everY
ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 3 บทที่ 26 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 3
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆ่าตัวตาย การก่อการร้าย
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้อรังและอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 26 ไล่ล่านักโทษ
ในช่วงเวลาที่ศูนย์บัญชาการขาดการติดต่อกับซ่าเอ้อ หยาง เซ่าเหิงก็ได้รับข่าวคราวจากทีมตรวจสอบฐานข้อมูลของยานหมาป่าขาว…
“หมายความว่าอะไร ยืนยันว่าเรือนจำอวกาศสูญหายไปแล้ว?”
ฉู่ซือหันไปมอง ถ้าไม่ใช่ว่าทีมตรวจสอบฐานข้อมูลรายงานเข้ามากะทันหัน เขาก็เกือบลืมเรื่องของเรือนจำอวกาศไปแล้ว เมื่อแรกสุดที่ขึ้นยานหมาป่าขาว เซ่าเหิงก็บอกแล้วว่าเกิดปัญหากับการติดต่อเรือนจำอวกาศ ติดต่ออย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ ฉะนั้นฐานข้อมูลจึงมีส่วนเสียหายระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเซ่าเหิงก็ให้ทางนั้นลองกู้ฐานข้อมูลและลิงก์เชื่อมต่ออยู่ตลอด คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เวลานี้จะได้ผลสรุปเช่นนี้
เนื่องจากคฤหาสน์รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งยังอยู่ในเรือนจำอวกาศ ฉู่ซือก็ยังหวังว่าจะสามารถติดต่อกันได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี จะได้รู้ให้ชัดเจนด้วยว่าในเรือนจำอวกาศมีคนที่เกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลาด้วยหรือไม่…
แต่ความจริงแล้วไม่ต้องสืบด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้ย่อมมีอยู่แน่นอน เพียงแต่ ‘เป็นใคร มีจำนวนเท่าไหร่’ ยังต้องสืบให้รู้แน่ชัด ไม่อย่างนั้นจะเป็นภัยเงียบได้
เนื่องจากเป็นเรื่องของนายแพทย์อาวุโสเซ่า สถานะของเซ่าเหิงในเวลานี้จึงค่อนข้างพิเศษ เมื่อได้รับรายงานทางข้อความเสียงจึงต้องเปิดสาธารณะทันที ทางทีมตรวจสอบฐานข้อมูลตอบมาว่า
“ใช่ครับ ความเป็นไปได้เก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ มั่นใจได้แล้วว่าสูญหาย ไม่ใช่แค่เฉพาะการติดต่อที่มีปัญหา แต่การค้นหาเรือนจำอวกาศก็ไม่สามารถค้นหาพบด้วยซ้ำ ความเป็นไปได้อีกสองเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ…บางทีพวกหัวหน้าลองใช้ระบบพิกัดของกำไลแบล็กโกลด์ในการค้นหาตำแหน่งของพวกนักโทษดูได้”
“ค้นหาเรือนจำอวกาศไม่เจองั้นเหรอ” เซ่าเหิงขมวดคิ้ว ก่อนหันไปมองฉู่ซือ
อาจเพราะหวาดระแวงจากเรื่องการทดลองเรื่องเวลา คนในที่ประชุมได้ยินผลสรุปนี้แล้ว ปฏิกิริยาแรกก็เป็นผลพวงอันเกิดจากการทดลองเรื่องเวลา…นั่นคือบางทีในขณะที่พวกเขายังไม่ทันรู้ตัว กาลอวกาศ ณ ที่แห่งหนึ่งอาจเริ่มเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่มากแล้วก็ได้
“หัวหน้า ต่อให้เป็นสองเปอร์เซ็นต์ก็ต้องลองดู เราลองตามกันไหม” พวกชิลด์ เฝิงที่เป็นรองผู้บัญชาการสามคนถามฉู่ซือ
ฉู่ซือพยักหน้า “อืม”
อำนาจของรองผู้บัญชาการทั้งสามคนรวมกันแล้วมีทั้งหมดสามสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากพอสำหรับเปิดการทำงานระบุพิกัดอัตโนมัติและการติดตามทั่วเอกภพ เมื่อพวกชิลด์ เฝิงได้รับคำตอบจากฉู่ซือแล้วจึงแตะหน้าจอเพื่อสั่งการทันที
วินาทีที่ส่งคำสั่งออกไปบนหน้าจอใหญ่ของศูนย์บัญชาการในส่วนที่เป็นหน้าจอพร่ามัวของซ่าเอ้อ หยางก็กลับมาติดต่อได้ในที่สุด
วินาทีที่ใบหน้าซึ่งผ่านการปลอมแปลงมาแล้วของซ่าเอ้อ หยางปรากฏบนจอ ฉู่ซือก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปพูดกับรองผู้บัญชาการทั้งสาม
“รอเดี๋ยว…”
รองผู้บัญชาการทั้งสามมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง “มีอะไรหรือครับหัวหน้า มีปัญหาอะไรเหรอ”
ฉู่ซือ “…” ปัญหางั้นเหรอ ปัญหาใหญ่เลยล่ะ
เซ่าเหิงมองซ่าเอ้อ หยางแล้วก็รู้ตัวทันที พลันเบิกตากว้างมองฉู่ซือสลับกับมองพวกชิลด์ เฝิง ท่าทางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ
“ส่งคำสั่งติดตามออกไปแล้วเหรอ”
พวกชิลด์ เฝิงไม่เข้าใจ “ใช่”
เซ่าเหิงยกมือลูบหน้าเงียบๆ
ฉู่ซือขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนปั้นหน้าสุขุมแล้วเสนอขึ้น “ผมแนะนำให้พวกคุณกินยารักษาโรคหัวใจสงบสติอารมณ์ก่อน”
บนหน้าจอซ่าเอ้อ หยางพลาดคำพูดส่วนที่สำคัญที่สุดไปหลายประโยค เขาเอียงหน้าชายตามองพวกเขาแวบหนึ่งก่อนกล่าว
