช้จริงๆ” ซ่าเอ้อว่าพลางหันหน้ามาอีกครั้ง สายตามองที่ข้างลำคอของฉู่ซือ
ฉู่ซือเบนสายตากลับมา ก้มหน้าตั้งค่ากระบอกฉีดยาดิจิตอลต่อ
เขารู้ว่าสภาพร่างกายของซ่าเอ้อ หยางต่างจากคนทั่วไปเล็กน้อย จริงๆ แล้วไม่ใช่ ‘เล็กน้อย’ แต่แตกต่างกันมาก เขาเคยเห็นกับตาว่าซ่าเอ้อ หยางปรากฏตัวพร้อมบาดแผลเต็มตัว จากนั้นแผลก็สมานหมดภายในเวลาไม่กี่นาที เพียงเขาเผลอเดี๋ยวเดียว เมื่อมองไปอีกครั้งก็ไม่พบบาดแผลชัดๆ แล้ว
เวลานั้นเคยมีคนแสดงความสนใจ แต่ก็ถูกสายตารำคาญของซ่าเอ้อ หยางข่มขวัญจนหัวหด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบใจที่จะถกเรื่องนี้กับคนอื่น ฉะนั้นฉู่ซือเองก็ไม่เคยซักถาม
ทว่าครั้งนี้…
ฉู่ซือหมุนกระบอกฉีดยาดิจิตอลที่บรรจุยาเรียบร้อยในมือสองรอบ แล้วมองไปที่แขนของซ่าเอ้อ “จนป่านนี้แผลก็ยังไม่สมาน นายแน่ใจเหรอว่าไม่ต้องใช้”
“ไม่ต้องจ้องแล้ว ไม่ใช้” ซ่าเอ้อนั่งหลังตรง ฉกกระบอกฉีดยาดิจิตอลจากมือของฉู่ซือไปอย่างไวโดยไม่ทันตั้งตัว
“นายจะทำอะไร” ฉู่ซือถาม
ซ่าเอ้อมองปริมาณยาก่อนดันลูกสูบไล่ยาออกไปส่วนหนึ่ง จากนั้นกระดิกนิ้วให้เขา “นายเองก็อิดออดไม่อยากใช้ยากับตัวเองไม่ใช่เหรอ หันไปหน่อย เสื้อเชิ้ตสีฟ้าของนายจะเป็นสีม่วงอยู่แล้ว”
“ฉันทำเอง” ฉู่ซือยื่นมือจะหยิบกระบอกฉีดยาดิจิตอล แต่กลับถูกซ่าเอ้อขยับหลบ
“อย่าดื้อสิหัวหน้า นายเป็นชะนีแขนยาวหรือไง ถึงจะเอี้ยวแขนไปฉีดยาด้านหลังได้” ซ่าเอ้อเหยียดขายาวๆ แล้วลงจากแผงควบคุมการบิน เขาหัวเราะทีหนึ่งพร้อมคว้าข้อมือของฉู่ซือแล้วบิดไพล่ไปด้านหลังด้วยน้ำหนักมือที่พอดี ก่อนถือโอกาสโน้มร่างทาบลงไป
ฉู่ซือเซไปก้าวหนึ่ง กระดูกสะโพกชนกับแผงควบคุมการบิน “ซ่าเอ้อ หยาง!”
“ครับผม” ซ่าเอ้อลากเสียงพร้อมยืนแกว่งกระบอกฉีดยาดิจิตอลอยู่ด้านหลังฉู่ซือ ลมหายใจจากการพูดรดอยู่บนต้นคอเขา “อย่าขยับ แขนนายข้างที่ฉันจับอยู่มีแต่เลือด”
ฉู่ซือเกร็งจนคอแข็ง ท่าทีที่ดิ้นขืนในตอนแรกชะงักไปทันที จากนั้นครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ค่อยๆ คลายไหล่ที่เกร็งแข็งออกแล้วบอกอย่างอ่อนใจ
“ถามอะไรนายอย่างหนึ่งสิ”
“หืม?”
“เวลานายช่วยใครก็มักใช้วิธีที่เหมือนทะเลาะกันแบบนี้เหรอ” ฉู่ซือถาม
ซ่าเอ้อหัวเราะพรืด “หัวหน้า นายเข้าใจผิดเรื่องหนึ่งแล้ว”
ขณะพูดลมหายใจอุ่นๆ ก็พ่นรดที่ต้นคอของฉู่ซืออีกครั้ง ทำเอาไหล่ของเขาเกร็งขึ้นมาอีก
เขาเอียงหน้า ย่นคิ้วถามกลับ “อะไร”
“ปกติฉันไม่ช่วยใคร” เมื่อมือไม่ว่างซ่าเอ้อจึงใช้ฟันคาบปลายกระบอกฉีดยาดิจิตอล จากนั้นดึงเสื้อเชิ้ตที่ขาดวิ่นตรงไหล่และหลังของฉู่ซือออกเล็กน้อย แล้วใช้ผ้าก๊อซฆ่าเชื้อเช็ดคราบเลือดรอบบาดแผลจนสะอาด ก่อนย่นคิ้วแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ฉันเคยช่วยแค่หัวหน้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่หัวหน้าคนนั้นดันดื้อไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายว่าไร้เหตุผลไหม”
หัวหน้าฉู่ผู้ไร้เหตุผลเงียบไปครู่หนึ่ง คิดคำโต้แย้งไม่ออก จึงได้แต่กล่าวเสียงเย็น “งั้นก็รบกวนช่วยเร็วๆ หน่อย ไม่มีใครชอบถูกกดอยู่แบบนี้”
อันที่จริงซ่าเอ้อพูดถูก ตำแหน่งที่เขาได้รับบาดเจ็บค่อนข้างจัดการลำบาก ถ้าทำเองไม่ว่าจะเอื้อมจากไหล่ด้านหน้าหรือตวัดแขนเอี้ยวจากบั้นเอวก็ฉีดยาไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ด้วยเป็นถัง หลิว กาย…หรือแม้กระทั่งใครก็ได้ เขาคงยอมให้อีกฝ่ายช่วยโดยไม่อิดออด นอกจากซ่าเอ้อ หยาง
การสัมผัสแตะต้องระหว่างพวกเขาสองคนมักจะเปลี่ยนบรรยากาศได้อย่างน่าแปลก ความสัมพันธ์ของพวกเขามักแฝงการอยากเอาชนะกัน เหมือนจุดคบไฟกลางกองฟืนให้เปลวไฟลุกโชน แต่ละครั้งที่สั่นไหวก็วูบวาบเฉียดขอบฟืน หากไม่ระวังไฟก็จะลุกลามได้
อาจเพราะในที่สุดเขาก็ยอมให้ความร่วมมือ ซ่าเอ้อจึงคลายมือจากข้อมือของเขาแล้วมากดที่ต้นคอ ให้เขาหันหน้าออกด้านข้างเล็กน้อย
เส้นเอ็นเส้นหนึ่งปูดขึ้นมาตรงระหว่างช่วงต้นคอกับไหล่ ซ่าเอ้อกดรอบบาดแผลของเขารอบหนึ่ง ปลายเข็มทิ่มเข้าผิวหนัง เมื่อยาถูกฉีดเข้าไป ผิวบริเวณนั้นให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย ก่อนจะปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา
บาดแผลลักษณะนี้ต้องใช้การฉีดยารอบบาดแผลให้เสมอกัน
เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าซ่าเอ้อ หยางมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความอดทน’ ด้วย ฉีดแต่ละจุดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ในความละเอียดถึงขั้นเจือความอ่อนโยนเล็กๆ
แต่ฉู่ซือไม่มีอารมณ์เพลิดเพลินกับความอ่อนโยนที่ยากจะสังเกตนั้น เพราะฤทธิ์ยานั้นแรงมาก รอบบาดแผลเหมือนมีไฟลุก ทั้งตึงทั้งร้อน
ซ่าเอ้อหยุดงานในมือไปอึดใจใหญ่ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “หัวหน้า นายหน้าแดงแล้ว”
ฉู่ซือโกรธจนขำ “…นายลองรู้สึกเหมือนถูกไฟเผาหลังดูสิ หน้าจะแดงไหม”
นั่นเหมือนกับบาดแผลอักเสบจนทำให้ผิวรอบๆ มีอาการแดงจนถึงขั้นเป็นไข้ เป็นปฏิกิริยาทางร่างกายเท่านั้น แต่เมื่อออกจากปากของซ่าเอ้อ หยาง ฟังอย่างไรก็ชวนให้ตงิดใจ
สีแดงฉานขยายจากบาดแผลที่ไหล่และหลังเป็นวง พาให้ลำคอรวมถึงใบหูและใบหน้าด้านข้างของฉู่ซือแดงปลั่งไปด้วย มองแล้วมีส่วนทำลายบุคลิกพอสมควร
