everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 101 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 101 ข้อมูลที่ถูกตัดขาด
จวงเจินเป็นคนที่มีความชัดเจนอย่างที่สุด และควบคุมความปรารถนาได้ดีมาก เขาพลิกดูเนื้อหาการทดสอบที่ซ่งเวินหน่วนกำหนดแล้วพูดแบบถืออภิสิทธิ์เต็มที่ว่า “ในเมื่อพวกเราคือคนตัดสิน งั้นจะทดสอบยังไงก็น่าจะแล้วแต่เราไม่ใช่เหรอ เวลานี้ผมยังไม่เชื่อมั่นในผู้เข้าแข่งขันของพวกคุณเอามากๆ และผมไม่ชอบที่ต้องมาอยู่ในรายการพิสดารแบบนี้ให้เสียเวลาอันมีค่าของผม ดังนั้นผมจำเป็นต้องใช้วิธีที่ไวที่สุดมาคัดแยกคนพวกนี้ว่าคนไหนเก่งจริง คนไหนใช้อุบายหลอกลวง ผมไม่มีเวลามาเล่นเกมกับพวกคุณหรอกนะ”
ซ่งเวินหน่วนกำหมัด รู้สึกได้ว่าตัวเองอยากต่อยคนมาก
แต่ซ่งรุ่ยกลับยิ้ม ผงกศีรษะ “แล้วนายคิดจะทำยังไง”
จวงเจินปรายตามองหยางเซิ่งเฟยแวบหนึ่ง อีกฝ่ายหยิบสร้อยเงินเส้นหนึ่งออกมาอย่างว่าง่าย พูดเสียงแหบ “นี่เป็นของดูต่างหน้าพี่สาวผม ตอนเกิดเรื่องเธอสวมสร้อยเส้นนี้อยู่ ตอนเจอผู้เข้าแข่งขันของพวกคุณ เราจะไม่พูดสักคำ และเอาสร้อยเส้นนี้วางรวมไว้กับของอย่างอื่นเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันของพวกคุณใช้จิตสัมผัส เราจะคุยกับคนที่ใช้จิตสัมผัสแล้วหาของดูต่างหน้าพี่สาวผมเจอและบอกเรื่องคดีได้ เสร็จแล้วจะไปทันที เพราะเราไม่ได้เตรียมจะมาเสียเวลากัน พวกคุณรู้ใช่มั้ยครับว่าเพื่อทำคดีนี้ เรานอนกันวันละสามสี่ชั่วโมงติดต่อกันมาเดือนกว่าแล้ว พละกำลังและขีดจำกัดของเรามาถึงขีดสุดแล้ว”
หมัดของซ่งเวินหน่วนคลายออก โทสะในใจถูกแทนที่ด้วยความละอายใจอย่างมาก เธอเข้าใจความเจ็บปวดที่คนในครอบครัวถูกทำร้ายดี และรู้ซึ้งถึงความทรมานที่ไม่สามารถเอาผิดคนร้ายได้ เธอจึงเข้าใจการกระทำที่เกือบไร้มารยาทของพวกเขา พวกเขากำลังเร่งที่จะเสาะหาความจริงอย่างที่สุด ถึงไม่สามารถให้ใครเอาความร้อนใจจนเกือบเป็นความทุกข์ทรมานนี้มาเป็นเรื่องขำขัน
“ได้ค่ะ ฉันจะให้ทีมพร็อพเตรียมของจุกจิกมาคละกับสร้อยเส้นนี้ ตอนผู้เข้าแข่งขันเข้ามาในห้องทดสอบ เราทุกคนจะนิ่งไว้” ซ่งเวินหน่วนกวักมือเรียกผู้ช่วยหลายคนมาสั่งงาน
ไม่นาน รายการก็เริ่มอัด เนื่องจากครั้งที่แล้วมีการโกงจึงมีการคัดออกไปสองคน คนหนึ่งคือผู้เข้าแข่งขันที่โกง และอีกคนคือผู้เข้าแข่งขันที่ได้ลำดับสุดท้าย ทำให้อีพีนี้เหลือร่างทรงวิญญาณที่ต้องมาฟาดฟันกันทั้งหมดสิบเอ็ดคน
