ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 3 บทที่ 27 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 3 บทที่ 27 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 3

ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)

แปลโดย : Luna

ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆ่าตัวตาย การก่อการร้าย

ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก

มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้อรังและอาการป่วยทางจิต

 ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 27 เตรียมรบเร่งด่วน

 

ณ ศูนย์บัญชาการ เครื่องสื่อสารในมือฉู่ซือสั่นกะทันหันทีหนึ่ง

บางครั้งในช่วงเวลาที่แสนสำคัญประสาทสัมผัสของคนมักมหัศจรรย์และแม่นยำ แทบจะทันทีที่มีความเคลื่อนไหวก็จะเกิดลางสังหรณ์แรงกล้าบางอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้

ตอนที่ยังไม่เห็นเนื้อหาของข้อความฉู่ซือก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องราวที่พวกเขาคอยสืบมาตลอดกำลังเปิดม่านทีละเรื่องแล้ว

ข้อความของเลอ แปนมีความรอบคอบสูง ยังคงใช้สำนวนในการคาดเดา แต่ฉู่ซือสัมผัสได้ถึงความตะลึงงันและเหลือเชื่อของเธอขณะส่งข้อความผ่านหน้าจอ…

 

‘หัวหน้า พวกเราลืมคนคนหนึ่งไป…ต่อให้ฟังดูเหลวไหลก็ตาม…ถ้าไม่ใช่ก็ถือเสียว่าฉันพูดเพ้อเจ้อละกัน คุณเคยสงสัยลูกสาวของจินไหม จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าจนถึงวันนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ชื่อของเธอเลย

เมื่อกี้ฉันมองเห็นสีหน้าบางอย่างบนหน้าของเธอที่ไม่สอดคล้องกับอายุของเธอเลย คนที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้ยังมีจินในช่วงสองวันนี้ด้วย หรือว่า…ฉันหมายถึงว่าอาจมีความเป็นไปได้บางอย่างที่พวกเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลา’

 

เรื่องบางอย่างที่ดูเหลวไหลมากๆ ความจริงกลับมีร่องรอยเบาะแสบางอย่างมานานแล้ว ขาดแต่ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนอย่างหนึ่งเท่านั้น

ข้อความนี้ของเลอ แปนก็คือ ‘ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน’ นั้น

ขณะที่กวาดตาอ่านข้อความอย่างว่องไว ผลการคาดเดาก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉู่ซือ…

ต่อให้เขาชอบเรียกจินกับลูกสาวของอีกฝ่ายในใจว่าไม้ถูพื้นใหญ่กับไม้ถูพื้นเล็กด้วยความเคยชินก็ตาม ซึ่งคงเป็นเพราะความทรงจำแรกตราตรึงเกินไป แต่ความจริงแล้วจินเคยบอกชื่อเต็มของตัวเอง…

คืนที่ซ่าเอ้อ หยางถูกดวงตาสวรรค์เหวี่ยงออกจากเรือนจำอวกาศ อีกฝ่ายเคยบอกอยู่ครั้งหนึ่งว่า ‘ผมมีชื่อ จิน เฟอร์กูสัน’

เฟอร์กูสัน…

ทุกอย่างเชื่อมเข้าด้วยกันจากส่วนลึกของความทรงจำโดยปริยาย บนรูปจบการศึกษาของเซ่าตุน คนที่ถูกเจี่ยงชีดึงเก้าอี้ให้ล้มลงที่พื้นแต่ไม่เห็นใบหน้าด้านตรงคนนั้น…เซ่าตุนบรรยายเกี่ยวกับอีกฝ่ายไว้ว่า ‘คนนี้ค่อนข้างซื่อ ขี้กลัว หยอกเข้าหน่อยก็ร้องโหวกเหวกเสียงดัง’ ทั้งยังเคยบอกเกี่ยวกับยานบินหงส์ดำว่า ‘นักออกแบบหลักก็คือเขา เฟอร์กูสัน’

นามสกุลเดียวกัน อุปนิสัยเดียวกัน เกี่ยวข้องกับยานบินเหมือนกัน ทั้งยังปรากฏตัวอยู่ใกล้ตัวฉู่ซืออย่างแปลกประหลาดอีก

ถ้าจะบอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ แม้แต่ผีก็ยังไม่เชื่อ

ถ้าจินก็คือเฟอร์กูสันที่ข้ามชั้นพร้อมกับเจี่ยงชีคนนั้นก็โทษฉู่ซือที่คาดเดาเชื่อมโยงกันไม่ได้เสียที แต่เพราะจินตบตาได้ดีเกินไปตั้งแต่แรกราวกับเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ…ครั้งเดียวที่เผยพิรุธก็คือตอนที่เอ่ยถึงป่าสนซีดาร์ดำว่า ‘บางครั้งพวกเราก็จะแอบมาตั้งแคมป์ที่นี่หลายวัน’ ประโยคนั้น

ส่วนไม้ถูพื้นเล็ก ลูกสาวของจิน…

จริงอย่างในข้อความของเลอ แปน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กหญิงชื่ออะไร

หลังลืมตาตื่นก็ประสบพบเจอกับเหตุการณ์เรื่องแล้วเรื่องเล่า มีเวลาพักหายใจน้อยจนน่าสงสาร พวกเขาไม่มีเวลาถามไถ่สถานการณ์ของเด็กหญิงคนนั้นเลย อาจเพราะเห็นเธอเป็นเพียงเด็กที่ต้องการการปกป้องคนหนึ่งเท่านั้น

จนทำให้ตอนที่ฉู่ซือนึกย้อนถึงข้อมูลของเด็กหญิงคนนั้นแล้วก็นึกได้เพียงน้อยนิด อย่างเช่นเธอพูดไม่ได้เพราะกล่องเสียงเคยบาดเจ็บมาก่อน อย่างเช่นผมของเธอเหมือนจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีดำขลับใสเป็นประกายวับวาว…

ตอนแรกคนที่เขานึกโยงไปถึงโดยทันทีคือเอเลน่า หญิงสาวที่ปรากฏในรูปจบการศึกษาด้วย แนวโน้มทางจิตใต้สำนึกแบบนี้อาจเป็นเพราะเขามักรู้สึกว่าเอเลน่ากับซ่าเอ้อ หยางมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ซึ่งเขาปรารถนาให้ซ่าเอ้อ หยางมีความเกี่ยวข้องกับโลกนี้มากขึ้นอีกหน่อย

แต่พริบตาเดียวเขาก็มีอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูงกว่า…

หากความคิดของเลอ แปนถูกต้อง สารสนเทศในปราการบาร์นีที่สืบหาต้นตอไม่เจอเหล่านั้นก็ล้วนเกิดจากฝีมือของไม้ถูพื้นเล็กที่ถูกทุกคนมองข้าม ถ้าอย่างนั้นเด็กหญิงคนนี้ย่อมเป็นยอดฝีมือทางด้านนี้ เอเลน่าเชี่ยวชาญด้านนี้หรือไม่เขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่ามีคนคนหนึ่งที่ฝีมือร้ายกาจ มีผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนกัน มีดวงตากลมโตที่ใสวาวและเป็นประกายเหมือนกัน ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บที่กล่องเสียงจนเปล่งเสียงไม่ได้เหมือนกัน…นั่นคือเอสเธอร์ คาเบล นักวิจัยที่ปรากฏในคลิปวิดีโอนั้น

เมื่อขบคิดให้ละเอียด แม้รูปร่างหน้าตาในวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่จะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่มาก แต่ก็ยังพอมองเห็นส่วนที่คล้ายกันอยู่บ้าง…

เมื่อตัวตนของคนเหล่านี้ทยอยปรากฏกระจ่างชัดทีละคน ในที่สุดฉู่ซือก็เข้าใจคำพูดประโยคนั้นของเซ่าตุนแล้ว…‘รออีกหน่อย ตอนนี้ยังไม่ต้องให้คนหนุ่มอย่างพวกนายยื่นมือเข้ามาสอด’

หากเทียบกับคนเหล่านี้ พวกฉู่ซือก็ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ

และเพราะนึกถึงคำพูดนั้นของเซ่าตุนอีกครั้ง ในใจเขาก็พลันเกิดความหวังขึ้นมา คนเหล่านี้อาจไม่ได้มีจุดยืนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขาก็ได้ มิหนำซ้ำ…คนเหล่านี้อาจกำลังจัดการปัญหาบางอย่างให้คนรุ่นหลัง

ไม่ต้องสงสัยใดๆ ว่าปัญหานี้เกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลา

แม้จะเป็นเพียงความหวังที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ฉู่ซือก็ยังอยากบอกเล่าทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับซ่าเอ้อ หยางให้กระจ่างเพราะอีกฝ่ายกำลังไล่ล่าคนของยานบินหงส์ดำ

“ซ่าเอ้อ…” วินาทีที่ฉู่ซือเอ่ยปาก ทันใดนั้นหน้าจอของซ่าเอ้อ หยางก็ปรากฏลายเกล็ดหิมะ เสียงจากทางนั้นก็ขาดๆ หายๆ

ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นในห้องนักบินแว่วๆ “…เขตกาลอวกาศ…ขัด…คำเตือน…ปลอดภัย…”

“เกิดอะไรขึ้น!” พวกชิลด์ เฝิงเห็นสถานการณ์นี้แล้วก็เกิดความวิตกกังวล

ทุกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกาลอวกาศมักพัวพันกับปัญหาที่ยากจะคาดเดาเสมอ

ฉู่ซือขมวดคิ้วแล้วสั่งการให้ทีมมอนิเตอร์เพิ่มการเชื่อมต่อคลื่นสัญญาณสื่อสารทันที แต่สถานการณ์ขาดๆ หายๆ ก็ไม่ดีขึ้น

พวกเขามองหน้าจอที่ชะงักค้าง เห็นซ่าเอ้อ หยางหันหน้ามา อ้าปากพูดคำว่า…

“เขตกาลอวกาศผิด…ฉัน…”

ส่วนอีกหน้าจอภาพจากกล้องวงจรปิดภายนอกยานบินลำของซ่าเอ้อ หยางก็หยุดนิ่งอยู่ที่มุมกล้องแปลกๆ เช่นกัน…ชั่วขณะที่กำลังเข้าใกล้เขตปราการบาร์นี ยานบินหงส์ดำเกือบร้อยลำก็กางเกราะบางอย่าง วงแหวนลำแสงสีอ่อนจางเสมือนคลื่นผิวน้ำในทะเลสาบที่กระจายเป็นวงกว้าง ไหวกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นวงหนึ่งท่ามกลางทะเลดาวโดยมียานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่เป็นศูนย์กลาง

ภาพของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ที่อยู่หลังคลื่นวงแหวนบิดเบี้ยวและเลือนราง เหมือนถูกกั้นด้วยกระแสอากาศหรือคลื่นความร้อนชั้นหนึ่ง

ภาพนั้นค้างอยู่ไม่ถึงสองวินาทีจากนั้นหน้าจอก็ดับ ภาพภายในห้องนักบินของซ่าเอ้อ หยางรวมถึงนอกยานบินจึงขาดหายไปด้วย

พริบตานั้นทั้งศูนย์บัญชาการเสมือนเกิดภาพสโลว์โมชั่น…

เจ้าหน้าที่ทีมมอนิเตอร์กดเฮดเซ็ตแล้วส่งสัญญาณฉุกเฉิน แผนที่ยุทธศาสตร์ดวงดาวบนหน้าจอถูกรีเฟรชในเวลาเดียวกัน จุดกลมที่เป็นสัญลักษณ์แทนซ่าเอ้อ หยางรวมถึงยานบินหงส์ดำเกือบร้อยลำหายลับไปทันที

ในเวลาเดียวกันเครื่องสื่อสารของฉู่ซือก็มีข้อความฉุกเฉินที่ปักเอาไว้โผล่มา เนื้อหาไปปรากฏบนหน้าจอโดยตรง…

 

‘หัวหน้า! เมื่อกี้กายพลัดหลงกับลูกสาวของจินแล้ว จากนั้นพวกเราก็เจอข้อความที่ส่งไปให้กองทัพได้อีกหนึ่งข้อความ เนื้อหาคือเตรียมตัวลุกจากที่นอนได้แล้ว ให้เวลาคุณล้างหน้าแต่งตัวสามสิบนาที

อีกเรื่องคือเขตดาวเบื้องหน้าปราการบาร์นีไม่รู้เกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ทั้งผืนก็ยังสั่นสะเทือนไปสามวินาที’

 

เตรียมลุกจากที่นอน…

ลักษณะการพูดจานี้คล้ายคลึงเอสเธอร์ คาเบลที่สดใสเป็นบางครั้งในอีเมลมากจริงๆ

ถ้าเป็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนฉู่ซือที่เห็นเนื้อหาของข้อความที่ถูกส่งไปให้กองทัพอาจจะจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าเวลานี้ ณ ปัจจุบันที่ตัวตนของแต่ละคนรอบข้างต่างเปิดเผยแล้ว วินาทีที่เขาเห็นเนื้อหาของข้อความก็เดาตัวตนของผู้รับสารในกองทัพคนนั้นได้แล้ว

 

ในโถงโดยสารหลักของยานอวกาศกองทัพขนาดกลาง แคปซูลแช่แข็งของบรรดานายทหารระดับพลตรีขึ้นไปตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านใน เสียงทำงานที่คลอเบาๆ ยิ่งขับให้โถงโดยสารเงียบสงัด

วึ้ง

เสียงของเครื่องสื่อสารสั่นดังขึ้นมาทำลายความเงียบ แต่เนื่องจากถูกครอบอยู่ในแคปซูลนิรภัยเสียงจึงฟังดูทุ้ม ทหารเวรยามที่อยู่นอกประตูโลหะบานหนาก็ไม่สังเกตถึงความเคลื่อนไหวนั้น

ในบรรดาแคปซูลแช่แข็งมากมายที่ทำงานอยู่ แคปซูลแช่แข็งเครื่องหนึ่งที่ไม่รู้เปลี่ยนโหมดการทำงานตอนไหน จากอุณหภูมิแช่แข็งก็เปลี่ยนเป็นให้ออกซิเจนต่อเนื่อง

พลเอกเมลลาร์ดผู้มีฐานะเป็นหนึ่งในสามประมุขของกองทัพลืมตาขึ้นใต้กระจกครอบ เขาจับเครื่องสื่อสารในมือขึ้นมาดูเงียบๆ จากนั้นก็ส่งข้อความใหม่ข้อความหนึ่งออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ส่วนข้างๆ แคปซูลแช่แข็งของเขา แคปซูลแช่แข็งที่เมอร์ตันกับเซียวซึ่งเป็นพลเอกอีกสองคนนอนอยู่ในตอนแรกว่างเปล่าไปแล้ว

ครึ่งวินาทีผ่านไปริมโต๊ะประชุมในยานอวกาศอินทรีขาวของกองทัพ เครื่องสื่อสารของเฮ่อซิวเหวินสว่างขึ้น เขาถือโอกาสที่คนอื่นๆ มุ่งความสนใจไปที่แผนที่ยุทธศาสตร์ดวงดาวเหลือบมองหน้าจอแวบหนึ่ง ข้อความใหม่ปรากฏบนหน้าจอเงียบๆ…

 

‘เหนื่อยหน่อยนะ อีกสามนาทีพร้อมรบ เตรียมจับโจรกันได้แล้ว’

 

เฮ่อซิวเหวินใช้นิ้วก้อยปัดเบาๆ หน้าจอก็มืดลงอีกครั้ง จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปยังแผนที่ยุทธศาสตร์ดวงดาว

 

ในเวลาเดียวกันภายในยานหมาป่าขาว ฉู่ซือกำลังสั่งการทีละคำสั่ง

“ทีมมอนิเตอร์ ค้นหาคลื่นสัญญาณสื่อสารของคุณหยางต่อไป!”