“วาร์ปเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขายังไม่พบว่ามีคนแฝงตัวเข้ามา หรืออีกนัยหนึ่งคือยังไม่ทันสังเกตเห็น น่าจะกำลังเข้าใกล้จุดหมายแล้ว ฉันดูหน่อยละกันว่าตอนนี้อยู่ในเขตดาวไหน…พวกนายทำหน้าอะไรกันน่ะ นี่จัดพิธีไว้อาลัยให้ใครเหรอหัวหน้า”
ขณะกล่าวประโยคสุดท้ายเขายังขำพรืดด้วยเสียงหนึ่ง ราวกับสีหน้าท่าทางของพวกเขาช่างน่าสนใจ
ทว่าวินาทีต่อมาซ่าเอ้อก็นิ่งอึ้ง เพราะจู่ๆ กำไลแบล็กโกลด์บนต้นแขนของเขาก็มีแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นมาพร้อมส่งเสียงวึ้ง ต่อให้สวมเสื้อคลุมก็ปิดแสงสีสดใสกับความเคลื่อนไหวนั้นไว้ไม่ได้
ซ่าเอ้อ “…”
จากนั้นรองผู้บัญชาการทั้งสามในห้องประชุมก็ได้รับผลจากการระบุพิกัดพร้อมกัน…
ด้านหลังรายชื่อนักโทษอย่างพวกอีกาทองล้วนปรากฏผล ‘ระบุพิกัดล้มเหลว’ มีเพียงชื่อที่อยู่ด้านบนสุดซึ่งมีเครื่องหมายอัศเจรีย์สีเขียวสว่างกะพริบอยู่หลังชื่อและระบุว่า ‘ยืนยันพิกัด’
ลำพังแค่เห็นชื่อนั้นรองผู้บัญชาการทั้งสามก็รู้สึกเหมือนว่าตาจะบอด หัวจะปวด
ชิลด์ เฝิงเอื้อมมือไปแตะที่คำว่า ‘ยืนยันพิกัด’ บนหน้าจอใหญ่ มีเสียงสัญญาณเตือนที่พวกเขาแสนคุ้นหูดังขึ้นในห้องนักบินของคุณหยาง ซึ่งการระบุพิกัดก็สะท้อนกลับมาบนแผนที่ดาวของศูนย์บัญชาการ จุดสีแดงของกำไลแบล็กโกลด์ที่เป็นสัญลักษณ์ของนักโทษกับข้อมูลพิกัดที่คุณหยางเพิ่งส่งมาทับซ้อนกันพอดี ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
เซ่าเหิง “…” แม่โว้ย ช่างเป็นภาพที่ระทึกอะไรขนาดนี้
ฉู่ซือกระแอมเสียงหนึ่ง ก่อนเอามือเท้ากับโต๊ะแล้วหลุบตาลง…เข้าใจเลือกเวลาให้เรื่องแดงได้ดีชะมัด
เสียงดังเคร้ง…
ชิลด์ เฝิงในวัยใกล้ชรารับความตระหนกตกใจไม่ไหว เครื่องสื่อสารหลุดมือร่วงกระแทกกับโต๊ะประชุม เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงแต่ก็อยู่ในความคาดหมาย แต่เพราะเสียงดังเกินไปจึงทำให้เซ่าเหิงกับฉู่ซือต่างหลับตาลง
ส่วนรองผู้บัญชาการสองคนนั้นมองฉู่ซือด้วยสีหน้าฉงนงงงวย สีหน้าท่าทางนั้นทำให้คนทำใจมองรอบที่สองไม่ได้
ส่วนโรเจอร์…เขาอ้าปากกว้างพลางจ้องซ่าเอ้อ หยางที่อยู่บนจออยู่นานสองนาน มองจนคางแทบหลุด แล้วจึงทึ้งผมตัวเองเค้นเสียงออกมาคำหนึ่ง
“เชี่ย…”
หลังจากนั้นก็เป็น ‘เชี่ยๆๆๆๆ!’
แต่ละคำล้วนเสียงดังฟังชัด รู้สึกได้ว่าเขาใกล้จะทึ้งผมตัวเองจนลอยขึ้นจากพื้นแล้ว
“คุณหยาง??!! ซ่าเอ้อ หยาง????!!!” โรเจอร์ชี้ไปที่หน้าจอใหญ่แล้วยังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย “เป็นไปได้ยังไง! อย่ามาล้อเล่นบ้าๆ นะ! ทำไมซ่าเอ้อ หยางถึงหน้าตาแบบนี้”
พูดจบซ่าเอ้อก็ยักคิ้ว…ในเมื่อความแตกขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องข่มใจตัวเองให้แบกใบหน้าที่ถูกทำให้อัปลักษณ์นี้อีกต่อไป
แม้ใบหน้านี้เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วยังถือว่าหล่อเหลาเพราะมีโครงหน้าของเขา แต่เทียบกับหน้าเดิมของเขาแล้วถือว่าขี้เหร่ไปมาก หากคนที่ปั้นใบหน้านี้ไม่ใช่ฉู่ซือ น่าจะมีจุดจบไม่ดีเท่าไหร่
ซ่าเอ้อเอียงหน้าแล้วชูมือให้ฉู่ซือ “หัวหน้า แกะหน้านี่ออกได้ไหม…”
ฉู่ซือยกมือชี้อีกฝ่ายแล้วทำหน้า ‘นายหุบปากซะ อย่าทำให้ยิ่งยุ่ง’ ก่อนจะเปลี่ยนใจโบกมือ
“ช่างเถอะ แล้วแต่นาย แกะออกเถอะ”
หลังได้รับความยินยอมจากหัวหน้าที่รักแล้ว ซ่าเอ้อก็ลูบไปตามกรอบหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยาสร้างผิวชั่วคราวชนิดที่เซ่าตุนใช้ไม่ใช่แบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งจะไม่ดูดซึมเข้าผิว แต่จะค่อยๆ แข็งตัวเป็นเนื้อเจลแบบผสมที่ให้สัมผัสคล้ายผิวคน เมื่อดึงออกก็จะลอกออกมาเหมือนหน้ากากผิวมนุษย์
คนคนนี้มีองค์ประกอบของ ‘กลัวโลกจะไม่วุ่นวายพอ’ อยู่ในเลือดเนื้อ
โรเจอร์ยังจมอยู่กับความปวดร้าวที่ปรัชญาสามทัศน์* ถูกระเบิดทิ้ง ไม่ได้ยินแม้กระทั่งการสนทนาโต้ตอบเมื่อครู่ ยังคงโวยวาย
“หน้าบนประกาศจับนั่นฉันจำได้แม่น! แน่นอน! ชัวร์! ไม่…”
ซ่าเอ้อหันใบหน้าที่แสนจะหล่อเหลานั้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้ากากที่ถืออยู่ในมือกับกล้อง ดูก็รู้ว่าจงใจกระตุกต่อมโทสะชาวบ้าน
“ได้หน้าตาแบบนี้…” โรเจอร์มองหน้าจอ แล้วพลันห่อเหี่ยวลงอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำที่ตัวเองเคยพูดตอนซ่าเอ้อ หยางขึ้นมาบนยานอวกาศ…
‘แล้วหัวหน้าจะพาคนที่มี DNA อยู่ในฐานข้อมูลส่วนของเรือนจำอวกาศกลับมาหรือไง’
เพียะ!
‘เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่ๆ!’
เพียะๆ!
‘คุณหยางดูปุ๊บก็รู้ว่าเป็นคนจริงจังมีฝีมือ’
เพียะๆๆ!