ผู้เข้าแข่งขันที่จับได้เบอร์หนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ เขานั่งลงที่ข้างโต๊ะกลมตามการชี้บอกอย่างไร้สุ้มเสียงของผู้ช่วยผู้กำกับ หันหน้าเข้าหาหยางเซิ่งเฟยกับจวงเจิน ซ่งเวินหน่วนที่เป็นพิธีกรนั่งอยู่ด้านซ้ายของผู้เข้าแข่งขัน ซ่งรุ่ยนั่งอยู่ด้านขวาของผู้เข้าแข่งขัน วันนี้กรรมการอีกสามท่านติดธุระ ไม่สามารถมาได้
ไม่มีใครพูด มีแต่การรอคอยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหนึ่งมองตอบพวกเขาอย่างกระสับกระส่าย สุดท้ายเขามองไปที่ผู้ช่วยผู้กำกับ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ผู้ช่วยผู้กำกับก็ไม่พูดเหมือนกัน เพียงชี้ไปบนโต๊ะ ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหนึ่งถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีของกระจุกกระจิกหลายอย่าง สร้อยเงินห้อยจี้รูปหัวใจหนึ่งเส้น สร้อยทองห้อยจี้รูปดอกบัวหนึ่งเส้น พวงกุญแจวินนี่เดอะพูห์ขนปุกปุยหนึ่งอัน รองเท้าส้นสูงที่ด้านข้างถลอกหนึ่งคู่ มือถือที่อยู่ในสภาพปิดเครื่องหนึ่งเครื่อง และไดอารี่ที่ใส่กุญแจหนึ่งเล่ม
ภาพตรงหน้าเหมือนภาพยนตร์เงียบและเหมือนเป็นปริศนา ผู้เข้าแข่งขันจำเป็นต้องคิดว่าจะทำอย่างไร และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจแล้ว เขาจึงมองทุกคนที่นั่งล้อมตัวเองอยู่อย่างเอาจริงเอาจังทีละคนๆ เพื่อหาเบาะแสบางอย่างจากใบหน้าของพวกเขา สุดท้ายเขายื่นมือออกไปวาดอยู่เหนือของกระจุกกระจิก เหมือนกำลังใช้จิตสัมผัสพลังงานที่พวกมันแผ่ออกมา
“ของชิ้นนี้เป็นของคุณ” เขาชี้สร้อยเงินแล้วชี้ไปที่หยางเซิ่งเฟยที่หน้าตาซีดเซียว
จวงเจินพูดขึ้นทันที “เชิญคุณออกไปได้”
ผู้เข้าแข่งขันหันไปมองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย…คุณเป็นใคร
ก่อนถ่ายทำ ซ่งเวินหน่วนรับปากจวงเจินว่าจะเคารพการตัดสินทุกอย่างของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ หญิงสาวจึงทำได้เพียงฝืนยิ้ม “โอเคค่ะ เชิญคุณออกไปก่อนนะคะ ดูเหมือนผู้ตัดสินของเราจะมีคำขออื่น”
ผู้เข้าแข่งขันเดินจากไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ จวงเจินหัวเราะเสียงเย็น ขนาดอยู่ต่อหน้ากล้องเขายังไม่รู้จักเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเลย
ซ่งเวินหน่วนสะกดกลั้นเพลิงโทสะ แสร้งยิ้มถาม “หัวหน้าจวงคะ เมื่อกี้ผู้เข้าแข่งขันของเราไม่ได้พูดผิดนะคะ สร้อยเส้นนี้เป็นของหยางเซิ่งเฟยจริงๆ ทำไมคุณถึงไล่เขาไปล่ะ”