“เซ่าเหิง ให้หน่วยไล่ล่าล้อมเขตปราการบาร์นีเดี๋ยวนี้”

“เฝิง พวกคุณไปติดต่อกองทัพ อย่าให้มีพิรุธ สืบข่าวดูว่าทางนั้นมีอะไรผิดปกติไหม”

“โรเจอร์ ให้เจ้าหน้าที่คุ้มกันที่ทำหน้าที่อยู่ทั่วยานไปรวมพลกันที่เขตชุมชน แล้วเปิดระบบเตือนภัยล่วงหน้าของภาวะสงคราม”

“ถัง ให้พวกเลอ แปนควบคุมตัวจินกับลูกสาวเขาทันที”

ฉู่ซือขมวดคิ้วจ้องหน้าจอสองจอที่ดับไปของซ่าเอ้อ หยาง ขณะกำลังคิดจะตั้งหน่วยเฉพาะกิจเร่งด่วนขึ้นมาทีมหนึ่งแล้วนำทีมไปปราการบาร์นีด้วยตัวเอง ทันใดนั้นหน้าจอหนึ่งที่ดับไปแล้วก็มีแสงกะพริบวูบหนึ่ง ก่อนจะสว่างขึ้นมาอีกครั้ง

ภาพวิดีโอสั่นไปพักหนึ่งเหมือนมีคนถอดกล้องขนาดจิ๋วลงจากจุดติดตั้งแล้วเปลี่ยนสถานที่

“ซ่าเอ้อ!” ฉู่ซือเชื่อมต่อการสื่อสารสองทางทันที

ใบหน้าของซ่าเอ้อ หยางปรากฏในภาพวิดีโอที่สั่นไหว…พูดให้ถูกคือเป็นใบหน้าที่สวมหน้ากากป้องกันบางอย่าง แต่ฉู่ซือยังคงจำดวงตาใต้เลนส์นิรภัยคู่นั้นได้ทันที

ซ่าเอ้อไม่ตอบ เพียงชูนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก

ชู่

เขาลดมือลง ภาพวิดีโอก็มีคนที่แต่งตัวคล้ายเขาปรากฏตัวมากมาย พวกเขาเหมือนกำลังเดินตามรางโลหะไปยังสถานที่หนึ่ง

ฉู่ซือตัดสายสื่อสารสองทางทันทีโดยไม่ลังเล

เมื่อเห็นอีกฝ่ายปรากฏอยู่หน้ากล้องอีกครั้งอย่างปลอดภัย สติสัมปชัญญะของฉู่ซือก็กลับเข้าที่ทันทีและเปลี่ยนความคิดในตอนแรก

เขาบอกกับถัง “ให้พวกถังพาจินกับลูกสาวเขามา เดี๋ยวนี้เลย”

 

มุมกล้องของกล้องจิ๋วที่ถูกซ่าเอ้อ หยางซ่อนอยู่บนตัวปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ถูกเขาดึงมาข้างหน้า ฉู่ซือเห็นผ่านกล้องว่ามีเงาของร่างคนหลายสิบคนเดินอยู่ด้านหน้าอีกฝ่าย พวกเขาสวมชุดป้องกันทั้งหมด บนหน้าสวมหน้ากากป้องกันและแว่นนิรภัย ป้องกันอย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูออกเพียงส่วนสูงกับรูปร่างคร่าวๆ การจะจำแนกผ่านแผ่นหลังว่าคนไหนคือเซ่าตุนหรือคนไหนคือเจี่ยงชีนั้นยากเอาการ

สถานที่ที่พวกเขาอยู่คือรางรถไฟที่ดูเก่าพอสมควร น่าจะอยู่ใต้ดินแห่งหนึ่ง มีไฟสปอตไลต์ติดตามผนังโลหะทุกๆ ระยะทาง

ซ่าเอ้ออาศัยเสียงฝีเท้าที่ดังย่ำบนรางกลบเกลื่อนเสียงที่นิ้วมือของเขาเคาะเป็นจังหวะตรงบริเวณใกล้หูฟัง แต่เนื่องจากมีหน้ากากป้องกันกั้นอยู่อีกชั้นแล้วเขาก็เคาะเบา จึงฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ แต่ขอเพียงตั้งสมาธิก็จะได้ยินชัดเจน

ห้องมอนิเตอร์ตัดบันทึกเสียงช่วงนั้นออกมาทันที เปิดเสียงให้ดังขึ้น ทำการเคลียร์เสียงให้ชัดสองครั้งแล้วก็ได้จังหวะคล้ายรหัสมอร์สมาชุดหนึ่ง

ฉู่ซือได้รับการศึกษาจากสถาบันการทหาร ทั้งยังมีภูมิหลังจากหน่วยฝึก ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เฉพาะทางของศูนย์บัญชาการแปลสารให้เขาก็เข้าใจเนื้อหาของประโยคนั้น…

“ละแวกปราการบาร์นีมีช่องทางโค้งกาลอวกาศประดิษฐ์ ปลายทางอยู่ตรงที่พวกเราอยู่ ฉันสงสัยว่าเป็นใต้ดินของชั้นใต้ดินของปราการบาร์นี”

“ช่องทางโค้งกาลอวกาศประดิษฐ์?” ทุกคนนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินคำนี้

ถังประหลาดใจ “ช่องทางโค้งกาลอวกาศประดิษฐ์แบบเดียวกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่า นั่นมีอยู่แต่ในทฤษฎีไม่ใช่เหรอ”

ช่องทางโค้งกาลอวกาศประดิษฐ์เป็นประเด็นร้อนในการวิจัยอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อเกือบร้อยปีก่อน แต่ไม่นานก็หยุดดำเนินการ

การวิจัยช่องทางลักษณะนี้เมื่อแรกสุดมุ่งไปทางวิศวกรรมด้านรักษาความลับบางอย่าง ผู้คนต้องการเก็บซ่อนความลับระดับสูงบางอย่างไว้ใต้เปลือกโลกเพื่อไม่ให้บุคคลภายนอกหรือสายลับอวกาศสืบพบ ไม่สร้างช่องทางหรือประตูรูปธรรมใดๆ แต่สร้างทางเข้าไร้รูปที่เสมือนอากาศไว้ที่จุดจุดหนึ่งของกาลอวกาศ แล้วค่อยสร้างช่องทางโค้งกาลอวกาศพิเศษที่มองไม่เห็นขึ้นมาเพื่อตรงไปยังพื้นที่ความลับที่อยู่ใต้ดิน

ขั้นตอนทั้งหมดมีส่วนคล้ายการวาร์ปในอวกาศ เคลื่อนย้ายไปยังอีกจุดกาลอวกาศหนึ่งในชั่วพริบตา

การรักษาความลับด้วยวิธีนี้มีประสิทธิภาพสูง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจทำให้ทฤษฎีกลายเป็นความจริงได้ เพราะไม่อาจเอาชนะเงื่อนไขด้านเทคโนโลยีได้

ยานบินหรือยานวาร์ปทั่วไปไม่สามารถผ่านเข้าไปในช่องทางโค้งกาลอวกาศนั้นได้ ความเร็วไม่พอ แรงต้านมากเกินไป มวลปริมาตรต่างๆ ก็ยากจะผ่านมาตรฐาน เต็มไปด้วยปัญหา ผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียว…ก็คือทันทีที่เข้าไปในช่องทางโค้งกาลอวกาศก็จะถูกบดจนแหลก ย่อยยับทั้งคนและยาน

เซ่าเหิงกลับเอ่ยปากขึ้นกะทันหัน “มิน่า…ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงต้องเอายานบินหงส์ดำที่ถูกปลดประจำการแล้วออกมาใช้” เขาชี้ที่หน้าจอแล้วหันกลับมาพูดกับฉู่ซือ “ยังจำได้ไหม จุดด้อยของยานบินหงส์ดำคือลำตัวของยานแคบเกินไป เทียบกับยานบินอื่นแล้วมันมีรูปร่างเหมือนมีดบางๆ คนโดยสารอยู่ในนั้นแล้วไม่สบายตัว แต่อีกแง่หนึ่งมันรับแรงต้านในกาลอวกาศได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดูความเร็วในการวาร์ปก่อนหน้านี้สิ”

ถูกต้อง ดูอย่างนี้แล้วยานบินหงส์ดำเหมาะสมกับช่องทางโค้งกาลอวกาศอย่างสมบูรณ์แบบ

“แต่ในเมื่อเหมาะสมขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นถึงยังถูกปลดประจำการล่ะ” ชิลด์ เฝิงถามพร้อมกับกำลังเรียบเรียงข้ออ้างที่จะใช้ตะล่อมถามทางกองทัพกับรองผู้บัญชาการอีกสองคน “ต่อให้ไม่เหมาะจะใช้รบก็เอาไว้เป็นยานบินพิเศษ ใช้สำหรับช่องทางโค้งกาลอวกาศโดยเฉพาะได้ เท่านี้การวิจัยที่เป็นกระแสอยู่พักหนึ่งในตอนนั้นก็ไม่ต้องหยุดดำเนินการแล้ว อีกอย่างผมจำได้ว่ามีปัญหาบางอย่างในขั้นตอนการผลิต”

คนนอกสนามย่อมมองสถานการณ์ขาด บางครั้งการฟังบทสนทนาบางอย่างในฐานะบุคคลที่สามจะค้นพบประเด็นหลักในนั้นได้ง่ายกว่าเป็นผู้ร่วมสนทนา