เขาก้าวหลบไปข้างๆ สองก้าว เอาตัวออกจากช่องระหว่างซ่าเอ้อกับแผงควบคุมการบิน ยกมือขึ้นลูบข้างลำคอพลางพูดทิ้งท้ายกับดวงตาสวรรค์
“เปลี่ยนเป็นโหมดลอยตัว ฉันขอไปนอนสักตื่น” พูดจบก็หันร่างเดินไปทางห้องนอนซึ่งอยู่ที่โถงส่วนหลัง
ยากระตุ้นการสมานแผลเห็นผลเร็ว แต่ขั้นตอนไม่ชวนพิสมัยนัก ทางที่ดีคือนอนสักพัก พอตื่นบาดแผลก็จะสมานไปกว่าครึ่งแล้ว
เมื่อเปิดประตูห้องนอน จู่ๆ นิ้วของเขาก็ชะงัก แล้วเขาก็หันไปถามซ่าเอ้อ “นายไม่ใช้ยาจริงเหรอ”
“ไม่ต้องใช้ เดี๋ยวฉันอาบน้ำหน่อย” ซ่าเอ้อตอบก่อนจะเดินทอดน่องตามเข้ามาในห้องนอน ค้นผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งจากลิ้นชัก
“นายอาบน้ำโดยเปิดแผลพวกนี้ไว้เหรอ” ฉู่ซือย่นคิ้วถาม
ซ่าเอ้อโบกมือ “หัวหน้าห่วงฉันขนาดนี้ ฉันดีใจมากเลย แต่ฉันรับประกันว่าก่อนน้ำจะถูกบาดแผล แผลพวกนี้ก็สมานตัวแล้ว”
ฉู่ซือยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันดังสวบสาบจากในห้องน้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงน้ำดังซ่าออกมา
ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ
“นายแน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ช่วย” ฉู่ซือถาม
อาจเพราะเสียงน้ำดังเกินไปจนกลบเสียงถาม ซ่าเอ้อจึงได้ยินไม่ชัด “นายว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไร นายอาบเถอะ” ฉู่ซือพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “มีปัญหาอะไรก็เรียกฉัน”
“ฉันจะมีปัญหาอะไรได้” ซ่าเอ้อเหมือนจะแค่นเสียงหัวเราะเสียงหนึ่ง
“เอาเถอะ”
ฉู่ซือเดินวนในห้องนอนรอบหนึ่ง รสนิยมของคาร์ลอส เบลกนั้นชวนให้หมดคำจะพูด บางทีเขาอาจจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่ารสนิยมด้วยซ้ำ
เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกเถื่อนๆ นั่นไม่มีผิด คนคนนี้ชอบสิ่งของที่มีขนาดใหญ่และโครงสร้างไม่เรียบร้อย สีสันตัดกันฉูดฉาด ลวดลายรุงรัง
ถ้าหากมันแค่นี้ก็แล้วไป แต่ดันมีของสีขาวนวล สีฟ้าอ่อน และสีชมพูแซมอยู่ด้วย เมื่อวางรวมกับอดีตราชาผู้พเนจรอย่างคาร์ลอส เบลกแล้วก็ดูไม่เข้ากันอย่างรุนแรง
นอกจากปิดปากตะลึงงันแล้วก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี
ฉู่ซือมองเตียงสีชมพูลายกระต่ายหลังใหญ่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สลับกับมองโซฟาที่เหมือนถูกนั่งจนยุบไปแล้ว ท่ามกลางตัวเลือกหนึ่งในสองอย่างที่โง่และโง่กว่า เขาก็เลือกไปนั่งบนที่วางแขนของโซฟา
บอกตามตรงเขาเองก็ไม่ค่อยชินกับการนอนบนเตียงคนอื่นในสภาพบาดแผลเต็มตัวและคราบเลือดเลอะเทอะเหมือนกัน
โต๊ะทรงกลมข้างโซฟามีกรอบรูปดิจิตอลวางคว่ำอยู่ ขอบกรอบรูปมีรอยด้านอย่างชัดเจน ดูออกว่าถูกคนถือติดมือเป็นประจำ
ฉู่ซือกวาดตามองแวบหนึ่ง ไม่ได้ยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมา เขาดึงสายตากลับมา
เขาไม่เคยอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ว่าในกรอบรูปคืออะไร เขาเองก็พอเดาได้
เพราะคาร์ลอส เบลกที่เคยได้ชื่อว่าเป็นราชาผู้พเนจรชื่อเสียงโด่งดัง แม้กระทั่งฉู่ซือที่แทบไม่เคยสมาคมกับอีกฝ่ายก็ยังรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีภรรยาและลูกสาว มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมหน้า เพียงแต่สุขอยู่ไม่กี่ปีก็ถูกนครซิลเวอร์ทำให้กลายเป็นคนโดดเดี่ยว
หลายปีนั้นคาร์ลอส เบลกบีบให้ตัวเองกลายเป็นเทพสังหาร พาพรรคพวกที่เป็นคนไร้ครอบครัวเช่นเดียวกับเขา กลุ่มของเขาต่อกรกับนครซิลเวอร์นานหลายสิบปี จนกระทั่งเกือบสิบปีที่ผ่านมาจู่ๆ ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการ ไม่ใช้ความรุนแรงปะทะกันตรงๆ แล้ว
เห็นได้ว่าเวลาเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ
ฉู่ซือลงมานั่งขดอยู่บนเบาะโซฟา ข้อศอกวางอยู่บนที่วางแขน มือประคองศีรษะไว้หลวมๆ
เขาหลับตาลงท่ามกลางเสียงน้ำในห้องน้ำ อาการแสบร้อนที่ไหล่และหลังทำให้เขายังคงมีสติวูบหนึ่งตลอด ไม่สามารถนอนหลับได้จริง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเขตอพาร์ตเมนต์ก่อนหน้านี้เหมือนมีภาพวิดีโอแต่ละเฟรมวาบเข้ามาในหัวของเขาอย่างไม่เป็นระเบียบ จนทำให้เขาถึงกับแยกแยะไม่ได้ว่าตัวเองกำลังย้อนความทรงจำ หรือเป็นความฝันขณะยังหลับไม่ลึกกันแน่
เจี่ยงชีที่เปิดประตูกะทันหันแล้วปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ซองเอกสารสีดำ แล้วก็ซ่าเอ้อ หยางที่หันมายิ้มขณะวิ่ง…
นิ้วของฉู่ซือที่ประคองศีรษะอยู่ขยับ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วหรี่ตามองเครื่องบอกเวลาไทม์โซนอวกาศบนผนัง เลยเวลาก่อนเขาหลับตามาหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว…
หนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว เสียงน้ำในห้องน้ำยังไม่หยุดอีก?!
ฉู่ซือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขานิ่วหน้าเรียกเสียงหนึ่ง “ซ่าเอ้อ หยาง?”
เสียงในห้องน้ำยังไม่หยุด แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ฉู่ซือขมวดคิ้ว ลุกขึ้นก้าวยาวๆ ไปทางนั้น “ซ่าเอ้อ?”
