everY
ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2 บทที่ 16 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 16 คำตัดสินคลาดเคลื่อน
อาจเพราะเหล่าผู้พเนจรอวกาศมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่น ชีวิตที่ตะลอนรอนแรมยาวนานนับหลายสิบปีหรือแม้กระทั่งชั่วชีวิต ทำให้พวกเขามีนิสัยเป็นนักสะสมไม่มากก็น้อย แต่ละกลุ่มต่างพากันเป็นมนุษย์แฮมสเตอร์ คาร์ลอส เบลกในฐานะอดีตราชาผู้พเนจรก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
ตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายถูกออกแบบเป็นสไตล์พับเก็บได้ มองเผินๆ เหมือนเป็นผนังเรียบๆ แต่ความจริงแล้วมีขุมทรัพย์ เมื่อดึงแต่ละชั้นออกมาของที่อยู่ด้านในน่าจะกองได้เต็มสองห้อง
ข้าวของมากแต่กลับไม่รก แบ่งเป็นระเบียบสามส่วน หมวดหมู่ชัดเจน ด้านบนของตู้ยังติดป้ายชื่อด้วย
สองหมวดที่เนื้อที่ใหญ่ที่สุดติดชื่อซาบริน่า เบลกกับเอลซ่า เบลก หมวดหนึ่งด้านในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ ส่วนอีกหมวดเป็นของเด็กผู้หญิง
ใช้นิ้วเท้าคิดก็รู้ว่าของเหล่านี้เป็นเสื้อผ้าของภรรยาและลูกสาวของคาร์ลอส เบลก ตู้เสื้อผ้าอิเล็กทรอนิกส์มีฟังก์ชันทำความสะอาดฝุ่นและจัดระเบียบอยู่ในตัว เสื้อผ้าในสองหมวดนี้ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เรียงตามปีลงมาทีละชั้น
ถ้าข่าวลือไม่คลาดเคลื่อน สองคนนี้เสียชีวิตไปนานมากแล้ว ฉะนั้นเสื้อผ้าส่วนใหญ่จึงเป็นแบบในยุคสมัยนั้น แต่หลังจากนั้นเสื้อผ้าทั้งสองหมวดก็ยังคงถูกเติมแบบใหม่เข้าไปเรื่อยๆ ทุกปี บางครั้งก็ห้าหกตัว บางครั้งก็ตัวสองตัว เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ขาดแม้แต่ปีเดียว
ดูเผินๆ แล้วตู้เสื้อผ้านี้จะทำให้เกิดภาพลวงตาอย่างหนึ่ง ราวกับว่าคุณนายและสาวน้อยของที่นี่ยังใช้ชีวิตอยู่ ไม่เคยจากไปไหน
นี่คงเป็นอีกด้านหนึ่งที่อดีตราชาผู้พเนจรคนนั้นไม่เคยเปิดเผยสู่ภายนอก
แต่ฉู่ซือแค่มายืมเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาสอดส่องความในใจของคนอื่น เขาเพียงกวาดตามองผ่านๆ รอบหนึ่ง เมื่อคิดได้ว่าเป็นการเสียมารยาทเขาจึงเบนสายตาไปมองส่วนที่ติดป้ายชื่อของคาร์ลอส เบลก
เทียบกับสองหมวดนั้นแล้ว ส่วนนี้ก็ช่าง…เล็กจนน่าสงสาร หากไม่ใช่ว่าตู้เสื้อผ้ามีฟังก์ชันจัดระเบียบตัวเอง เกรงว่าคงรกรุงรังกว่าที่เห็นเป็นร้อยเท่า
เสื้อเชิ้ต…
เสื้อเชิ้ต…
เสื้อเชิ้ต…
ฉู่ซือพึมพำในใจพลางรื้อค้นรอบหนึ่ง ก่อนพบว่าตู้เสื้อผ้าของคนคนนี้ไม่มีเสื้อเชิ้ต ไม่มีแม้แต่ตัวเดียว!
เขาสวมเสื้อผ้าพิถีพิถันสุดเนี้ยบแบบนั้นจนชินแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือแต่งองค์ทรงเครื่องให้ตัวเองดูเป็นพวกผู้ร้ายใส่สูท สุภาพบุรุษเหลี่ยมจัดมานาน เมื่อขาดเสื้อผ้าแบบนั้นไปอย่างปุบปับจึงรู้สึกปรับตัวไม่ทัน
เสื้อผ้าพวกนี้ของคาร์ลอส เบลกซอมซ่อเกินไปสำหรับเขา ช่วงแรกๆ ยังมีร่องรอยการเลือกสรรอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะเวลานั้นยังมีคนคอยดูแล แต่เสื้อผ้าในภายหลังโดยรวมคือเป็นแบบเดียวกันหลายชุด เหมือนหอบติดมือมาด้วยเฉยๆ
ฉู่ซือหยิบเสื้อที่พอจะใส่ได้ไม่รุ่มร่ามเกินไปมาสองชุด ก่อนหมุนกายเข้าห้องน้ำ
ไอน้ำอุ่นๆ ที่ลอยฟุ้งขึ้นมาตอนที่ซ่าเอ้อ หยางอาบน้ำจางหายไปแล้ว แต่คราบน้ำบนพื้นยังอยู่ ยังมีกลิ่นแชมพูจางๆ
ห้องน้ำห้องนี้กว้างขวาง มุมห้องมีตู้ซักผ้าใช้สำหรับซักผ้า ฆ่าเชื้อ อบแห้ง และพับให้เป็นระเบียบ ฟังก์ชันครบเครื่อง ตอนที่ซ่าเอ้อ หยางอาบน้ำในนี้น่าจะโยนเสื้อผ้าตัวเองเข้าไปแล้ว
อ้อ พูดให้ชัดกว่านั้นคือเสื้อผ้าที่ว่าไม่ได้รวมถึงเสื้อ เสื้อของเขากลายเป็นเศษผ้าตั้งแต่ตอนข้ามกาลอวกาศและถูกทิ้งลงไปในตู้กำจัดขยะแล้ว ในนี้มีเพียงกางเกงขายาวกับ…กางเกงในของเขา ถูกเครื่องจักรซักรีดและพับจนเรียบร้อย นอนนิ่งอยู่บนฐานที่ยื่นออกจากช่อง
ฉู่ซือกวาดตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบดึงสายตากลับมาราวกับถูกตัวต่อต่อยที่เบ้าตา
เอาเป็นว่าขอให้เป็นจุดที่คุณหยางคนหนึ่งเคยอยู่ แม้เจ้าตัวไม่อยู่แล้วก็ยังคงทิ้งตัวตนไว้ด้วยสารพัดวิธีพิศวงงงงวย
ก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
ฉู่ซือนำเสื้อผ้าที่สะอาดในมือไปพาดบนราวแขวนเสื้อ จากนั้นยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเอง
เสื้อของเขาก็ไม่ได้สภาพดีไปกว่าของซ่าเอ้อ หยาง คอเสื้อด้านหลังฉีกขาด ทั้งยังเปื้อนเลือดมากเกินไป ต่อให้ซักก็ไม่มีประโยชน์ เขาโยนเสื้อเชิ้ตลงในตู้กำจัดขยะตรงมุมห้อง ก่อนนำกางเกงที่ยังพอใส่ได้โยนลงตู้ซักผ้า
เมื่อน้ำอุ่นรดลงมา ความเมื่อยล้าต่างๆ ในร่างกายก็ค่อยๆ แสดงอาการ ระยะนี้พวกเขาเจอเหตุการณ์แทบไม่หยุดหย่อน ประสาทตึงเครียดกับการต่อกรปะทะเป็นเวลานาน สร้างภาระให้กับร่างกายไม่น้อย
น้ำอุ่นทำให้อารมณ์ผ่อนคลายลงไม่น้อย ฉู่ซือหาเวลาว่างท่ามกลางความวุ่นวายครู่หนึ่ง จนกระทั่งกล้ามเนื้อทั่วร่างถูกอุ่นจนเริ่มชานิดๆ จึงปิดน้ำแล้วเดินออกไป