ฉู่ซือจับคีย์เวิร์ดหลายคำได้จากบทสนทนาของทั้งสองแล้วเรียบเรียงออกมาเป็นอีกหนึ่งข้อสันนิษฐาน เขากอดอกมองหน้าจอของซ่าเอ้อ หยางแล้วเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อพิรุธทุกอย่างที่เจอตอนนี้พัวพันกับการทดลองเรื่องเวลาทั้งนั้น งั้นก็โยงยานบินหงส์ดำเข้าไปด้วย บางทีวัตถุประสงค์การสร้างในตอนแรกก็เพื่อการทดลองเรื่องเวลา แต่ตอนที่ผลิตจริงกลับพบว่ามันมีคุณสมบัติบางส่วนที่ไม่ตรงกับจุดประสงค์นี้ เพราะงั้นจึงปลดประจำการไปเลย…ข้อสันนิษฐานนี้ถูกผิดไม่สำคัญ…” ฉู่ซือเตือนใจ “เลอ แปนกำลังเร่งเดินทางมา ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เฟอร์กูสันนักออกแบบหลักของยานบินหงส์ดำก็อยู่บนยานของเธอ จะมีใครที่รู้เรื่องภายในได้ดีไปกว่านักออกแบบอีกล่ะ”

ห้องประชุมเงียบไปชั่วขณะ ต่อให้ก่อนหน้านี้ฉู่ซือเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันกับพวกเขาคร่าวๆ แล้ว พวกเขาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ ไม่ใช่ในแง่เหตุผล แต่เป็นในแง่อารมณ์ความรู้สึกที่คิดว่ามันน่าตะลึงพรึงเพริดเกินไป

จากนั้นเซ่าเหิงก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง “เชี่ย? จริงด้วย…นักออกแบบถูกพวกเราจับกลับมาแล้วนี่นา!”

ฉู่ซือท้วงการใช้คำของเขา “เชิญ”

“เอ้อ เชิญกลับมา”

ถังทำหน้าเหมือนอยู่ในฝัน “ผมก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าจินกับหนูน้อยคนนั้นจะ…”

ฉู่ซือไม่ได้สนใจพวกเขา ใช้สายตาเร่งรัดพวกชิลด์ เฝิงรอบหนึ่ง ก่อนหันไปมองหน้าจอของซ่าเอ้อ หยางอีกครั้ง

ถ้าพวกเขาหายไปจากแผนที่ดาวกะทันหันแล้วใช้ช่องทางโค้งกาลอวกาศ นั่นก็เข้าใจได้ว่าเพราะอะไรถึงสวมชุดป้องกันทุกคน เพราะต่อให้ยานบินหงส์ดำจะมีข้อได้เปรียบกว่ายานบินประเภทอื่น แม้จะไม่ถูกบดจนแหลกในช่องทางโค้งกาลอวกาศ แต่ก็ยังมีโอกาสทำให้บาดเจ็บทางร่างกายได้

ทว่า…

ฉู่ซือย่นคิ้วก่อนเปิดการสื่อสารสองทางอีกครั้ง จากนั้นกดเสียงลงต่ำบอกกับซ่าเอ้อ หยาง “นายอยู่บนยานบินของฉันไม่ใช่เหรอ ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม”

ตอนที่ซ่าเอ้อ หยางไล่ตามยานบินหงส์ดำแทน เขาขับยานบินส่วนตัวของฉู่ซือไป เพียงแต่ลากยานบินหงส์ดำลำหนึ่งไปเป็นเหยื่อล่อและตบตา ระบบป้องกันและระบบโจมตีของยานบินส่วนตัวลำนั้นจัดอยู่ในระดับชั้นยอด แต่ก็สู้ข้อได้เปรียบของยานบินหงส์ดำไม่ได้ พอเข้าสู่ช่องทางโค้งกาลอวกาศเมื่อไหร่ย่อมป่นปี้แน่นอน

ถ้าอย่างนั้นซ่าเอ้อ หยางตามคนในยานบินหงส์ดำเหล่านั้นไปถึงจุดหมายได้อย่างไร

เนื่องจากยานบินหงส์ดำกองกำลังใหญ่เข้าสู่ช่องทางโค้งกาลอวกาศกะทันหันมาก ไม่มีใครคาดการณ์ถึงจุดนี้ ต่อให้ซ่าเอ้อ หยางเก่งแค่ไหนก็ไม่มีวิชาอ่านใจกับพยากรณ์ คงไม่ย้ายเข้าไปในยานบินหงส์ดำอย่างฉุกเฉินก่อนเข้าสู่ช่องทางโค้งกาลอวกาศได้ทันเวลาพอดีกระมัง

อาจเพราะน้ำเสียงเคร่งขรึมของเขามีความกังวลแฝงอยู่ ซ่าเอ้อจึงหัวเราะเสียงเบาใต้หน้ากากป้องกัน แล้วใช้นิ้วเคาะเบาๆ ชุดหนึ่งเป็นคำตอบ…

‘วางใจ นายลืมคุณสมบัติพิเศษของร่างสำเร็จไปแล้วเหรอ’

คุณสมบัติพิเศษของร่างสำเร็จ…

ในเอกสารวิจัยฉบับร่างชุดนั้นกล่าวว่าซ่าเอ้อ หยางที่เป็นผลสำเร็จเพียงหนึ่งเดียวในตอนนั้นสามารถยืดหดเวลาได้ ฉู่ซือรู้ว่าจุดประสงค์ของซ่าเอ้อคือสะกิดเขาว่าตนจะไม่ตาย แต่ในขณะที่นึกย้อนถึงเนื้อหาในเอกสารฉบับร่างชุดนั้น ฉู่ซือกลับมุ่งความสนใจไปที่อีกประเด็นหนึ่ง…

ในเอกสารฉบับร่างชุดนั้นระบุว่าร่างสำเร็จรุ่นปัจจุบันที่พวกเขาคาดหวังไว้มีความสามารถในการยืดหดเวลาด้วยมีตัวควบคุม เพียงแต่ซ่าเอ้อ หยางเหนือกว่าที่พวกเขาคาดไว้ พัฒนาจนเกิดการควบคุมอย่างอิสระ ทั้งยังมีพลังสมานแผลที่เหนือคนปกติแถมมาด้วย

ในเอกสารไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดความแตกต่างระหว่างการมีตัวควบคุมกับการควบคุมเอง แต่มีการบอกไว้ว่าเป็นสภาวะเฉียดตายจากการใช้วิธีกระตุ้น

ตอนนั้นฉู่ซือไม่ได้ขบคิดถึงความเกี่ยวพันระหว่างวิธีกระตุ้นกับความเป็นอมตะ แต่เวลานี้จู่ๆ ก็เข้าใจความหมายโดยนัยของคำว่า ‘จะไม่ตาย’ แล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่อยู่ในภาวะเฉียดตายก็จะกระตุ้นให้ย้อนเวลาโดยอัตโนมัติ กลับไปยังจุดทางเลือกที่อันตรายที่สุด บางทีแค่ซ่าเอ้อเลือกอีกทางหนึ่งก็จะหลีกเลี่ยงอันตรายที่ตามมาภายหลังได้ แต่ถ้าเขาดันทุรังไม่เปลี่ยนก็เท่ากับถูกกักอยู่ในจุดเฉียดนั้น กลายเป็นนักโทษนิรันดร์กาลในกรงแห่งกาลเวลา

ดังนั้นการทดลองจึงบังคับให้เขามีความสามารถนี้ ถึงเขาไม่ใช้มันก็ถูกใช้อยู่ดี

ในถ้อยคำเรียบง่ายประโยคหนึ่งของซ่าเอ้อ หยาง ฉู่ซือจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายประสบอะไรมาบ้างในช่วงเวลาที่จอดับไป…นั่นคือขับยานบินทั่วไปเข้าสู่ช่องทางโค้งกาลอวกาศ จากนั้นก็ถูกบดจนแหลก ย่อยยับทั้งคนและยานบิน แล้วในวินาทีแห่งความตายนั้นเวลาก็ย้อนกลับโดยอัตโนมัติไปถึงก่อนเข้าสู่ช่องทางโค้งกาลอวกาศ ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง

เริ่มใหม่อีกครั้ง เขาก็จะตั้งตัวได้ทันหรือว่าต้องเปลี่ยนยานบิน

น่ากลัวว่าไม่…

ซ่าเอ้อที่ปรากฏตัวหน้ากล้องแต่งกายเหมือนกับคนในยานบินหงส์ดำไม่มีผิดเพี้ยน ผลสรุปนี้ได้มาจากการที่เขาต้องเริ่มใหม่สักกี่ครั้งฉู่ซือแทบไม่กล้าคิด

ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้เขาก็ยังต้องลิ้มรสความเจ็บปวดจากการตายครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งในช่วงชีวิตหลายสิบปีของเขาก็คงมีประสบการณ์ลักษณะนี้มาไม่น้อย…