“ฉันอยู่นี่ มีอะไร” เสียงทุ้มต่ำดังทะลุผ่านเสียงน้ำ ในความเลือนรางฉายความเรื่อยเฉื่อยที่คุ้นเคย
“…” ฉู่ซือชะงักฝีเท้าทันที หยุดอยู่หน้าประตู “หนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว นายอาบน้ำหรือจะต้มตัวเองให้เป็นซุปกันแน่”
“ใช่ เดี๋ยวแบ่งนายถ้วยหนึ่งเป็นไง” เสียงของซ่าเอ้อยังคงผ่อนคลายอารมณ์ ราวกับไม่อยากใช้แรงใดๆ แต่เจือแววหัวเราะ
“นายทำอะไรกันแน่ถึงแช่อยู่ข้างในนานขนาดนี้” ฉู่ซือเคาะประตูแรงๆ สองที
“ทำเรื่องหน้าไม่อายนิดหน่อย นายแน่ใจหรือว่าจะให้ฉันเปิดประตู” ซ่าเอ้อตอบ
ฉู่ซือ “…”
เขาหันร่างเดินไปได้สองก้าวก็ชะงักกึก ก่อนถามด้วยความสงสัย “นี่นาย…”
ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งฉู่ซือก็เดินไปหน้าประตูห้องน้ำ “แผลนายสมานหรือยัง”
ซ่าเอ้อลากเสียงอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ต้องถามอีกเหรอ ก็ต้องหายแล้วสิ พูดแล้วนายอาจจะไม่เชื่อ บาดแผลเล็กจนเหมือนปากยุงแล้วด้วยซ้ำ อีกสักพัก…”
ยังพูดไม่ทันจบฉู่ซือก็ข้ามขั้นตอนเคาะประตู เปิดประตูผ่างอย่างไม่เกรงใจ
ปัง!
ประตูกระจกฝ้ากระแทกกับผนังอย่างแรง แล้วหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยระบบอัจฉริยะ ไม่ได้ดีดกลับมา
ไอน้ำหนาๆ ในห้องน้ำโชยมาปะทะฉู่ซือก่อนจะสลายไป เงาร่างของซ่าเอ้อ หยางจึงกระจ่างชัดขึ้นมา…
เขากำลังยืนอยู่หน้ากระจก ฝ่ามือทั้งสองข้างวางอยู่บนเคาน์เตอร์สีดำ ผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอวหลวมๆ
เขาน่าจะมั่นใจว่าข้ออ้างของตัวเองจะรั้งฉู่ซือไว้นอกประตูได้ จึงคิดไม่ถึงว่าประตูจะถูกเปิดออกกะทันหัน เมื่อหันไปมองที่ประตู คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็ยังไม่คลายออก
สายตาของฉู่ซือมองผ่านผ้าเช็ดตัว สุดท้ายไปจรดที่ข้างเอว
บาดแผลฉกรรจ์ลากยาวตั้งแต่บริเวณชายโครงลงมาหายเข้าไปในผ้าเช็ดตัวกับเส้นวีไลน์ที่ชัดเจน
“พูดแล้วนายอาจไม่เชื่อ ชีวิตนี้ฉันเพิ่งเคยเห็นปากยุงที่เล็กขนาดนี้” ฉู่ซือแดกดันเสียงเย็น
ซ่าเอ้อ “…”
“แขน” ฉู่ซือเค้นคำออกมาเสียงแข็ง
ซ่าเอ้อยกแขนข้างที่ปกติขึ้น
ฉู่ซือมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดไม่จา ซ่าเอ้อเดาะลิ้นเสียงหนึ่ง สุดท้ายก็หันร่างเผยให้เห็นแขนอีกข้างอย่างว่าง่าย…
บาดแผลข้างนี้น่าสยองยิ่งกว่า ยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงหลังมือ ถ้าอยู่บนตัวคนทั่วไปแขนข้างนั้นน่าจะพิการแล้ว
ฉู่ซือเดินเข้าไปโดยไม่พูดไม่จา ตวัดฝ่ามือตบปิดฝักบัว เสียงน้ำที่เอาไว้กลบเกลื่อนเงียบหายไป เขาหันไปว่าด้วยสีหน้าตึงๆ
“ซ่าเอ้อ หยาง หัวนายนี่นอกจากมีไว้เพิ่มส่วนสูงแล้วยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกไหม ปล่อยบาดแผลสองแผลที่ยาวขนาดนี้แล้วยืนใต้น้ำหนึ่งชั่วโมงครึ่ง นายไม่ปล่อยรากงอกตรงนี้ไปเลยล่ะ”
ซ่าเอ้อ “…”
“เดินไหวไหม ให้แบกหรือลากเลือกมาอย่างหนึ่ง” ฉู่ซือยังคงปั้นหน้าบูดบึ้ง
ซ่าเอ้อจนมุมอย่างหาได้ยาก เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำและไม่ได้ล้อเล่นเพื่อกลบเกลื่อนด้วยเช่นกัน
เขามองฉู่ซือตาไม่กะพริบ ก่อนก้มลงมองบาดแผลบนร่างกายตัวเองอีกครั้งแล้วยืนตรงเดินออกจากห้องน้ำไป…
ดูเชื่อฟัง…เอามากๆ
คำคุณศัพท์อย่างคำว่า ‘เชื่อฟัง’ กับซ่าเอ้อ หยางอยู่ด้วยกัน น่าจะเป็นเรื่องที่ในร้อยปีจะได้เห็นสักครั้ง
ห้องนอนตกอยู่ในบรรยากาศแปลกๆ…เสียงฝีเท้า เสียงผ้าเสียดสีเมื่อนั่งบนโซฟา เสียงเปิดปิดกล่องพยาบาลดังสลับประสานกัน ทั้งที่มีเสียงกุกกักมากมาย กลับทำให้คนรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป
เพราะฉู่ซือเอาแต่ปั้นหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ จ้องซ่าเอ้อที่นั่งอยู่บนโซฟาเงียบๆ โยนกล่องพยาบาลไว้ข้างๆ เงียบๆ ตั้งค่าปริมาณยาบนกระบอกฉีดยาดิจิตอลเงียบๆ
เขาดูดยาแล้วก็ตวัดฝ่ามือปัดมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บของซ่าเอ้อออกไป ขมวดคิ้วพร้อมย่อตัวลง
ขอบบาดแผลบนแขนของซ่าเอ้อเริ่มซีดและบวมอย่างเห็นได้ชัด ฉู่ซือเอามือกดผิวข้างๆ เบาๆ สองครั้ง ปรับตำแหน่งครู่หนึ่งก่อนจะจิ้มเข็มลงไป
“หัวหน้า นายกำลังโกรธ” จู่ๆ ซ่าเอ้อก็เอ่ยปาก
ปลายเข็มในมือชะงักกึก ฉู่ซือเหลือบตาขึ้นว่า “นายหุบปากเลย” พูดจบก็จิ้มเข็มลงไป
บาดแผลบนแขนนี้ยาวเกินไป เขาฉีดยาไปตามขอบบาดแผลทีละน้อยด้วยสีหน้าเย็นชา แต่มือกลับเบามาก
ซ่าเอ้อพลันคลี่ยิ้ม ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่มุมปากกลับยกขึ้นอย่างชัดเจน
“ถ้ายังไงฉันฉีดรอบปากนายก่อนสักรอบละกัน” ฉู่ซือที่ถือกระบอกฉีดยาดิจิตอลอยู่พูดเสียงเย็น
ซ่าเอ้อเลิกคิ้ว “เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดนะ”
“นายยิ้มอะไร”
“ยิ้มก็ไม่ได้?”