เขาเช็ดหยดน้ำบนตัวลวกๆ สวมกางเกงขายาวสะอาด จากนั้นจู่ๆ ก็ก้มลงมองที่เอวเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ นิ้วของเขากดบริเวณที่คุ้นเคยรอบหนึ่งก็ได้ยินเสียงแกร๊ก ผิวส่วนนั้นพลันขยับออกช่องหนึ่ง เผยให้เห็นจอนับเวลาถอยหลังด้านใน
ตอนดูครั้งที่แล้วยังเหลือเวลาอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าวัน ระยะนี้พวกเขาข้ามไปข้ามมาในกาลอวกาศที่แตกต่างกัน เครื่องนับเวลาถอยหลังอาจจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจนเร็วขึ้นบ้างหรือช้าลงบ้าง เมื่อก่อนเขาเคยเห็นผลกระทบลักษณะนี้หลายครั้งในสภาพแวดล้อมจำลอง จากประสบการณ์แล้วผลกระทบไม่รุนแรง อย่างมากก็แค่คลาดเคลื่อนไม่กี่วัน
เขากำลังจะดูว่าตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกกี่วันก็มีเสียงดังขึ้นนอกประตู จากนั้นประตูห้องน้ำก็ส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก
ซ่าเอ้อเอามือข้างหนึ่งยันขอบประตู ยืนอยู่หน้าประตูอย่างหย่อนอารมณ์ สีหน้ายังดูสะลึมสะลือ
ฉู่ซือใช้นิ้วขยับผิวที่เอวตรงส่วนนั้นให้ปิดประกบกัน เพื่อกลบเกลื่อนเสียงปิด เขาจึงโพล่งด้วยน้ำเสียงแปลกใจออกไป
“ตื่นแล้วเหรอ ฉันอาบไปชั่วโมงกว่าเลยเหรอ”
“ถ้านายหมายถึงเวลารักษาที่แคปซูลรักษาคำนวณออกมา…” ซ่าเอ้อทำปากยื่น “งั้นฉันคิดว่าฉันน่าจะออกมาก่อนเวลา”
เขาบอก สายตามองผ่านเอวส่วนที่ถูกปิดด้วยมือของฉู่ซือ “นายจับเอวตัวเองทำไม ฉันมาขัดจังหวะเรื่องส่วนตัวบางอย่างใช่ไหม”
ฉู่ซือมีสีหน้าปราศจากอารมณ์ ตวัดแขนโยนผ้าเช็ดตัวออกไปแล้วคว้าเสื้อกล้ามสีดำสะอาดพอดีตัวมาสวม
“ฉันไม่ว่างเหมือนนายหรอก”
ซ่าเอ้อยกมือขึ้นรับผ้าเช็ดตัวไว้ เขาเล่นหูเล่นตา “ความจริงคือเวลาว่างทั้งหมดของฉันถูกหัวหน้าใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกเข้าไปในแคปซูลรักษาแล้วไง”
ฉู่ซือเหลือบตามองที่แขนและเอวของอีกฝ่าย พบว่าบาดแผลพวกนั้นหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ดูแล้วเหมือนไม่เคยมีบาดแผลมาก่อน เขาเอี้ยวมือไปแตะที่ไหล่ด้านหลังของตัวเอง บาดแผลสมานตัวหมดแล้ว สะเก็ดแผลหลุดไปแล้วระหว่างอาบน้ำ แต่ลูบแล้วรู้สึกว่าผิวบริเวณนั้นมีส่วนแตกต่าง
วุ่นวายอยู่นานสองนาน กลายเป็นว่าเขาดันเป็นคนที่หายช้าที่สุด
ฉู่ซือยิ้มเยาะในใจอย่างไม่สบอารมณ์ ยกมือชี้ไปที่เสื้อผ้าบนถาดตู้ซักผ้า “ในเมื่อหายแล้วก็รบกวนนายช่วยสวมเสื้อผ้าด้วย อย่าเอาแต่พันผ้าเช็ดตัวเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ชั่วดียังไงก็ยานบินของคนอื่น มียางอายบ้างได้ไหม”
เขาว่าแล้วก็หยิบเสื้อกล้ามสีดำอีกตัวบนราวแขวนเสื้อโยนใส่ที่อกของซ่าเอ้อ ก่อนกระชากผ้าเช็ดตัวจากมืออีกฝ่ายมาเช็ดผมพลางเดินออกไป
ซ่าเอ้อขาน ‘อืม’ อยู่ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจนัก สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ใช่
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเข้าแคปซูลรักษาก็ถูกกลบหายไปราวกับมันไม่สลักสำคัญทั้งอย่างนั้น ราวกับไม่มีวี่แววว่าจะถูกรื้อฟื้นอีก
ทุกอย่างเหมือนพิสูจน์คำพูดก่อนหน้านี้ของฉู่ซือ…ความอยากรู้อยากเห็นและความสนใจของซ่าเอ้อ หยางที่มีต่อสิ่งต่างๆ มักมาเร็วไปเร็ว เมื่อไหร่ที่พ้นช่วงเวลานั้นหรือพอใจกับความคิดหนึ่งแล้ว เขาก็จะหมดความสนใจ
กับเรื่องนี้ฉู่ซือบอกไม่ได้ว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ เอาเป็นว่าอยู่ในความคาดหมาย
อ้อมออกไปไกลรอบหนึ่งแล้วทุกอย่างก็ย้อนกลับมาจุดเดิม จูบที่อารมณ์พาไปไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เหมือนจะไม่ได้ต่างจากก่อนหน้านี้
ไม่นานซ่าเอ้อก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา สีหน้าของเขาไม่ดีนัก ริมฝีปากยังซีดเซียว แต่ดวงตายังคงใสกระจ่างเป็นประกาย ท่าทางอารมณ์ดีไม่เบา
ฉู่ซือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวในห้องรับแขก มือหนึ่งเช็ดผม อีกมือตอบข้อความบนเครื่องสื่อสาร
ซ่าเอ้อยืนอยู่ด้านหลังโซฟามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือเกลี่ยเรือนผมของเขาที่ถูกผ้าเช็ดตัวเช็ดจนกระเซิงสองที
ฉู่ซือรู้สึกได้ถึงสัมผัสแปลกๆ บนศีรษะ เขาหันหน้าไปถลึงตาใส่คนมือซน มองด้วยสีหน้าแปลกๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วยกมือชี้ไปทางโถงทางเดิน
“ในห้องพยาบาลมียาตุนอยู่เยอะแยะ มีทุกขนาน นายไปกินหน่อยละกัน”
เท่าที่ฉู่ซือรู้จักซ่าเอ้อ หยาง คนคนนี้เป็นพวกอ้าปากก็ทำให้คนหัวร้อนได้ น้อยมากที่จะว่างจนถึงเนื้อถึงตัว เขาสงสัยว่าสำหรับคุณหยางคนนี้ ทั้งโลกก็คือศูนย์รวมคนโง่ มีไม่กี่คนที่จะมีสิทธิ์ทำให้เขาเซ้าซี้ด้วยได้
มิหนำซ้ำเมื่อก่อนเวลาที่ซ่าเอ้อ หยางก่อกวนฉู่ซือ ต่อให้อีกฝ่ายลงมือก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ พฤติกรรมของซ่าเอ้อ หยางมักแฝงความกดดันและดุดัน ยกตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่าเสมอ…
เรื่องอย่างการ ‘เกลี่ยผมเล่นสองที’ ไม่เหมือนเรื่องที่เขาจะทำได้จริงๆ
ถูกฉู่ซือพูดแขวะใส่ ซ่าเอ้อกลับเพียงแค่เกาะพนักโซฟาอย่างเรื่อยเฉื่อย แล้วเกลี่ยเรือนผมของฉู่ซืออีกครั้ง จากนั้นก็ลากเสียงพูดอย่างเนือยๆ