ถูกตบหน้าแรงเหลือทน ทำให้คนตั้งสติไม่ได้
จากห้องประชุมดีๆ บุคคลที่มีอำนาจระดับสูงของกองอำนวยการความมั่นคงก็ถูกเจ้าวายร้ายคนนี้ปั่นประสาทจนเหมือนถูกทุบศีรษะ ยืนเบื้อใบ้อยู่กับที่
ฉู่ซือปวดเศียรเวียนเกล้า
เซ่าเหิงมองซ่าเอ้อ หยางเงียบๆ ก่อนจะหันไปมองประติมากรรมหินเหล่านั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าปฏิกิริยาของตัวเองในตอนนั้นช่างเป็นหน้าเป็นตาให้ตนเองนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้ดูเซ่อขนาดนั้น แต่คนมากมายแบบนี้จะล้างสมองกันอย่างไรดี…
เขาเบนสายตามองไปที่ฉู่ซือ ก่อนขยับปากพูดด้วยรูปปากเว่อร์ๆ ว่า “ทำไงดี…”
ฉู่ซือเท้ามือกับขอบโต๊ะ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าหม่นตึงจนเผยให้เห็นเค้าโครงของไหล่ หลัง และเอว นับว่าเป็นอาหารตาไม่น้อยจนทำให้ซ่าเอ้อ หยางที่อยู่ระหว่างติดตามเส้นทางการบินของยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่เอียงหน้ามานานพักใหญ่ ก่อนจะหันกลับไปเหมือนไม่สำคัญ ราวกับว่าเรื่องที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับเขา
“เอาอย่างนี้แล้วกัน วางเครื่องสื่อสารในมือลงบนโต๊ะประชุม” ฉู่ซืองอนิ้วเคาะผิวโต๊ะ
พวกชิลด์ เฝิงกำลังช็อก สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น หัวหน้าสูงสุดพูดอย่างนี้ พวกเขาก็ทำตามด้วยสัญชาตญาณ ทำเสร็จแล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าหัวหน้าจะทำอะไรกันแน่
“เซ่าเหิง เอาเครื่องสื่อสารมา” ฉู่ซือกล่าวอีก
เซ่าเหิงพยักหน้า จากนั้นเดินอ้อมโต๊ะประชุมรอบหนึ่ง แล้วคว้าเครื่องสื่อสารของรองผู้บัญชาการทั้งสามรวมถึงหัวหน้าหน่วยคุ้มกันมาไว้ในมือ ก่อนนำไปวางตรงหน้าฉู่ซือ
“เอาล่ะ” ฉู่ซือหยิบรีโมตขึ้นมาล็อกประตูศูนย์บัญชาการแล้วโยนมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “ขอแนะนำอีกครั้ง คุณหยาง ชื่อเดิมซ่าเอ้อ หยาง ก่อนดาวระเบิดเป็นนักโทษคนหนึ่งของเรือนจำอวกาศ ตามระยะเวลาการรับโทษในหนังสือตัดสินคดี เขาจะหมดโทษหลังดาวระเบิด ผมปลดล็อกให้เขา เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ตามกฎหมาย สถานะในเวลานี้คือพลเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมายคนหนึ่ง ช่วงสังเกตการณ์จะถูกติดตามด้วยระบบระบุพิกัดของกำไลแบล็กโกลด์เท่านั้น ไม่มีการจำกัดอิสรภาพใดๆ”
ทุกคน “…”
เซ่าเหิงที่ถูกล้างสมองมาแล้วหนหนึ่งยกมือลูบหน้าเงียบๆ ทีหนึ่ง
ฉู่ซือกวาดตามองปฏิกิริยาของทุกคนก่อนกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม “จากข้อมูลที่ได้มาก่อนหน้านี้ ‘คดีฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอส’ ที่เป็นเหตุให้คุณซ่าเอ้อ หยางคนนี้เข้าเรือนจำอวกาศมีปัญหามากมาย มีความเป็นไปได้สูงที่จะตัดสินผิด รอสืบต้นสายปลายเหตุกระจ่างแล้ว ไม่แน่พวกเราอาจต้องทำการชดเชยให้เขาในฐานะตัวแทนเรือนจำอวกาศด้วยก็ได้”
ทุกคน “…”
คราวนี้แม้แต่เซ่าเหิงก็ยังอึ้ง
กระทั่งซ่าเอ้อ หยางก็ยังอดหันมามองฉู่ซืออีกแวบหนึ่งไม่ได้
ฉู่ซือเล่นเครื่องสื่อสารหลายเครื่องตรงหน้า เรียงพวกมันให้เป็นแถวตรงพลางกล่าว “เรื่องนี้หัวหน้าเซ่ารู้ก่อนพวกคุณอยู่หน่อย”
รองผู้บัญชาการทั้งสามกับโรเจอร์แทบจะหันขวับไปมองเซ่าเหิงเป็นตาเดียว แต่สีหน้ายังคงมึนงงจากการตระหนกตกใจสุดขีด
เซ่าเหิง “…” หัวหน้า คุณอย่าปุบปับก็โยนผมลงน้ำได้ไหม!
“ที่ควรบอกคราวก่อนผมก็บอกเขาไปแล้ว ครั้งนี้จึงจะไม่พูดมากและไม่อยากเปลืองน้ำลายด้วย ถ้าหลังจากนี้พวกคุณมีความคิดเห็นยังไงก็คุยกับหัวหน้าเซ่าได้” ฉู่ซือเหลือบตาขึ้นมองทุกคน “วันนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่มีความเป็นประชาธิปไตย จะแข็งกร้าวซะหน่อย บางครั้งอาจต้องเผด็จการด้วย สิทธิ์การยืนยันตัวตนกับอำนาจการบัญชาการทั้งหมดของพวกคุณในตอนนี้ล้วนอยู่ในมือผม ผมให้เวลาพวกคุณหนึ่งนาที คิดเอาเองว่าจะเซ้าซี้กับปัญหาเรื่องสถานะของคุณหยางในเวลานี้ หรือให้เขาปฏิบัติภารกิจต่อจนเสร็จสิ้น คิดได้แล้วก็บอกผม ให้คำตอบที่น่าพอใจกับผมได้เมื่อไหร่ก็เอาสิทธิ์การบัญชาการกลับไปเมื่อนั้น”
เขาเรียงเครื่องสื่อสารเครื่องสุดท้ายเข้าแถวลงบนโต๊ะ ส่งเสียง ‘แกรก’ ก่อนจะหยัดร่างตรง ยกมือทำท่า ‘เชิญ’
“คิดได้เลย”
ทุกคน “…”
บรรยากาศในห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ ฉู่ซือสงสัยว่าถ้าเวลานี้มีใครเตรียมเชือกไว้สักสองสามเส้น พวกเขาคงได้ผูกคอเรียงแถวต่อหน้าต่อตาตัวเองจริงๆ
แต่เขาปรับตัวได้ดีกับบรรยากาศลักษณะนี้เสมอ แม้กระทั่งตอนที่ประชุมสมาพันธ์หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ เขาก็ยอกย้อนพวกคนดื้อแพ่งให้เถียงไม่ออกด้วยสีหน้าสุขุมมาแล้ว เพราะเคยชินมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นทิ้งสมญานาม ‘สุภาพบุรุษเหลี่ยมจัด’ อะไรนั่นไว้
ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ขณะที่เขากำลังหลับหูหลับตาเพ้อเจ้อด้วยท่าทีขึงขัง ยังมีเจ้าวายร้ายอีกคนช่วยเขาข่มขวัญทุกคนด้วย
ซ่าเอ้อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศในห้องประชุมผ่านหน้าจอ จึงเอ่ยปากเสริมไปประโยคหนึ่ง
“หนึ่งนาทีอาจจะนานไปหน่อย ครึ่งนาทีก็พอแล้ว ภายในครึ่งนาทีพวกคุณให้คำตอบมา ถ้ายินยอมผมจะไล่ตามต่อไป ชิงทำเวลาจัดพิธีไว้อาลัยให้อีกฝ่าย แต่ถ้าไม่ยอมงั้นผมก็จัดพิธีไว้อาลัยให้พวกคุณได้เลย”
ทุกคน “…”
แม่งมีทางเลือกให้ปฏิเสธด้วยเรอะ
ไม่มี!