ฉู่ซือถึงขั้นเริ่มสงสัยว่าก่อนหน้าที่การนับเวลาถอยหลังของเขาจะหมดลง การที่ซ่าเอ้อ หยางตามหาที่ตั้งของโรงพยาบาลทหารอินทรีขาวพบท่ามกลางเศษเสี้ยวดาวเคราะห์มากมายมหาศาลในเวลาสั้นๆ เป็นเพราะ…ใช้การย้อนเวลาด้วยหรือไม่

ตัดข้อผิดพลาดท่ามกลางการย้อนเวลาอย่างต่อเนื่องจนท้ายที่สุดก็ได้สิ่งที่ถูกต้อง หากมองผิวเผินเหมือนวาร์ปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ความจริงแล้ว…

ซ่าเอ้อ หยางที่อยู่อีกด้านหนึ่งของหน้าจอย่อมไม่รู้ว่าฉู่ซือคิดอะไรบ้างในเวลาสั้นๆ เพียงชั่วพริบตา หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็เคาะประโยคต่อไป…

‘ยานบินของนายจอดลอยอยู่นอกทางเข้าช่องทางโค้งกาลอวกาศ เปิดโหมดทำงานเงียบชั่วคราวไว้ ถ้าหน่วยไล่ล่าตามมาก็ลากมันกลับไปได้ ส่วนช่องทางโค้งกาลอวกาศก็อย่าซี้ซั้วเข้ามาเลย’

ว่ากันด้วยเหตุผล ลำพังแค่พลังพิเศษของซ่าเอ้อ หยาง เขาก็เป็นตัวเลือกผู้ไล่ล่าที่เหมาะสมที่สุด นอกจากเขาแล้วหากเป็นคนอื่นก็จะมีจุดจบย่อยยับทั้งคนและยานบิน

แต่ฉู่ซือยังคงรู้สึกเสียใจภายหลัง

เขาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังบอกกับอีกฝ่ายเสียงเบา “นาย…ระวังตัวด้วย ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลก็ถอนกำลังกลับมา”

พูดจบเขาก็ตัดการสื่อสารสองทางอีกครั้ง

 

พวกชิลด์ เฝิงติดต่อกับทางกองทัพได้แล้ว กำลังใช้ข้ออ้างการมอนิเตอร์การทำงานของเสามังกรและกระบวนการรวมตัวของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ตะล่อมถามสถานการณ์ของกองทัพทางอ้อม

ฉู่ซือยกมือจับเฮดเซ็ต สังเกตความเคลื่อนไหวของทางกองทัพพร้อมๆ กับดูภาพวิดีโอใต้ดินที่ฉายอยู่บนหน้าจอด้วย

ซ่าเอ้อ หยางรูปร่างสูง ฉะนั้นองศามุมกล้องจึงพลอยสูงไปด้วย มองผ่านผู้คนมากมายข้างหน้าไปก็เห็นมุมหนึ่งของปลายทางรางเหล็กได้…เลี้ยวซ้ายตรงนั้นน่าจะเป็นพื้นที่ที่พวกเขาจะไป จากระยะห่างกับมุมมองนี้จะเห็นมุมหนึ่งของอุปกรณ์โลหะขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง

ขณะที่ชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่งเดินผ่านซ่าเอ้อ หยางไป จู่ๆ ก็หันไปถามใครคนหนึ่งด้านหลังเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“ส่งคำเตือนไปหรือยัง”

คนด้านหลังตอบ “ส่งแล้ว เรื่องสำคัญขนาดนี้จะลืมได้ไง”

คำเตือนงั้นเหรอ คำเตือนอะไร

ขณะที่พวกฉู่ซือกำลังฉงนสงสัย อีกมุมหนึ่งของหน้าจอที่เป็นของหน่วยไล่ล่าก็มีภาพวิดีโอนอกยานบินรอบใหม่ส่งเข้ามา

“รายงาน หน่วยไล่ล่าถึงจุดวาร์ปที่กำหนดเรียบร้อยแล้ว อยู่ในเขต X-112 ละแวกปราการบาร์นี” หัวหน้าหน่วยไล่ล่าพูดจบแล้วเว้นหายใจไปครู่หนึ่ง เขาโน้มร่างไปทางห้องนักบินก่อนเอ่ยอย่างลังเล “หัวหน้าฉู่ หัวหน้าเซ่า พวกเราได้รับสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า เตือนว่าข้างหน้ามีช่องทางโค้งกาลอวกาศ ระดับความอันตราย 5S อย่าเข้าไปใกล้โดยพลการ?”

คราวนี้ทุกคนในศูนย์บัญชาการต่างตะลึงงัน!

สมัยนี้ยังมีศัตรูที่ใจดีขนาดนี้อีกหรือ เห็นอันตรายแล้วยังเตือนล่วงหน้าด้วยเหรอ

ทุกคนมองหน้ากัน เซ่าเหิงส่งเสียงก่อนเป็นคนแรก เขาในฐานะคนของกองกำลังรักษาความมั่นคงย่อมเข้าใจสารที่ซ่าเอ้อ หยางเคาะกลับมาให้เช่นกัน เขาจึงสั่งการหัวหน้าหน่วยไล่ล่า

“ล้อมทางเข้าช่องทางโค้งกาลอวกาศนั้นไว้ อย่าผลีผลาม อีกอย่างยานบินส่วนตัวของหัวหน้าอยู่แถวนั้น เปิดโหมดทำงานเงียบชั่วคราวไว้ ไม่ปรากฏบนแผนที่ดาวทางนี้ เดี๋ยวรอโหมดทำงานเงียบหายไปแล้วก็เก็บยานบินมาเลย”

“รับทราบ!”

แม้หัวหน้าหน่วยไล่ล่าจะรู้สึกว่าฝ่ายศัตรูแปลกๆ ก็ไม่ถามซอกแซก ยังคงปฏิบัติตามคำสั่ง แต่พวกเซ่าเหิงในศูนย์บัญชาการก็ไม่เหมือนกันแล้ว

“หัวหน้า ไม่ใช่ว่าผมเข้าข้างตาแก่บ้านผมนะ แต่ผมคิดว่าคงไม่มีกองกำลังฝ่ายศัตรูจริงๆ ที่ไหนจะเตือนคนไล่ล่าพวกเขาว่าข้างหน้ามีอันตราย ให้ระวังตัวด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนเป็นปฏิปักษ์กันจะทำ”

อันที่จริงไม่ใช่แค่เขา คนอื่นๆ ก็คิดแบบเดียวกัน รวมถึงฉู่ซือด้วย

แต่ว่า…แค่เห็นการทำดีด้วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ลดการระวังตัวทั้งหมด เห็นอีกฝ่ายเป็นคนกันเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนในระดับที่มีอำนาจตัดสินใจพึงทำ ต่อให้มุมมองส่วนตัวจะเชื่อใจอีกฝ่าย แต่ในส่วนรวมยังคงผลีผลามวู่วามไม่ได้

ระหว่างสนทนาซ่าเอ้อ หยางกับกลุ่มคนเหล่านั้นเดินถึงปลายทางรางเหล็กแล้ว เขายืนอยู่ในพื้นที่สีขาวแห่งหนึ่ง

ภาพวิดีโอขยับเปลี่ยนมุมไปหลายครั้ง มากพอให้พวกฉู่ซือเห็นโครงสร้างภายในพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ที่นั่นกว้างประมาณสนามฟุตบอล อุปกรณ์เครื่องมือประสิทธิภาพสูงแต่ละประเภทที่หุ้มด้วยโลหะสีเงินตั้งตระหง่านอยู่ในนั้น มองเห็นจอแสดงข้อมูลและปุ่มเปิดปิดแมนนวลได้ทั่วตามผนัง พื้น และเหนือศีรษะ บริเวณกึ่งกลางของพื้นที่นั้นมีเสาโลหะกลมขนาดใหญ่ต้นหนึ่งจากเพดานถึงพื้น มีสายพอร์ตเชื่อมต่อนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากฐานเสา เชื่อมต่อกับแคปซูลเดี่ยวแบบนั่งที่ตั้งอยู่รอบเสา

ฉู่ซือคะเนคร่าวๆ จำนวนของแคปซูลเดี่ยวมีร้อยกว่าเครื่อง

คนกลุ่มนั้นไปยืนบนพื้นที่ว่างไม่ไกลจากเสานั้น เสียงกระซิบดังระงม มีคนมากมายเหลียวมองรอบๆ เหมือนเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