“ไม่อยากกิน”
“…นายคือซ่าเอ้อ หยางตัวจริงเรอะ”
ซ่าเอ้อเป่าปอยผมที่พันเกี่ยวบนนิ้วออก แค่นเสียงฮึแล้วขยับตัวยืนตรง “ไม่งั้นนายอยากให้เป็นใคร หัวหน้า ฉันหิวแล้ว นายทำอาหารเป็นไหม”
“ไม่เป็น” ฉู่ซือตอบอย่างหนักแน่นไม่ลังเล
คำตอบนี้เรียกได้ว่าโกหกหน้าตาย เขาใช้ชีวิตตัวคนเดียวมานานหลายปี ถ้าทำอาหารไม่เป็นก็ใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว
ซ่าเอ้อไม่ท้วง เขามองท้ายทอยของอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา จ้องอยู่ประมาณห้านาที กระเพาะของฉู่ซือก็ประท้วงขึ้นเสียก่อน
“หัวหน้า” ซ่าเอ้อเรียก
ฉู่ซือไม่แยแสเขา
“ที่รัก” ซ่าเอ้อเรียกอีกครั้ง
ฉู่ซือยังคงนั่งแกล้งตายอยู่บนโซฟา
ซ่าเอ้อว่า “นายไม่ต้องแกล้งตายแล้ว ท้องนายร้องแล้วเนี่ย ฉันยังได้ยินเลย เสียงชัดแจ๋วสุดๆ ไปเลย”
ไอ้คนชั่วนี่ยังเน้นเสียงคำว่า ‘สุดๆ’ เป็นพิเศษ ทำเอาพูดไม่ออกเลย
ฉู่ซือทนอยู่ครู่หนึ่งก็ทนไม่ไหว จึงลุกจากโซฟาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นม้วนผ้าเช็ดตัวในมือเป็นก้อนแล้วปาใส่หน้าอีกฝ่าย ก่อนยกเท้าเดินผ่านห้องรับแขกไปที่ห้องครัว
เขากระแทกน้ำหนักมือ รื้อตู้เย็นแล้วฉีกซองบรรจุอาหารเสียงดังเป็นเชิงประกาศถึงความไม่สมัครใจ
ซ่าเอ้อพิงอยู่ข้างประตูตู้เย็น ยิ้มจนตาหยี “ฉันขอ…”
“หุบปากเลย” ฉู่ซือตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครให้สิทธิ์นายสั่งเมนู ทำอะไรก็กินอันนั้น ไม่กินก็ทนหิวไป”
น้ำมันร้อนอยู่ในกระทะ นำเครื่องเทศลงไปผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่เนื้อปลาค็อดลงไปจนเกิดเสียงดังฉ่า ฉับพลันนั้นก็ทำให้คนเห็นภาพลวงตาอย่างบรรยากาศของชีวิตอันสงบสุข
ซ่าเอ้อมองอย่างสนใจใคร่รู้อยู่ข้างๆ พักหนึ่ง ก่อนเรียกอีกครั้ง “หัวหน้า”
“อะไร อยากกินก็อย่ามายืนเหมือนฝาโลงอยู่ตรงนี้ มันบังแสง” ฉู่ซือออกปากไล่โดยไม่เงยหน้า
“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าคำตัดสินก่อนหน้านี้ของนายคลาดเคลื่อนไปหน่อย” ซ่าเอ้อว่า
“ตัดสินอะไร” ฉู่ซือถามไปอย่างนั้น พร้อมตักเอาเนื้อปลาค็อดชิ้นหนึ่งที่ทอดเสร็จแล้วขึ้นมา
“นายบอกว่าความสนใจของฉันมักจะหายไปเร็วเสมอ บอกตรงๆ ฉันเห็นด้วย แต่แปลกมาก จู่ๆ ตอนนี้ฉันก็ชักไม่แน่ใจแล้ว” ทันใดนั้นซ่าเอ้อก็ยกนิ้วโป้งปาดที่มุมปากของฉู่ซือทีหนึ่ง จากนั้นก็เชยคางของอีกฝ่ายให้หันหน้ามาแล้วเขาก็โน้มศีรษะลง
จูบนี้แนบแน่นมาก ปราศจากแรงกดดันและไร้วี่แววกำราบ และไม่ได้เนิ่นนานเหมือนก่อนหน้านี้
เมื่อซ่าเอ้อหยัดกายยืนตรงอีกครั้ง ฉู่ซือจึงเพิ่งได้สติว่าเมื่อครู่ตนมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลังจากนั้น…
จากนั้นเนื้อปลาค็อดอีกชิ้นก็ไหม้ไปซะแล้ว
ฉู่ซือตักเนื้อปลาไหม้ๆ นั้นด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ขณะกำลังจะพูดอะไร เครื่องสื่อสารที่วางอยู่อีกทางก็สั่นขึ้นมา
ครั้งนี้ไม่ใช่ข้อความเข้า แต่เป็นการโทรศัพท์ภาพโฮโลแกรมโดยตรง
“ว่าไง” ฉู่ซือเอื้อมมือไปเคาะเครื่องสื่อสารทีหนึ่ง ก่อนหันมารบรากับเนื้อปลาค็อดที่ทอดไหม้ต่อไป ภาพของพวกถังกับกายเด้งออกมา ลอยอยู่เหนือเครื่องสื่อสาร
“หัวหน้า พวกเรา เอ่อ…” ถังเพิ่งพูดไปได้ไม่กี่คำก็สะอึกอึ้ง มองหน้าจอด้วยสีหน้านิ่งงัน บนศีรษะมีแต่เครื่องหมายคำถาม
ฉู่ซือเห็นปลาค็อดชิ้นนั้นหมดทางเยียวยาก็ยัดจานนั้นใส่มือซ่าเอ้ออย่างไม่เกรงใจ
“ผลงานนายเลย ชิ้นที่ไหม้เป็นของนาย” น้ำเสียงตรงไปตรงมา จบแล้วก็โบกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไปจากห้องครัว
หัวหน้าฉู่คนนี้มีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง สิ่งที่ไม่เต็มใจให้เห็น พริบตาเดียวก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นได้ และถ้ามีคนหาทางลงให้ได้ก็ยิ่งดี เขากลับมาปั้นหน้าเป็นปกติได้ในชั่วพริบตาเดียว พูดอ้อมแอ้มให้ผ่านหัวข้อสนทนานี้ไป แล้วค่อยหาเหตุให้อีกฝ่ายไปให้พ้น ก็เหมือนตอนเด็กๆ ที่ปวดศีรษะแทบตาย แต่กลับใช้คำว่า ‘ง่วง’ ตบตาเจี่ยงชี แล้วตัวเองก็กลับไปหมกตัวกัดฟันทนเงียบๆ ในห้องนอน
ซ่าเอ้อไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย และไม่แปลกใจเช่นกันที่ตัวเองได้ปลาส่วนที่ไหม้มา เขาแค่ยักคิ้วเบะปาก จากนั้นก็ยกจานขึ้นแล้วหันร่างเดินออกจากห้องครัว ขณะเดินถึงหน้าประตู เขาครุ่นคิดแล้วก็หันไปบอก
“หัวหน้า อันเมื่อกี้บวกกับอันนี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยทั้งนั้นใช่ไหม”
“…” ฉู่ซือเช็ดมือแล้วเดินไปยกเท้าขึ้นเกี่ยวประตูห้องครัวปิดประกบตามเสียง ดันซ่าเอ้อไปด้านนอก
เขาหันร่างมามองเครื่องสื่อสาร ถึงพบว่าถังกับกายที่ปรากฏบนหน้าจอต่างทำหน้านิ่งค้าง จึงบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“พวกนายเชื่อมสัญญาณมาเพื่อมาเหม่อลอยโง่ๆ ตรงหน้าฉันเรอะ คิดว่าตัวเองหน้าตาดีมากหรือไง”
ถังร้อง ‘โอ๊ะ…’ เสียงหนึ่ง แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าร้องโอ๊ะอะไร เขาถามหน้าซื่อ “หัวหน้า พวกคุณทำอะไรอยู่”