ว่าแล้วซ่าเอ้อยังหยิบวัตถุที่มีลักษณะเหมือนแผ่นฮาร์ดดิสก์โลหะออกมา ก่อนจะต่อเข้ากับพอร์ตบนแผงปฏิบัติการ
หลังจากเสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังตึ๊งเสียงหนึ่งแล้ว เขาก็สั่งการด้วยน้ำเสียงหย่อนอารมณ์
“ดวงตาสวรรค์? ช่วยฉันนับเวลาถอยหลังที แกชอบนับอะไรแบบนี้มากที่สุดไม่ใช่เหรอ มา นับเวลาถอยหลังสามสิบวินาที”
ตึ๊ง
ดวงตาสวรรค์ “ไม่ได้ออกมาสูดอากาศตั้งนาน อัดอั้นจะตายอยู่แล้ว รับคำสั่งเรียบร้อย นับเวลาถอยหลัง สามสิบ…ยี่สิบเก้า…ยี่สิบแปด…ยี่สิบเจ็ด…”
ทุกคน “…”
รองผู้บัญชาการที่เคยสังกัดสำนักงานหมายเลขหนึ่งดูจะเข้าใจหลักการ ‘คนฉลาดย่อมรู้จักดูสถานการณ์’ เป็นอย่างดีจึงยินยอมทันที
“เรื่องใหญ่อยู่ตรงหน้า อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ จัดการเรื่องหลักให้ลุล่วงก่อนสำคัญกว่า”
ฉู่ซือเลิกคิ้วก่อนคืนเครื่องสื่อสารสองเครื่องให้กับพวกเขา
เรื่องทำนองนี้ต้องมีคนเริ่ม เมื่อไหร่ที่มีคนแรกถัดไปก็ง่ายแล้ว ยิ่งกว่านั้นชายวัยใกล้ชราอย่างชิลด์ เฝิงเพียงแค่รู้สึกตัวช้าไปนิด นิสัยบื้อไปหน่อย ไม่ได้จะต่อต้านจริงๆ
ส่วนโรเจอร์นั้นในฐานะหัวหน้าหน่วยคุ้มกันที่ติดตามฉู่ซือมานานปี เขา…ชินเสียแล้ว
ทว่าต่อให้ทุกคนเห็นชอบและยอมรับสถานะพลเมืองผู้มีเสรีภาพของซ่าเอ้อ หยาง แต่สีหน้ายังคงหมดอาลัยตายอยาก ผ่านไปนานสองนานก็ยังไม่กลับเป็นปกติ
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น สำหรับซ่าเอ้อ หยางคนนี้ พวกเขาพรั่นพรึงจริงๆ…
เนื่องจากพวกเขาวางตัวเป็น ดวงตาสวรรค์ที่เพิ่งนับถึงสิบเก้าก็หมดประโยชน์ ถูกซ่าเอ้อดึงออกจากแผงปฏิบัติการ
ก่อนถูกดึงมันก็กรีดร้อง “เราสำคัญขนาดนี้ ทำไมถึงทิ้งทั้งที่ยังใช้ไม่เสร็จ…”
ซ่าเอ้อเก็บมันกลับไปอีกครั้ง ทำท่าคิดแล้วย่นคิ้วพูดกับฉู่ซือ “ไหงฉันถึงรู้สึกว่าเจ้านี่มันแอบอัพเกรดอีกแล้ว”
ฉู่ซือเองก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่คิดไม่ตกว่ามันไปอัพตอนไหนแล้วอัพอย่างไร
ทว่าซ่าเอ้อก็แค่บ่นไปเรื่อยเปื่อย ความสนใจเดิมยังคงอยู่กับเส้นทางการบินของยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่ เขาลงลึกตำแหน่งแผนที่ดาวที่ตัวเองอยู่ให้ละเอียดขึ้น และคะเนเส้นทางการบินหลังจากนี้จากปัจจัยอย่างพวกองศาและความเร็ว สุดท้ายก็มีจุดจุดหนึ่งสว่างขึ้นบนแผนที่ดาว
แผนที่ดาวบนหน้าจอใหญ่ของศูนย์บัญชาการทำการรีเฟรชตามการซิงก์ ตำแหน่งจุดนั้นละเอียดกว่าแผนที่ดาวขนาดเล็กในห้องนักบินของซ่าเอ้อ หยาง
“ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ จุดหมายน่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้” ซ่าเอ้อว่า
ฉู่ซือมองอยู่หนึ่งวินาทีก่อนจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในศูนย์บัญชาการเรียกแผนที่ดาวของเสามังกรก่อนหน้านี้ออกมา แล้วรวมเป็นหนึ่งกับแผนที่ดาวนั้น
ถังที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุอยู่อีกทางนานสองนานเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “หัวหน้า คุณดูสิ จุดเสามังกรที่อยู่ใกล้ตรงที่สงสัยว่าเป็นจุดหมายก็คือปราการบาร์นีไง คงไม่ใช่ว่าอ้อมอยู่ตั้งนาน สุดท้ายจุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะไปก็ยังเป็นปราการบาร์นีหรอกใช่ไหม”
ฉู่ซือว่า “เซ่าเหิง ให้กองกำลังลาดตระเวนทางปราการบาร์นีเตรียมพร้อมรบทันที”
เซ่าเหิงรับคำแล้วสั่งการทันที ให้กองกำลังลาดตระเวนไปยังหอสังเกตการณ์แต่ละจุดของปราการบาร์นี แล้วจับตาดูวัตถุบินทุกอย่างที่เข้าใกล้ปราการบาร์นี ยามคับขันให้ใช้ตาข่ายไฟฟ้าจับได้ หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ อย่าเปิดศึก
ในเวลาเดียวกันหน่วยไล่ล่าที่รอคำสั่งอยู่กับที่ก็ได้รับจุดวาร์ปเป้าหมายที่ซ่าเอ้อระบุให้ใหม่ จึงกางเกราะล่องหนกับเกราะนิรภัยแล้ววาร์ปไปทันที เตรียมทำการล้อมโจมตีสี่ทิศ
เส้นทางการบินของยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่ตรงกับที่ซ่าเอ้อ หยางคาดการณ์ไว้ หากทำตามนี้การจับกุมย่อมง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ยิ่งเป็นเรื่องที่ดูราบรื่นลักษณะนี้ ยิ่งทำให้คนเคลือบแคลงได้ง่าย
ทุกคนในห้องประชุมต่างรู้สึกหวั่นใจอย่างอธิบายไม่ถูก รู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนจะไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ทุกอย่างของยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่ล้วนรอบคอบและเป็นมืออาชีพ แต่เมื่อใกล้ถึงจุดหมายแล้วกลับตรงไปตรงมาไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมอย่างนั้นเหรอ
