everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 62 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 62 เขาคือความว่างเปล่า
การที่ฟั่นจยาหลัวมองตอบกะทันหัน สร้างความแตกตื่นให้แก่ทุกคนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์ แม้แต่ซ่งเวินหน่วนที่มีมาดของแม่ทัพใหญ่ยังอดตกใจแวบหนึ่งไม่ได้
ดร. เฉียน นักปรัชญาเอ่ยขึ้นว่า “สมแล้วที่เป็นดารา ตาคมมาก”
ดร. โอวหยาง นักสังคมวิทยาสงบสติอารมณ์พลางฝืนยิ้มเพื่อพูดเล่น “ผมหวิดนึกว่าเขามองเห็นพวกเราจริงๆ เสียอีก”
“นั่นสิ” ดร. หลิน นักอภิปรัชญาเอ่ยเสริม “จู่ๆ ก็มองมานิ่งๆ สายตาคมปลาบทำเอาสะดุ้งจริงๆ แต่ผมเคยได้ยินเรื่องของเขาว่าแม้เขาจะทำนายความตายของเกาอี้เจ๋อ แต่ตอนหลังมีคนโพสต์ในเวยป๋อว่าจับไต๋เขาได้ บอกว่าภาพสเก็ตช์นั้นลอกมาจากภาพถ่ายจุดที่เกาอี้เจ๋อเสียชีวิต คำทำนายเลยกลายเป็นการกุเรื่อง”
ซ่งเวินหน่วนโค้งมุมปากเป็นรอยยิ้มเยาะ “ฉันเห็นเวยป๋ออันนั้นแล้วเหมือนกันค่ะ ต้องขอบอกว่าการกุเรื่องของคุณฟั่นคนนี้แย่มากจริงๆ คำโกหกที่ถูกจับไต๋ได้ง่ายๆ แบบนี้เขายังกล้าใช้ เหมือนคนไม่มีสมอง จริงสิ เมื่อกี้เหมือนเขาจะพูดประโยคหนึ่งใส่กล้อง ด็อกเตอร์ซ่ง คุณอ่านปากเก่ง บอกได้มั้ยคะว่าเขาพูดอะไร”
ซ่งรุ่ยไม่ค่อยสบอารมณ์กับการเยาะหยันของซ่งเวินหน่วน เขาจึงไม่หันไปมองเธอ สายตาจดจ้องแค่ชายหนุ่มที่กลับไปก้มหน้าเฝ้ารออีกครั้ง พูดเสียงเบา “เขาบอกว่าเราเจอกันอีกแล้ว”
ซ่งเวินหน่วนรีบให้พีดี ย้อนภาพไปเมื่อสองสามนาทีก่อนเพื่อดูรูปปากของฟั่นจยาหลัว พบว่าคำพูดประโยคนั้นมีความหมายตามนี้จริง…เราเจอกันอีกแล้ว
“เขาเจอใคร เขารู้จักผู้เข้าแข่งขันในสนามคนไหนเหรอ” ซ่งเวินหน่วนคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
ซ่งรุ่ยหัวเราะเบาๆ พูดเสียงเนิบ “คดีที่เกาอี้เจ๋อตกตึก ผมมีส่วนร่วมด้วยและเคยวางมวยกับฟั่นจยาหลัวสองยก แพ้ทั้งสองยก การที่เขามองมาที่พวกเราและพูดแบบนี้ คนเดียวที่เข้าเค้าว่าได้กลับมาพบกันใหม่ในห้องสังเกตการณ์นี่ ดูเหมือนจะมีแค่ผมล่ะมั้ง”
ซ่งรุ่ยเงยหน้ามองน้องสาวร่วมตระกูล พูดเสียงแหบเหมือนเจอพายุทราย “หรือพวกคุณไม่คิดว่าเขาสามารถมองทะลุมาเห็นพวกเราที่ซ่อนอยู่ในนี้ได้จริง? ตากล้องที่คอยตามถ่ายเขามีสองคน และกล้องวงจรปิดที่อยู่รอบตัวเขาอีกหลายสิบ ทั้งที่มีกล้องมากมายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงมองหากล้องแค่ตัวเดียวที่สามารถส่งภาพล่าสุดมาบนหน้าจอในห้องสังเกตการณ์นี้ ให้พวกเราทุกคนมองเห็นเขาพร้อมกัน ไหวพริบของเขาไปไกลกว่าที่พวกเราคิดมาก”
ซ่งรุ่ยจ้องชายหนุ่มบนจอ พูดเน้นทีละคำ ทีละประโยค “ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้สื่อวิญญาณหรือเปล่า แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา”