ฉู่ซือคิดแล้วก็หยิบของอื่นๆ ออกจากตู้เย็นพลางตอบอีกฝ่าย “ไม่มีอะไร พอดีหิวก็เลยฉวยเสบียงของคาร์ลอส เบลกนิดหน่อย”
“โอ๊ะๆๆ” ถังขานติดกันหลายครั้ง
“มีอะไร” ฉู่ซือเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
“ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร” ถังโบกมือพัลวันแล้วเกาศีรษะแกรกๆ “คือว่างี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าคุณหยางคนนั้นไม่เหมือนกับที่พวกเราคิดเท่าไหร่ เหมือนจะไม่ได้รับมือยากขนาดนั้น”
ฉู่ซือถามอย่างมีนัย “นายไปได้ข้อสรุปพรรค์นี้มาจากไหน”
“เขายืนอยู่ในห้องครัว แถมยังถือจานกินปลาด้วย อันนั้นเนื้อปลาใช่ไหม ผมเห็นแล้ว” ถังถาม
ฉู่ซือมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนปัญญานิ่ม “นายนี่ก็น่าสนใจดี เขาถือจานอยู่ ไม่กินเนื้อปลาจะให้กินกระสุนหรือไง”
เมื่อเหน็บแนมแบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเสร็จ เขาก็เลือกอาหารด้านในตู้เย็นไปมาพลางพึมพำ
“อาหารทะเลเยอะไม่เบานะ”
ถังกับกายกลืนน้ำลายเอื๊อก
“น้ำลายสออะไร คาร์ลอส เบลกก็อยู่ตรงหน้านายแล้วไง ไหนจะมียานบินเยอะแยะ คุยกับพวกเขาตรงๆ ไปเลย อย่าให้ดูเหมือนโจรเกินไปก็พอ” ฉู่ซือบอก
ถังที่เจรจากับผู้พเนจรกี่ครั้งก็ถูกถามหาบรรพบุรุษไปหลายรอบถอนใจเฮือกหนึ่ง “ผู้พเนจรพวกนั้นยิ่งนิสัยไม่ดีอยู่ เกิดคุยแล้วแตกหักจะทำยังไง”
“งั้นก็ล่ามพวกเขาตามมารยาทซะ ให้หัวเย็นก่อนแล้วค่อยคุย คุยจนกว่าจะตกลงกันได้” ฉู่ซือว่า
ถังกับกายทำหน้าบอกไม่ถูก “…” ทุกๆ วันจะมีช่วงเวลาหลายนาทีที่รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตได้ไม่เที่ยงธรรมนัก
“พูดเรื่องสำคัญ” ฉู่ซือสะกิดพวกเขา
ถังกับกายพลันตบศีรษะตัวเองทีหนึ่ง “เอ้อ ใช่ๆๆ! เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย หัวหน้า! มีข่าวดี!”
บอกตามตรงว่าตั้งแต่คลานออกจากแคปซูลแช่แข็ง ฉู่ซือก็ไม่เคยได้ยินข่าวดีอะไรเลย พอปุบปับก็มีมา เขาจึงปรับตัวไม่ทันไปชั่วขณะ
“สถานการณ์แบบนี้ยังมีข่าวดีได้อีกเหรอ ไหนว่ามาซิ”
ถังหัวเราะฮิฮะ “ถ้าไม่ใช่ข่าวดีพวกเราก็ไม่กล้าขัดจังหวะนานขนาดนี้หรอกครับ ไม่งั้นคงถูกไล่กลับบ้านไปแล้ว เมื่อกี้พวกเราตรวจพบสัญญาณเข้ารหัสสัญญาณหนึ่งได้ เป็นสัญญาณภายในของดาวเรา มีไว้สำรวจค้นหาและเรียกชุมนุมด้วย!”
ฉู่ซือชะงักงานในมือ หันไปมองภาพโฮโลแกรม “สำรวจค้นหา?”
ถ้าลำพังเป็นแค่คลื่นสัญญาณสื่อสารภายใน นั่นก็ไม่มีอะไรให้แปลกใจ ปกติสัญญาณที่หน่วยงานและคนทั้งดาวอากีลาแกมม่าส่งออกมาล้วนจัดอยู่ในประเภทนี้ นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข่าวสารข้อมูลและความเคลื่อนไหวต่างๆ บนดาวถูกดาวอื่นดึงข้อมูลไป การติดต่อสื่อสารระหว่างดาวมีคลื่นสัญญาณอื่น ปกติเวลาใช้ต้องทำการเปลี่ยนโหมด และการสื่อสารลักษณะนี้จะอยู่ในขอบเขตการมอนิเตอร์สอดส่องของหน่วยหนึ่งแห่งกองอำนวยการความมั่นคง
แน่นอน นอกจากสองโหมดที่ค่อนข้างโปร่งใส ยังมีโหมดสีเทาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลี่ยงการถูกมอนิเตอร์…อย่างเช่นประเภทที่ซ่าเอ้อ หยางใช้ติดต่อฉู่ซือทุกครั้ง
สถานการณ์ในเวลานี้การติดต่อส่วนตัวของพลเมืองทั่วไปจะไม่ทำการเข้ารหัส ถ้าเป็นคนประเภทอย่างซ่าเอ้อ หยางไม่มีทางใช้โหมดสัญญาณที่เปิดเผยแบบนั้น โดยทั่วไปจะใช้ทางลัดอื่น สิ่งสำคัญที่สุดคือ…พลเมืองทั่วไปจะไม่ส่งคลื่นสัญญาณสำรวจค้นหาและเรียกชุมนุมในลักษณะปูพรมเป็นวงกว้างเช่นนี้
เปิดเผย เข้ารหัส สำรวจค้นหา และเรียกชุมนุม…
กุญแจสำคัญซ้อนเข้าด้วยกันกับความเฉพาะตัว ทำให้คนคิดถึงความเป็นไปได้เดียว…ตัวตนของอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
เปิดเผยเพราะมีความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้ารหัสเพื่อไม่ให้กลุ่มอิทธิพลจากดาวอื่นพบตำแหน่งก่อนเวลาอันควร สำรวจค้นหาคือพุ่งเป้าไปที่เศษเสี้ยวดาวเคราะห์กับพลเมืองที่กระจัดกระจาย ส่วนเรียกชุมนุมคือพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
“รัฐบาลกลาง กองทัพ หรือไม่ก็กองอำนวยการความมั่นคง” ฉู่ซือว่า “สัญญาณมาจากหนึ่งในสามนี้”
ถังดีดนิ้วดัง “ถูกต้อง! ในที่สุดสหภาพก็มาแล้ว พวกเราไม่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบแบบนี้อีกต่อไปแล้ว!” เขาตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังมีท่าทางโล่งอกด้วย
กุ้งแถวหนึ่งที่ฉู่ซือทอดส่งเสียงฉ่าพร้อมกลิ่นหอมฉุย เปลือกบางใสค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มทีละนิด เขาหันไปหลุบตามองกุ้ง เหมือนจะผ่อนคลายอารมณ์ลงบ้าง
“ส่งสัญญาณได้เป็นบริเวณกว้าง บ่งบอกว่ามีขนาดสหภาพในระดับหนึ่งและมีเบื้องบนคอยบัญชาการ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กตัวน้อยที่รวมกันสองสามคน และไม่ใช่อำนาจที่กระจัดกระจาย ส่วนที่ส่งสัญญาณเรียกชุมนุมแสดงว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งพลัดหลงอยู่ภายนอก มีขนาดแต่ไม่สมบูรณ์”