ฉู่ซือมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์
ซ่าเอ้อใช้มืออีกข้างลูบมุมปากตัวเอง “เอาเถอะ ไม่ยิ้มแล้วก็ได้”
เขาทำตาปรือตลอดขณะพูด เรื่อยเฉื่อยเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่ฉายแววอ่อนล้าและง่วงงุนวูบหนึ่งอยู่ในนั้น
สายตาของฉู่ซือมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ก่อนก้มลงจัดการกับบาดแผลอีกครึ่งที่เหลือจนเรียบร้อย
ลำพังแขนข้างหนึ่งก็ใช้ยาไปสองขวด เขาเปิดขวดที่สาม รอกระบอกฉีดยาดิจิตอลดูดยาอัตโนมัติตามปริมาณอย่างแม่นยำพลางยกมือแตะหน้าผากของซ่าเอ้อ
สัมผัสร้อนผ่าว อีกฝ่ายกำลังเป็นไข้
“อาการปกติ” ซ่าเอ้อบอก แขนข้างที่ฉีดยาไปแล้วเริ่มแดงและร้อน ห้อยพักอยู่บนที่วางแขนของโซฟา ขยับเขยื้อนไม่สะดวก
กระบอกฉีดยาดิจิตอลดูดยาเสร็จอย่างรวดเร็ว นิ้วของฉู่ซือที่กดอยู่เลื่อนไปที่เอวของซ่าเอ้อ เลียบตามบาดแผลที่ชายโครง เลื่อนลงไปด้านล่างทีละเข็มอย่างมีน้ำอดน้ำทน
“นายอย่าขยับได้ไหม” ฉู่ซือว่า
ซ่าเอ้อหลุบตาร้องโอ๊ะเสียงหนึ่ง จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้น “หัวหน้า จิ้มเข็มลงไปเลย นิ้วไม่ต้องกดแล้ว”
ฉู่ซือแค่นเสียงเย็นโดยไม่เงยหน้า “ฉันไม่กด นายขยับที เข็มก็หักหนึ่งเล่ม ครบรอบแล้วเข็มในกล่องพยาบาลก็ไม่พอใช้แล้ว นายอยากกลายร่างเป็นเม่นหรือไง”
บาดแผลถูกจัดการไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ยังมีอีกส่วนเล็กๆ ที่อยู่ใต้ผ้าเช็ดตัว
“ก็ได้ งั้นนายต่อเลย ฉันไม่เป็นไรอยู่แล้ว” เสียงพูดของเขาทุ้มต่ำ ความแหบพร่าไล้ผ่านริมหูของฉู่ซือ
นิ้วของฉู่ซือที่เลื่อนไปแตะขอบผ้าเช็ดตัวชะงัก
ผิวรอบบาดแผลร้อนมาก แม้จะรู้ว่าเป็นปฏิกิริยาจากฤทธิ์ของยา แต่ก็ชวนให้คิดไปไกลถึงปฏิกิริยาอีกอย่างหนึ่ง
นิ้วของฉู่ซือกดอยู่ข้างเส้นวีไลน์ของซ่าเอ้อ เนื่องจากอีกฝ่ายเกร็งกล้ามเนื้อ นิ้วมือจึงสัมผัสได้ถึงความแข็งนิดๆ
ซ่าเอ้อเอามือข้างหนึ่งยันโซฟา โน้มร่างกายช่วงบนไปข้างหน้าเล็กน้อย จู่ๆ ก็ก้มหน้าเข้าหา
ฉู่ซือหรี่ตาลงพร้อมเอียงหน้าหลบ ลมหายใจของซ่าเอ้อจึงเป่ารดบนต้นคอของเขา “หัวหน้า เรื่องที่ถูกขัดจังหวะเมื่อหลายปีก่อน ฉันขอทำต่อได้ไหม”
ยิ่งควบคุมไม่ได้ก็ยิ่งทำให้คนลุ่มหลงได้ง่าย ยิ่งอันตรายก็ยิ่งมีเสน่ห์เกินต้าน อย่างเช่นกาลเวลา อย่างเช่นคน
ส่วนฉู่ซือนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้กับเสน่ห์เย้ายวนทั้งสองแบบภายในวันเดียวกัน
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจได้ว่าในอดีตไม่ว่าที่สถานพักฟื้นหรือที่หน่วยฝึก ทำไมถึงมีคนมากมายทั้งที่มือสั่นเข่าอ่อน แม้กลัวสุดใจกลับยังกรูเข้าไปหวังจะได้ใกล้กับซ่าเอ้อ หยางอีกสักนิด…
เพราะเมื่อครู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาเองก็เกิดความวู่วามแบบนั้น
ริมฝีปากของซ่าเอ้อแทบจะสัมผัสกับซอกคอของเขา ลมหายใจที่เป่ารดบนผิวเขาเหมือนมีกระแสไฟฟ้าเล็กๆ แผ่ขยายจากใบหูมาที่แก้มทีละระลอก ราวกับหาดทรายเวลาน้ำขึ้น
ถ้าคนคนนี้ต้องการทำอะไรจริงๆ ไม่มีทางที่จะอดทนถามก่อนอย่างเป็นสุภาพบุรุษ ซ่าเอ้อถามประโยคนี้ขึ้นมาขณะเข้าด้ายเข้าเข็มก็เพียงต้องการตีกรอบให้ฉู่ซือ เพราะไม่ว่าจะตอบว่าได้หรือไม่ได้ก็พิสูจน์แล้วว่าแม้จะนานหลายปีฉู่ซือก็ยังไม่ลืมเวลาชั่วขณะนั้น
เขาจงใจ
เหมือนเวลาที่สัตว์ป่าล่าเหยื่อ มักจะคอยชมเหยื่อเข้าไปติดกับดักทีละก้าวด้วยความอดทน…
ฉู่ซือหลับตาลงท่ามกลางลมหายใจของซ่าเอ้อ “ซ่าเอ้อ นายยังจำคลังแสงหมายเลขสองที่ซ่อนอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์ของสถานพักฟื้นได้ไหม”
“อืม” ซ่าเอ้อขานตอบ เสียงต่ำเบาจนแทบกระซิบ
“มีอยู่ปีหนึ่ง มีระเบิดบีบมิติชุดใหม่ล่าสุดที่กองทัพเพิ่งวิจัยออกมาถูกลำเลียงเข้าไปในห้องคลังแสง มีคนบอกว่าระเบิดนั้นมหัศจรรย์มาก แต่กลับถูกซ่อนไว้พร้อมการป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้ เดือนนั้นฉันเจอนายแถวๆ นั้นไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง ไม่เคยเห็นนายสนใจอะไรขนาดนั้นมาก่อน”
ซ่าเอ้อหัวเราะเสียงทุ้ม เหมือนจะนึกเรื่องนั้นขึ้นได้เช่นกัน
“ตอนที่ฉันเจอนายครั้งที่หกที่นั่น นายกำลังเดินออกจากห้องคลังแสง” ฉู่ซือนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดต่อ “นับจากนั้นก็ไม่เคยเห็นนายสนใจระเบิดบีบมิตินั่นอีกเลย”
เขาพูดพลางก้มหน้าลง เกร็งนิ้วดึงขอบผ้าเช็ดตัวที่เอวของซ่าเอ้อลงเล็กน้อย แล้วฉีดยาที่เหลือทีละเข็มจนหมด จากนั้นก็โยนกระบอกฉีดยาดิจิตอลเปล่าลงในกล่องฆ่าเชื้อ
กระบอกนั้นทำจากวัสดุสังเคราะห์ค่อนข้างแข็ง พอตกลงในนั้นแล้วก็กลิ้งกุกกักสองรอบ
ฉู่ซือปิดกล่องพยาบาล ยกมือขึ้นกดรีโมตที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกกลมข้างๆ ไฟดับไปตามเสียง ห้องนอนมืดสลัวลงทันที เขาหันหน้าในวินาทีที่ม่านความมืดเข้าปกคลุม ปลายจมูกเฉียดผ่านแก้มของซ่าเอ้อ ชั่วพริบตาที่ลมหายใจประสานกันแล้วแตะสัมผัสที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะเหยียดกายยืนตรง
“นายไม่ได้สนใจอะไรกับระเบิดพวกนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะพวกเขาเฝ้าอย่างแน่นหนาไม่ยอมให้เข้าใกล้มากกว่า เมื่อไหร่ที่สมใจนายแล้ว ความสนใจของนายก็จะหมดไป” ฉู่ซือยืนอยู่ท่ามกลางความมืด น้ำเสียงฟังดูเยือกเย็นผิดจากปกติ พูดจบเขาก็หมุนร่างเดินไปที่ประตูห้องนอน ตอนเปิดประตูเขาหันมาพูดกับคนบนโซฟาอีกว่า “เรื่องที่ถูกขัดจังหวะในตอนนั้นก็ทำต่อจนจบแล้ว ฉันแนะนำให้นายรีบนอนหลับ เป็นไข้จนลืมตาไม่ขึ้นแล้วยังมีแรงคิดเรื่องแบบนี้อีก”