ซ่งเวินหน่วนเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “เมื่อกี้พี่บอกว่าพี่เคยวางมวยกับฟั่นจยาหลัวสองครั้ง แพ้ทั้งสองครั้งเหรอ” เหมือนเธอจะยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ ในชีวิตยี่สิบกว่าปีของเธอ เธอไม่เคยเห็นพี่ชายแพ้ และเชื่อมั่นมาตลอดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครสู้พี่ชายได้
ซ่งรุ่ยผงกศีรษะรับคำ ทว่าสายตากลับไม่มีความอดสู มีเพียงประกายแวววับแปลกๆ
ซ่งเวินหน่วนขบคิดคำพูดเมื่อครู่ของพี่ชายอย่างละเอียด บัดนี้เธอพบว่าฟั่นจยาหลัวค่อนข้างไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะมีกล้องวงจรปิดมากมายอยู่รอบตัวเขา และภาพที่เข้ามาในกล้องวงจรปิดพวกนั้นจะมีการตัดสลับ มีการตัดภาพขึ้นมาบนหน้าจอเรื่อยๆ ไม่แน่นอน ทว่าเขากลับไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย สามารถมองหามุมกล้องที่ดีที่สุดได้อย่างแม่นยำ ซ้ำยังเป็นกล้องตัวที่ส่งภาพมาขึ้นบนจอพอดี ทำให้กรรมการทุกคนเจอการโจมตีจากสายตาคมปลาบของเขา แสดงว่าเขารู้ว่าในห้องสังเกตการณ์นี้มีคนที่เขารู้จัก หรือเรื่องพวกนี้จะเป็นความบังเอิญ?
แม้ซ่งเวินหน่วนจะไม่ได้รับคำตอบ แต่เธอรู้ดีว่าคนที่ทำให้พี่ชายของเธอเปลี่ยนใจยอมรับได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ฟั่นจยาหลัวคนนี้น่าสนใจจริงๆ!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธอก็หลบกล้องไปส่งข้อความให้พีดี บอกเขาให้เพิ่มกล้องของฟั่นจยาหลัว อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เธอสั่ง พีดีก็รู้ว่าการมาร่วมรายการของฟั่นจยาหลัวส่งผลดีต่อโลกของผู้วิเศษนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความสามารถของเขาเป็นเรื่องจริงหรือหลอก แค่เขาปรากฏตัวก็สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายได้แล้ว
ไม่ได้เผยหน้าให้สาธารณชนเห็นมานาน รูปลักษณ์ของเขาดูโดดเด่นมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และมีออร่าแบบเฉพาะตัวมากขึ้น ต่อให้เป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ทำออกมาได้อย่างงดงามชนิดน่าตื่นตะลึง ทว่าเครื่องหน้าของเขากลับไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมาก เพียงดูโตขึ้น มีเสน่ห์ขึ้น ชวนให้เพ้อฝันมากกว่าเก่า โดยเฉพาะดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ซึ่งเปล่งประกายที่เป็นปริศนาออกมา
ว่ากันตามเหตุผล การปรากฏตัวของเขาควรจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน แต่พอเขาไปยืนอยู่ในความมืด เขากลับเหมือนกลืนหายไปได้จริงๆ
ตอนแรกที่เจอกัน พีดีตกตะลึงในความงามของฟั่นจยาหลัว แต่เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองหลงลืมอีกฝ่ายไปได้ยังไง เขาเปิดสปอตไลต์ที่อยู่เหนือศีรษะของฟั่นจยาหลัวอย่างอดไม่อยู่ ทำให้อีกฝ่ายเผยตัวออกมากลางแสงจัดจ้าทันที