ก่อนหน้านี้ถังกับกายมัวแต่ดีใจ ไม่ได้คิดละเอียด ตอนนี้ได้ยินแล้วก็ว่า “ถ้างั้นหัวหน้า พวกเราเตรียมส่งสัญญาณตอบกลับได้แล้วใช่ไหม พวกเราใช้ประโยชน์จากความสะดวกของปราการบาร์นีให้ค้นหาเจอ ความจริงแล้วพวกเขายังอยู่ห่างจากเขตดาวในรัศมีสำรวจทั่วไประยะหนึ่ง แต่อยู่ใกล้กับพิกัดที่หัวหน้าให้ผมส่งไปมากทีเดียว”
ฉู่ซือบอก “อ้อ? อยู่ใกล้กับตำแหน่งที่ฉันอยู่ตอนนี้มากงั้นเหรอ เดี๋ยวซิงก์แผนที่ดาวมาด้วย”
ถังตอบ “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
ฉู่ซือใคร่ครวญ “ส่วนเรื่องสัญญาณตอบกลับรอไปก่อน อย่าเพิ่งส่ง ในเมื่ออยู่ใกล้ฉันก็ขอดูสถานการณ์ก่อน”
ยานบินทหารปริศนาที่วนเวียนอยู่รอบๆ เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ออกไปไกล ถ้าเป้าหมายของอีกฝ่ายเป็นข้อมูลวิจัยฉบับร่างชุดนั้นของเจี่ยงชี อย่างนั้นก็ชัดเจนว่าเป้าหมายของพวกเขายังไม่สำเร็จ เมื่อเป้าหมายยังไม่สำเร็จแล้วจะถอดใจง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ
ฉู่ซือไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไปแล้วจริงๆ ไม่แน่อาจกำลังซุ่มตัวหาทางย้อนกาลอวกาศอีกครั้ง
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการส่งสัญญาณตอบกลับเร็วเกินไปไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ถ้าผู้มาเยือนเป็นกองทัพยังดี ยานบินทหารหลายสิบลำน่าจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับกองทัพ แต่หากผู้มาเยือนคือรัฐบาลกลางหรือกองอำนวยการความมั่นคง ในสถานการณ์ที่ไม่รู้อานุภาพของอาวุธแน่ชัด…หรือยานบินทหารเหล่านั้นมีกองกำลังเสริมมาอีกก็เป็นปัญหาแล้ว
ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพก็ทำให้สหภาพสูญเสียกำลังพลระหว่างทางซะก่อน ถ้าอย่างนั้นก็บาปหนาแล้ว
“พวกนายลองดูว่าประเมินได้ไหมว่าเป็นฝ่ายไหนกันแน่ แล้วขนาดของกองกำลังประมาณเท่าไหร่” ฉู่ซือครุ่นคิดครู่หนึ่งก็สั่งการกับถังและกาย
ถังกับกายพยักหน้าเข้าใจ
“จริงสิ คนในศูนย์หลบภัยพวกนั้นเป็นยังไงบ้าง” ฉู่ซือถาม
“ทางคุณเลอ แปนราบรื่นเหมือนปลาได้น้ำเลยล่ะ เวลาแค่ครึ่งวันก็เหมือนจะพัฒนาเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรงของพวกเขาแล้ว” ถังเบะปาก “นิสัยขี้โมโหของเธอนั่นคุณก็รู้ ข่มขวัญคนพวกนั้นจนอึ้ง สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ก่อความวุ่นวาย ไม่ประท้วง ไม่ออกความเห็นส่งเดช หนึ่งชั่วโมงก่อนผมขับยานไปดู หลายคนที่บาดเจ็บเข้าแคปซูลรักษาของศูนย์หลบภัยหมดแล้ว คนที่เหลือสำรวจแถวนั้นให้คุ้นทางแล้วเก็บกวาดง่ายๆ ก็ปักหลักกันแล้ว กำลังพักผ่อนกันอยู่ ไม่ง่ายกว่าจะมีแหล่งปักหลักที่มั่นคง หลับเป็นตายกันเลย เลอ แปนกับหลิวตั้งใจจะลาดตระเวนท่าเรือเจไดต์รอบหนึ่ง ดูว่ายังมีคนที่ตื่นขึ้นมาแล้วอีกไหม จะได้ตามตัวมาด้วยกัน”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ท่าเรือเจไดต์น่าจะมีจุดแจ้งเส้นทางฉุกเฉินหนึ่งแสนกว่าจุด ลองเชื่อมต่อแหล่งพลังงานของจุดแจ้งเส้นทางพวกนั้น แล้วทำเครื่องหมายเส้นทางแต่ละสายออกมา จากนั้นค่อยใช้ปราการบาร์นีค้นหาสัญญาณทั่วเมือง ส่งประกาศไปที่เครื่องสื่อสารของพวกเขาให้เป็นเวลา ให้คนที่ตื่นแล้วมาที่ศูนย์หลบภัย” ฉู่ซือสั่งการ
“รับทราบ” ถังกับกายตอบ
ฉู่ซือถาม “ส่งแผนที่ดาวมา ฉันขอดูหน่อยว่าอยู่ห่างจากฉันเท่าไหร่ มีอะไรอีกไหม”
ถังยื่นมือไปบนหน้าจอ เห็นชัดว่าตั้งใจจะวางสายแล้ว ปรากฏว่ากายกลับพูดเสริมขึ้น “ยังมีอีกเรื่องครับ”
“ว่ามา”
กายกระแอมเสียงหนึ่ง “มองจากมุมพวกเราไม่ค่อยชัด แต่ว่าหัวหน้า ของในกระทะคุณเหมือนจะไหม้แล้ว”
ฉู่ซือ “…”
สองนาทีหลังจากนั้นที่โต๊ะอาหารซ่าเอ้อหรี่ตามองเนื้อปลาค็อดกับกุ้งทอดไหม้ๆ บนโต๊ะ นิ้วเรียวเคาะที่ขอบโต๊ะเบาๆ สลับไล่ไปตั้งแต่นิ้วก้อยถึงนิ้วชี้ราวกับเล่นเปียโนอยู่สามรอบ จากนั้นก็พูดลากเสียง
“หัวหน้า นายวางยาพิษตัวเองแบบนี้วันละสามมื้อเลยเหรอ”
หัวหน้าฉู่ผู้หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ก็หลับหูหลับตาปล่อยเลยตามเลย พร้อมพูดอย่างกร่างๆ
“ใช่ เพื่อสร้างภูมิต้านทานพิษ กลัวตายก็ไม่ต้องกิน”
ซ่าเอ้อเบ้ปาก นั่งมองอยู่นานพักหนึ่ง ในที่สุดก็ลงมือกิน
เขายังคงเรื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน แต่ไม่รู้เพราะอะไร ท่าทีนั้นดันเผยให้เห็นความไม่เต็มใจนิดๆ แต่ทนความอยากลองไม่ได้ เหมือนสัตว์ในวงศ์เสือและแมวตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ตวัดกรงเล็บคว่ำจานอาหาร ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ชักสีหน้าเขี่ยมันอีกสองทีอย่างไรอย่างนั้น
การนั่งกินอาหารร่วมโต๊ะอย่างสันติเช่นนี้ สำหรับสองหนุ่มแล้วถือว่าหาได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย บวกกับเหตุการณ์วุ่นๆ ในห้องครัวและอาหารไหม้ๆ สองจาน จึงกรุ่นกลิ่นอายบรรยากาศของบ้านนิดๆ อย่างน่าแปลก
แสนพิศวงและแสนอัศจรรย์
จู่ๆ ฉู่ซือก็เอ่ยปาก “เมื่อกี้ถังได้รับข่าวหนึ่ง”
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาออกตัวแบ่งปันข่าวสารกับซ่าเอ้อ หยาง ไม่รู้เพราะได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศที่หาได้ยากเช่นนี้ หรือเพราะสีหน้าท่าทางของซ่าเอ้อ หยางดูชวนขำเล็กๆ