เสียงพูดของเขายังเหมือนเดิม ในความเรียบนิ่งเจือความเย็นเยือก ราวกับสัมผัสที่เกิดขึ้นในม่านมืดเมื่อครู่เป็นไปเพื่อปลอบคนให้สงบเท่านั้น เหมือนมีเด็กน้อยมาเคาะประตูขอลูกอมในวันฮัลโลวีน แล้วเขาหยิบลูกอมกำหนึ่งยื่นออกไป ไม่มีนัยแฝงลึกซึ้งใดๆ
พูดจบเขาก็ตวัดมือปิดประตูดังปัง
เขายืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง โถงทางเดินสั้นๆ ตรงหน้าไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงไฟที่ส่องลอดออกมาจากห้องรับแขกกับห้องนักบินที่อยู่ไกลออกไป แสงส่องกระทบตัดกับภาพเรขาคณิตจึงเกิดเป็นแสงเงาที่แตกต่างกันบนพื้น
ถ้อยคำเมื่อครู่ที่กล่าวถึงซ่าเอ้อ หยางตั้งแต่ต้นจนจบ พูดถึงอีกฝ่ายที่นึกครึ้มอยากมาก็มา อยากไปก็ไป เป็นอย่างนี้มาตลอดหลายสิบปี แต่เขาไม่ได้พูดถึงตัวเองแม้เพียงคำเดียว
อันที่จริงก่อนหน้าจะถึงวันนี้เขาก็รู้สึกว่าจะมีกำแพงกั้นระหว่างตัวเองกับซ่าเอ้อ หยางตลอดไป เพราะฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอสในอดีต ความหวังสุดท้ายที่เกี่ยวกับเจี่ยงชีถูกซ่าเอ้อ หยางทำลายจนไม่เหลือซาก ฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซ่าเอ้อ หยางจึงชะงักเพียงเท่านั้น ไม่พัฒนาไปกว่านั้นแล้ว
เขาใช้แนวคิดเหตุและผลนี้กล่อมตัวเองมานานหลายปีจนแม้แต่ตัวเขาเองก็เชื่อแล้ว
ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ฉีกเปลือกนอกที่ห่อหุ้มออก ให้เขาตื่นตะลึงเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ด้านใน…
กำแพงที่กั้นระหว่างเขากับซ่าเอ้อ หยางไม่เกี่ยวกับเจี่ยงชี
ตอนที่ฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอสถูกทำลาย ตอนที่ความหวังริบหรี่สุดท้ายที่เจี่ยงชีจะฟื้นคืนชีพมลายหายสูญไปนั้น วูบหนึ่งเขาเคยเกลียดซ่าเอ้อ หยางจริงๆ อันที่จริงความเกลียดชังนี้แสนไร้เหตุผล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘แผนการแก้แค้น’ ที่ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่รู้จะใช้แผนการอะไร เกี่ยวพันถึงปัจจัยอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน และไม่รู้ว่าท้ายที่สุดจะมีโอกาสสำเร็จเท่าไหร่ เพียงเพราะเชือกที่จับอยู่หลายปีจู่ๆ ก็ขาดสะบั้นไปจนทำอะไรไม่ถูก ฉะนั้นจึงควานหาคนรองรับเพื่อฟาดงวงฟาดงาระบายอารมณ์เท่านั้น
ถึงขั้นเพราะคนที่ทำลายฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอสคือซ่าเอ้อ หยาง เขาจึงฟาดอารมณ์เหล่านั้นไปโดยไม่ถามไถ่ต้นสายปลายเหตุ
ความจริงเมื่อมาคิดในตอนนี้ สิบกว่าปีหลังจากนั้นสิ่งสำคัญสำหรับเขาได้เปลี่ยนจากการตามหาหลักฐานที่เจี่ยงชียังไม่ตายไปเป็นไล่ล่าซ่าเอ้อ หยาง เปลี่ยนไปอย่างบิดเบือนซ้ำยังเป็นข้ออ้าง จนทำให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัวว่าในบางความหมาย ในช่วงเวลาที่แสนยาวนานนี้ซ่าเอ้อ หยางค่อยๆ เข้ามาแทนที่เจี่ยงชีจนเป็นเชือกอีกเส้นที่พันธนาการเขาไว้แล้ว
ซ่าเอ้อ หยางทำอะไรจองหองและเดาใจไม่ได้ก็จริง แต่เขายังไม่ได้บ้าระห่ำจนถึงขั้นทำลายฐานบัญชาการสำคัญขนาดนั้นโดยไม่มีสาเหตุ
เขาไม่เคยเอ่ยถึงเหตุผลในการทำลายฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอส แม้ตอนหลังที่เข้าเรือนจำอวกาศแล้วก็ด้วย คำตอบที่เขาให้กับแต่ละคนล้วนเป็นคำเดียวกันคือ ‘ไม่มีเหตุผลอะไร เห็นแล้วรกหูรกตา’
คำตอบแสนมักง่าย แต่อย่างไรก็เค้นเหตุผลที่ไม่มักง่ายข้ออื่นออกมาไม่ได้ จนทำให้ท้ายที่สุดสิ่งที่ปรากฏในสำนวนคดีก็คือคำพูดเหลวไหลแสนง่ายเช่นนี้ แล้วทุกอย่างก็ยุติลงทั้งอย่างนั้น ตอนที่ฉู่ซือเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการก็ผ่านช่วงสอบปากคำรอบที่สองไปแล้ว
ฉู่ซือไม่เคยถามไถ่เหตุผลกับซ่าเอ้อ หยาง เสมือนเขาเชื่อปากคำอันเหลวไหลในสำนวนคดีจริงๆ
แต่ในความเป็นจริงเขายอมรับโดยดุษณีแล้วว่าซ่าเอ้อ หยางมีเหตุผลที่ลึกกว่านั้นในการทำลายฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอส ซ้ำยังยอมรับว่าเหตุผลนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเขากับซ่าเอ้อ หยางไม่มีทางกลายมาเป็นอย่างนี้ในภายหลัง และไม่มีทางมีช่วงเวลาที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกแน่นอน
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาพาซ่าเอ้อ หยางเหยียบย่างเข้าอพาร์ตเมนต์ของเจี่ยงชี เปลือกนอกที่หุ้มมานานหลายปีก็ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นต่อไปได้แล้ว…ไม่มีใครยอมให้คนที่ตัวเองชิงชังเข้าบ้านตัวเองโดยไม่ติดใจถือสาได้
อันที่จริงสิ่งที่ค้างคาใจเขาจริงๆ ก็คือถ้อยคำที่เขาพูดกับซ่าเอ้อ หยางเมื่อครู่เท่านั้น
ฉู่ซือหลุบตายืนอยู่นอกประตูหลายวินาที เขายกมือขึ้นกดรอยย่นคิ้ว ใต้เงาของฝ่ามือ มุมปากยกยิ้มเยาะหยันตัวเอง…เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าความจริงแล้วตัวเองช่างเหลาะแหละและอ่อนแอ มีชีวิตเสี่ยงภัยเสี่ยงอันตรายมาหลายปีจนร่างกายภายนอกถูกถากถูจนหยาบกร้าน แต่ภายในกลับยังคงจำนนต่อความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
ไม่ใช่ห้าหกปี และไม่ใช่สิบกว่าปี แต่เป็นชั่วกาลนาน เป็นความมั่นคงปลอดภัยที่ทำให้เขาผ่อนคลายไม่ต้องขยับย้ายไปไหนอีก นี่อาจเป็นเพราะประสบการณ์ในวัยเด็กที่เย็นชา มืดมน และสั่นคลอนหยั่งรากลึกเข้ากระดูกของเขา เป็นตราประทับที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงและย้อนกลับ…
ซึ่งซ่าเอ้อ หยางที่มีความสนใจเฉพาะกับเรื่องที่เป็นปริศนา จะเกี่ยวพันกับคำว่า ‘มั่นคงปลอดภัย’ ได้อย่างไร
อย่าล้อเล่นหน่อยเลย
ฉู่ซือเอามือที่คลึงหว่างคิ้วลง กำลังจะก้าวเท้าไปทางห้องรับแขก จู่ๆ ประตูด้านหลังก็ถูกเปิดจากด้านใน มือข้างหนึ่งฉุดข้อมือเขา แล้วพลิกร่างเขาหมุนกดไปที่ด้านข้างอย่างแรง
