ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 102 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 102 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 102 การเสื่อมสลายของอาคมเรียกของ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หยางเซิ่งเฟยจูงมือแม่เดินเข้ามาในห้องทดสอบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้บอกความจริง เพราะคุณแม่หยางเดินเข้ามาพลางกวาดตาสำรวจสภาพแวดล้อมแล้วถามเบาๆ ไม่หยุดว่า “ลูกแม่ พาแม่มาทำอะไรที่สถานีโทรทัศน์เหรอ พวกเขาจ้องเราใหญ่เลย เกิดอะไรขึ้น หรือพวกกรมตำรวจของลูกมีกิจกรรม ถึงเชิญครอบครัวมาร่วมด้วย?”

สตาฟฟ์หลายคนเข้ามามุงเพื่อติดไมค์กับชุดหูฟังให้คุณแม่หยาง

เห็นได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงประเภทผู้ตาม เพราะถึงจะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่กลับไม่มีความเห็นต่าง เพียงยอมรับการจัดการของทุกคนด้วยตัวแข็งๆ จอนผมทั้งสองข้างของเธอเริ่มกลายเป็นสีขาว สองตาขุ่นมัวมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยที่พาดไปมา ทั้งที่เพิ่งจะอายุห้าสิบเศษแต่กลับดูเหมือนคนแก่อายุหกสิบเจ็ดสิบ หน้าเธอซีดเผือด ไม่ได้ซีดเพราะความเหนื่อยล้า แต่เป็นเพราะความชังโลกที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนที่ไม่มีความสุขในชีวิต

เธอถูกลูกชายดันตัวให้นั่งลงข้างโต๊ะกลม หันหน้าเข้าหาชายหนุ่มคนหนึ่ง คุณแม่หยางตกใจทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มคนนั้นหน้าตางดงามมาก ใบหน้าขาวผ่องอยู่ใต้แสงไฟ แต่สองตากลับไร้ประกาย เป็นสีดำสนิท และลึกล้ำ เหมือนแอ่งน้ำลึกแห่งหนึ่งที่สามารถทำให้คนจม หายใจไม่ออก

คุณแม่หยางแอบมองชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วรู้สึกลนลาน เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ “ลูกแม่ พวกลูกกำลังทำอะไรกัน เอากล้องเยอะแยะมาเตรียมถ่ายอะไร จวงเจินก็อยู่ด้วยเหรอ กรมตำรวจของพวกคุณกำลังถ่ายรายการอะไรเหรอคะ” เธอพยายามเค้นรอยยิ้ม แต่รอยยับย่นที่พาดทับกันบนหน้าทำให้รอยยิ้มนั้นดูแสยะ น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้

หยางเซิ่งเฟยรีบขยิบตาให้หัวหน้า ทว่าจวงเจินกลับเหมือนไม่ได้รับสารจากเขา ชายหนุ่มพูดตรงๆ ว่า “คุณน้าครับ เรากำลังถ่ายรายการโลกของผู้วิเศษ คุณเคยดูมั้ย อาเฟยจับฆาตกรตัวจริงไม่ได้เลยมาถามร่างทรงวิญญาณ”

“อะไรนะ ออกทีวีเพื่อหาตัวฆาตกร?” ท่าทางโอนอ่อนผ่อนตามของคุณแม่หยางเปลี่ยนเป็นประท้วงอย่างรุนแรง “ไม่ๆๆ ไม่ออกทีวี! ไม่หาตัวฆาตกร บ้านเราไม่เคยเจอฆาตกร! บ้านเรามีลูกชายคนเดียว ไม่มีใครถูกฆ่า ไม่มี! แม่จะกลับ แม่ต้องกลับ แม่ไม่ถ่ายรายการ! ใครบอกว่าจะหาตัวฆาตกร แม่มีลูกชายคนเดียว ไม่มีฆาตกร! คนในบ้านเราอยู่ดีมีสุขกันทุกคน!”

เธอพูดออกมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่องเพื่อยืนยันว่าตัวเองมีลูกชายคนเดียว เหมือนลืมลูกสาวที่ตายอนาถในคืนฝนตกนั้นไปแล้ว

หยางเซิ่งเฟยกดไหล่แม่ พูดเสียงเกือบจะร้องไห้ “แม่ครับ แม่นั่งดีๆ ก่อนได้มั้ย ถ้าเราถามได้ความเรื่องในตอนนั้น เราจะได้ช่วยพี่สาวหาตัวคนที่ทำร้ายเธอได้ ให้เธอได้ตายตาหลับนะครับ”

“ลูกไม่มีพี่สาว!” คุณแม่หยางที่พูดจาเสียงเบาพลันตวาดลั่น เสียงนั้นดังมาก ทั้งยังบาดหู หวีดแหลม จนทุกคนต้องปิดหู แต่กลับมีเสียงร้องโหยหวนที่ดังยาวกว่าเสียงหวีดดังออกมาจากไมค์ เหมือนเป็นเสียงที่ดังมาจากอีกโลกหนึ่ง และเหมือนจะมีอะไรบางอย่างระเบิด

ซ่งเวินหน่วนตกใจจนหน้าซีด รีบให้ผู้ช่วยไปเช็กหูฟังกับวิทยุบนตัวของคุณแม่หยาง แต่ยังไม่ทันที่คนกลุ่มนี้จะได้เข้าใกล้ก็ถูกผลักออกอย่างแรง คุณแม่หยางแผดเสียงลั่น “อย่ามาโดนตัวฉัน พวกเธอออกไป ฉันไม่ถ่ายรายการอะไรทั้งนั้น ฉันไม่หาตัวฆาตกร ฉันมีลูกชายแค่คนเดียว ไม่มีลูกสาว! ออกไป ออกไป๊!”

เวลานี้หน้าซีดๆ ของเธอฉายแววดุดัน สองตาขุ่นมัวอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉานเหมือนกลายเป็นบ้าเพราะถูกกระตุ้น เธอเที่ยวผลักเที่ยวชนคนไปทั่ว ดึงทึ้งทุกอย่าง เหมือนแมลงวันไร้หัว หนึ่งตัว บรรดาสตาฟฟ์เริ่มกลัว ด้านหนึ่งพยายามปลอบและอีกด้านมองไปทางหยางเซิ่งเฟย เหมือนอยากถามเขาหนึ่งประโยคว่า…แม่คุณปกติดีใช่มั้ย

สถานการณ์ตอนนี้สับสนอลหม่านมาก แม้แต่จวงเจินที่นั่งนิ่งเป็นคนตกปลามาตลอดยังแตกตื่น เขาเข้าไปใกล้คุณแม่หยางอย่างระมัดระวัง พยายามกดตัวเธอไว้ เขารู้สึกเสียใจในความปากพล่อยของตัวเองอย่างมาก แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเวลาคุณแม่หยางเป็นบ้าขึ้นมาจะคลุ้มคลั่งได้ขนาดนี้ บาดแผลที่ทิ้งไว้ในใจเธอตอนนั้นน่าจะลึกและเจ็บกว่าที่ตาเห็นมาก

ยิ่งมีคนเข้ามามุงตัวเองมากเท่าไหร่ คุณแม่หยางยิ่งอาละวาดหนัก เธอกรีดร้อง สองมือตะกุยตะกาย เตะเก้าอี้ล้ม กวาดของบนโต๊ะทั้งหมดหล่นลงพื้น และกระแทกตัวคนที่เข้าไปใกล้จนกระเด็น เธอสูญเสียการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิง หยางเซิ่งเฟยแทบร้องไห้ ทำได้เพียงตามเธอไปพลางพูดขอโทษเสียงสะอื้น ความตั้งใจทั้งหมดสลายหายไป

พี่สาวตายแล้ว ทำไมถึงต้องทำให้แม่เสียใจเพื่อพี่ด้วย เขาตะโกนเสียงดัง “ไม่ถ่ายแล้วๆ ผู้กำกับซ่งครับ เราไม่ถ่ายแล้วได้มั้ย ผมจะพาแม่กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แม่ใจเย็นก่อนนะ เราไม่ถ่ายแล้วครับ”

ฟั่นจยาหลัวรับสร้อยสีเงินที่กำลังร่วงลงไปจากโต๊ะได้พอดี เขารวบมันไว้ในมือเบาๆ พูดเสียงเนิบ “อาคมเรียกของของคุณเสื่อมไปนานแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลของเขาไม่ได้ถูกกลบด้วยความโกลาหลราวกับสถานที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทว่ามันเจาะเข้าไปในสมองของคุณแม่หยางอย่างชัดเจน

คุณแม่หยางที่กำลังคลั่งชะงักไปหนึ่งวินาที แต่สองมือกลับยังคงตะกุยตะกายทุกคนที่เข้ามาใกล้ตัวเอง เหมือนเธอนึกว่าตัวเองแค่หูฝาด

“คุณไม่อยากรู้สาเหตุเหรอ” ฟั่นจยาหลัวถามต่อ

ทุกคนต่างกำลังล้อมกรอบคุณแม่หยาง พยายามปลอบเธอ ขวางเธอ ไม่มีใครได้ยินเสียงฟั่นจยาหลัวนอกจากซ่งรุ่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา ซ่งรุ่ยเลิกคิ้ว สีหน้าสนอกสนใจ

เสียงดังโหวกเหวกโวยวายและกรีดร้องภายในห้องทดสอบ เรียกความสนใจจากบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในห้องพักซึ่งอยู่ติดกัน พวกเขาต่างเอาหูแนบผนังเพราะอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขนาดอยู่ไกลกันยังเป็นได้ขนาดนี้ คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งรับไม่ไหว พวกเขาไม่มีใครคิดว่าคุณแม่หยางจะเป็นคนบ้า แถมอาการยังเกิดกำเริบขึ้นมาอีก อีพีนี้ต้องเละแน่!

ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ฟั่นจยาหลัวหลับตา บรรยายสภาพด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ผมเห็นคุณถือตะกร้าจ่ายกับข้าวเดินอยู่บนถนน สองข้างทางคือสวนดอกพุดซ้อนที่กำลังบาน กลิ่นหอมแรงของดอกไม้ทำให้คุณอารมณ์ดี และทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของคอนโดฯ ที่ยังไม่คุ้นเคยแห่งนี้ คุณเข้าใจว่าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนั้นเอง คุณเจอใครคนหนึ่ง หน้าตาของอีกฝ่ายเลือนหายไปจากความทรงจำของคุณแล้ว แต่คำพูดของเธอกลับยังคงสร้างความหวาดหวั่นอยู่ในความทรงจำของคุณ คนคนนั้นถามว่าได้ยินว่าลูกสาวเธอถูกข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งเหรอ”

พอคุณแม่หยางที่อาละวาดหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินคำพูดนี้ก็เริ่มมีอาการมือเท้าแข็ง หัวใจเริ่มตื่นตระหนก พอมาถึงประโยคสุดท้าย เธออุทานเบาๆ หนึ่งคำและหันมามองชายหนุ่มหน้าตางดงามอย่างที่สุดด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว สีหน้าของเธอบอกทุกคนว่าคำพูดของชายหนุ่มได้เผยความลับที่เธอไม่อยากให้ใครรู้มากที่สุดในใจออกมาว่าความรู้สึกของเธอในวันนั้นได้ทิ้งรอยประทับที่ลึกที่สุด และห้ามแตะต้องเอาไว้

เธอยืนตัวตรงเหมือนท่อนไม้ ร่างกายเริ่มสั่น จนถึงตอนนี้ เธอถึงเพิ่งนึกถึงคำพูดประโยคที่แล้วของชายหนุ่มขึ้นมา ‘อาคมเรียกของของคุณเสื่อมไปนานแล้วใช่มั้ย’

ชายหนุ่มไม่ได้หันมามองเธอ เขาเพียงประคองสร้อยเงินเส้นนั้นไว้ เล่าเสียงนิ่งๆ “นาทีนั้น คุณตอบไปเหมือนมีอะไรเข้าสิงว่าฉันไม่มีลูกสาว ฉันมีแค่ลูกชายคนเดียว เธอไปได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร”

“อ๊า!” คุณแม่หยางกรีดร้องออกมาทันที สองตาเบิกกว้างราวกับมองเห็นภูตผีปีศาจน่ากลัว

ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว พยายามสะกดอาการหอบหนักๆ และหัวใจที่เต้นรัว พวกเขาหันไปมองฟั่นจยาหลัวกันอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อรอคำพูดถัดไปของเขาด้วยความร้อนรน พวกเขาอยากรู้มากว่าทำไมพอพูดคำว่า ‘อาคมเรียกของ’ ก็สามารถทำให้คุณแม่หยางที่กำลังคลุ้มคลั่งกลับมาสงบได้

ฟั่นจยาหลัวประกบมือเพื่อลองให้ความอบอุ่นแก่สร้อยที่เย็นจัดเส้นนั้น “วันนั้น คุณปฏิเสธตัวตนของลูกสาวอย่างไร้เยื่อใย เนื่องจากคุณไม่สามารถปล่อยให้เงามืดในอดีตพวกนั้นมารบกวนชีวิตใหม่ของคุณกับลูกชายได้ คุณชี้แจงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็กลับบ้านไปด้วยความกระวนกระวายใจ คุณเริ่มทำอาหาร แต่เงามืดที่คุณเข้าใจว่าไล่มันไปหมดแล้วกลับยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน รสชาติของอาหารท้องถิ่นฟุ้งกระจายอยู่ในบ้านหลังใหม่ คุณจินตนาการภาพความอารมณ์ดีของลูกชายตอนกลับมาบ้าน แต่กลับได้รับเมสเสจจากเขาว่าเขากลับบ้านไม่ได้ เพราะที่กรมตำรวจมีงานยุ่งมาก เขาต้องทำโอที พริบตานั้น ความสุขจอมปลอมในใจของคุณได้สลายหายไป คุณเดินเข้าไปในห้องรับแขกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เริ่มเหม่อ และเริ่มคิดฟุ้งซ่าน”

ฟั่นจยาหลัวเงยหน้าขึ้นไปหาแสงไฟเล็กน้อย แต่สองตากลับปิดสนิท เขาใช้จิตสัมผัสอยู่พักหนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาแหบพร่า “คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกอดีตมืดดำกลืนกินอีกครั้งเลยรีบค้นหารีโมตเพื่อเปิดทีวี ให้ในบ้านมีเสียงดังๆ นี่คือวิธีที่คุณใช้รับมือกับการอยู่ตามลำพังและความเจ็บปวด”

ฟั่นจยาหลัวสั่นศีรษะ “แต่ครั้งนี้คุณหารีโมตไม่เจอ ไม่ว่าคุณจะหายังไงก็หาไม่เจอ คนเราก็แบบนี้ ยิ่งไม่ได้มาก็ยิ่งไม่ยอมปล่อยวาง ทั้งที่คุณรู้ว่าสามารถเปิดทีวีได้โดยไม่ต้องใช้รีโมต แต่คุณกลับไม่ยอมแพ้ คุณหาสุดชีวิต หาไม่หยุด เหมือนต้องมนตร์บางอย่าง ในบ้านเละเทะวุ่นวาย คุณตะโกนเรียกรีโมตครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนแค่คุณเรียก มันก็จะกระโดดออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง”

เล่ามาถึงตรงนี้ ฟั่นจยาหลัวก็ลืมตา เขามองคุณแม่หยาง ทุกถ้อยคำทุกประโยคชัดเจนอย่างยิ่ง “วิธีแบบนี้เหมือนเด็กมาก แต่คุณรู้ว่ามันได้ผล เพราะมันไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง ของที่คุณทำหาย แค่ตะโกนเรียกในบ้านมันก็จะโผล่ออกมาในชั่วอึดใจ นี่จึงเป็นอาคมเรียกของของคุณ เป็นอาคมเล็กๆ น้อยๆ ที่ลองมาเป็นร้อยครั้งก็ไม่เคยผิดหวัง เป็นความลับเล็กๆ ที่ทำให้คุณมีความสุข”

ในที่สุด ขาทั้งสองข้างที่แข็งทื่อของคุณแม่หยางก็เดินมาหาฟั่นจยาหลัวทีละก้าวๆ เธอพูดเสียงสั่น สีหน้าเลื่อนลอย “มันเสื่อมแล้วเหรอ”

คำพูดประโยคนี้จากเธอคือการยอมรับสิ่งที่ฟั่นจยาหลัวเล่ามาทั้งหมด และได้สติจากอาการคลุ้มคลั่งแล้ว วันนั้นเป็นวันแรกที่เธอกับลูกชายมาปักหลักที่เมืองหลวง เธอเลยจำได้แม่นเป็นพิเศษ

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ซ่งเวินหน่วนกับพวกจวงเจินตกใจจนอึ้ง พวกเขายืนกันแบบหมดสภาพอยู่ตรงประตูห้องทดสอบ แต่คุณแม่หยางนั่งลงแล้ว เธอจ้องฟั่นจยาหลัวอย่างเงียบสงบ มีความหวัง ใจจดจ่อ เธออยากรู้ว่าทำไมอาคมเรียกของของตัวเองถึงเสื่อม

พวกซ่งเวินหน่วนเพิ่งได้สติ เดินกลับไปที่เดิมกันอย่างเบามือเบาเท้า หยางเซิ่งเฟยตัวโงนเงน เขาวิ่งไปหาแม่และนั่งลงข้างเธอ สองตาเป็นประกาย จดจ้องชายหนุ่มตรงหน้าชนิดตาไม่กะพริบ สีหน้ามีแต่ความงงงัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าแม่มีอาคมเรียกของอะไร เพราะเธอไม่เคยเล่าให้เขาฟัง!

ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ “ใช่ มันเสื่อมลงวันนั้น วันที่คุณปฏิเสธตัวตนของเธออย่างสิ้นเชิง มองว่าเธอเป็นสิ่งน่าอับอาย เธอเลยจากไป เลิกดูแลคุณที่ชอบทำนั่นหล่นทำนี่หาย และเลิกดูแลของกระจุกกระจิกพวกนี้ เธอจากบ้านที่เคยให้ความอบอุ่นแก่เธอไปตลอดกาล”

ในที่สุดคุณแม่หยางก็เข้าใจ เธออ้าปาก เบิกตา สีหน้าแตกตื่นพลางส่ายหน้าไม่หยุด

ฟั่นจยาหลัวเหมือนไม่รับรู้ถึงการปฏิเสธของเธอ เขาพูดต่อ “อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณปฏิเสธแบบนี้ นับตั้งแต่พวกคุณย้ายออกจากหมู่บ้านเล็กๆ มาอยู่ในเขตเมือง จากเขตเมืองย้ายมาอยู่เมืองหลวง ไกลขึ้นเรื่อยๆ พวกคุณพยายามหนีคนคุ้นเคยทุกคน ปฏิเสธการกลับไปคิดถึงโศกนาฏกรรมของเธอ”

พูดมาถึงตรงนี้ สำเนียงและน้ำเสียงของฟั่นจยาหลัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “ตายแบบไหนไม่ตาย เสือกตายแบบนี้! ถูกข่มขืนแล้วฆ่า อับอายขายหน้า! วันนี้เจอคนรู้จักถามถึงเรื่องเด็กคนนั้นอีกแล้ว ไม่ได้ ย้ายให้ไกลอีกหน่อย อายคน! ยังจะต้องฝังอะไรอีก ไม่มีหน้ากลับไปเจอคนแล้ว!”

การพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ นี้อาจฟังดูตลกมาก แต่มันกลับทำให้คุณแม่หยางกับหยางเซิ่งเฟยหน้าเหลืองเหมือนกระดาษ สีหน้าตื่นตกใจ เพราะนี่เป็นคำที่คุณปู่กับคุณย่าหยางชอบพูดที่สุด อารมณ์ตอนพูดก็เหมือนพวกเขาเป๊ะ! พวกท่านต่างอับอายเรื่องการตายของหลานสาวจนมีความรู้สึกว่าเงยหน้าไม่ขึ้น

น้ำเสียงของฟั่นจยาหลัวเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิม เขาถอนหายใจยาว “เธออยู่กับพวกคุณ ปกป้องดูแลพวกคุณ ระเหเร่ร่อนตามพวกคุณไปทั่ว แต่พวกคุณกลับค่อยๆ ลืมโศกนาฏกรรมที่เกิดกับเธอ ค่อยๆ ปล่อยวางความแค้น แม้แต่ตัวตนของเธอก็ถูกพวกคุณปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งครั้งนั้น แม้แต่แม่ที่เธอรักที่สุดยังไม่ยอมรับว่าเธอเคยมีตัวตนอยู่บนโลก เธอเลยยอมแพ้ ข้อมูลที่เธอทิ้งไว้ถูกลบนับตั้งแต่นั้น ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่พอเจอคุณ ผมถึงเข้าใจทุกอย่าง”

ฟั่นจยาหลัวกุมมือสั่นเทิ้มของคุณแม่หยาง เขาแกะนิ้วทั้งห้าของเธอเบาๆ เพื่อวางสร้อยสีเงินเย็นเฉียบลงบนกลางฝ่ามือเธอ พูดทีละคำ ทีละประโยคว่า “ตอนคุณหารีโมตไม่เจอแล้วนั่งยองๆ ร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น ลูกสาวคุณก็นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าคุณ เธอร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง มือของเธอทะลุผ่านใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคุณไป คว้าได้เพียงอากาศ เช่นเดียวกับตัวตนของเธอ เช่นเดียวกับหัวใจของพวกคุณที่มีแต่ความว่างเปล่า เธอจึงจากไป นับตั้งแต่นั้นอาคมเรียกของของคุณก็เสื่อม…”

ฟั่นจยาหลัวรวบนิ้วทั้งห้าของคุณแม่หยางเพื่อให้เธอกุมสร้อยเย็นจัดนี้ให้ร้อน เพราะเขากุมแล้วไม่ร้อนเลยยอมแพ้

คุณแม่หยางที่อยู่ในอาการเหม่อรวบสร้อยไว้ทันที เธอตะโกนใส่อากาศด้วยหัวใจที่แหลกสลาย “หลันหลัน หลันหลันของแม่ กลับมา! ลูกกลับมา! แม่ไม่ได้ตั้งใจ! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แม่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ! ฮือๆๆ…”

เธอทรุดตัวลงไปอยู่บนพื้น กำสร้อยเส้นนั้นแน่น ร้องไห้จนเกือบเป็นลม คุณแม่หยางเสียใจ ถ้าได้รู้ก่อนว่าลูกสาวอยู่ข้างๆ เธอจะไม่มีวันพูดจาแบบนั้นแน่นอน!

“จริงเหรอครับ พี่สาวผมอยู่ด้วยจริงเหรอ” หยางเซิ่งเฟยสะอื้น เขาถามซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ไม่คอยให้ฟั่นจยาหลัวตอบ เขาก็ตอบตัวเอง “ผมรู้ว่าพี่อยู่ ผมรับรู้ได้ ตอนผมถูกรถชน เห็นอยู่ว่าตัวลอยไปไกลมาก แต่ตอนตกลงพื้นกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ผมรู้ว่าพี่ปกป้องผม! พี่ พี่ครับ พี่อยู่หรือเปล่า ได้ยินผมมั้ย พี่กลับมาเถอะ ผมคิดถึงพี่! ผมไม่เคยลืมเรื่องที่พี่เจอ ไม่เคยลืมความแค้นของพี่! ผมจะช่วยพี่หาตัวฆาตกร พี่ได้ยินผมมั้ยครับ พี่กลับมาเถอะ!”

สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อย่างหนัก ลืมไปแล้วว่ารอบตัวมีกล้องหลายสิบตัวคอยถ่าย พวกเขาทั้งเสียใจ ทั้งแค้นใจ แต่คนที่ถูกพวกเขาปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าได้จากไป ไม่มีวันหวนกลับมาอีก เธอถึงขั้นเอาข้อมูลทั้งหมดไปด้วย เลิกล้มความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิญญาณแค้นดวงหนึ่ง

เพราะเธอไม่แคร์อีกแล้วว่าจะหาตัวฆาตกรสำเร็จหรือไม่ ขอแค่ไม่ทำให้ครอบครัวต้องอับอายหรือต้องลำบาก เธอยอมให้ตัวเองสาบสูญไปตลอดกาล

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 .. 64 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com