คนที่นั่งตรงข้ามเองก็ชะงักอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะช้อนตาขึ้นแล้วหัวเราะเสียงหนึ่ง นัยน์ตาใสกระจ่างทอประกายหย่อนอารมณ์
“ข่าวอะไร ไหนบอกให้ฟังหน่อย”
“ข่าวดี รัฐบาลตามมาแล้ว”
ซ่าเอ้อ “…”
ฉู่ซือ “…”
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ สองวินาที ฉู่ซือคิดในใจ อ้อ ลืมไป คุณหยางถูกตามจับมาสิบเจ็ดปีเต็มและเพิ่งแหกคุกมา เห็นรัฐบาลแล้วก็คงมีแค่คำว่า ‘ไปตายซะแม่ง’ เท่านั้น และถ้าอารมณ์ขึ้นแล้วไม่แน่ก็อาจจะแถมลำกล้องเครื่องยิงระเบิดสีทะมึนให้แถวหนึ่งด้วย
ช่างเป็นสุดยอดข่าวดี
“พวกเขาถึงไหนแล้ว” ซ่าเอ้อเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉย
สิ้นเสียงถังก็ทำการซิงโครไนซ์แผนที่ดาวมาพอดี ฉู่ซือแตะเปิดจอโฮโลแกรมขึ้นดูแล้วหัวเราะเจื่อนๆ
“โอเค ประชิดแบบซึ่งๆ หน้าแล้ว”
ซึ่งๆ หน้าตรงนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย ความหมายตรงตัวก็คือจุดแสงกะพริบกลมๆ เล็กๆ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนอีกฝ่ายบนแผนที่ดาวใกล้จะจูบกับจุดกลมๆ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนยานบินของพวกฉู่ซืออยู่รอมร่อ
ฉู่ซือครุ่นคิดแล้วเอ่ย “อย่าลืมล่ะ ยานบินยังมีเกราะล่องหนอยู่ นายเป็นคนเปิดเอง ต่อให้ประชิดถึงตัวอีกฝ่ายก็มองไม่เห็น”
พูดจบเขาก็ขบคิดอีกครู่ แล้วพบว่าสถานะคำพูดประโยคนี้ของตัวเองไม่ถูกต้องนัก เขาเอาตัวเองไปผูกบนเชือกเส้นเดียวกันกับตั๊กแตนแซ่หยางคนนี้แล้ว ทั้งยังอยู่ในสถานะฝ่ายตรงข้ามกับสหภาพอีก แต่กลับกันเขาคิดว่าไหนๆ ก็อยู่บนยานลำเดียวกัน ต่อให้ตัวไม่ได้มัดติดกันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ซ่าเอ้อ ตั๊กแตน หยางผู้ชั่วร้ายยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงอิเล็กทรอนิกส์คุ้นหูก็ดังขึ้น
ตึ๊ง
“โปรดทราบ ปลดฟังก์ชันเกราะล่องหนอเนกประสงค์ออกแล้ว!”
ฉู่ซือไม่ทันตั้งสติ ร้องขาน ‘อ๋อ’ เสียงหนึ่งก่อนย่นคิ้วถาม “ดวงตาสวรรค์? ห้องนักบินอยู่ห่างออกไปขนาดนั้นยังได้ยินว่าพวกเราคุยอะไรกันด้วยเหรอ”
ตึ๊ง
“โปรดทราบสอง ระบบดักฟังของยานบินลำนี้ถูกติดตั้งกระจายทั่วทุกมุม…ทุกมุมของยาน เพราะฉะนั้นเราเลยได้ยินทุกความเคลื่อนไหวชัดแจ๋ว…ชัดแจ๋ว”
หัวหน้าฉู่ที่นึกได้ว่าทำเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรก่อนหน้านี้ “…”
ตั้งแต่เจ้าระบบปัญญานิ่มนี่แอบอัพเกรดตัวเองอย่างลับๆ ก็ไม่ติดอ่างอีก แต่ดันมีอาการกำเริบในเวลานี้ เพียงแต่เปลี่ยนจากการติดอ่างเป็นอีกแบบหนึ่ง…นั่นคือพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ทั้งยังเลือกเน้นหนักพูดย้ำกับบางคำเป็นพิเศษอีกต่างหาก
ช่างเป็นเจ้าหัวขี้เลื่อยที่วอนตายจริงๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งวินาทีซ่าเอ้อก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ทวนคำพูดประโยคแรกของแกอีกรอบซิ แกว่าแกปลดอะไรออกนะ”
ตึ๊ง
“เกราะล่องหนอเนกประสงค์” เจ้าหัวขี้เลื่อยตอบเสร็จแล้ว อาจด้วยสะเทือนขวัญกับน้ำเสียงของซ่าเอ้อจึงพูดเสริมอย่างสองจิตสองใจ “อืม…แต่ก็กางออกใหม่ได้”
ประเด็นคือคนทั่วไปย่อมไม่คาดคิดว่าจะมีระบบ ‘อัจฉริยะ’ ที่ลอยไปลอยมาแล้วจู่ๆ ก็ปลดระบบล่องหนของตัวเองออก ฉะนั้นฉู่ซือจึงเพิ่งได้สติตอนนี้ว่ามันทำอะไรลงไป เขาถามด้วยน้ำเสียงล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจตรรกะโง่เง่าของมันได้
“แกปลดเกราะล่องหนออกทำไม”
ตึ๊ง
ดวงตาสวรรค์ตอบ “ในฐานะระบบอัจฉริยะที่ภักดีที่สุดของเรือนจำอวกาศ ในฐานะเจ้าหน้าที่อิเล็กทรอนิกส์ผู้ทุ่มเทให้บริการกับกองอำนวยการความมั่นคง รัฐบาลกลาง รวมถึงกองทัพมาหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปี เมื่อค้นพบสัญญาณของรัฐบาลเราก็ปลดอาวุธ ตัดทุกอุปสรรค ยอมรับอีกฝ่ายอย่างไร้การต่อต้านโดยอัตโนมัติ”
เจ้าปัญญานิ่มนี่ดันเล่นลิ้นซะมีเหตุผลเต็มประดา
ฉู่ซือคิดแล้วบอกกับซ่าเอ้อ “ถ้าไงก็ระเบิดไอ้ขยะนี่ไปเลยเถอะ”
ดวงตาสวรรค์สะอื้นทีหนึ่ง ทำตัวน่าสงสารได้สมบทบาท
แต่หากจะบอกว่ามันผิด ความจริงแล้วมันไม่ได้ทำอะไรผิด ในฐานะระบบอัจฉริยะของเรือนจำอวกาศ การซื่อสัตย์เปิดเผยกับหน่วยงานรัฐบาลเหล่านี้อย่างเต็มร้อยถึงจะสอดคล้องกับการตั้งค่าแต่เดิมของมัน แม้ดวงตาสวรรค์จะแอบอัพเกรดตัวเองแบบลับๆ ล่อๆ จนบรรลุแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันปฏิเสธตัวตนของตนเองเพื่อปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้
เมื่อปลดเกราะล่องหนอเนกประสงค์ออกแล้ว อีกฝ่ายก็ประจันหน้ากับพวกเขาแล้วด้วย ตอนนี้ไม่ว่าจะทำการวาร์ปทันทีหรือเร่งความเร็วหนีก็ล้วนไม่เหมาะสม
แต่ยังมีอีกทาง…
เพราะความจริงแล้วนี่เป็นยานบินของคาร์ลอส เบลก ในฐานะผู้นำของผู้พเนจรอวกาศที่วางตัวเป็นกลาง พบเจอหน่วยงานรัฐบาลของดาวอื่นในอวกาศ การทักทายหยั่งเชิงครู่หนึ่งแล้วก็จากไปถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
“ดวงตาสวรรค์ นอกจากเก็บอาวุธกับปลดเกราะล่องหนแล้วแกยังทำอะไรอีก ได้ทำการตอบกลับด้วยไหม” ฉู่ซือถามด้วยความหวังสุดท้าย
ตึ๊ง
“ใช่แล้ว!”