ด้านหลังเป็นประตูเล็กที่เชื่อมไปทางห้องพยาบาล ฉู่ซือถูกกดแนบกับประตูบานนั้น
ซ่าเอ้อโน้มศีรษะเข้ามา ริมฝีปากที่ร้อนกรุ่นเนื่องจากพิษไข้แทบจะแนบกับเขา แต่ยังเว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย ไม่ได้สัมผัสกัน ลมหายใจที่หอบนิดๆ จากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่สอดประสานกันและกัน แสดงให้เห็นถึงความสนิทใกล้ชิดอย่างลึกซึ้ง
เขาตรึงข้อมือของฉู่ซือไว้ด้วยอิริยาบถนี้ ก่อนจะขยับริมฝีปากที่ยังไม่ได้สัมผัสกันไปชิดกับริมฝีปากของฉู่ซือแล้วพูดพร้อมหัวเราะอย่างแผ่วเบา
“อย่างเมื่อกี้ไม่เรียกว่าต่อ มันมักง่ายไปหน่อย หัวหน้า ท่วงท่าก็ไม่ถูก ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนนั้นนายถูกกดกับต้นไม้ เสียงหายใจหอบดังจนเสียงระเบิดในป่าที่ดังไม่หยุดยังกลบไม่อยู่”
ฉู่ซือหมดทางจะหนี เพียงอ้าปากก็ถูกเรียวปากของซ่าเอ้อสัมผัส แต่เขาก็ยังตอบกลับไป “นั่นเพราะวิ่งออกมา”
อาจเพราะบรรยากาศพาไป เสียงของเขาเองก็แผ่วเบาจนคล้ายเสียงกระซิบ
“งั้นเหรอ แต่ตอนนี้นายไม่ได้วิ่งนี่นา”
พูดจบเขาก็บดเรียวปากจูบฉู่ซือ
แรกเริ่มยังพออยู่ในร่องในรอย ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่เริ่มหนักหน่วง เสียงลมหายใจของทั้งสองหอบหนักก้องโถงทางเดินสั้นๆ ฟังแล้วชวนให้หูตาร้อนผ่าว
เสียงแกร๊กดังขึ้น พร้อมกับที่ประตูแคบด้านหลังฉู่ซือเปิดออกกะทันหัน
ทั้งสองกอดรัดกันนัวเนียเข้าไป ดันกันไปติดที่ผนังก่อน แล้วถลาไปติดกับแคปซูลรักษา
ได้ยินเสียง ‘ติ๊ด’ ดังขึ้น พลันฝาครอบของแคปซูลรักษาที่ร่างของพวกเขาทาบติดอยู่ก็เปิดออก ฉู่ซือเกร็งนิ้วที่จับต้นแขนซ่าเอ้อ ออกแรงดึงแล้วบิดอย่างคล่องแคล่ว ซ่าเอ้อก็ถูกเขาดันเข้าไปในแคปซูลรักษา
“ตรวจพบสิ่งมีชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บ เริ่มการตรวจวัดค่าทางกายภาพ”
ฉู่ซือปิดฝาครอบแล้วกดปุ่มเดินเครื่องของแคปซูลรักษา เขาขยับถอยหลังหนึ่งก้าว ฝ่ามือทั้งสองข้างวางค้ำที่ขอบแคปซูลรักษา หายใจหอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วหลุบตาลงก่อนเคาะฝาครอบ
“ร่างกายนายผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ แล้ว นายไม่รู้ตัวเลยเหรอ”
ซ่าเอ้อล้มหงายอยู่ในแคปซูลรักษา กล้ามอกที่กำยำขยับขึ้นลง เขายกมือลูบหน้าทีหนึ่งก่อนจะหรี่ตาพูดกับฉู่ซือ
“หัวหน้า นายตลบหลังฉัน”
“คนที่สลบเหมือดได้ภายในสองนาทีไม่มีสิทธิ์พูด”
ฉู่ซือยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากพลางคิดในใจ ไปไกลๆ เลย ใครจะบ้าไปกับนายวะ!
ว่ากันว่าคนที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเวลานานๆ ครั้นล้มป่วยทีก็มักจะเป็นหนัก อาการจะแย่กว่าคนอื่นๆ
อันที่จริงฉู่ซือก็จัดอยู่ในประเภทนั้น แต่เนื่องจากเขามีโรคปวดศีรษะติดตัวมาทั้งชีวิต บวกกับแต่ละปีที่ผ่านมาต้องไปพักฟื้นในคฤหาสน์ที่ป่าสนซีดาร์ดำ ฉะนั้นบุคลิกจึงชวนให้รู้สึกทั้งแข็งแกร่งและอมโรคไปพร้อมๆ กัน
จุดนี้ทำให้เขาไม่ได้สะดุดตาเกินควรท่ามกลางกลุ่มคนปกติทั่วไป
ส่วนซ่าเอ้อ หยางไม่เหมือนกัน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนขัดกับโลกปกติ แปลกแยกโดดเด่นจากคนทั่วไปอย่างชัดเจน เขาเป็นประเภทที่ได้มาตรฐานตามกลุ่มคนที่ ‘ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายๆ’ มากที่สุด ฉู่ซือรู้จักเขามานานขนาดนี้ เพิ่งเคยเห็นเขาบาดเจ็บจริงจังแบบนี้ครั้งแรก ส่วนครั้งอื่นๆ นั้นเพียงชั่วพริบตาก็ไม่เป็นไรแล้ว
ครั้งนี้เหมือนการเจ็บตัวของซ่าเอ้อ หยางที่สั่งสมมาตลอดหกสิบปีโถมเข้ามาในคราวเดียว ไม่นานก็ผล็อยหลับไปในแคปซูลรักษา
หลังจากเขาหลับไปแล้วหัวคิ้วกลับขมวดเข้าหากัน สีหน้านี้มักปรากฏบนใบหน้าของฉู่ซือ แต่กับซ่าเอ้อ หยางนั้นเห็นได้ไม่บ่อย เวลาส่วนใหญ่เขามักจะยิ้ม แน่นอนว่ารอยยิ้มของเขาไม่เกี่ยวกับอารมณ์ และเพราะเดาอารมณ์ไม่ออกจึงมีคนไม่น้อยที่เห็นเขายิ้มแล้วก็แข้งขาอ่อนทันที
ตอนที่เพิ่งรู้จักกับซ่าเอ้อ หยาง ฉู่ซือรู้สึกว่าอีกฝ่ายซ่อนความรู้สึกได้ลึก แต่หลังจากรู้จักกันมานานถึงพบว่าเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น หากบอกว่าซ่อนความรู้สึกได้ลึก ซ่าเอ้อ หยางเหมือนไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยมากกว่า
ยิ่งเขาผ่อนคลายก็จะยิ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์
เหมือนกับว่า…ประสาทสัมผัสที่มีต่ออารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายบนโลกนี้ตายด้านจนแทบเป็นศูนย์แล้วอย่างไรอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้จึงแสวงหาความตื่นเต้นแบบนั้น
แต่ช่วงหลายวันมานี้ซ่าเอ้อ หยางเหมือนจะทำให้ฉู่ซือต้องเปลี่ยนความคิดเดิมอีกครั้ง
อีกฝ่ายดัน…ค่อยๆ ดูมีอารมณ์ความรู้สึกทีละนิด
ฉู่ซือยืนอยู่ข้างแคปซูลรักษาครู่หนึ่ง จนกระทั่งหน้าจอแสดงผลแสดงค่าอาการบาดเจ็บออกมาทีละแถว เขาถึงขยับตัวเดินไปยกมือกดดูบนหน้าจอแสดงผล
‘ระดับอาการบาดเจ็บโดยรวม ระดับ 8’
เส้นกราฟแนวโน้มการฟื้นตัวแสดงผลชี้ขึ้นเล็กน้อย
เวลาที่ต้องใช้ ห้าชั่วโมง’
“ระดับแปด?” ฉู่ซือสะอึกอึ้ง
สายตาของเขาเบนไปมองที่แขนกับเอวของซ่าเอ้อที่อยู่ในแคปซูลรักษาอีกครั้ง
บาดแผลสองแห่งนั้นยังคงฉกรรจ์น่าหวาดเสียว สถานการณ์ชุลมุนเมื่อครู่เขาวางแผนลากซ่าเอ้อเข้ามาพร้อมกับต้องหลบแผลสองแผลนั้นด้วย ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด แต่ตอนแรกเขาแค่ร้อนรนอยากหาวิธีให้ซ่าเอ้อสงบลงและหยุดก่อเรื่องเท่านั้น แม้บาดแผลสองแผลจะดูน่ากลัว แต่ตามหลักแล้วก็ไม่ถึงขั้นต้องเข้าแคปซูลรักษา
แต่ตอนนี้อยู่ที่…ระดับแปด?