อาจเป็นลางสัมผัสหรืออะไรอย่างอื่น เมื่อสายตาของฉู่ซือมองผ่านหลายคนที่อยู่ตรงกลาง คนหนึ่งในนั้นยกมือถอดหน้ากากป้องกันของตัวเองออกมา ใบหน้าที่เผยให้เห็นมีกลิ่นอายสุภาพที่ผ่านการตกผลึกมา ทว่าส่วนโค้งตรงมุมปากกลับเจือแววหยอกเย้าอันเป็นนิสัย

บุคลิกอ่อนโยนที่เจืออยู่ในความสุขุมมากประสบการณ์ แต่ก็มีความกวนนิดๆ สำหรับฉู่ซือนั้นคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าคุ้นเคย

สิ่งที่เขาคาดเดาก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย…

เป็นเจี่ยงชีจริงๆ

เทียบกับที่เจอกันครั้งก่อนอีกฝ่ายไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงแต่หากเทียบกับเวลาอยู่ที่บ้าน เวลาอยู่นอกบ้านบุคลิกของเขาจะดูแข็งกร้าวกว่าเล็กน้อย

“คิดไม่ถึงใช่ไหมว่าจะได้มาที่นี่อีก” หลังจากเจี่ยงชีถอดหน้ากากป้องกันออกแล้วก็พูดกับคนที่อยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงคลายอารมณ์

คนคนนั้นก็ยกมือจับขอบหน้ากากป้องกันแล้วถอดออก จัดทรงผมพลางทอดถอนใจ

“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ได้ ตอนที่แอบสร้างที่นี่เคยคิดว่าจะปิดฉากทุกอย่างที่นี่ แต่ใครให้พวกเราดวงไม่ดีถูกระเบิดตายกันหมดล่ะ! ได้แต่ฝากความหวังให้คนรุ่นหลังมาสานต่อปณิธาน คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง”

คนคนนั้นเป็นชายร่างเล็กที่มีเรือนผมสีน้ำตาลแดง หน้าตาเฉลียวฉลาด มีกระขึ้นตามจมูก เขายกยิ้มที่มุมปากให้เจี่ยงชี แย้มรอยยิ้มเสแสร้งที่ฉายแววอ่อนใจและเย้ยหยันตัวเอง

“อะไรวะเนี่ย” ถังแคะหู รู้สึกว่าตัวเองน่าจะหูฝาด “ถูกอะไรนะ ระเบิดตาย?”

ฉู่ซือกลับไม่ได้มีท่าทีตกตะลึงแต่ขมวดคิ้ว ละสายตาจากเจี่ยงชีไปมองหน้าชายมีกระคนนั้น ในฐานะคนที่ได้รับการฝึกพิเศษฉู่ซือมีทักษะการจดจำใบหน้าคนได้ไม่เลว

ใบหน้าที่มีกระนั้นคุ้นตาเขามาก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีเขาก็นึกออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…

“คดีปราการบาร์นี…” ฉู่ซือว่า

ถังอายุน้อยกว่าฉู่ซือมาก ตอนที่เกิดเหตุการณ์ปราการบาร์นีเขาน่าจะเพิ่งลืมตาดูโลก

เซ่าเหิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉู่ซือ พอได้ฟังอีกฝ่ายพูดแล้วก็ย่นคิ้วตามไปด้วย “เขาเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับคดีปราการบาร์นีเหรอ”

คดีปราการบาร์นีในปี 5667 นั้นพัวพันกับกลุ่มคนในกองทัพและรัฐบาลกลางที่สมคบกับกลุ่มกบฏของดาวอื่น ในระหว่างการกวาดล้างครั้งใหญ่มีคนเสียชีวิตมากถึงสี่ร้อยกว่าคน ในที่นี้รวมถึงกลุ่มกบฏ กองกำลังปราบปราม ผู้บริสุทธิ์ที่โดนหางเลขด้วย…นั่นเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมากที่สุดในรอบสามสิบห้าปีของดวงดาว

เนื่องจากเจี่ยงชีเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ ฉู่ซือจึงให้ความสนใจข้อมูลที่เกี่ยวกับคดีปราการบาร์นีมากเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่นานระยะหนึ่งเลยทีเดียว สำนวนคดีบางส่วนเขาอ่านไปไม่รู้กี่ครั้ง ฉะนั้นเขาไม่มีทางจำใบหน้านี้ผิดแน่ ใบหน้านี้อยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปราการบาร์นี

“ช่วยไม่ได้ ใครให้ฝ่ายตรงข้ามตาเหยี่ยวล่ะ พวกเราอุตส่าห์แกล้งทำเป็นไม่เป็นสนิทกันแล้วแท้ๆ” หญิงสาวร่างสูงโปร่งผมสีทองอ่อนคนหนึ่งเอ่ยตอบอยู่ข้างๆ

ฉู่ซือจำไฝที่หางตาของเธอได้…คนคนนี้อยู่ในรายชื่อของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปราการบาร์นีด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้นเขาก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง…

มีกลุ่มคนในภาพวิดีโอกว่าครึ่งหนึ่งที่ถอดหน้ากากออกแล้ว ฉู่ซือมองสำรวจทีละคน…

เซ่าเหิงมองสีหน้าของฉู่ซือแวบหนึ่งและรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงเอ่ยปากถาม “หรือว่า…มีคนในคดีปราการบาร์นีอยู่เยอะ?”

ฉู่ซือพยักหน้า “คะเนคร่าวๆ มากกว่าห้าสิบคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปราการบาร์นี”

ในกลุ่มนี้มีคนของกองทัพ รัฐบาลกลาง กองอำนวยการความมั่นคง มีคนสูงอายุที่เรือนผมขาวโพลน และยังมีคนหนุ่มสาวอีกหลายคน มองเผินๆ เหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกับฉู่ซือและเซ่าเหิง แต่ความเป็นจริงคือพวกเขาหยุดอยู่ในช่วงอายุเมื่อห้าสิบปีก่อน

“ผมเห็นตาแก่แล้ว!” เซ่าเหิงชี้ไปที่มุมหนึ่งบนหน้าจอ เซ่าตุนกำลังใช้นิ้วสางเรือนผมที่ถูกหน้ากากป้องกันทับจนยุ่ง เขาอยู่ในกลุ่มด้วย ท่าทางดูผ่อนคลาย ไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนยามปกติ

เมื่อเจี่ยงชีหันร่างมาก็สบสายตากับเขาพอดี พลันสีหน้าของทั้งสองก็ดูบรรยายไม่ถูก คล้ายมีความรู้สึกทอดถอนใจอยู่มากมาย

ครั้งที่แล้วที่พวกเขาเจอกัน เจี่ยงชียังอยู่ในช่วงปลายของวัยฉกรรจ์ เซ่าตุนกำลังก้าวเข้าสู่วัยกลางคน กลับมาเจอกันครั้งนี้เจี่ยงชียังคงอยู่ในช่วงปลายของวัยฉกรรจ์ ส่วนเซ่าตุนกลับผมขาวโพลนเสียแล้ว

มีใบหน้าของหลายคนในกลุ่มที่ยังคงซ้อนทับกับรูปจบการศึกษาของเซ่าตุนรูปนั้น เพียงแต่บุคลิกเปลี่ยนไปมาก เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากและสุขุมขึ้นมาก ไม่ได้หยอกกันทีหนึ่งก็เล่นกันชุลมุนเหมือนอย่างในรูปอีกแล้ว

ฟังจากถ้อยคำไม่กี่ประโยคเมื่อครู่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนักในช่วงเวลานี้ ภายใต้ข้อกังวลมากมายและการเสแสร้งตบตา อาจเหมือนคนแปลกหน้ายิ่งกว่าคนแปลกหน้าจริงๆ เสียอีก ทว่าเมื่อยืนอยู่ในพื้นที่ใต้ดินลับแห่งนี้พวกเขาต่างเป็นเพื่อนกัน

“ถ้า…” เซ่าเหิงว่า “ถ้าพวกเขายืนอยู่ข้างเดียวกับเรา ผมก็มีข้อคาดเดาหนึ่งที่น่ากลัวเอามากๆ”

แม้เซ่าเหิงไม่พูด แต่ฉู่ซือก็รู้ว่าการคาดเดานั้นคืออะไร เพราะเขาเองก็นึกถึงปัญหานี้เช่นกัน…

คดีปราการบาร์นีจะเป็นแค่กลลวงเท่านั้นหรือไม่ จุดประสงค์ของเหตุการณ์นั้นอาจเพื่อกวาดล้างคนกลุ่มนี้ให้เรียบ ความเกี่ยวข้องที่ว่าอาจไม่ใช่ลูกหลง แต่เป็นการโจมตีอันแม่นยำ

หากเป็นแบบนี้จริงสถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายกว่าที่เขาคิดสักหน่อย เพราะในเหตุการณ์ปราการบาร์นีตอนนั้นถึงขั้นมีพลเอกคนหนึ่งของกองทัพเสียชีวิต ซึ่งหลังจากพลเอกคนนั้นเสียชีวิต เมอร์ตันที่แต่เดิมเป็นพลโท เนื่องจากมีผลงานปราบปรามความไม่สงบจึงถูกเลื่อนยศขึ้นมาเป็นพลเอก กลายเป็นหนึ่งในสามประมุขของกองทัพ

เวลานั้นเมลลาร์ดที่อยู่ในรูปจบการศึกษายังมียศเดียวกันกับเจี่ยงชีซึ่งก็คือพลโท จนกระทั่งปี 5707 พลเอกคนหนึ่งออกจากตำแหน่งด้วยเรื่องอายุ เมลลาร์ดจึงถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นพลเอก

ปีที่สองหลังจากนั้นฉู่ซือก็ถูกเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการที่อายุน้อยที่สุดของกองอำนวยการความมั่นคง

หรือก็คือความมั่นคงในตำแหน่งของพลเอกเมลลาร์ดอาจไม่ต่างจากความมั่นคงของฉู่ซือในกองอำนวยการความมั่นคงมากนัก

“มาเถอะ อย่าเสียเวลาเลย มาแก้บั๊กอุปกรณ์พวกนี้หน่อย” เจี่ยงชียกนิ้วขึ้นเป็นเชิงให้ทุกคนตั้งใจฟัง “ปิดเครื่องสื่อสารทั้งหมดก่อน อุตส่าห์มาถึงขั้นนี้แล้วอย่าให้เกิดปัญหาจนที่นี่ระเบิด ถ้าแบบนั้นพวกเราคงได้แต่กลับไปร้องไห้ในโลงแล้ว”

พูดจบเขาก็ตบไหล่เซ่าตุน พาอีกฝ่ายเดินลึกเข้าไป

คนกลุ่มนั้นล้วงเครื่องสื่อสารกับอุปกรณ์ติดต่อประเภทต่างๆ ออกมาปิดเครื่องด้วยสีหน้าจริงจัง ซ่าเอ้อเคาะที่ข้างหูสั้นๆ…

“รอเดี๋ยว”

จากนั้นภาพวิดีโอกับการสื่อสารก็ถูกตัดไปพร้อมกัน

บังเอิญเสียเหลือเกิน การสื่อสารทางนี้เพิ่งตัดไป ทางเลอ แปนก็ส่งข้อความมา บอกว่ากำลังเตรียมเชื่อมประสาน ฉู่ซือให้โรเจอร์เปิดประตูยานที่เตรียมการไว้ทันที

พวกเขาใช้โถงทางเชื่อมที่รวดเร็วที่สุด ฉะนั้นเวลาเพียงสองสามนาทีทีมหน่วยฝึกทีมเล็กก็พาคนเข้ามาถึงศูนย์บัญชาการแล้ว

ไม่ว่าจินหรือไม้ถูพื้นเล็กสีหน้าต่างไม่มีความตระหนกและไม่มีความสงสัยใดๆ ราวกับรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับการเจรจาต่างๆ ที่กำลังจะมาถึง

“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วผมก็คงไม่ต้องอารัมภบทอะไรเพิ่ม” ฉู่ซือบอกใบ้ให้พวกเขานั่งได้ ส่วนตัวเองพิงขอบแผงปฏิบัติการ กอดอกแล้วพูดอย่างเรียบนิ่ง “ไม่รู้ว่าคุณเลอ แปนได้พูดถึงการคาดเดาของผมกับพวกคุณหรือยัง ถ้ายังงั้นผมจะมายืนยันอีกที…” สายตาของเขามองไปที่จิน “คุณรู้จักเจี่ยงชีพ่อบุญธรรมของผมไหม คุณเฟอร์กูสัน”

จินนั่งมองฉู่ซือตาละห้อยอยู่บนเก้าอี้แล้วหัวเราะเจื่อน “ฉันนึกอยู่แล้วว่าวันหนึ่งความต้องแตก…”

ฉู่ซือเบนสายตาไปมองที่ไม้ถูพื้นเล็ก “ผมควรเรียกคุณว่าคุณคาเบลใช่ไหม”

เอสเธอร์ คาเบลจ้องฉู่ซือด้วยดวงตากลมโตดำขลับอยู่นาน จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสว่างไสวอย่างหาได้ยาก ก่อนใช้นิ้วเคาะที่วางแขนอย่างคล่องแคล่วเป็นคำตอบประโยคหนึ่ง

‘ได้แน่นอน ถ้าไม่รู้สึกแปลกๆ กับรูปลักษณ์แบบนี้ของฉันน่ะนะ’

เซ่าเหิงตอบด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจอยู่ข้างๆ “บอกตรงๆ แปลกสุดๆ เลย”

เอสเธอร์หันมองเขานิ่งๆ

เซ่าเหิงชูมือทั้งสองข้างขึ้น “โอเค ไม่แปลก ต่อเลยครับ ความจริงผมแค่อยากบอกว่าผมชื่นชมคุณมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

เอสเธอร์เคาะอีกหลายที

‘ขอบคุณ’

ภาพนั้นสุดแสนจะประหลาด ทีมหน่วยฝึกทีมเล็กถึงกับมองจนอึ้ง เพราะตอนที่เอสเธอร์ คาเบลยังเป็นไม้ถูพื้นเล็กที่ความทรงจำขาดหายนั้นเธอไม่สนใจใครเลย แม้แต่รอยยิ้มก็ยังยากจะได้เห็น ปุบปับก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ทุกคนจึงปรับตัวไม่ทัน

แม้กระทั่งจินก็ยังพูดด้วยท่าทางบอกไม่ถูก “ตอนแรกที่รู้ว่าคุณคือคุณคาเบล ผมตกใจแทบตาย”

เอสเธอร์มองเขาด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์

จินโบกมือ “ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกัน”

ฉู่ซือมองพวกเขาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “โอเค ในเมื่อผมคาดเดาไม่ผิด งั้นตอนนี้บอกผมได้ไหมว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ต่อให้รู้จักกันส่วนตัวผมก็ยังต้องแน่ใจจุดยืนกับภัยคุกคามของพวกคุณ ผมต้องรับผิดชอบทุกคนที่นี่”

จินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่ซือมองตาอีกฝ่ายแล้วเสริมอีก “หน่วยไล่ล่าของพวกเราถูกกั้นอยู่นอกช่องทางโค้งกาลอวกาศ ความจริงแล้วไม่ว่าตอนนี้คุณจะพูดอะไรกับผมก็ไม่มีผลกระทบกับคนทางนั้น พวกเขาจะทำเรื่องของพวกเขาต่อไป ผมห้ามไม่ได้ แต่ถ้าจุดยืนของพวกเราเหมือนกัน ผมเชื่อว่าต้องมีสิ่งที่ผมทำได้…ผมหวังว่าจุดยืนของเราจะเหมือนกัน”

ไม่รู้มีคำไหนในถ้อยคำเหล่านี้ที่โดนใจจินจนทำให้เขาใจลอย เหมือนกำลังนึกย้อนเรื่องราวบางอย่าง เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสบตากับเอสเธอร์ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพรั่งพรูออกมา

“เอาเถอะ…เอาเถอะ…ถึงนายจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเจี่ยงชี แต่บางครั้งสีหน้าท่าทางกับน้ำเสียงก็เหมือนเขาเหลือเกิน

ฉันคิดว่านายน่าจะได้ข้อมูลมาบ้างเกี่ยวกับการทดลองเรื่องเวลา ขอฉันคิดก่อนว่าจะพูดยังไง…ครั้งแรกสุดที่ฉันกับพ่อของนายได้สัมผัสกับการทดลองเรื่องเวลาคือตอนสมัยเรียน อ้อ ก็คือโปรเจ็กต์ออกแบบยานบินหงส์ดำครั้งนั้น แน่นอน ตอนนั้นพวกเราไม่รู้เรื่องการทดลองเรื่องเวลา เพียงแต่ได้เบาะแสบางอย่างจากขั้นตอนการออกแบบ อย่างเช่นมีการเน้นเรื่องให้ออกแบบคุณสมบัติลดอุปสรรคการไหลของกระแสเวลาอะไรทำนองนี้ แต่โปรเจ็กต์นั้นเป็นของกองทัพ เพราะงั้นตอนแรกพวกเราเลยไม่ได้สงสัยอะไร แต่หลังจากที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์ลึกขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็ได้เห็นสิ่งที่ทัศนคติของพวกเรายอมรับไม่ได้…”

“อย่างเช่น?” ฉู่ซือถาม

“ตอนที่ทำแบบจำลองยานบินหงส์ดำกึ่งสำเร็จล็อตแรก ผู้เข้าร่วมการทดลองเป็นเด็กอายุสองถึงสี่ขวบกลุ่มหนึ่ง ฉันค่อนข้างมีนิสัยสุดโต่ง ในสายตาฉันทุกสิ่งทุกอย่างที่หลอกล่อให้เด็กๆ มาเป็นหนูทดลองย่อมไม่ใช่เรื่องดี” จินว่า “ตอนแรกที่หารือเรื่องความสูงของยานบินหงส์ดำ ฉันเคยบอกไปแล้วว่าความสูงระดับนั้นไม่เหมาะจะใช้รบจริง ข้อเสียเยอะเกินไป จำเป็นต้องแก้ไข แต่ถูกผู้ดูแลโปรเจ็กต์ปฏิเสธ บอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจ แต่ตอนที่เห็นเด็กๆ กลุ่มนั้นฉันก็มีข้อสันนิษฐานหนึ่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่…ฉันสงสัยว่ากลุ่มเป้าหมายของยานบินหงส์ดำก็คือเด็กนี่แหละ

ความรู้สึกในตอนนั้นรุนแรงมาก ฉันคุยกับเจี่ยงชีเป็นการส่วนตัว รู้สึกว่าถ้าโปรเจ็กต์นั้นดำเนินไปได้ราบรื่นอาจพัฒนาไปในทิศทางที่ยากจะควบคุมบางอย่างได้ เพราะฉะนั้นสุดท้ายตอนที่เคาะโมเดลสำเร็จรูป พวกเราเลยทำการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย ส่วนผลก็…พวกนายน่าจะรู้กัน”

ผลก็คือยานบินหงส์ดำถูกปลดประจำการโดยตรง

“เรื่องนี้ถือเป็นชนวนแรกเริ่มล่ะมั้ง หลายปีหลังจากนั้นจนกระทั่งเรียนจบพวกเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกเลย ฉันอยู่ทำโปรเจ็กต์การวิจัยที่สถาบันการทหารอินทรีขาว เจี่ยงชีไปอยู่หน่วยยุทธวิธีของกองทัพ ได้รู้จักกับผู้หญิงสองคนที่สนิทกันมากที่นั่น คนหนึ่งก็คือคุณคาเบลที่อยู่ตรงหน้านาย อีกคนก็คือเอเลน่า ภายหลังกองทัพต้องการก่อตั้งหน่วยงานที่เอาไว้ฝึกบุคลากรพิเศษโดยเฉพาะ เอเลน่าจึงถูกย้ายไปและก่อตั้งหน่วยฝึกพิเศษขึ้น ส่วนคุณคาเบลถูกย้ายไปที่ศูนย์วิจัยของกองทัพ…”

หญิงสาวที่สนิทกันเหมือนพี่น้องสองคนนี้ได้ลากเอาจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดออกมา

แรกเริ่มคือเอสเธอร์ คาเบลเริ่มขาดการติดต่อกับญาติมิตรบ่อยขึ้นเพราะต้องเข้าร่วมการวิจัยที่มีความลับสูง จากนั้นคนที่เริ่มขาดการติดต่อบ่อยขึ้นคือเอเลน่าเพราะภารกิจลับบางอย่าง

ภายหลังขณะคุยสัพเพเหระกันโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง ด้วยข่าวสารข้อมูลส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันนัก พวกเธอสังเกตได้รางๆ ว่าสิ่งที่ตัวเองกับอีกฝ่ายทำเหมือนจะมีความขัดแย้งกัน

การวิจัยของเอสเธอร์และภารกิจของเอเลน่าสังกัดกองทัพ แต่กลับมีความขัดแย้งที่ยากจะมองข้ามส่วนหนึ่งแฝงอยู่

หลังจากนั้นเจี่ยงชีก็ย้ายไปที่ศูนย์วิจัยด้วยการบอกเป็นนัยจากเอสเธอร์ เดิมทีแค่อยากมีคนให้ปรึกษามากขึ้นสักคน ใครจะรู้ว่าโปรเจ็กต์ที่ทั้งสองเข้าร่วมจะไม่เหมือนกัน ต่างกันชนิดที่คนละขั้ว

‘ยังดีที่พวกเรารู้จักระวังตัว ถ้าตอนนั้นคนที่อยู่ในศูนย์วิจัยกองทัพเป็นเฟอร์กูสัน งั้นน่ากลัวว่ามีชีวิตรอดได้สองปีก็เก่งแล้ว’ เอสเธอร์ในร่างเด็กเคาะที่วางแขนเป็นพรวน

จินพยักหน้าโดยไม่มีโทสะ เขาว่า “คนแรกที่บอกเล่าสถานการณ์การทดลองเรื่องเวลากับพวกเราในตอนนั้นก็คือคุณคาเบลผู้รู้จักระวังตัวคนนี้ นั่นเป็นโปรเจ็กต์การวิจัยหลักของเธอ หลังจากเธอได้สัมผัสกับเนื้อหาส่วนสำคัญจริงๆ เธอคิดว่าทิศทางและความเป็นไปของการทดลองน่าสะพรึงกลัวเกินไป

และคนที่ทำให้พวกเรารู้ตัวว่านั่นไม่ใช่แค่การวิจัยธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่จะให้หยุดตามใจชอบคือเอเลน่า ในการทำภารกิจลับครั้งหนึ่งเธอพบว่าเรื่องพัวพันเบื้องหลังการทดลองเรื่องเวลาซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้เยอะ นครซิลเวอร์เป็นแรงสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดของมัน และในเวลาเดียวกันคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่าครึ่งของกองทัพ รวมถึงมีส่วนหนึ่งจากรัฐบาลกลางและกองอำนวยการความมั่นคงด้วย

นั่นทำให้พวกเราแอบติดต่อกัน กลายเป็นทีมที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ ตอนแรกพวกเราเองก็อยากออกหมัดตรงๆ แต่เอเลน่าหายสาบสูญขณะไปทำภารกิจครั้งหนึ่งที่นครซิลเวอร์ จนกระทั่งหนึ่งปีให้หลังพวกเราถึงมั่นใจว่าเธอ…หลังจากนั้นไม่นานสายของเธอที่อยู่ในนครซิลเวอร์ก็ตายด้วย จากนั้นผู้บังคับบัญชาสายตรงในกองทัพของเธอก็ถูกย้าย และหลายเดือนหลังจากนั้นก็เสียชีวิตกะทันหันในห้องทำงาน เรื่องพวกนี้ทำให้พวกเราจำต้องค้นหาวิธีถอนตัวที่ปลอดภัย…

คุณคาเบลเสนอความคิดเสี่ยงๆ ความคิดหนึ่ง…ในเมื่อไม่สามารถล้มการทดลองเรื่องเวลาจากภายนอกได้ก็ขุดเส้นทางกลับตัวจากภายใน ปรากฏว่าภายหลังก็เลยเกิดเรื่องในคลิปวิดีโอ

แรกเริ่มสุดทุกคนต่างคิดว่าคุณคาเบลยังไม่ทันได้ทำอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งเจี่ยงชีทำทุกวิถีทางจนติดต่อกับนักเรียนคนหนึ่งของคุณคาเบลอย่างลับๆ ได้ จนได้รับเอกสารการวิจัยฉบับร่างมา จากข้อมูลการเข้ารหัสเขาได้รู้ว่าความจริงแล้วคุณคาเบลมีผลการวิจัยแล้ว

เธอออกแบบโปรแกรม ‘กระบวนการฟอร์แมต’ การทดลองเรื่องเวลาจากการเชื่อมต่อระยะไกล

ด้วยเหตุนี้เจี่ยงชีจึงรักษาสถานะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลาทว่าไม่ถลำลึก เพื่อให้ได้ข่าวสารและรับรู้ความเคลื่อนไหวล่าสุดพร้อมๆ กับรับช่วงต่อโปรแกรมของคุณคาเบล แอบสร้างห้องทดลองลับไว้ใต้ปราการบาร์นี เพื่อใช้สำหรับให้การออกแบบของคุณคาเบลเป็นจริง

ผลคือในขณะที่สำเร็จไปแล้วประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็ประสบกับเหตุการณ์ปราการบาร์นี

ซึ่งในช่วงระยะนั้น พวกเราก็สืบพบว่ามีจุดประสงค์ที่ลึกล้ำกว่าซ่อนอยู่เบื้องหลังการทดลองเรื่องเวลา”

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com