เออดี ท่าจะต้องเอาไอ้เฮงซวยนี่ไประเบิดทิ้งได้แล้ว
ตอนที่ดวงตาสวรรค์ทำการตอบกลับไป อีกฝ่ายน่าจะรู้ว่านี่เป็นระบบอัจฉริยะของเรือนจำอวกาศ เวลานี้คิดจะแสร้งทำเป็นคนผ่านทางมาเยี่ยมๆ มองๆ แค่แวบเดียวก็ไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เป็นดังที่คาดไว้ ทางนี้ฉู่ซือเพิ่งถูกดวงตาสวรรค์ทำให้โกรธจนขำ ทางนั้นก็ส่งคำขอเชื่อมต่อการสื่อสารมาแล้ว
ตึ๊ง
ในที่สุดเจ้าหัวขี้เลื่อยดวงตาสวรรค์ก็รู้ตัวแล้วว่าเหมือนตนจะทำอะไรผิด พลันพูดเสียงอ่อยทันที
“อีกฝ่ายส่งคำขอเชื่อมต่อการสื่อสารแบบเห็นหน้า รอคำสั่งการ”
“แกตัดสินใจเองเสร็จสรรพแล้ว ยังมีหน้ามารอคำสั่งอีกเหรอ” ฉู่ซือแค่นหัวเราะเสียงเย็น เลื่อนอาหารหลายจานที่ไม่ไหม้ไปตรงหน้าซ่าเอ้อ
สีหน้าของซ่าเอ้อในเวลานี้ไม่ได้ย่ำแย่อะไร ตรงกันข้ามยังมีรอยยิ้มบางๆ ที่บอกอารมณ์ไม่ถูกด้วย
ทว่ารอยยิ้มในสถานการณ์แบบนี้ย่อมไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด นั่นบ่งบอกว่าเขากำลังครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ไม่สุขอีกแล้ว
มีชั่ววูบหนึ่งที่ฉู่ซือเริ่มปวดศีรษะ เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาเป็นคนกลางระหว่างหน่วยงานรัฐบาลกับนักโทษในเรือนจำอวกาศภายใต้การกำกับของตัวเอง และไม่ได้มัดตัวนักโทษแล้วโยนไปให้รัฐบาล กลับรู้สึกไม่อยากให้สถานะของนักโทษนี้เปิดเผยด้วยซ้ำ
ตึ๊ง
ดวงตาสวรรค์สะกิดเตือน “กรุณาป้อนคำสั่ง”
“รอก่อน!” ฉู่ซือบอกพร้อมหันร่างก้าวยาวๆ ไปยังห้องพยาบาลของคาร์ลอส เบลก ถ้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เขาเห็นยาสร้างผิวชั่วคราวในตู้
ขอบคุณนิสัยหนูแฮมสเตอร์ของผู้พเนจรกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะได้ใช้หรือยังไม่ได้ใช้ก็จะกักตุนไว้ในโกดังก่อน
อันที่จริงยาสร้างผิวชั่วคราวชนิดนี้ไม่ค่อยมีผลมากนักกับกลุ่มผู้พเนจรที่ขับยานตะลอนไปทั่วจนอยากเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับยานบิน เพราะมีไว้สำหรับทหารกำลังเดี่ยวที่อยู่ในสภาพแวดล้อมนอกพื้นที่สุดเลวร้ายมากกว่า
ในสถานการณ์ที่ไม่มีแคปซูลรักษาและไม่มียาที่เพียงพอ อีกทั้งเวลาคับขัน การฉีดยาสร้างผิวชั่วคราวนี้ลงบนแผลจะช่วยปิดบาดแผลและสร้างผิวเทียมขึ้นมาชั่วคราว
ครั้งหนึ่งออกฤทธิ์นานสุดหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อพ้นเวลาที่กำหนด ผิวเทียมที่เกิดจากฤทธิ์ยาก็จะถูกผิวจริงดูดซับ ทำให้บาดแผลเผยออกมาอีกครั้ง
ฉู่ซือเขย่าขวดยาสร้างผิวชั่วคราวพลางก้าวยาวๆ ไปที่ห้องของคาร์ลอส เบลกแล้วรื้อเสื้อแจ็กเก็ตสีดำออกมาตัวหนึ่ง ก่อนออกจากห้องมองเห็นแว่นตาหลายอันที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครวางอยู่ในลิ้นชัก เขาชะงักฝีเท้า ก่อนหยิบติดมือมาด้วยอันหนึ่งแล้วหมุนร่างเดินกลับไปที่ห้องรับแขก
เขาโยนเสื้อแจ็กเก็ตสีดำใส่ซ่าเอ้อแล้วเขย่าขวดในมือแรงๆ ยืนค้ำมองอีกฝ่าย “เงยหน้า”
“นั่นอะไร” ซ่าเอ้อเหลือบมองขวดนั้นแวบหนึ่ง “ยาสร้างผิวชั่วคราว?”
“ใช่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่นายจะก่อกรรมทำชั่ว รบกวนนายช่วยทำตัวดีๆ สักสองวัน รอดูสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยก่อเรื่อง” ฉู่ซือพูด นิ้วเรียวเชยคางของซ่าเอ้อ “หลับตา”
ซ่าเอ้อยักคิ้ว “ทำตัวดีๆ เหรอ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ต้องมีรางวัลหน่อย”
ตึ๊ง
“อีกฝ่ายส่งคำขอเชื่อมต่อการสื่อสาร ถ้ามีอีกครั้งก็คือคำเตือนแล้วน้าาาาา!”
“หุบปาก!” ฉู่ซือสั่ง
ดวงตาสวรรค์ “…”
ฉู่ซือเอาฝ่ามือบังตาของซ่าเอ้อ บังคับให้อีกฝ่ายหลับตา ก่อนจะพ่นยาสร้างผิวชั่วคราวลงบนหน้าผาก ปีกจมูก แก้ม และกรามของอีกฝ่ายพลางพูด
“รางวัล ได้ ไม่มีปัญหา”
มือของเขาจัดการด้วยความว่องไว ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ครู่เดียวก็พ่นบริเวณหน้าผากกับส่วนกรามเรียบร้อยแล้ว
ซ่าเอ้อที่ถูกฉู่ซือปิดตาก็ไม่ดิ้น พิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้อีกฝ่ายวุ่นวายตามใจ แต่ปากกลับไม่ว่าง
“หัวหน้า ขอโทษที่พูดตรงๆ สำหรับฉันความน่าเชื่อถือของนายเท่ากับศูนย์ คำพูดที่ฟังปุ๊บก็รู้ว่าตัดรำคาญฉัน…”
ซ่าเอ้อยังพูดไม่ทันจบประโยค ฉู่ซือก็เลื่อนฝ่ามือลงมาปิดปากเขาแทน บอกด้วยภาษากายว่า ‘นายช่วยหุบปากเสียทีได้ไหม’ มืออีกข้างก็ฉีดพ่นยาสร้างผิวชั่วคราวตรงส่วนปีกจมูกกับส่วนแก้มต่อ
ซ่าเอ้อที่ถูกปิดปากยังคงดันทุรังพูดจนจบประโยค “…ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”
เสียงของเขาอู้อี้เล็กน้อย ฟังแล้วน่าขำนิดๆ แต่ริมฝีปากที่อ้าหุบนั้นเสียดสีกับฝ่ามือ สีหน้าของฉู่ซือชะงักค้างอยู่ที่จะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม บิดเบี้ยวจนน่าเวทนา
ฉู่ซือปั้นหน้าตึง ฉีดพ่นกรามกับแก้มของซ่าเอ้อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด ก่อนถลึงตาจ้องอีกฝ่ายแวบหนึ่งเป็นเชิงตักเตือนแล้วปล่อยมือที่ปิดปากอีกฝ่ายออก
เห็นฉู่ซือหยิบแว่นตาขึ้นมา ซ่าเอ้อก็ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงต้องสวมของแบบนี้”
“สีตาของนายมีความเฉพาะตัวเกินไป” ฉู่ซือยกมือจะสวมแว่นตาให้อีกฝ่าย
กลับถูกซ่าเอ้อกดไว้ “นายคิดมากเกินไปแล้วหัวหน้า ตาสีเทาอ่อนไม่ได้พบเห็นได้ยาก แค่มีเลนส์แว่นตากั้นก็ไม่ใช่สีเทาอ่อนแล้วหรือไง”
ความจริงแล้วสาเหตุคือบรรยากาศรอบตัวซ่าเอ้อ หยางทรงพลังเกินไป เขาอยากใช้แว่นตากลบเกลื่อนเสียหน่อย แต่เขากล้าสาบานเลย ถ้าบอกเหตุผลนี้ออกไปเจ้าวายร้ายนี่อาจทำตัวอวดดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ตึ๊ง
ดวงตาสวรรค์ใกล้จะกรีดร้องแล้ว “คำขอครั้งที่สามแล้ว แถมยังแนบคำเตือนมาด้วยแล้วนะเฮ้ยยยยยย พวกคุณช่วยป้อนคำสั่งให้เราเชื่อมต่อเสียที เลิกวุ่นวายกับแว่นตาก่อนได้ไหม…”
“เชื่อมต่อ!” ฉู่ซือยัดแว่นตาใส่มือซ่าเอ้ออย่างหัวเสีย ก้าวเท้าจะเดินไปทางห้องนักบิน เดินไปได้สองก้าวก็หันไปชี้ซ่าเอ้อ บอกใบ้ให้อีกฝ่ายรีบสวมเสื้อแจ็กเก็ต “ปิดกำไลแบล็กโกลด์ของนายซะ!”