บาดแผลแบบนั้นจะถึงระดับแปดได้อย่างไร พูดเป็นเล่น
ฉู่ซือยืนครุ่นคิดอยู่ตรงหน้าจอแสดงผลครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้เหตุผลที่อาการบาดเจ็บถูกกำหนดให้เป็นระดับแปด ระบบอัจฉริยะของเครื่องจักรเฮงซวยนี่มีจำกัด ไม่ได้ชาญฉลาดจนแทบจะเหมือนปีศาจอย่างดวงตาสวรรค์ มีผลการวิเคราะห์หลายอย่างที่แสดงผลไม่ทราบหรืออธิบายสาเหตุไม่ได้
ฉู่ซือมองสิ่งนั้นอยู่หลายวินาที ก่อนล้วงเครื่องสื่อสารออกมาส่งข้อความให้ถัง…
‘ฝากบอกคาร์ลอส เบลก ฉันแนะนำให้เขาขายเศษเหล็กในห้องพยาบาลทิ้งเร็วๆ ก็ดี’
เขาส่งข้อความเสร็จแล้วก็ออกจากห้องพยาบาล เปิดประตูทิ้งไว้ไม่ได้ปิด กลับไปที่ห้องนอนเมื่อครู่อีกครั้ง ชายหนุ่มเอนตัวนอนซุกบนโซฟา ไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงโคมไฟตั้งพื้นที่ส่องแสงนุ่มนวลดวงเดียว
อาการปวดแสบปวดร้อนที่แผลตรงไหล่และหลังทุเลาลงมาก สำหรับฉู่ซือแล้วไม่ต่างกับถูกยุงกัด ไม่มีผลกระทบอะไรแล้ว แต่เขาก็ยังระวังท่าทางระหว่างที่ล้มตัวลงนอน
เมื่อครู่ที่พิงกับประตูที ผนังที จนไปพิงกับแคปซูลรักษาก็ยังไม่โดนบาดแผล ถ้าจะมานอนทับจนเกิดปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็โง่สุดกู่แล้ว
สองวินาทีหลังจากนั้นเครื่องสื่อสารของฉู่ซือก็สั่น มีข้อความใหม่เข้ามา…
‘พ่องสิ อย่าทิ้งเชียว ไอ้นั่นแม่งอย่างแพงเลยนะเว้ย ฉันเปลืองแรงไปเยอะกว่าจะได้มาครบ’
สไตล์นี้ดูปุ๊บก็รู้ว่าคาร์ลอส เบลกเป็นคนตอบกลับ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเครื่องสื่อสารของฉู่ซือก็สั่นอีกครั้ง…
‘หัวหน้า ผมขอต่อรองหน่อย ถ้ายังไงคุณเพิ่มช่องสัญญาณสื่อสารของคาร์ลอส เบลกเข้าในบัญชีรายชื่อส่วนตัวของคุณเถอะ เขาแย่งเครื่องสื่อสารของผมอยู่นั่นแหละ แถมคำพูดที่ตอบกลับผมเห็นแล้วก็อดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้ ไม่ค่อยเป็นผลดีกับร่างกายและจิตใจของนักรบอย่างผมเสียเท่าไหร่’
ฉู่ซือหลุดหัวเราะแล้วตอบกลับไป
‘ไว้ว่ากันทีหลังละกัน’
นักเรียนในหน่วยฝึกที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมาจากสถาบันการทหารอินทรีขาว รวมถึงหลายคนที่ถูกส่งไปสถานพักฟื้นก็เพราะได้เข้าเรียนหลักสูตรของสถาบันการทหารจนสำเร็จการศึกษาแล้ว
นอกจากการฝึกสุดเข้มงวด ภารกิจเสี่ยงอันตราย ต้องเข้าไปพัวพันกับความลับมากมายแล้ว ประสบการณ์โดยรวมของนักเรียนเหล่านั้นก็ถือว่ายังปกติดี
พวกเขาเป็นลูกหลานของครอบครัวคนทั่วไป มีความศรัทธาแสนสามัญ ทำสิ่งที่ดูลึกลับอย่างที่สุดแต่ความจริงแล้วถือว่าอยู่ในขอบข่ายปกติ
พวกเขาเหมือนกับถังหรือเลอ แปนมาก เปี่ยมด้วยพละกำลัง เก่งการต่อสู้ คิดถึงครอบครัวญาติมิตร และหยอกล้อเป็น มีสิ่งที่แบกรับอยู่ไม่น้อย แต่กลับยังคงสดใสมีชีวิตชีวา
นี่เป็นภาพลักษณ์ทั่วไปของนักเรียนจากหน่วยฝึก ส่วนเขากับซ่าเอ้อ หยางนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มแกะดำผิดแปลกที่มีอยู่น้อย
เมื่อคิดอย่างนี้สายสัมพันธ์ของเขากับซ่าเอ้อ หยางที่เดี๋ยวห่างเหินเดี๋ยวสนิทมานานหลายปีก็อาจเป็นผลจากกาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์*
ฉู่ซือผล็อยหลับไปอีกครั้งพร้อมกับความคิดฟุ้งซ่าน การหลับครั้งนี้เขาหลับไม่สนิทนัก มีความฝันมากมายสอดแทรกเข้ามา ภาพเหตุการณ์แตกต่างกัน เรื่องราวก็ไม่เหมือนกัน แต่ฝันไปฝันมาก็ยังเป็นกลุ่มคนเหล่านั้น
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็มึนงงไปชั่วขณะ จ้องเครื่องบอกเขตเวลาดวงดาวนานพักหนึ่งกว่าจะตื่นจากภวังค์ เขาหลับไปห้าชั่วโมงกว่าแล้ว
ห้าชั่วโมง…กว่า?