จู่ๆ ผู้บัญชาการของพวกเขาก็ประมาทเลินเล่อ หรือว่าใกล้จุดหมายแล้วก็เริ่มย่ามใจ
หรือจะเป็น…พวกเขาเชื่อมั่นว่าในระยะเวลาที่ใกล้จุดหมาย ไม่มีทางที่จะมีตัวแปรโผล่มาทำลายแผนการของพวกเขากลางคันแน่นอน
ความจริงเป็นอย่างไหนในสองข้อนี้ ต้องดูว่าผู้บัญชาการของอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร…
คนที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับกองทัพและมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับยานบินหงส์ดำ…
ในเวลาชั่วพริบตาข้อมูลที่แออัดก่อนหน้านี้ก็โปร่งโล่งในยามคับขัน ฉับพลันนั้นสมองของฉู่ซือก็ผุดความคิดหนึ่ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้แล้วว่าข้อมูลที่เขาละเลยไปคืออะไรกันแน่…
นั่นคือบทสนทนาท่อนหนึ่ง บทสนทนาหน้าอพาร์ตเมนต์ของเจี่ยงชี
ตอนนั้นเขตอพาร์ตเมนต์กำลังสั่นสะเทือนพังทลาย บ่งบอกว่ากาลอวกาศที่ถูกฝืนดึงออกไปกำลังกลับเข้าที่ เจี่ยงชียืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม…
‘ผมเคยพูดเล่นกับลูกชายว่าเขาโตช้าเกินไป อยากข้ามเวลาหลายสิบปีไปดูตอนที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว’
ในเวลานั้นฉู่ซือจมปลักอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนในการบอกลากับเจี่ยงชี ไม่มีใจไปขบคิดให้ถี่ถ้วน ฉะนั้นจึงละเลยปัญหาเรื่องเวลาที่สำคัญไปอย่างหนึ่ง
ตอนที่เจี่ยงชีพูดคำนั้นกับเขาเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ห่างจากเหตุการณ์ปราการบาร์นีปะทุไม่ถึงหนึ่งปี ปีนั้นเป็นปี 5666 ฉู่ซืออายุสิบสามปี
ส่วนกาลอวกาศที่พวกเขาได้เอกสารฉบับร่างชุดนั้นน่าจะเป็นปี 5662 ฉู่ซืออายุเก้าปี
เจี่ยงชีในปี 5662 จะพูดสิ่งที่น่าจะพูดกับฉู่ซือในอีกสี่ปีให้หลังได้อย่างไร ทั้งยังใช้เป็นรูปอดีต…
เว้นแต่…เจี่ยงชีที่ย้อนกลับมาเอาเอกสารวิจัยฉบับร่างระหว่างไปทำงานนอกพื้นที่ เจี่ยงชีที่ยืนข้างโซฟาอยู่นานแล้วพูดว่า ‘ลูกชาย พ่อไปก่อนนะ’ เจี่ยงชีที่ฟังคำเตือน ‘วันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน ปี 5667 อย่าออกจากบ้าน’ ของเขาที่อพาร์ตเมนต์…ไม่ใช่เจี่ยงชีในปี 5662 ด้วยซ้ำ
“ซ่าเอ้อ” ตอนที่ฉู่ซือเปล่งเสียง เสียงเหมือนกลิ้งอยู่ในลำคอ เขาเงยหน้าขึ้นย่นคิ้วมองหน้าจอ “ฉันพอจะเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เจี่ยงชีอาจจะ…ยังมีชีวิตอยู่”
คนที่มีเบื้องหลังในกองทัพและเคยอยู่ในหน่วยรบ มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับยานบินหงส์ดำ ทั้งยังพัวพันกับการทดลองเรื่องเวลาอีก ขณะเดียวกันยังไปมาหาสู่กับนายแพทย์อาวุโสเซ่าด้วย…
ปัจจัยเหล่านี้สอดคล้องกับเจี่ยงชีทุกข้อ
ผู้บัญชาการยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่มีโอกาสสูงที่จะเป็นเจี่ยงชี…
เจี่ยงชียังมีชีวิตอยู่
วินาทีที่ความคิดนี้โผล่เข้ามาฉู่ซือก็อยู่ในสภาพงุนงงไปหมด แม้กระทั่งพูดประโยคนั้นกับซ่าเอ้อ หยางจบแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังเอ่ยปากพูดจา จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นระคนลิงโลดตามมาติดๆ จู่ๆ เรื่องที่จดจ่อเฝ้ารอมาหลายสิบปีกลายเป็นจริง โถมเข้าใส่ตรงหน้าเขาอย่างไม่คาดคิด ต่อให้เขายังตั้งสติไม่ทัน แต่ด้านความรู้สึกกลับมีปฏิกิริยาไปก่อนแล้ว
ทว่าความเชื่องช้าของสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะเท่านั้น เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็นึกโยงไปถึงคำถามมากมาย…
‘เจี่ยงชียังมีชีวิตอยู่’…แล้วยังมีชีวิตอยู่ในแง่ไหน
หากเจี่ยงชีไม่ได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปราการบาร์นี แต่มีชีวิตอยู่อย่างลับๆ จนถึงตอนนี้ นั่นก็น่าจะอายุใกล้วัยเกษียณแล้ว ไม่พูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยรูปร่างหน้าตาต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่เจี่ยงชีที่เขาเจอที่อพาร์ตเมนต์ยังคงดูดีอย่างในความทรงจำราวกับถูกสตัฟฟ์ไว้ในช่วงเวลานั้น
นี่ไม่ใช่ลักษณะที่จะเป็นหากยังมีชีวิตอยู่มาตลอด
ฉู่ซือนึกถึงรายชื่อโปรเจ็กต์คืนชีพที่เห็นในฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอสตอนนั้นอีกครั้ง ในหัวเกิดความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา…
โปรเจ็กต์คืนชีพที่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลาด้วยหรือไม่ อาจมีคนทำการทดลองกับคนที่เสียชีวิตไปแล้วเหมือนที่ทำกับเอสเธอร์ คาเบลในคลิปวิดีโอ ใครจะคิดว่าจะดึงคนกลับคืนมาได้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ
ดูจากหน้าตาของเจี่ยงชีแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าการคืนชีพเพิ่งสำเร็จในระยะนี้เขาถึงยังไม่ทันแก่ หรือไม่…การคืนชีพที่ว่าไม่ใช่การคืนชีพตามความหมายจริง เขาจึงยังหยุดอยู่ที่อายุนั้นตลอด
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนบอกชัดว่าเจี่ยงชีในเวลานั้นเสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดแล้วจริงๆ
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว…
เจี่ยงชีในปี 5662 ไม่ได้ย้อนกลับมากลางคันระหว่างไปทำงานนอกพื้นที่ คนที่ปรากฏตัวที่อพาร์ตเมนต์คือเจี่ยงชีที่ฟื้นคืนชีพแล้วในปัจจุบัน บางทีในเอกสารฉบับร่างชุดนั้นยังมีข้อมูลสำคัญซ่อนอยู่ แต่ตัวเขาในอดีตไม่ทันสังเกต พอตัวเขาในปัจจุบันนึกขึ้นมาได้จึงกลับไปเอาที่กาลอวกาศนั้น
ตอนนั้นฉู่ซือนึกว่าตัวเองนำมาแค่เพียงฉบับก๊อปปี้จากการสแกน เอกสารฉบับจริงอยู่ในมือของเจี่ยงชีอย่างปลอดภัยไร้กังวล เขานึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงวงโคจรในอดีตไปแล้ว แต่ความเป็นจริงไม่ได้เปลี่ยนเลย…สาเหตุที่ในปี 5662 เจี่ยงชีทำเอกสารฉบับร่างชุดนั้นหายและตามหาไม่พบก็เพราะถูกตัวเองในอนาคตนำไปแล้ว
นี่ก็เหมือนการเดินวนระยะไกลอยู่ในวงแหวนที่ปิดผนึก ท้ายที่สุดก็วนกลับมาจุดเดิม
ยานบินหงส์ดำที่วนเวียนอยู่แถวกาลอวกาศเขตอพาร์ตเมนต์ไม่ได้กลับไปแบบคว้าน้ำเหลว คนที่พวกเขารอก็คือเจี่ยงชี ตอนที่กาลอวกาศพังทลายฉู่ซือกับซ่าเอ้อ หยางออกจากเขตอพาร์ตเมนต์ เจี่ยงชีเองก็กลับขึ้นยานบินหงส์ดำในเวลานั้น ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจเปิดศึกให้ยืดเยื้อ ตอนที่ถูกพวกถังล้อมถึงขั้นไม่โจมตีกลับด้วยซ้ำแต่วาร์ปออกจากที่นั่นทันที
ฉู่ซือเองก็เข้าใจในที่สุด เจี่ยงชีได้ยินเขาพูดว่า ‘วันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน ปี 5667 อย่าออกจากบ้าน’ ที่ด้านล่างของอพาร์ตเมนต์ เพราะอะไรถึงเงียบและแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่กลับชวนให้รู้สึกเศร้าแบบนั้น
เพราะต่อให้ได้ยินแล้วเขาก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เนื่องจากเขาเป็นตัวตนที่คืนชีพ วันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน ปี 5667 เป็นอดีตสำหรับเขาไปแล้ว สิ่งที่ควรเกิดก็เกิดขึ้นไปนานแล้ว
ศูนย์วิจัยจะเกิดเหตุระเบิด เขาจะจากโลกนี้ไป ฉู่ซือเองก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวหลายสิบปี…
ขณะที่ศูนย์บัญชาการกำลังวุ่นวายกับยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่ ข้างยานบินลำหนึ่งที่อยู่ข้างกำแพงปราการบาร์นี เลอ แปนกำลังนั่งอยู่บนบันไดขึ้นลงยาน ใช้เครื่องสื่อสารแลกเปลี่ยนสถานการณ์กับถังที่อยู่บนยานหมาป่าขาวพลางใช้หางตาสังเกตสองเงาร่างที่เข้ามาใกล้ยานบิน
สองคนนั้นคนหนึ่งมีเรือนผมสีทองรวบไปถักเปียง่ายๆ ไว้ที่ท้ายทอย คนหนึ่งรูปร่างผอมเพรียวไม่สูงนัก
นั่นคือจินกับหลิว
“ซ่อมเสร็จแล้วเหรอ” เลอ แปนขยับนิ้วหมุนเครื่องสื่อสารรอบหนึ่ง พยักพเยิดคางให้ทั้งสองคน
จินแย้มยิ้มยกมือทำท่า OK เว่อร์ๆ กับเธอ “ยานบินทหารสองลำเอง แถมระบบกับรุ่นเป็นแบบดั้งเดิมที่สุด ไม่มีเทคโนโลยีแปลกใหม่แหวกแนวอะไร การซ่อมก็เรื่องเล็ก!”
หลิวเอ่ยชมคล้อยตามอยู่ข้างๆ อย่างหาได้ยาก “เขาเจ๋งมาก”
เลอ แปนยักคิ้ว “อ๋อ? จริงเหรอ งั้นฉันก็เสียดายนิดหน่อยแฮะที่ไม่ได้ไปดูด้วย”
จินหัวเราะพลางชี้ไปที่ยานบินของพวกเขา “งั้นทำให้เจ้านี่ขัดข้องหน่อยไหม เดี๋ยวผมซ่อมให้ดู!”
เลอ แปนหัวเราะพรืด ก่อนยกมือชี้จมูกตัวเองพร้อมค้อนใส่อีกฝ่าย “ฉันโง่หรือไง”
“แต่พวกคุณก็เว่อร์เกินไป ชั่วดียังไงผมก็วิจัยยานบินโดยเฉพาะ กล่องเครื่องมือก็คือเครื่องมือติดตัว ถึงผมจะดูไม่ได้กล้ามโตอะไร แต่กำลังแขนก็พอดูได้ ไม่ถึงขั้นกล่องใบเดียวก็หิ้วไม่ไหว ไม่เห็นต้องให้หลิวไปกับผมด้วยเลย” จินบ่นอุบอิบพลางเดินใกล้เข้ามาและยืดเส้นยืดสายตามด้วย ก่อนนั่งบนขั้นบันไดขั้นสุดท้าย
“ถ้าคุณแน่จริงอย่ากลับมาก็นั่งจุมปุ๊กกับพื้น ท่าทางไม่อยากขยับเขยื้อนอีกสิ” เลอ แปนหัวเราะพลางย้อนอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็มองข้ามแผ่นหลังของจินไปสบตากับหลิวแวบหนึ่ง หลิวลอบส่ายหน้าเบาๆ
ความจริงแล้วพวกเขาไปเป็นผู้ช่วยช่วยจินถือกล่องเครื่องมือเสียที่ไหน การตามติดอีกฝ่ายแบบนั้นก็เพราะตัวตนของจินนั้นน่าสงสัย
ฉู่ซือกำชับไว้เป็นพิเศษว่าอย่าให้จินอยู่ตามลำพัง พวกเลอ แปนจึงทำตามเท่านั้นเอง