จวงเจินปรายตามองซ่งรุ่ยแวบหนึ่ง พูดเสียงเนิบ “ง่ายมาก เขาไม่ได้ใช้จิตสัมผัส แต่เดาจากการสังเกตสีหน้า สีหน้าของอาเฟยซีดที่สุด ท่าทางร้อนใจที่สุด ตอนผู้เข้าแข่งขันเข้ามา อาเฟยเผลอมองสร้อยเส้นนั้น และตอนผู้เข้าแข่งขันใช้จิตสัมผัส เขาก็แอบอ่านสีหน้าของเราทุกคน เขาเลยเดาได้ทันทีว่าของชิ้นไหนเป็นของใคร แต่แค่เขาเอ่ยปากพูดก็ผิดแล้ว เพราะถึงอาเฟยจะเป็นคนเอาสร้อยเส้นนี้มา แต่มันไม่ใช่ของเขา ถ้าคนคนนั้นเป็นร่างทรงวิญญาณจริง มีจิตสัมผัสจริง เขาต้องเปลี่ยนวิธีพูดให้มีความแม่นยำกว่านี้ มุกหลอกอำง่ายๆ แบบนี้ผมเชื่อว่าด็อกเตอร์ซ่งมองออกนานแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงอดทนมานั่งเล่นละครอยู่กับพวกคุณได้”
ซ่งรุ่ยยิ้มแบบไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เป็นอีกครั้งที่ซ่งเวินหน่วนอยากซัดคน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอแขกวีไอพีที่กร่างขนาดนี้ แต่ไม่เป็นไร คอยให้ถึงตอนฟั่นจยาหลัวออกโรง คนคนนี้จะต้องหน้าหงาย! ไม่สิๆๆ ไม่ต้องคอยให้อาจารย์ฟั่นออกโรง ลำพังแค่พวกหยวนจงโจวก็ทำให้จวงเจินต้องเปลี่ยนสามทัศนะใหม่แล้ว!
พอคิดได้แบบนี้ ซ่งเวินหน่วนก็กลับมานิ่งได้ เธอร้องเรียก “เชิญผู้เข้าแข่งขันหมายเลขสองเข้ามาค่ะ” และในเวลาเดียวกัน จวงเจินเตือนให้หยางเซิ่งเฟยควบคุมตัวเองให้ดี ห้ามแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขสองงงอยู่พักหนึ่งก็เริ่มใช้จิตสัมผัสของบนโต๊ะ “นี่มัน…แปลกๆ มีใครสวมมันแล้วเท้าพลิก…” เธอชี้ไปที่รองเท้าส้นสูงคู่นั้น
จวงเจินเคาะโต๊ะอย่างหงุดหงิด “คุณไปได้”
ผู้เข้าแข่งขันได้แต่คิดว่า…คุณเป็นใคร
ซ่งเวินหน่วนกำหมัดแน่น แสร้งยิ้มพลางเอ่ย “ขอโทษนะคะ คุณไปได้แล้วค่ะ”
จวงเจินกับหยางเซิ่งเฟยกลับมานิ่งอีกครั้ง
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขสามเดินเข้ามา ชี้ไปที่ไดอารี่แบบงงๆ ยังไม่ทันได้เปิดปากก็โดนจวงเจินไล่ตะเพิด
ทุกคน “…”
ผู้เข้าแข่งขันถูกไล่ออกไปติดๆ กัน จวงเจินหมดความอดทนลงเรื่อยๆ เขาเริ่มต่อว่าซ่งเวินหน่วนหน้ากล้องว่าเธอทำรายการเผยแพร่ไสยศาสตร์ เอามันส์อย่างเดียว ซ่งเวินหน่วนต้องอดทนด้วยความยากลำบาก พอเห็นหยวนจงโจวปรากฏตัวที่ประตู หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล สวรรค์ ในที่สุดคนที่เป็นของจริงก็มาแล้ว เร็วเลยค่ะ มาไวๆ เล่นงานเจ้าไข่เน่าอวดเบ่งคนนี้เลย!
หยวนจงโจวยังไม่ทันได้นั่งก็หยิบกระดิ่งออกมาเขย่ารอบโต๊ะช้าๆ เสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆๆ…เสียงกระดิ่งก้องกังวานไปทั่วห้องมืดๆ แห่งนี้ เหมือนระลอกคลื่นที่ขยายตัวออกไป ความร้อนรุ่มในใจของหยางเซิ่งเฟยได้รับการปลอบประโลมจากเสียงกระดิ่ง สายตาเริ่มมีความหวัง เพราะคนคนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา
จวงเจินกอดอก เงียบนิ่ง ถ้าดูแต่สีหน้า คุณจะไม่มีทางเจอเบาะแสใดๆ บนใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขา เขาเหมือนรูปสลักที่วัตถุภายนอกไม่สามารถรบกวนได้
เมื่อตอนเดินวนถึงรอบที่เก้า ในที่สุดหยวนจงโจวก็นั่งลงบนเก้าอี้ว่าง ชี้ไปที่สร้อยสีเงิน พูดเสียงเนิบ “มันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับคุณคืออะไรนะ” สองตาลึกล้ำของเขาจ้องเขม็งไปที่หยางเซิ่งเฟย
หยางเซิ่งเฟยตัวแข็ง เขาพยายามควบคุมตัวเอง ไม่กล้าเคลื่อนไหว ไม่กล้ามองไปทั่ว และยิ่งไม่กล้าคิดวุ่นวาย หยวนจงโจวเริ่มพูดกับตัวเอง “ความผูกพันทางสายเลือด ความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้ง ความตาย ความโกรธแค้น ความสิ้นหวัง…” อีกฝ่ายนิ่งไปนานแล้วพูดคำสี่พยางค์ออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “การฆาตกรรม!”
ดวงตาของหยางเซิ่งเฟยเริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่จวงเจินมองไปที่ผู้เข้าแข่งขันซึ่งดูน่าเชื่อถือกว่าผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด
ซ่งเวินหน่วนจัดท่าเล็กน้อยเพื่อให้แผ่นหลังของตัวเองเหยียดตรงมากขึ้น เห็นแล้วใช่มั้ย เห็นแล้วใช่หรือเปล่า ใครแอ๊บกัน!
หยวนจงโจวหลับตา พูดต่อ “ผมมองเห็นเด็กสาวสวมชุดเดรสสีแดงหนึ่งคน เธอสวยมาก ยิ้มเก่งมาก เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา คนรอบตัวเธอล้วนชอบเธอมาก แต่กลับมีสายตาของคนร้ายคู่หนึ่งคอยจ้องเธอ อันตรายค่อยๆ คืบใกล้…”
แรกๆ หยางเซิ่งเฟยพยักหน้าถี่ แต่ตอนหลังเขาหยุดหายใจ สายตาจดจ้องหยวนจงโจวแบบโฟกัสเต็มที่ เฝ้าคอยคำที่อีกฝ่ายจะพูดต่อไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย หยวนจงโจวพูดถึงเรื่องในอดีตด้วยน้ำเสียงขมขื่น ขาดห้วง “กลางคืน ฝนตกหนัก ดิ้นรน ความตาย ทุกอย่างจบสิ้น ผมรับรู้อะไรไม่ได้มาก เธอตายแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือเธอเอาข้อมูลที่ควรทิ้งไว้ไปด้วย มันผิดปกติ คนที่ถูกฆ่ามักมีความแค้นรุนแรงมาก ข้อมูลที่ทิ้งไว้น่าจะมีเยอะที่สุด แต่เธอไม่มี เธอหายสาบสูญโดยสมบูรณ์”
หยวนจงโจวลืมตา สั่นศีรษะอย่างเสียใจ “ขอโทษ ผมช่วยคุณไม่ได้ ผมรู้ว่าคุณมาทำไม แต่ผมช่วยคุณไม่ได้จริงๆ ข้อมูลของเธอถูกเธอตัดขาดไปแล้ว”
“ทำไมถึงตัด” หยางเซิ่งเฟยถามเสียงร้อนใจ
“ผมก็ไม่รู้ คุณน่าจะไปถามเธอ แต่คุณถามไม่ได้หรอก เพราะวิญญาณของเธอคงดับสูญไปแล้ว” หยวนจงโจวถอนหายใจยาวเหยียด
“วิญญาณดับสูญ?” หยางเซิ่งเฟยถามเสียงสั่น
“เป็นไปได้ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน” หยวนจงโจวลุกขึ้นโค้งคำนับ เห็นได้ว่าเขารู้สึกผิดมาก เพราะเขาไม่สามารถช่วยชายหนุ่มที่กำลังจมอยู่ในกองทุกข์คนนี้ได้
คอยจนเขาจากไป ซ่งเวินหน่วนจึงเอ่ยว่า “หัวหน้าจวงคะ ผู้เข้าแข่งขันของเรามีแปรงสองด้ามนะคะ”
“แค่แมวตาบอดบังเอิญฆ่าหนูได้เท่านั้น คอยให้ผู้เข้าแข่งขันของพวกคุณจับคนร้ายตัวจริงได้ก่อนค่อยคุยเถอะ” ใบหน้าของจวงเจินไม่มีความซาบซึ้งแม้แต่น้อย ต่อให้เขารู้ดีว่าวันที่พี่สาวของหยางเซิ่งเฟยถูกทำร้าย เธอสวมชุดเดรสสีแดง และตายตอนที่ฝนกำลังตกหนักก็ตาม
ถ้าช่วยพวกเขาจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ ต่อให้พูดได้ราวดอกไม้โปรยจากสวรรค์ ก็ไม่มีประโยชน์
ซ่งเวินหน่วนหายใจเข้าออกลึกๆ ติดๆ กันก่อนกัดฟันเรียกผู้เข้าแข่งขันคนต่อไป
เหอจิ้งเหลียนสัมผัสได้ถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ สำหรับเธอเวลายี่สิบปีมันนานเกินไป สาวน้อยมองหยางเซิ่งเฟยด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ เธอพูดคำแสดงความเห็นใจประโยคหนึ่งแล้วเดินจากไปแบบโซซัดโซเซ เหมือนเจ็บปวดมาก อาหั่วดมกลิ่นของบนโต๊ะแล้วยื่นสร้อยสีเงินให้หยางเซิ่งเฟย บอกว่าบนนี้มีกลิ่นคาวเลือด แต่ที่มากกว่านั้นเขาบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร ส่วนติงผู่หังสั่นศีรษะ “คดีปริศนา นี่เป็นคดีปริศนา ผมไม่รู้เรื่องจริงลึกๆ พวกคุณไปหาผู้สูงส่งท่านอื่นดีกว่า”
หลายคนทยอยเข้ามาแล้วทยอยจากไป ไม่มีถ้อยคำสร้างสรรค์ใดๆ ความหวังในดวงตาของหยางเซิ่งเฟยเลือนหายไปมาก เช่นเดียวกับความอดทนของจวงเจินที่ค่อยๆ ใกล้ถึงขีดสุด
ซ่งเวินหน่วนเช็ดเหงื่อพลางเรียกคนต่อไป ซ่งรุ่ยเอาแต่เท้าคางอยู่ตลอด เฝ้ามองทุกอย่างอย่างเงียบๆ
จูซีหย่าเดินเข้ามา เธอเหมือนกับทุกคนคือนั่งลงบนเก้าอี้ว่างโดยไม่พูด และเริ่มเอาเตาโลหะใบเล็กที่มีควันดำลอยกรุ่นใบหนึ่งมาตั้ง เธอใช้เข็มโลหะเรียวยาวจิ้มเชื้อไฟในเตา ทำให้ควันบางเบาฟุ้งกระจายไปไกลกว่าเดิม หญิงสาวหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลง มองควันที่เปลี่ยนรูปตาไม่กะพริบ พูดเสียงเนิบ “ในใจคุณมีวิญญาณที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหนึ่งดวง คุณเป็นทุกข์เพราะเธอ ดิ้นรนเพื่อเธอ ต่อสู้เพื่อเธอ ตอนแรกฉันจะเรียกเธอมาให้คุณถามข้อสงสัยเอง ฉันคิดว่าคงไม่มีใครรู้ซึ้งถึงเรื่องในอดีตดีกว่าเธอ เพราะเธอคือเหยื่อ”
หยางเซิ่งเฟยกำหมัดทันที เขามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตาเป็นประกาย
ทว่าจูซีหย่ากลับดับเตาโลหะ โบกมือเบาๆ เพื่อไล่ควัน ก่อนสั่นศีรษะพลางเอ่ย “แต่เมื่อกี้ฉันพบว่าสิ่งที่เธอเหลือไว้มีแต่เศษซากของความทรงจำ วิญญาณของเธอสลายไปหมดแล้ว และเอาข้อมูลทั้งหมดไปด้วย เธอไม่หวังให้พวกคุณช่วยหาตัวฆาตกรให้ เธอยอมแพ้แล้ว ดังนั้นพวกคุณต้องยอมแพ้เหมือนกัน” จูซีหย่าส่ายหน้า และสุดท้าย เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ดูเหมือนร่างทรงวิญญาณเก่งๆ ทุกคนจะพูดเป็นทำนองว่าให้ยอมแพ้เหมือนกันหมด ซ่งเวินหน่วนมองว่านี่คือสัญญาณ แต่จวงเจินกลับมองว่านี่เป็นเรื่องโกหก เป็นละครที่ทีมงานให้คนกลุ่มนี้มาแสดง เพราะพวกเขาหาตัวคนร้ายไม่ได้ แต่ต้องรักษาชื่อเสียงของรายการ จึงต้องแต่งเรื่องประเภทดวงวิญญาณแตกสลายนั่นขึ้นมา หรือพวกเขาไม่รู้ว่าการได้ยินคำพวกนี้จะทำให้หยางเซิ่งเฟยต้องเจ็บปวดและเสียใจมากแค่ไหน แบบนี้มันทำให้เขาสิ้นหวังยิ่งกว่าการคลี่คลายคดีไม่สำเร็จเสียอีก!
จวงเจินมองซ่งเวินหน่วน สั่นศีรษะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็นและตำหนิ แม้จะไม่ได้พูดสักประโยค แต่เขากำลังแสดงสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาอย่างชัดเจน
ซ่งเวินหน่วนโมโห หลังส่งจูซีหย่าออกไปหญิงสาวก็ตบโต๊ะ “มองแบบนี้หมายความว่าอะไร สงสัยว่ารายการเราร่วมมือกับผู้เข้าแข่งขันมาป่วนอาเฟยเหรอ ฉัน ซ่งเวินหน่วนยังไม่ตกต่ำถึงขั้นนั้นหรอกนะ! อาจารย์ฟั่นล่ะ อาจารย์ฟั่นหมายเลขอะไร รีบเชิญเขาเข้ามา!”
ซ่งเวินหน่วนไม่สนแล้วว่าฟั่นจยาหลัวหมายเลขอะไร เธอจะต้องเชิญเขามาตบหน้าจวงเจินแบบเน้นๆ!
ซ่งรุ่ยนั่งตัวตรง ดวงตาเป็นประกาย
หยางเซิ่งเฟยที่ท้อใจอยู่เมื่อครู่กลับมามีชีวิตชีวาทันที เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขาตั้งใจมาหาฟั่นจยาหลัว ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเป็นแค่ตัวเลือกแก้ขัด จะช่วยเขาได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ฟั่นจยาหลัวยังไม่ออกโรง ใจเขาย่อมมีความหวังอยู่
บังเอิญว่าผู้เข้าแข่งขันที่ต่อหลังจูซีหย่าคือฟั่นจยาหลัว เขาผลักประตูเข้ามานั่งลงช้าๆ ก้มศีรษะอย่างมีมารยาท “เจอกันอีกแล้วนะครับ หัวหน้าจวง คุณหยาง ดูเหมือนระยะนี้คุณจะเจอเรื่องแย่ๆ มามาก”
หยางเซิ่งเฟยเตรียมจะตอบกลับ แต่กลับถูกหัวหน้ากดไหล่ไว้และส่ายหน้าห้าม ใช่ พวกเขาบอกไว้ว่าจะไม่พูดสักคำจนกว่าผู้เข้าแข่งขันจะตอบถูก การยอมรับว่าตัวเองเจอเรื่องแย่มามาก มิเท่ากับยอมรับกับฟั่นจยาหลัวว่าตนกำลังมีปัญหาหรือ นี่คือคำพูดตามมารยาทต่างหาก! พอคิดได้แบบนี้ หยางเซิ่งเฟยก็รีบหุบปากฉับ
ฟั่นจยาหลัวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขายื่นนิ้วชี้เรียวยาวออกไปผลักสร้อยสีทอง พวงกุญแจ รองเท้าส้นสูง ไดอารี่ มือถือ ผลักของทั้งหมดออกไปอยู่ที่ขอบโต๊ะกลม เพื่อให้สร้อยสีเงินนอนฉายประกายขาวเจิดจ้าอยู่อย่างเดียว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขารู้ว่านี่คือของชิ้นที่มีความสำคัญที่สุด
“ผมรู้ว่ามันมีความสำคัญสำหรับคุณมาก แต่ตอนนี้มันถูกผนึกไว้ ข้อมูลที่พี่สาวคุณทิ้งไว้ถูกตัวเธอเองลบไป ผมสัมผัสไม่เจออะไรเลย สิ่งที่ผมเห็นมีแต่ภาพที่ไหววูบอยู่ในใจคุณ ผมรู้ว่าเธอถูกทำร้าย คืนฝนตก ความทารุณ ความตาย แต่มากกว่านั้นคือความจริงที่มีแต่เธอที่รู้ และทั้งหมดถูกเธอเอาไปด้วย ลำพังแค่สร้อยเส้นนี้ผมคงช่วยคุณไม่ได้” ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้า น้ำเสียงนิ่งสนิท แต่กลับฟังดูอับจนยิ่ง
แผ่นหลังที่หยัดตรงของซ่งเวินหน่วนโค้งลงภายในชั่วพริบตา เธอคิดไม่ถึงว่าแม้แต่อาจารย์ฟั่นยังทำอะไรไม่ได้ จวงเจินปรายตามองเธอแวบหนึ่ง สีหน้าฟ้องชัดเจนว่าสงสัยและไม่พอใจ ยังมีหน้ามาบอกว่าทีมงานไม่ได้เตี๊ยม ทั้งที่พูดเหมือนกันเป็นรอยทางรถแบบนี้!
น้ำตาของหยางเซิ่งเฟยไหลรินออกมาทันที เขาพูดเสียงสะอื้น “ไม่มีทางจริงๆ เหรอครับ แม้แต่คุณก็ไม่มีวิธีเลยเหรอ” เขาถามย้ำ พยายามไขว่คว้าความหวังสุดท้ายอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย เขาลืมสองตาที่เบิกโพลงด้วยความแค้นของพี่สาวในยามตายไม่ลง พ่อต้องปิดอยู่กี่ครั้งกว่าจะปิดตาเธอลงได้ พี่เคียดแค้นขนาดนั้น อาฆาตขนาดนั้น ทุกข์ทรมานขนาดนั้น แล้วทำไมถึงตัดขาดข้อมูลทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้ พี่ไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้น!
ฟั่นจยาหลัวหลุบตาคิดอยู่พักหนึ่ง ถอนหายใจเอ่ยว่า “พาแม่คุณมาได้หรือเปล่า นี่เป็นการลองอย่างสุดท้าย”
หยางเซิ่งเฟยลังเล เพราะแค่พูดชื่อของพี่สาว แม่ของเขาก็จะกรีดร้องอาละวาด เขาจึงไม่กล้ารับประกันว่าเธอจะมีสติจนถ่ายรายการเสร็จ แต่ในเมื่อฟั่นจยาหลัวบอกว่านี่เป็นการลองอย่างสุดท้าย เขาก็ขอทุ่มสุดตัว!
“ครับ ผมจะไปรับแม่มา!” โดยปราศจากความลังเล หยางเซิ่งเฟยตัดสินใจทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 15 ธ.ค. 64