นี่มันเลยเวลาที่แคปซูลรักษาคำนวณไว้แล้วไม่ใช่เหรอ
ฉู่ซือลุกพรวดขึ้นมานั่ง เงี่ยหูอยู่สองวินาที แต่กลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ
เขาลองขยับไหล่และเอี้ยวมือไปกดจุดที่ใกล้กับบาดแผล บริเวณนั้นไม่มีอาการปวดบวมแล้ว
“ซ่าเอ้อ หยาง?” ฉู่ซือลุกเดินเข้าไปในห้องพยาบาล กลับพบว่าฝาครอบของแคปซูลรักษายังคงปิดสนิท คนที่นอนอยู่ด้านในยังคงหลับตา ขมวดคิ้วเล็กน้อย อยู่ในท่าเดิม ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ บาดแผลที่เอวสมานไปครึ่งหนึ่ง แผลที่แขนก็ไม่ได้ดูสยองขนาดนั้นแล้ว แต่ผิวเนื้อยังคงแหวกเปิดอยู่
“ยังไม่หายดีอีกเหรอ” ฉู่ซือนิ่วหน้าพลางพึมพำ
หน้าจอแสดงผลยังสว่าง ค่าตัวเลขด้านบนยังคงขยับเงียบๆ ฉู่ซือเดินเข้าไปกดดูด้วยความฉงนแวบหนึ่ง ข้อมูลเหล่านั้นมีการอัพเดตสามครั้งในเวลาห้าชั่วโมงนี้…
ครั้งที่หนึ่งระดับอาการบาดเจ็บโดยรวมลดจากระดับแปดเป็นระดับห้า เวลาที่ต้องใช้ก็ลดลงเป็นสามชั่วโมง ดูแล้วน่าจะดีขึ้น
ครั้งที่สองเมื่อมีการอัพเดตข้อมูลครั้งที่สอง ระดับอาการบาดเจ็บโดยรวมขึ้นไปที่ระดับหก เวลาที่ต้องใช้เปลี่ยนเป็นสามชั่วโมงครึ่ง
ครั้งที่สามนั้นยิ่งไปกันใหญ่ ระดับอาการบาดเจ็บโดยรวมกระโดดขึ้นไปที่ระดับเก้า เวลาที่ต้องใช้เปลี่ยนเป็นแปดชั่วโมง
ฉู่ซือ “…”
ตกลงไอ้เครื่องสับปะรังเคนี่ใช้ได้หรือไม่ได้?!
ตามหลักแล้วในเมื่อฉีดยากระตุ้นเนื้อเยื่อแล้วยังมีแคปซูลรักษาก็ควรจะทุ่นแรงบรรเทาได้มากขึ้นถึงจะถูก แล้วทำไมยิ่งอยู่ยิ่งนานขึ้นล่ะ
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาแค่พูดเล่นกับคาร์ลอส เบลก ถ้าอย่างนั้น ณ ตอนนี้เขาก็อยากเอาเศษเหล็กบุโรทั่งพวกนี้ออกไปปาทิ้งให้หมด
ขณะที่ฉู่ซือทำหน้าถมึงทึง เตรียมเปิดฝาครอบนำซ่าเอ้อออกมานั้น เจ้าเครื่องเส็งเคร็งนี่ก็มีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ราวกับมันได้กลิ่นความไม่สบอารมณ์ที่แผ่ซ่านจากตัวหัวหน้าคนนี้ จึงส่งเสียงติ๊ดเบาๆ แล้วก็รีเฟรชข้อมูลอีกครั้ง…
‘ระดับอาการบาดเจ็บโดยรวม ระดับ 4’
เส้นกราฟแนวโน้มการฟื้นตัวเปลี่ยนจากลักษณะไต่ขึ้นเป็นเส้นลาดลง
‘เวลาที่ต้องใช้ หนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที’
ฉู่ซือฝืนใจดึงมือที่ตั้งใจจะงัดฝาครอบกลับมา แล้ววางมือทาบลงบนขอบฝาพลางหลุบตามองด้านใน เสียงการทำงานของแคปซูลรักษาดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ฝาโปร่งใสมีไอน้ำปกคลุมชั้นหนึ่ง บางครั้งจางบางครั้งหนาตามจังหวะหายใจและหัวใจเต้น
ท่ามกลางไอน้ำบางๆ บาดแผลฉกรรจ์บนแขนของซ่าเอ้อ หยางค่อยๆ สมานตัวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
นี่ถึงจะเป็นประสิทธิภาพที่แคปซูลรักษาพึงมี
ฉู่ซือมองอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดก็คลายออก ก่อนจะชำเลืองมองหน้าจอแสดงผลอย่างบอกไม่ถูกแวบหนึ่ง
ในที่สุดเจ้าสิ่งนี้ก็รู้จักเจียมกะลาหัวสักครั้ง พอจะเหลือหนทางรอดให้ตัวเองได้
หนึ่งชั่วโมงกว่าจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว มิหนำซ้ำฉู่ซือเองก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องคอยจับตาอยู่ตรงนี้ตลอด
เขาขยับคอยืดเส้นยืดสายตั้งใจจะไปอาบน้ำ ขณะก้าวเท้าก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงล้วงเครื่องสื่อสารออกมาส่งข้อความหนึ่ง ครั้งนี้ตัดออกแม้แต่คำว่าฝากบอก ส่งไปโต้งๆ ว่า
‘ฉันหยิบเสื้อผ้าสะอาดไปสองชุด’
รอบนี้ข้อความถูกตอบกลับด้วยความเร็วแสง ดูแล้วเหมือนถังจะไม่ได้ให้คาร์ลอส เบลกอ่านก็ตอบเองก่อนแล้ว
ถัง : ???? หัวหน้า เกิดอะไรขึ้นทางพวกคุณกันแน่
ฉู่ซือ : ไม่มีอะไร เกิดปัญหานิดหน่อยตอนไปกลับระหว่างสองกาลอวกาศ เสื้อผ้ามีแต่เลือดจนใส่ต่อไม่ได้แล้ว
ถังรู้จักสไตล์การพูดของเขาดี พูดเหมือนเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ แต่ความจริงแล้วน่าจะสะบักสะบอมไม่น้อย
ถัง : ผมถามเขาแล้ว เขาบอกว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ถ้า…
ฉู่ซือ “…”
ฆ่าให้ตายคำว่ายินดีเป็นอย่างยิ่งก็ไม่มีทางถูกเอื้อนเอ่ยออกจากปากของคาร์ลอส เบลก คาดว่าถังน่าจะส่งได้ครึ่งเดียวก็ถูกอีกฝ่ายแย่งเครื่องสื่อสารไป
เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีข้อความใหม่ส่งมา
ถัง : หยิบเสื้อผ้าสองชุดถึงกับถามความเห็นฉันด้วย? ว่ามาเหอะ มีจุดประสงค์อะไร ฉันเบื่อจะเสวนากับไอ้หน้าอ่อนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างพวกแกที่สุด
ฉู่ซือ : ยังไงก็ดีกว่าเสวนากับพวกนครซิลเวอร์ไม่ใช่เหรอ ไม่มีจุดประสงค์อะไร แค่อยากมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดูเป็นโจรมากเกินไป ยังไงก็ต้องทำงานร่วมกัน
ข้อความนั้นเพิ่งตอบกลับไป จู่ๆ แคปซูลรักษาก็มีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ฉู่ซือเหลือบมองไปทันที เห็นซ่าเอ้อ หยางที่หลับตาในตอนแรกลืมตากะทันหันชั่วขณะนั้นแววตาของเขาไร้ความรู้สึก เหมือนเอไอ* ตัวหนึ่งที่จู่ๆ ก็ลืมตา ดวงตาที่โปร่งใสเหมือนกระจกใสสองแผ่นทอประกายเย็นเยียบดุจไร้ชีวิต
อาจเพราะไอน้ำหรือสาเหตุอื่น เหมือนเขาจะไม่ได้สติว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ชั่วขณะที่ลืมตาจึงซัดกำปั้นใส่ฝาครอบทันที
ฉู่ซือนิ่งอึ้งก่อนไปตบฝาครอบ “ตื่นแล้วเหรอ”
ไอน้ำจางลงเล็กน้อย ซ่าเอ้อกลอกสายตาก็เห็นฉู่ซืออยู่ข้างๆ กำปั้นชะงักค้างในระยะที่ห่างจากฝาครอบไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร
ซ่าเอ้อกะพริบตาครั้งหนึ่งแล้วคลายกำปั้นออก งอนิ้วชี้ครูดที่ฝาครอบทีหนึ่ง แล้วก็วางลงข้างตัวราวกับหยอกฉู่ซือเล่นก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
ฉู่ซือยืนขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่กับที่นานพักหนึ่ง ไม่รู้เพราะอะไร ท่าทางที่ซ่าเอ้อ หยางลืมตาเมื่อครู่นี้ดูคุ้นตาแปลกๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่เขาคิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
* ‘กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์’ เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มีอะไรคล้ายคลึงกันมักจะคบหากัน
* AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ คือระบบคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรที่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ หรือสื่อสารกับมนุษย์
โปรดติดตามตอนต่อไป…