ที่นั่งที่จู่ๆ ก็โดดเด่นขึ้นมาเรียกความสนใจจากผู้เข้าแข่งขันทุกคน นาทีนั้นพวกเขาเกิดอาการลมหายใจสะดุด สายตาจดจ้องชายหนุ่มที่นั่งอยู่ท่ามกลางลำแสงกันอย่างตื่นๆ อีกฝ่ายแพรวพราวเกินไป เจิดจ้าจนพวกเขาเจ็บตา
ซ่งรุ่ยกลั้นหายใจ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าฟั่นจยาหลัวที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนจะมีปฏิกิริยาแบบไหน
ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับยังคงนั่งก้มหน้า ยืดหลัง ไขว่ห้าง ท่ามกลางแสงที่สาดมาจังๆ ขนตาของเขาไม่กระดิกเลยสักเส้น
ทั้งหอประชุมเงียบกริบเพราะความสว่างเรืองรองของเขา พีดีเห็นฟั่นจยาหลัวไม่มีปฏิกิริยาสักนิด ไม่มีผลต่อรายการตามที่คาดหวังไว้ก็ต้องปิดสปอตไลต์อย่างหวั่นๆ
มุมที่ฟั่นจยาหลัวอยู่กลับมามืดอีกครั้ง ผู้เข้าแข่งขันหลายคนแอบกระซิบกระซาบกัน “เขาคือฟั่นจยาหลัว ดาราที่กุเรื่องว่าเป็นร่างทรงวิญญาณคนนั้น ว่ากันว่าเขาทำนายความตายของเกาอี้เจ๋อ แต่ความจริงคือลอกภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ แล้วโพสต์คำทำนายลงเน็ตเป็นคำเตือนเรื่องการตาย ตอนหลังเจ้าของรูปถ่ายออกมาแฉ เขาเลยกลายเป็นเรื่องขำขันของหลายคน”
“อ๋อ คนนี้ฉันรู้จัก ลูกไม้เขาแย่จริง ไม่มีสมองเอาเสียเลย”
“ไม่มีสมองแล้วยังมารายการนี้เพื่อหาเรื่องใส่ตัวอีกเหรอ เมื่อกี้ฉันได้ยินรองพีดีไปเตือนผู้จัดการของฟั่นจยาหลัวว่าห้ามช่วยเขาเล่นตุกติกในรายการเด็ดขาด ข่าวเรื่องที่เขามาเข้าร่วมรายการนี้แพร่ออกไปแล้ว ตอนนี้ถ้าถอยจะยิ่งขายหน้า ต้องด้านหน้าอย่างเดียวล่ะ”
“งั้นเขาก็แย่ล่ะ เพราะรายการนี้ต้องใช้ความสามารถจริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์”
ยิ่งพูด คนพวกนี้ยิ่งมันปาก ทำเหมือนฟั่นจยาหลัวไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ทำเอาผู้เข้าแข่งขันพลอยรู้สึกไม่ดีต่อเขา คนที่กล้ามาร่วมรายการส่วนใหญ่ล้วนเก่งจริง หรือไม่พวกเขาก็มั่นใจว่าตัวเองเก่งจริง จึงรู้สึกขัดตากับคนธรรมดา การที่ฟั่นจยาหลัวเป็นคนธรรมดาที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มของพวกเขาย่อมตกเป็นเป้าโจมตี
ตากล้องที่คอยตามบันทึกภาพฟั่นจยาหลัวตามความเป็นจริง การที่ผู้เข้าแข่งขันแบ่งพรรคแบ่งพวกและนินทาฟั่นจยาหลัวย่อมกลายเป็นจุดขายของรายการเมื่อออกอากาศ
ซ่งเวินหน่วนมองภาพที่พีดีสลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “การเชิญฟั่นจยาหลัวมาร่วมรายการเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก ดูเหมือนเอพิโสดแรกจะโฟกัสไปที่เขา พี่ชาย พี่ต้องยังไม่เห็นโพสต์แฉเขาในเน็ตแน่ๆ พี่ดูแล้วก็จะรู้ว่าเขาเป็นพวกหลอกลวง ภาพสเก็ตช์และคำเตือนเรื่องตายนั่นเป็นของปลอม จะต้องมีคนให้การเท็จกับตำรวจแน่ๆ!”
คำให้การของซุนอิ่งเป็นจริงหรือเท็จ ซ่งรุ่ยรู้ดีกว่าใคร แต่เขาคร้านที่จะอธิบายให้คนข้างตัวฟัง เพียงตั้งใจค้นคลิปเมื่อครู่ออกมาเปิดเร่งและย้อนกลับรอบแล้วรอบเล่า ฟั่นจยาหลัวเหมือนปริศนาก้อนใหญ่ที่ดึงดูดให้เขาอยากเข้าใกล้ และอยากค้นหาความจริงจนแทบบ้า
ตอนที่สปอตไลต์ส่องมาอย่างกะทันหัน ฟั่นจยาหลัวนั่งนิ่ง ไม่นานสปอตไลต์ก็ดับ แต่ฟั่นจยาหลัวยังคงไม่ขยับ ทว่าในช่วงคาบเกี่ยวที่ไฟเปิดและปิดนั้น เพียง 0.01 วินาทีนั้นซ่งรุ่ยจับเงาร่างของคนคนนั้นไม่ได้เลย เขาหายวับไปพร้อมแสงที่ดับพึ่บ!
ซ่งรุ่ยเกิดอาการหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ เขาย้อนคลิปกลับไปเพื่อเล่นซ้ำและแคปภาพ ในที่สุดหลังจากความพยายามหลายสิบครั้ง เขาก็จับภาพในช่วง 0.01 วินาทีนั้นได้เต็มๆ เมื่อความมืดครอบคลุมลงมาบนที่นั่งที่ฟั่นจยาหลัวนั่งอยู่ เงาร่างสูงเพรียวนั้นได้หายวับไปอย่างน่าประหลาด ไร้ร่องรอย คล้ายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดโดยรอบ
เขามีตัวตนจริงหรือเปล่า หรือกล้องมีปัญหา? ทำไมคนถึงกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดได้ ซ่งรุ่ยถอดแว่นกรอบทองออก นวดหัวคิ้วที่ปวดหนึบอย่างที่ทำเป็นประจำ เหมือนการพบเจอฟั่นจยาหลัวทำให้เขามีเรื่องต้องสงสัยอยู่ตลอดเวลา
เขาลบภาพที่แคปไว้ทิ้ง ให้รายการดำเนินต่อไปตามปกติ ไม่ได้บอกเล่าการค้นพบของตัวเองให้ใครฟัง และเนื่องจากเขามีตำแหน่งสูงมาก ตอนที่เขาใช้คอมพิวเตอร์จึงไม่มีใครในห้องสังเกตการณ์ห้ามเขา และยิ่งไม่กล้ามามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซ่งเวินหน่วนยืดคอไปแอบมองสองครั้ง พบว่าทั้งจอมีแต่ฟั่นจยาหลัว เธอจึงเบะปาก
ภายในหอประชุม พิธีกรภาคสนามยังคงคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันมาสัมภาษณ์ เด็กหนุ่มคนที่ใช้การดมกลิ่นสื่อวิญญาณคนนั้นแนะนำตัวเองกับกล้องว่า “ผมชื่ออาหั่ว มาจากหมู่บ้านเซินกู่บนภูเขาหิมาลัย เป็นชาวหงจา คุณเคยได้ยินชื่อเผ่าหงจามั้ย รับรองว่าต้องไม่เคย เพราะพวกเราทั้งเผ่ามีกันแค่ห้าสิบหกคน เป็นเผ่าที่เร้นตัวจากโลกภายนอก พวกเราที่นั่นไม่เคยป่วย สุขภาพแข็งแรงเป็นพิเศษ ตอนผมหกขวบก็รู้ตัวว่าสามารถสื่อวิญญาณได้ และเข้าใจว่าตัวเองพิเศษมาตลอด แต่พอมาถึงที่นี่ ผมถึงได้รู้ว่าความสามารถของหลายๆ คนเหนือกว่าผมอีก”
พิธีกรถามต่อด้วยความสนอกสนใจเป็นพิเศษว่า “งั้นอาหั่วคะ คุณพอจะคาดเดาผลการออดิชันครั้งนี้ได้มั้ย คุณว่าใครจะเข้ารอบแรกบ้าง”
“คนแรกต้องเป็นผมแน่นอน” อาหั่วยิงฟัน ยิ้มเห็นฟันขาว “คุณลุงที่ใส่ชุดดำต้องเป็นที่หนึ่งแหงๆ สาวน้อยหน้าขาวคนนั้นก็เก่งมาก พี่สาวสวยๆ คนนั้น นักพรตหนุ่มนั่น ยังมีผู้ชายที่หล่อมากๆ คนนั้นอีก พวกเขาจะได้เข้ารอบแรกหมด เพราะพลังวิเศษบนตัวของพวกเขาเข้มข้นมาก!”
คนที่อาหั่วชี้เป็นคนสุดท้ายเป็นผู้ชายที่สวมสูทราคาแพง ใส่ต่างหูหิน หน้าตาหล่อออกไปทางสวยคนหนึ่ง เขารับรู้ถึงสายตาของพิธีกรกับตากล้องได้อย่างว่องไว มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงพลางเดินมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า ถามยิ้มๆ ว่า “พวกคุณคุยอะไรกันอยู่เหรอ”
พิธีกรภาคสนามหลงเสน่ห์ของเขาไปแล้ว เธออึ้งไปสองวินาทีก่อนบอก “อาหั่วทำนายว่าคุณจะผ่านเข้ารอบแรก เขาคิดว่าคุณคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่เก่งที่สุดค่ะ”
“เหรอครับ คนนี้คืออาหั่วเหรอ” หนุ่มหล่อยื่นมือไปจับมือกับอาหั่ว ทุกท่วงท่าล้วนดูดีมาก “ผมชื่อติงผู่หัง เรามาเป็นเพื่อนกันดีมั้ย ผมเองก็ดูออกว่าคุณเก่งมาก”
“อา ขอบคุณครับ ชมเกินไปแล้ว!” อาหั่วเริ่มทำอะไรไม่ถูกเมื่อชายหนุ่มเข้ามาใกล้ๆ เขาได้กลิ่นที่ชวนให้กระสับกระส่ายอย่างที่สุดจากตัวอีกฝ่าย แต่กลับไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทว่าจากประสบการณ์ในอดีตของเขา คนที่มีกลิ่นแบบนี้ส่วนใหญ่มักอันตรายมาก ต้องอยู่ให้ห่างเอาไว้
เด็กหนุ่มกวาดตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนก้าวถอยไปข้างหลังเพื่อเว้นระยะห่างหนึ่งจุดสองเมตร ไม่มากไม่น้อย เป็นระยะห่างที่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสนิทสนม และสามารถรักษาระยะปลอดภัยได้อย่างไม่ห่างเหินจนเกินไป
อาหั่วโล่งอก ในขณะที่หนุ่มหล่อยกมุมปากขึ้นนิดๆ จนเกือบมองไม่เห็น ดวงตามีประกายมืดดำวาดผ่าน
“อาหั่วมองใครเอาไว้บ้าง บอกผมหน่อยได้มั้ยครับ” ติงผู่หังถามอย่างมีมารยาท
“อา ผมมองลุงคนนั้น พี่สาวสองคนกับนักพรตนั่น พวกเขาต้องได้เข้ารอบตัดสินแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์” อาหั่วมั่นใจในคำตัดสินของตัวเองมาก เขาข้ามรอบออดิชันไปทำนายรอบตัดสินเลย
หัวคิ้วของติงผู่หังย่นเข้าหากันเล็กน้อย เขาชี้ไปที่ฟั่นจยาหลัวที่นั่งอยู่ในมุมแล้วถาม “เขาล่ะ คุณไม่ได้มองเขาเลยเหรอ”
“เขาน่ะเหรอ ผมไม่ได้กลิ่นบนตัวเขาเลย เขาน่าจะเป็นคนธรรมดามากกว่า” อาหั่วส่ายหน้า
“ไม่มีกลิ่นสักนิดเลยเหรอ” หัวคิ้วของติงผู่หังขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น
“ใช่ ไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด” อาหั่วส่ายหน้าต่อ
“โอเค ผมรู้แล้ว” ติงผู่หังผงกศีรษะเล็กน้อย เดินจากไปทันที
พิธีกรภาคสนามกับอาหั่วมองเงาแผ่นหลังของเขาอย่างเอ๋อๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะเดินมาพูดจาแบบไม่มีหัวมีท้ายแบบนี้เพื่ออะไร อยากได้ซีน? หรืออยากโชว์ออฟ? แต่มาดไฮโซของเขาดูไม่เหมือนเลย!
อาหั่วเกาท้ายทอยตัวเองพลางสูดดมกลิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ ทันใดนั้นเขาก็ตบศีรษะตัวเองอย่างแรง ร้องครวญ “อา ผมพลาดแล้ว! ผมพลาดมหันต์เลย! ทำไมผมถึงโง่แบบนี้นะ! มนุษย์ทุกคนมีกลิ่น แต่ละคนแตกต่างกัน แต่ฟั่นจยาหลัวเป็นคนเดียวที่ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลย แบบนี้มันผิดปกติเกินไป!”
“ฟั่นจยาหลัวทำไมเหรอคะ” พิธีกรภาคสนามถามอย่างน้ำเต็มสมอง
อาหั่วตื่นเต้นจนหน้าแดง “ฟั่นจยาหลัวเป็นคนเดียวในโลกที่ไม่มีกลิ่น คุณเข้าใจมั้ย ถึงผมจะไม่เคยเห็นโลกทั้งใบ แต่ในโลกของผม เขาคือหนึ่งเดียว ไม่มีใครเหมือนเขา! ผมไม่ได้กลิ่นของเขา เขาสะอาดยิ่งกว่าหิมะบนยอดเขาหิมาลัยซะอีก!”
“พูดแบบนี้ไม่เป็นการชมกันมากเกินไปหรือคะ” พิธีกรภาคสนามทำสีหน้าเหมือนมีเส้นดำอยู่เต็มหัว
“ไม่ได้ชม ผมเคยสูดกลิ่นอากาศสดชื่นของหิมะที่อยู่บนยอดเขาหิมาลัย มันขมนิดๆ หวานหน่อยๆ เป็นกลิ่นอ่อนๆ อ่อนมากๆๆ! ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันเป็นกลิ่นที่อ่อนจางที่สุดในโลกแล้ว แต่บนตัวของฟั่นจยาหลัวกลับไม่มีแม้แต่กลิ่นอ่อนจาง คุณเข้าใจมั้ยว่านี่มันหมายความว่ายังไง กลิ่นนี้มันจางกว่าหิมะที่ละลายภายในชั่วพริบตา เหมือนเขาไม่มีตัวตนหรืออยู่ในโลกที่ปิดผนึก เขามีอำนาจในการปิดผนึกตัวเองและคนอื่น แต่ไม่ต้องไปสนใจมันมากหรอก ผมขอเปลี่ยนคำทำนายของตัวเองแล้วกันว่าเขาจะต้องได้เข้ารอบตัดสิน!”
อาหั่วพูดๆ พลางวิ่งไปหาฟั่นจยาหลัวเหมือนหมาใหญ่เห็นเนื้อติดกระดูก เพราะกลัวว่าจะมีคนมาแย่งเอาไปเลยแกว่งหางเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
พิธีกรภาคสนามที่ถูกเขาทิ้งไว้ด้านหลังทำได้เพียงส่งยิ้มให้กล้องอย่างประดักประเดิด
ในเวลาเดียวกันนี้ซ่งรุ่ยจ้องมองภาพบนหน้าจอพลางแอบรำพึง เป็นความว่างเปล่า? คุณมีตัวตนอยู่จริงหรือ
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธคำตอบเชิงลบเป็นพิเศษ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
วางจำหน่ายที่ร้าน JamClub, เว็บไซต์ Jamsai Store และร้านหนังสือทั่วไป