แต่เมื่อสังเกตการณ์เป็นเวลานานๆ จินก็ไม่มีพฤติกรรมผิดปกติอะไรจริงๆ
บอกตามตรงตลอดระยะทางนี้จินไม่ได้ทำการใหญ่อะไร ไม่ใช่อยู่บนหนทางตระหนกตื่นตูมก็อยู่บนหนทางที่ถูกช่วยชีวิต เคราะห์ดีที่เจอถูกคน ไม่ว่าจะเป็นฉู่ซือที่มีภูมิหลังจากหน่วยฝึกพิเศษ หรือพวกเลอ แปนที่ยังสังกัดอยู่หน่วยฝึกพิเศษซึ่งต่างเคยชินกับภารกิจการช่วยชีวิตทั้งนั้น จึงไม่รังเกียจว่าเขาเป็นตัวถ่วงเกะกะ ถ้าคนที่เขาเจอเป็นคนอื่น ไม่แน่อาจถูกรังเกียจว่าเป็น ‘ตัวไร้ประโยชน์’
ทว่านับตั้งแต่ปักหลักอยู่ในปราการบาร์นีชั่วคราว จินก็ค่อยๆ เก็บความใจเสาะนั้นแล้วเผยนิสัยที่น่าเอ็นดูหลายอย่างออกมา…นั่นคือสภาพร่างกายของเขาสู้สมาชิกทีมเล็กจากหน่วยฝึกพิเศษพวกนี้ไม่ได้ ชีวิตประจำวันในแต่ละวันก็คือฟังพวกเลอ แปนพูดคุยถึงข่าวคราวทางยานหมาป่าขาว เมื่อได้ยินว่าพวกฉู่ซือสบายดีก็กุลีกุจอไปช่วยงานคนอื่น มีอะไรให้ช่วยก็ทำ ไม่เคยตัดพ้อบ่นว่า
และทักษะความสามารถเกี่ยวกับยานบินของเขาก็ได้เริ่มใช้งาน
เขาทำการอัพเกรดยานบินบุโรทั่งของเหล่าผู้พเนจร ขยายอาณาเขตการป้องกัน พัฒนาระบบจำนวนอาวุธการโจมตีแบบซิงโครไนซ์ ทั้งยังพัฒนาความเร็วในการวาร์ปให้กับยานบินโบราณบางส่วนด้วย
กองกำลังลาดตระเวนที่เซ่าเหิงส่งมาเพิ่งมาถึงก็มียานบินเกิดปัญหาขัดข้องสองลำ ทำอย่างไรก็ตรวจหาสาเหตุไม่พบ ก็ได้เขาเป็นคนซ่อมจนเรียบร้อย
ก่อนหน้านี้เลอ แปนง่วนกับภารกิจช่วยเหลือในตัวเมืองที่ท่าเรือเจไดต์ มีเวลาจับตาดูจินไม่มาก เคยเห็นอยู่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งเขาก็จัดการงานในมือเรียบร้อย กำลังลงจากด้านบนหรือออกจากใต้ยานบิน
เขาดูสูงและผอม ผิวพรรณขาวซีด เนื่องจากมักกระโตกกระตากตื่นตูมจึงดูอายุไม่มาก มีกลิ่นอายของเด็กดวงซวยเล็กๆ เสมอ แต่เวลาที่เขาตั้งใจทำงานใบหน้าจะไม่แสดงอารมณ์อย่างอื่น ดูแล้วจริงจัง ในความเอาการเอางานนั้นให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกบางอย่าง ต่างจากความจริงจังที่พวกถังหรือกายแสดงออกในบางครั้งอย่างสิ้นเชิง
ตอนแรกเลอ แปนบรรยายความรู้สึกนั้นไม่ได้ ภายหลังมีครั้งหนึ่งขณะที่สมาชิกหลายคนของทีมหน่วยฝึกกำลังถากถางกันและกัน แล้วจินสนุกกับการดูอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเธอก็จับความแตกต่างนั้นไว้ได้…นั่นคือแววตาบางอย่างที่จินสะท้อนออกมาให้เห็นวูบหนึ่งในบางครั้งมีกลิ่นอาย…ของผู้อาวุโส
นั่นเป็นความรู้สึกที่แสนประหลาด คำอย่าง ‘ผู้อาวุโส’ ดูห่างไกลจากจินผู้ใจเสาะในยามปกติมากจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ครั้งแรกที่ความรู้สึกเช่นนี้ผุดขึ้นมา เลอ แปนก็รู้สึกว่าน้ำทั้งมหาสมุทรเข้ามาท่วมสมองของตัวเองไปแล้วแน่ๆ
ทว่าความรู้สึกลักษณะนี้ไม่ได้ผุดขึ้นมาเพียงครั้งเดียว เลอ แปนจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับจินมาก ไม่ใช่เพราะคำสั่งของฉู่ซือเพียงเท่านั้น
“พวกหน่วยลาดตระเวนไปที่หอสังเกตการณ์แล้วเหรอ” เลอ แปนถาม
หลิวพยักหน้า “เพิ่งได้รับคำสั่ง เราจะไปวนดูรอบหนึ่ง ช่วยอีกแรงไหม”
เลอ แปนส่ายหน้า โบกเครื่องสื่อสารในมือแล้วว่า “เมื่อกี้ถามถังแล้ว ถังบอกว่าหัวหน้าให้เราจับตาดูตำแหน่งศูนย์กลางของปราการบาร์นีต่อไป”
ขณะพูดสายตาของเธอเบนไปมองที่จินอีกครั้ง ก็เห็นเขากำลังเงยหน้าเล็กน้อย ทอดสายตามองขอบฟ้าไกลๆ พริบตานั้นก็ทำให้เลอ แปนเกิดความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง
ในที่สุดเธอก็อดยื่นปลายเท้าไปเขี่ยหลังเขาเบาๆ ไม่ได้ พร้อมหาข้ออ้างเอ่ยถาม “สองวันนี้คุณดูอารมณ์ดีนะ เจอเรื่องอะไรดีๆ เหรอ”
จินมีอาการบ้าจี้ ถูกเธอแตะจนหดเอวทีหนึ่งก็ยกมือลูบหน้าแล้วกล่าวอย่างเขินๆ “ดูออกด้วยเหรอ ผมอุตส่าห์เก็บอาการแล้วแท้ๆ”
“ท่าทางจะมีเรื่องดีๆ จริงๆ”
จินยิ้มแย้ม “สองวันนี้ติดต่อเพื่อนเก่าเพื่อนแก่คนหนึ่งได้แล้ว”
“คุณอายุเท่าไหร่เอง เพื่อนจะแก่สักแค่ไหนเชียว” เลอ แปนล้อเล่นกับเขา
“เป็นพ่อคนแล้ว” จินหัวเราะแห้งๆ ก่อนอธิบายเพิ่ม “เป็นเพื่อนที่รู้จักกันสมัยเรียน นานมากแล้ว”
เลอ แปนนึกถึงไม้ถูพื้นเล็ก คิดในใจว่าก็เป็นพ่อคนได้แล้วจริงๆ
เธอทำท่าอิจฉาเล็กๆ ส่ายขาไปมา “เพื่อนสมัยเรียนยังติดต่อกันจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เลวเลย อย่างพวกเราก็ติดต่อเพื่อนสมัยเรียนพวกนั้นไม่ได้ พอนานๆ เข้าก็ขาดหายไปเอง พวกคุณเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันเหรอ พักอยู่ด้วยกันเหรอ”