ตึ๊ง
ดวงตาสวรรค์เชื่อมต่อการสื่อสารของอีกฝ่ายด้วยสภาพน้ำหูน้ำตาไหล
วินาทีที่ฉู่ซือก้าวเท้าเข้าห้องนักบิน ซ่าเอ้อที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาทันที ชั่วพริบตาที่ทั้งสองแนบชิดกัน จู่ๆ วัตถุโลหะอย่างหนึ่งก็กดลงบนสันจมูกของฉู่ซือ
ซ่าเอ้อชูมือตัวเองขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ถือแล้วมันเป็นภาระ ขอยืมสันจมูกของหัวหน้าใช้หน่อย อีกอย่าง…ของประเภทแว่นตาเหมาะกับนายมากกว่าฉันเยอะ” พูดจบเขาก็ยกมือตบหลังฉู่ซือเบาๆ บอกใบ้ให้อีกฝ่ายรีบเข้าไป
ฉู่ซือ “…” นายจะก่อเรื่องใช่ไหม
เขาขมวดคิ้วกำลังจะเอ่ยปาก ภาพวิดีโอของอีกฝ่ายก็ปรากฏโดยอัตโนมัติบนจอใหญ่ในห้องนักบิน ส่วนของทางนี้ก็น่าจะซิงโครไนซ์ไปแล้วเช่นกัน
ฉู่ซือหันหน้าไปแล้วก็มีสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ ตั้งใจจะทักทายกับอีกฝ่ายอย่างสบายๆ ปรากฏว่าเสียงประหลาดใจของอีกฝ่ายดังขึ้นก่อน
“หัวหน้า?!”
คนในจอมีใบหน้าที่คุ้นเคย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉู่ซือ หนึ่งในรองหัวหน้าหน่วยห้า ชิลด์ เฝิงผู้รับผิดชอบด้านประชาสัมพันธ์
“เฝิง? ทำไมเป็นคุณ” ฉู่ซือเองก็ประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
บอกตามตรงแม้ปกติเจ้าหน้าที่โฆษกคนนี้จะสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย ช่วยเขาสร้างศัตรูอาฆาตจากสารพัดนักโทษในเรือนจำอวกาศอย่างเต็มเหนี่ยว ทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นให้ซ่าเอ้อ หยางบุกเข้าช่องสัญญาณสื่อสารสำนักงานของเขาในทางอ้อมด้วย แต่การพบเจอกันในเวลานี้ฉู่ซือก็ยังรู้สึกยินดี
อย่างน้อยก็ถือว่าคนกันเอง
“พูดแล้วยาว เอาเป็นว่าตอนนี้สถานการณ์เฉพาะหน้า สหภาพเฉพาะกิจ กองทัพ รัฐบาลกลาง และกองอำนวยการความมั่นคงรวมอำนาจกันแล้ว ผมถือว่า…ถือว่าแทนตำแหน่งของคุณชั่วคราว เพราะคุณไม่ได้อยู่ทางนี้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเจอหัวหน้าแล้ว ผมเองก็เบาใจได้เปลาะหนึ่งที่จะได้ส่งมอบอำนวจ!” ชิลด์ เฝิงตื่นเต้นจนใบหน้ากลมแป้นนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่เดี๋ยวเดียวเขาก็นิ่งอึ้งไป “แต่ว่าหัวหน้า ทำไมคุณถึงไปอยู่ในยานลำนั้นได้ นี่มันยานบินของพวกผู้พเนจรไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ ผมปล้นมาเอง” ฉู่ซือบอกตามตรง
ชิลด์ เฝิง “…”
เจ้าหน้าที่โฆษกผู้รู้ดีว่าหัวหน้าของตนเองมีนิสัยใจคออย่างไรเงียบไปสองวินาทีก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาใหม่
“คนที่อยู่ข้างๆ คุณคือ?”
“พรรคพวกที่ช่วยผมปล้นยานบิน” ฉู่ซือตอบ
ชิลด์ เฝิง “…” ครับ พรรคพวกครับ
เงียบไปอีกสองวินาที มีคนพูดอะไรบางอย่างข้างๆ ชิลด์ เฝิง เขาฟังจบแล้วตอบไปสองเสียง ก่อนพูดกับฉู่ซือ
“ถ้างั้นหัวหน้า ไม่ต้องตะลอนไปทั่วแล้ว เตรียมเชื่อมต่อ ลงจอดบนยานก่อนค่อยว่ากัน อีกอย่างยานบินทหารลำที่ยานคุณลากตามหลังมาด้วยคือ…มันดูแล้วคุ้นๆ แฮะ”
หลังจากวางสายการสื่อสารแบบเห็นหน้าแล้ว ฉู่ซือให้ดวงตาสวรรค์หยุดไขรหัสข้อมูลวิจัยฉบับร่างชุดนั้นของเจี่ยงชีไปก่อน โพรเกรสบาร์หยุดที่สามสิบหกเปอร์เซ็นต์ หลังจากทำลายร่องรอยสุดท้ายที่เหลือทิ้งไว้ในยานบินแล้ว เขาก็โยนแผ่นประมวลผลดวงตาสวรรค์ให้ซ่าเอ้อเหมือนเคย
ซ่าเอ้อรับมาไว้ในมือแต่กลับไม่ได้เหน็บไว้ตรงบั้นเอวเหมือนปกติ เขาหนีบแผ่นประมวลผลแกว่งไปมาระหว่างนิ้วเรียว เหลือบตาขึ้นมองฉู่ซือแวบหนึ่ง
“มองฉันทำไม” ฉู่ซือเก็บของเรียบร้อยแล้วเดินไปหน้าประตูยาน ขณะจะก้าวลงบันไดขึ้นลงก็ถูกอีกฝ่ายมองจนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ไม่มีอะไร” ซ่าเอ้อหรี่ตา ปลายลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เก็บแผ่นประมวลผลดวงตาสวรรค์เรียบร้อยแล้วก็เดินตามไปอย่างลอยชาย
สองหนุ่มเดินตามหลังกันลงบันไดยาน ก้าวขึ้นยานอวกาศที่มาเชื่อมต่อกับพวกเขาแล้ว
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN