everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 53 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 53 คำรับรองจากฟั่นจยาหลัว
เสียงใสกังวานของฟั่นจยาหลัวดังขึ้นมาอย่างไม่ลังเล “แจ้งความเถอะครับคุณเสิ่น”
เสิ่นโหย่วเฉวียนพูดเสียงแหบพร่า “คุณก็คิดว่า…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ฟั่นจยาหลัวก็ทำเสียงชู่ เป็นการบอกให้เขาเงียบ
เวลานี้มีหรือที่เสิ่นโหย่วเฉวียนจะกล้าไม่ฟังคำพูดของฟั่นจยาหลัว เขาปิดปากทันที สองตากวาดมองไปทั้งซ้ายและขวาอย่างตื่นๆ ราวหัวขโมย ผลคือทันทีที่เขาหยุดพูด จงฮุ่ยลู่ก็วิ่งขึ้นมาบนชั้นสองอย่างรีบร้อน เธอกระชากแขน ดึงข้อมือเขา และพูดด้วยเสียงดุดัน “คุณโทรหาใคร จะแจ้งตำรวจเหรอ แบบนี้มันเป็นการทำร้ายเหราเหรานะคุณรู้หรือเปล่า”
“ผมไม่ได้แจ้งตำรวจ ผมกำลังโทรขอยืมเงินเพื่อน! คุณนึกว่าเงินห้าสิบล้านมันน้อยเหรอ ผมเพิ่งจะอายุสี่สิบ เกิดในชนบท ถึงจะมีรายได้ปีละสิบล้าน แต่เงินพวกนี้ผมใช้ไปกับอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน คฤหาสน์หลังนี้ก็เพิ่งซื้อ ทั้งหมดเป็นเงินสองร้อยหกสิบล้าน ผมให้ทุกอย่างตามที่คุณขอจนหมดบัญชีแล้ว นอกจากนี้ผมยังลงทุนทำแบรนด์แฟชั่นให้คุณอีกแบรนด์ กำลังอยู่ในช่วงดำเนินงาน ทุกเรื่องต้องใช้เงินทั้งนั้น! กระแสเงินสดของผมแทบไม่เหลือ แล้วคุณจะให้ผมไปเอาเงินห้าสิบล้านมาจากไหน ขายบ้านกับบริษัทคุณทิ้งมั้ยล่ะ ฮะ?”
พอได้ยินว่าบริษัทของตัวเองจะถูกขาย จงฮุ่ยลู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอเพ่งมองหน้าจอมือถือแตกๆ ก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง ไม่ใช่เบอร์ 110 จึงยอมปล่อยมือสามี
“ห้ามแจ้งตำรวจนะ ฉันยอมเสียเงินซื้อโอกาสรอดแปดสิบเปอร์เซ็นต์ดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับตำรวจ โหย่วเฉวียน ลูกสำคัญที่สุดนะ เราหาเงินใหม่ได้ ลูกต่างหากที่สำคัญที่สุด คุณจำไว้ด้วย!” จงฮุ่ยลู่น้ำตาคลอ กำชับซ้ำแล้วซ้ำอีก
เสิ่นโหย่วเฉวียนพยักหน้า ทั้งที่ความจริงในใจเขารู้สึกหนาวเหน็บยิ่ง ผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงสวัสดิภาพของเสิ่นอวี้เหราจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ห้ามเขาไม่ให้แจ้งตำรวจเหมือนคนบ้าแบบนี้ แต่ถ้าคนที่ถูกลักพาตัวเป็นนานนาน เธอจะเป็นห่วงเป็นใยเหมือนถูกไฟลนแบบนี้หรือเปล่า ไม่จำเป็นต้องถาม เสิ่นโหย่วเฉวียนก็เดาคำตอบได้ว่าไม่ จงฮุ่ยลู่ พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ แม้แต่ตัวเขาในอดีตก็ไม่เหมือนกัน
ขอบตาของเสิ่นโหย่วเฉวียนเริ่มชื้น เขาต้องเบือนหน้าหนีไปเช็ดหางตาเร็วๆ
แน่นอน เขารู้ว่าครอบครัวที่เจอเรื่องลักพาตัวส่วนใหญ่มักไม่แจ้งความ พวกที่แจ้งความมักเป็นคนที่จ่ายค่าไถ่ไม่ไหว อับจนหนทาง ถ้าเขาไม่รู้ว่าเสิ่นอวี้เหราไม่ใช่เชื้อสายของตัวเอง เวลานี้เขาคงไม่ตัดสินใจแจ้งความ เพื่อสวัสดิภาพของลูก เขาต้องรีบหาเงินมาจนได้
เสิ่นโหย่วเฉวียนเดินออกจากระยะสายตาของจงฮุ่ยลู่ไปที่ระเบียง ลดเสียงลง “เมื่อกี้…ภรรยา” ตอนพูดคำว่า ‘ภรรยา’ ลิ้นเขาเจ็บแปลบเหมือนโดนเศษกระจกคมๆ บาด
“ผมทราบครับ” น้ำเสียงของฟั่นจยาหลัวอ่อนโยน
เสิ่นโหย่วเฉวียนเงียบ ใช่สิ คนคนนี้มีพลังหยั่งรู้ ไม่งั้นเขาจะหยุดคำพูดของตัวเองไว้ตั้งแต่ก่อนที่จงฮุ่ยลู่จะเข้ามาใกล้ได้อย่างไร เขาน่าจะสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของตนในเวลานี้ใช่หรือไม่ ความสามารถแบบนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน จริงสิ เมื่อกี้ตนจะพูดว่าอะไรนะ ดูเหมือนจะเป็น…คุณก็คิดว่าควรแจ้งตำรวจใช่ไหม
คิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นโหย่วเฉวียนก็นึกเสียใจภายหลังขึ้นมา จากที่ร้อนใจเปลี่ยนเป็นว้าวุ่น เพราะถ้าให้จงฮุ่ยลู่มาได้ยินประโยคนี้ เธอจะต้องอาละวาดฟาดงาทันที และคงคอยตื๊อเขา ต่อว่าเขาไม่ยอมเลิก จนกว่าเขาจะเอาเงินออกมา!
เมื่อก่อนเสิ่นโหย่วเฉวียนเห็นจงฮุ่ยลู่ดูแลเสิ่นอวี้เหราอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ก็รู้สึกว่าเธออ่อนโยน แสนดี ขยันขันแข็ง ทำงานเก่ง เป็นภรรยาแสนประเสริฐที่สุดในโลก แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือเบื้องหลังความละเอียดใส่ใจนั้น มีความเฉยเมยและละเลยลูกสาวแอบซ่อนอยู่ เธอมอบความรักของแม่ทั้งหมดให้เสิ่นอวี้เหรา แต่กลับเย็นชาเข้าขั้นใจดำกับลูกอีกคน แบบนี้เธอยังคู่ควรกับการเป็นแม่อยู่อีกหรือ นี่เป็นเพราะเธอรู้ว่าพ่อของเด็กสองคนนี้เป็นคนละคนกันใช่หรือเปล่า
คิดมาถึงตรงนี้ตัวของเสิ่นโหย่วเฉวียนก็แข็งค้างขึ้นมาทันที เขาเพิ่งตระหนักถึงความจริงอีกข้อที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือถ้าจงฮุ่ยลู่รู้ว่าพ่อของเด็กสองคนเป็นคนละคนกัน ถ้าอย่างนั้นความใจดำเย็นชาที่เธอมีต่อลูกสาวย่อมแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มีใจให้พ่อของลูกเลยใช่หรือเปล่า สำหรับคนเป็นแม่ ขอแค่เป็นเด็กที่คลอดออกมาจากท้องของตนล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างของสายเลือด แต่พ่อของเด็กๆ กลับถูกแบ่งแยกได้ด้วยการมีใจหรือไม่มีใจให้
พูดอีกอย่างหนึ่งคือการที่จงฮุ่ยลู่รักเสิ่นอวี้เหรามากเท่าไหร่ ก็แปลว่าเธอรักพ่อของเสิ่นอวี้เหรามากเท่านั้น และการที่เธอเย็นชาต่อเสิ่นอวี้หลิง ก็หมายความว่าเธอรังเกียจพ่อของเสิ่นอวี้หลิง แล้วพ่อของเสิ่นอวี้หลิงไม่ใช่เขาเองหรือ
เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อซ่อนใบหน้าที่เดือดดาลจนบิดเบี้ยวของตน เขากัดฟันพูดออกมาว่า “คุณฟั่นครับ ผมจะไปแจ้งความเดี๋ยวนี้”
เขาไม่มีทางยอมเปลืองทั้งสมองและหัวใจให้กับผู้หญิงที่ไม่คู่ควรกับความรักคนหนึ่ง ไม่มีทาง! เขาย้ำเตือนตัวเองว่าให้เลิกไยดีเสิ่นอวี้เหราได้แล้ว
“แล้วเสิ่นอวี้เหราจะเป็นยังไง” หลังต่อสู้กับตัวเองอย่างหนัก เสิ่นโหย่วเฉวียนก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เขาจะปลอดภัย” ฟั่นจยาหลัวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท “ดีที่สุดคือคุณต้องไปแจ้งตำรวจคนเดียว อย่าให้คนในบ้านรู้ ถ้าจำเป็น เล่าเรื่องของผมให้ตำรวจฟังก็ได้”
“ครับๆ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” เสิ่นโหย่วเฉวียนทำได้เพียงพยักหน้าติดๆ กัน เขาขอความมั่นใจซ้ำแล้วซ้ำอีก “เสิ่นอวี้เหราจะไม่ถูกฆ่าใช่มั้ยครับ”
“ไม่หรอก” ฟั่นจยาหลัวเหมือนจะหัวเราะเบาๆ และเหมือนกำลังทอดถอนใจ สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ถ้าคุณไม่สบายใจ ผมจะแนะนำมือโปรให้คุณคนหนึ่ง ถ้ามีเขา คดีนี้ต้องจบลงด้วยดีแน่นอน”
“ใครครับ” เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบถามซัก
“ด็อกเตอร์ซ่งรุ่ย เขาเป็นที่ปรึกษาหน่วยสืบสวนอาชญากรรมสำนักย่อยเขตใต้ คุณมั่นใจในมาตรฐานการทำงานของเขาได้”
“ด็อกเตอร์ซ่งรุ่ย? ผมจำได้แล้ว คุณฟั่น ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ! ถ้าไม่ได้คุณ วันนี้นานนานน้อยของผมคงไม่ได้กลับมา! คุณสบายใจได้ เสร็จเรื่องนี้เมื่อไหร่ผมจะช่วยคุณเคลียร์สองคดีนั้นเอง” เสิ่นโหย่วเฉวียนสะอื้นขณะวางสาย เขาเช็ดหน้าลวกๆ ผู้ไม่รู้ย่อมปราศจากความเกรงกลัว ก่อนหน้านี้เขากล้าทำตัวอวดเบ่งกับคุณฟั่นได้ยังไง นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องเคารพยำเกรงต่อสิ่งที่ไม่รู้ทั้งหมดในโลก!
จงฮุ่ยลู่คอยยืนมองเขาอยู่ที่บันได พยายามอ่านรูปปากของเขา เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้วางสายของคนแปลกหน้าแล้วเปลี่ยนไปโทรหา 110
“ยืมเงินสำเร็จมั้ย” ใบหน้าที่มีน้ำตารินของเสิ่นโหย่วเฉวียนทำให้จงฮุ่ยลู่ต้องเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ
“ไม่ เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ใครเขาจะหยิบออกมาได้แบบปุบปับ ต่อให้เป็นธนาคารยังต้องทำสัญญาล่วงหน้า ผมจะไปหานักบัญชี คุณนอนก่อนเลยไม่ต้องคอยผม ผมต้องคำนวณดูว่ามีการลงทุนในชื่อของตัวเองอีกเท่าไหร่ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้” เสิ่นโหย่วเฉวียนวิ่งฉิวลงไปชั้นล่าง
จงฮุ่ยลู่วิ่งตามลงไป เห็นท่าทางร้อนใจ สับสน และสติไม่อยู่กับตัวของสามีแล้วกลับทำให้เธอสบายใจ รู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกชายมากตามคาด ไม่มีทางที่เขาจะไม่หาเงินมาช่วยคน ก่อนหน้านี้เธอแค่คิดมากไปเอง
“ประธานเสิ่นครับ คุณจะไปไหน ให้ผมไปส่งมั้ยครับ” หลงเฉิงเซิงลุกขึ้นถามทันที
“ไม่ต้อง ฉันจะไปหานักบัญชีส่วนตัว ไปเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินสดเดี๋ยวนี้ มีเวลาไม่มาก ถ้าไม่รีบฉันกลัวว่าเหราเหราจะมีอันตราย ที่บ้านมีทั้งคนแก่กับเด็ก รบกวนนายช่วยดูหน่อยนะ ตอนนี้คนเดียวที่ฉันไว้ใจมีแค่นาย” เสิ่นโหย่วเฉวียนหาข้ออ้างแบบส่งๆ
พอหลงเฉิงเซิงได้ยินเขาพูดเรื่องนี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะออกไปกับเขา รับประกันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะดูแลบ้านให้ดี
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสิ่นโหย่วเฉวียนที่รีบเผ่นออกมาราวพายุก็ได้มาอยู่ที่ห้องรับรองของสำนักย่อยเขตใต้ ตำรวจหนุ่มสองนายนั่งประจันหน้ากับเขา คนหนึ่งหยิบเครื่องบันทึกเสียงมาเตรียม ส่วนอีกคนเปิดสมุดเพื่อลงบันทึก
“…มือถือของโจรปิดอยู่ตลอดเลยเหรอครับ” ตำรวจหนุ่มที่ตัดผมทรงสกินเฮดถาม
“ครับ หลังๆ พอโทรไปเครื่องก็ปิดตลอด บอกแค่ให้เวลาผมสามวันเพื่อเตรียมเงินห้าสิบล้าน” เสิ่นโหย่วเฉวียนเล่าทุกสิ่งที่เขารู้อย่างใจเย็นมาก ท่าทางไม่เหมือนพ่อที่กำลังเสียลูก แต่เหมือนผู้ชมคนหนึ่งมากกว่า
ตำรวจสองนายพิศดูเขาด้วยสายตากังขาก่อนกำชับว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันครับ คุณไปเตรียมเงินไว้ และในเวลาเดียวกันทางเราจะดำเนินการตรวจสอบ อีกสักครู่พวกเราจะนำกำลังไปที่บ้านคุณเพื่อดูว่าโจรจะโทรเข้ามาหรือเปล่า ถ้าโทรมา เราจะให้เจ้าหน้าที่เทคนิคตามรอยที่อยู่ของเขา”
“ผมไม่อยากจ่ายค่าไถ่” เสิ่นโหย่วเฉวียนบอกตามความจริง “เพราะแบบนี้ผมถึงมาแจ้งความ”
ตำรวจสองนายจ้องหน้าเขา บนหน้ามีตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏออกมาอย่างเด่นหรา…แกมันเดรัจฉาน!
เสิ่นโหย่วเฉวียนฝืนยิ้ม อธิบายว่า “ผมไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้ ผมขอเล่าให้พวกคุณฟังตามตรงว่าความจริงเสิ่นอวี้เหราไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของผม เขาเป็นลูกของภรรยาผมกับไอ้สวะคนอื่น สำหรับผม เงินห้าสิบล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ผมต้องขายกองทุน หุ้น รวมถึงหุ้นในบริษัทร่วมทุนทิ้งถึงจะรวบรวมเงินมาได้ ซึ่งการขาดช่วงการลงทุนแบบกะทันหันจะทำให้ผมสูญเงินจำนวนมาก และถ้าไม่มีหุ้นในบริษัทร่วมทุน ผมจะเสียตำแหน่งประธานภาคพื้นเอเชียไป ระหว่างทางที่มาผมลองคำนวณดู ความเสียหายนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงสามร้อยล้าน มากพอจะทำให้ผมเจ็บหนัก ต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปดถึงสิบปีกว่าผมจะฝืนฟื้นตัวขึ้นมาในวงการได้ การเสียสละให้เด็กที่ไม่ได้เป็นอะไรกันมากขนาดนี้ ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มเลย”
ทันทีที่ถอดถอนความรักของพ่อและหมดสิ้นความเวทนาที่ยังพอมีเหลือ เสิ่นโหย่วเฉวียนก็สามารถใจจืดใจดำได้อย่างน่ากลัว เขายื่นแฟ้มสีน้ำเงินออกไปพร้อมพูดต่อ “นี่เป็นเอกสารพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือด พวกคุณลองดูได้”
ตำรวจหนุ่มสองนายเก็บงำคำว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ’ ไว้ในใจ เมื่ออ่านเอกสารพิสูจน์ สายตาทั้งคู่ก็หยุดอยู่ที่วันที่อย่างเฉียบไว
“วันที่ยี่สิบสองพฤษภาคม มันวันนี้ไม่ใช่เหรอ คุณเพิ่งคอนเฟิร์มได้วันนี้ว่าเด็กไม่ใช่ลูกแล้วเขาก็ถูกลักพาตัว คุณเสิ่น นี่มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า เท่าที่ผมรู้ ลูกสองคนของคุณเป็นแฝดไม่ใช่เหรอ ตอนพวกเขาเกิดจะต้องมีการเช็กสุขภาพนี่ เรื่องกรุ๊ปเลือดไม่น่าจะมีปัญหา ไม่งั้นคุณคงไม่เพิ่งมาสงสัยเอาตอนนี้ บนโลกหาท้องแฝดต่างพ่อได้ยากมาก หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องทำนองนี้อยู่จริง แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงได้ทำการพิสูจน์ คุณเสิ่นครับ คำพูดของคุณมีประเด็นน่าสงสัยหลายจุด เราต้องการคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากคุณ”
ตำรวจสองนายจดจ้องเสิ่นโหย่วเฉวียนด้วยดวงตาวาววับ ฟันธงว่าเขาคือบุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุด
เสิ่นโหย่วเฉวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “ผมรู้ว่าพวกคุณคิดยังไง พวกคุณสงสัยว่าผมเป็นคนทำเรื่องนี้ เพราะผมแค้นจงฮุ่ยลู่เลยจ้างคนมาลักพาตัวเสิ่นอวี้เหราเพื่อแก้แค้น แต่ไม่ใช่ ผมไม่ได้ระยำถึงขั้นนั้น อย่างมากผมก็แค่ไล่พวกเขาไป พูดอีกอย่างคือถ้าผมเป็นคนทำเรื่องนี้ ผมจะมาแจ้งความทำไม นี่ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเหรอ”
ตำรวจสองนายมองตากันก่อนอธิบาย “คุณเสิ่นครับ คดีลักพาตัวทุกคดีที่เราจับได้มักเป็นฝีมือของพ่อแม่และคนสนิท ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องคัดคนที่น่าสงสัยที่สุดออกมาก่อนเพื่อหาแนวทางการสืบสวนที่ถูกต้อง เพื่อสวัสดิภาพของเด็ก ขอให้คุณเข้าใจและให้ความร่วมมือกับพวกเราด้วย ทำไมจู่ๆ คุณถึงสงสัยเรื่องสายเลือดของเด็ก คนทั่วไปไม่น่าจะคิดถึงจุดนี้ไม่ใช่หรือ ยิ่งพวกเขาเป็นแฝดด้วยแล้ว ลูกสาวของคุณก็หน้าตาเหมือนคุณมาก ตราบใดที่มีลูกสาวเป็นตัวกันอยู่ข้างหน้า คุณไม่มีทางสงสัยลูกชายที่เป็นคู่แฝดแน่ การกระทำของคุณมันประหลาดมาก”
เสิ่นโหย่วเฉวียนเป็นคนดัง เขาเคยพาภรรยากับลูกๆ ไปออกทีวี ตำรวจทั้งสองนายจึงรู้เรื่องในครอบครัวของเขา
พอรู้ว่าตำรวจต้องการคำอธิบายสำหรับประเด็นนี้ให้ได้ มันก็ทำให้เสิ่นโหย่วเฉวียนนึกถึงคำกำชับของฟั่นจยาหลัว เขาตอบตามความจริงว่า “เพื่อนคนหนึ่งบอกผม เขาชื่อฟั่นจยาหลัว”
ตำรวจสองนายที่ตอนแรกดูซีเรียสเป็นที่สุดพลันเปลี่ยนเป็นปากอ้าตาค้าง จากนั้นก็ตบโต๊ะอย่างแรง ถอนหายใจ “เขานี่เอง! มิน่า!” จบคำ จากนั้นเมื่อพวกเขามองเสิ่นโหย่วเฉวียนอีกครั้ง แววระแวงและค้นหาในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความสงสารและเห็นใจ แถมยังมีความอิจฉาแบบแปลกๆ นิดๆ
“คุณดวงดีมาก” ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ตัดผมทรงสกินเฮดถอนหายใจเฮือก
“อา ครับ ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้รับคำชี้แนะจากคุณฟั่น ไม่งั้นลูกสาวผมคงถูกลักพาตัวไปแล้ว” เสิ่นโหย่วเฉวียนพลันฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รีบบอกว่า “ก่อนมาแจ้งความ เขาบอกผมว่าถ้าคดีนี้ได้ด็อกเตอร์ซ่งรุ่ยเป็นคนทำ เสิ่นอวี้เหราจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
ตอนแรกเสิ่นโหย่วเฉวียนยังลังเลกับคำขอที่ค่อนข้างไร้เหตุผลนี้ เนื่องจากกรมตำรวจไม่ได้เป็นของครอบครัวเขา คนที่ดูแลคดีย่อมเป็นคนที่ผู้อำนวยการเป็นคนกำหนด มีหรือจะยอมให้เขาสั่งการเอง แต่ที่น่าแปลกคือตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นกลับไม่มีความกังขาหรือลังเลสักนิด อีกฝ่ายหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหา ดร. ซ่งรุ่ยเพื่อเล่าเรื่องทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง
“คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยรับทำคดีลักพาตัว” แม้ ดร. ซ่งรุ่ยจะดูอ่อนโยน แต่น้ำเสียงของเขากลับเย็นชาราวโลหะไร้ชีวิต
เสิ่นโหย่วเฉวียนอดตัวสั่นไม่ได้ ไม่ต้องเห็นหน้าอีกฝ่ายเขาก็รู้ว่าคนคนนี้จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งสูงมากคนหนึ่ง
ตำรวจชั้นผู้น้อยลดเสียงลง พูดอย่างระมัดระวัง “ฟั่นจยาหลัวบอกเจ้าทุกข์ว่าถ้ามอบหมายให้คุณทำคดีนี้ เด็กจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่”
ซ่งรุ่ยที่กำลังเตรียมจะบอกปัด “…”
เสิ่นโหย่วเฉวียนเป็นคนอ่านสถานการณ์ได้ดีมาก เขาจึงรีบพูดเสริม “คุณฟั่นบอกว่า…‘ถ้าคุณไม่สบายใจ ผมจะแนะนำมือโปรให้คุณคนหนึ่ง ถ้ามีเขา คดีนี้ต้องจบลงด้วยดีแน่นอน ด็อกเตอร์ซ่งรุ่ย เขาเป็นที่ปรึกษาหน่วยสืบสวนอาชญากรรมสำนักย่อยเขตใต้ คุณมั่นใจในมาตรฐานการทำงานของเขาได้’ ”
น้ำเสียงนิ่งสนิทของซ่งรุ่ยเหมือนจะเกิดระลอกคลื่น “เขาบอกว่าเชื่อในมาตรฐานการทำงานของผม? บอกว่าผมสามารถปิดคดีนี้ได้ด้วยดี?”
“ครับ เขาพูดแบบนี้” เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบผงกศีรษะ ถึงเขาจะไม่อยากสละหน้าที่การงานของตัวเองเพื่อเสิ่นอวี้เหรา แต่ก็พอจะพยายามเพื่อเด็กคนนี้ได้
“โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้ พวกคุณสืบหาตัวพ่อแท้ๆ ของเสิ่นอวี้เหราก่อน ผมมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก” น้ำเสียงแผ่วเบาที่ดังมานั้นคล้ายว่า ดร. ซ่งรุ่ยกำลังคุยโทรศัพท์ไปพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้า จากที่ไม่สนใจก็กลับกลายเป็นรีบมาร่วมด้วย ความเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าหนึ่งร้อยแปดสิบองศาของเขาทำให้เสิ่นโหย่วเฉวียนตกใจจริงๆ
ตำรวจหนุ่มรีบรับคำแล้ววางสาย เขาจ้องหน้าเสิ่นโหย่วเฉวียนอึดใจหนึ่ง แววตาทวีความคมปลาบและสีหน้าจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเสิ่นโหย่วเฉวียนใกล้จะทนไม่ไหว ตำรวจนายนั้นก็พลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “ผมแซ่หลี่ คุณเรียกผมว่าเสี่ยวหลี่ก็ได้ ไม่ทราบว่าคุณฟั่นได้พูดถึงผมบ้างหรือเปล่า เขาได้บอกมั้ยว่าผมจะคลี่คลายคดีนี้ได้ น่าจะมีมั้ง ผมเคยถูกเขาสื่อจิตสัมผัสวิญญาณ เขาต้องรู้ความสามารถของผมอยู่แล้ว”
เสิ่นโหย่วเฉวียนที่ถูกจ้องจนเหงื่อเย็นๆ แตกทั่วตัว “…”
สารภาพมานะว่าพวกคุณทุกคนเป็นแฟนคลับของฟั่นจยาหลัว? ใช่ไหม เพราะชื่อเขาดูจะได้รับความเชื่อถือจากกรมตำรวจอย่างมาก!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 ต.ค. 64