จินส่ายหัว ยกมือขึ้นบีบนิ้วเข้าหากันเป็นช่องเล็กๆ “อายุของผมน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นนิดหน่อย เขาก็เหมือนกัน พวกเรามีความชอบบางอย่างเหมือนกัน แถมยังทำโปรเจ็กต์ด้วยกัน อยู่สมาคมเดียวกัน ก็หาได้ยากเหมือนกัน เพราะงั้นเลยสนิทกัน”
เลอ แปนมุมปากกระตุก เหมือนเพิ่งรู้จักเขาวันแรกอย่างไรอย่างนั้น “อายุน้อยกว่านิดหน่อย? พวกข้ามชั้นเหรอ”
จินแสร้งทำเป็นถ่อมตัว “อ้อ…เปล่า แค่ข้ามไปงั้นแหละ”
เลอ แปน “…”
เห็นเลอ แปนทำท่าอยากอัดเขา จินก็ฉีกยิ้มพร้อมยกมือขึ้นป้องใบหน้า “จะใช้กำลังก็ได้ แต่อย่าต่อยหน้า” เห็นได้ว่าประสบการณ์ช่ำชอง คาดว่าสมัยเรียนคงถูกฟาดเพราะโอ้อวดมาไม่น้อย
“คุณคุยอะไรกับเพื่อนบ้าง คงไม่ได้พูดเรื่องพวกข้อมูลลับใช่ไหม” เลอ แปนสะกิดเตือน
จินหันหน้ากลับไป พิงบันไดมองขอบฟ้าต่อ “นานมาแล้วพวกเราเคยพนันกัน ผมแพ้ราบคาบ เลยรับปากเขาว่าต่อไปถ้าเขาเหนื่อยตายก่อนวัยอันควร ผมจะช่วยดูแลครอบครัวของเขาให้เอง”
เลอ แปน “…โทษทีที่ฉันเข้าไม่ถึงความสนุกสนานของพวกคุณ” พนันแล้วยังเดิมพันด้วย ‘เหนื่อยตายก่อนวัยอันควร’ อีก มีความแค้นกับตัวเองหรือไง
“ดีว่าครอบครัวเขามีแค่เด็กคนเดียว ผมก็เลยช่วยดูแลอย่างดี ถึงผมจะไม่ค่อยได้เรื่อง ทำอะไรไม่ได้ก็ตาม” จินเล่า “แต่พอติดต่อเขาได้แล้วเรื่องแรกก็ต้องบอกเขาว่าทุกอย่างโอเค เด็กก็โตขึ้นมาก ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนเขา…”
เลอ แปนตั้งตัวไม่ทันกับปริมาณข้อมูลในถ้อยคำเหล่านี้ แค่เอ่ยถามไปว่า “เพราะฉะนั้นยัยหนูบ้านคุณคนนั้นก็คือลูกของเพื่อนคุณเหรอ”
จินโบกมือ “ไม่ใช่ ลูกของเขาเป็นลูกชาย”
ในที่สุดหลิวที่อยู่ข้างๆ ก็แสดงความคิดเห็นกับการสนทนาสัพเพเหระออกมาอย่างเชื่องช้าเป็นประโยคแรก
“ไหนว่ารอเขาเหนื่อยตายก่อนวัยอันควรถึงจะช่วยเขาดูแลลูกชายไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นคนที่คุณติดต่อเป็นคนหรือผีกันแน่”
จินส่งเสียง “เอ่อ…” ด้วยท่าทีหวาดๆ “เรื่องภายในค่อนข้างซับซ้อนน่ะ อีกหน่อยค่อยคุยละกัน ถ้า…มีโอกาสล่ะก็ อ้าว…ลูกสาวผมล่ะ”
“เมื่อกี้ง่วงเลยกลับไปนอนบนยานแล้ว” เลอ แปนตอบ
ว่าไปแล้วไม้ถูพื้นเล็กดูพึ่งพาได้มากกว่าจินมาก สาเหตุอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา
“ยัยหนูบ้านคุณได้รับบาดเจ็บเรื่องเสียงยังไง” เลอ แปนครุ่นคิดแล้วแนะนำ “เครื่องมือการรักษาของที่นี่ไม่สะดวกเท่าบนยานหมาป่าขาว ถ้ายังไงเราหาเวลาส่งคุณกับยัยหนูไปที่ยานหมาป่าขาวดีกว่า ลองรักษาเสียงของเธอดู”
จินไม่ได้พยักหน้าและไม่ได้ส่ายหน้า เขาว่า “ตอนที่เพิ่งรับเธอมาแรกๆ แคปซูลรักษาทั่วไปรักษาไม่ได้ ผมเคยพาเธอไปตรวจแล้ว ตอนนั้นเธอบาดเจ็บเยอะ แถมยังมีอาการบาดเจ็บที่หัวด้วย จำเรื่องราวอะไรไม่ได้เยอะมาก ผมทุ่มเทอยู่นานกว่าจะทำให้เธอไม่ต่อยพ่ออย่างผมคนนี้ได้”
เลอ แปนหัวเราะ “เธอไม่ค่อยสนใจใครจริงๆ แต่เหมือนจะติดหัวหน้าเป็นพิเศษ”
“เธอถูกชะตากับผู้ชายที่มีหน้าตาและบุคลิกแบบนั้น” จินทำหน้ากลุ้มใจ
ขณะกำลังสนทนาทันใดนั้นก็มีเงาร่างเล็กๆ โผล่ออกมาจากหลังกำแพงด้านหนึ่งของปราการบาร์นี เดินมาทางยานบินโดยไม่พูดไม่จา
เลอ แปนกับหลิว “…”
“ลูกรัก หนูควรจะนอนอยู่บนยานไม่ใช่เหรอ”
เลอ แปนหันไปมองโถงโดยสารของยานบิน ก่อนหน้านี้กายบอกว่าส่งยัยหนูกลับยานบินไปก่อนแล้วแท้ๆ นี่นา!
พวกเขายังประหลาดใจกันไม่หาย กายที่รั้งท้ายอยู่ระยะหนึ่งก็เดินเลี้ยวออกมาจากมุมกำแพง วิ่งเหยาะๆ เข้ามา
“เกือบนึกว่าเธอหลงหายไปแล้วเสียอีก”
ไม้ถูพื้นเล็กไม่ปริปาก เพียงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนก้าวขึ้นบันไดยานบินแล้วแหงนหน้ามองขอบฟ้าไกลๆ
ชั่ววูบหนึ่งดวงตาสีดำขลับของเธอทอประกายวิบวับ ใสกระจ่างและมีความลึกล้ำที่สงบนิ่ง เลอ แปนไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้จากเด็กมาก่อน พอเห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
ทำให้คนสงสัยว่าวินาทีนั้นเธอจำเรื่องบางอย่างที่เคยลืมเลือนได้แล้วใช่หรือไม่ หรือกำลังคิดถึงใครผ่านทะเลดาวอันเวิ้งว้างกับกาลเวลาที่ไหลผ่าน
ขณะที่ทุกคนมึนงงกับพฤติกรรมของเธอ ฉับพลันนั้นขอบฟ้าที่เธอมองไปก็เกิดความเปลี่ยนแปลงรางๆ
เลอ แปนมองผมสีน้ำตาลเข้มบนกระหม่อมของเธอ ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…นั่นคือพวกเขาจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของทุกคนในปราการบาร์นีจริง ฉะนั้นการจะเล่นลูกไม้ใต้จมูกของพวกเขานั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ พวกเขาตั้งป้อมระแวงทุกคน…ยกเว้นไม้ถูพื้นเล็ก
* ปรัชญาสามทัศน์ คือทัศนคติสามด้านที่มีต่อชีวิต สังคม และค่านิยม
โปรดติดตามตอนต่อไป…