everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 103 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 103 เรียกวิญญาณ หมื่นวัน
คุณแม่หยางที่ได้รู้ความจริงร้องไห้จนเกือบเป็นลม เธอตะโกนเรียกชื่อลูกสาวด้วยหัวใจแหลกสลาย แต่เสียงแหบพร่าสิ้นหวังของเธอกลับดังอยู่แค่ในห้องแคบๆ ไม่สามารถก้องดังออกไปได้มากกว่านี้ เธอเงยหน้าคอยมองหาในอากาศ มองใบหน้าของทุกคน เผื่อว่าจะเจอเงาของลูกสาว แต่ไม่มี ลูกสาวไม่อยู่แล้ว ลูกสาวของเธอจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ
คุณแม่หยางนึกถึงเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ ลูกสาวชอบบ่นเสียงกระเง้ากระงอดตอนช่วยเธอเก็บกวาดห้องครัว ห้องนอน และห้องรับแขกที่รกเป็นประจำว่า ‘แม่อะ ทำไมถึงขี้หลงขี้ลืมขนาดนี้นะ โอ้โห ยาหม่องของแม่นี่ มาๆๆ หนูช่วยทาให้ ตอนนี้ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ อีกหน่อยถ้าหนูโต แต่งงานแล้ว แม่จะทำยังไง แม้แต่กุญแจบ้านคงหาไม่เจอเลยมั้ง’
ต่อมาพอลูกสาวเสียชีวิต คุณแม่หยางเสียใจมาก เธอไม่สบายตลอดปี ความจำก็แย่ลง กุญแจบ้านก็หาไม่เจอจริงๆ แต่เธอกลับมีอาคมเรียกของอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะทำอะไรหาย แค่เดินวนรอบบ้านสักสองรอบ เรียกไม่กี่ครั้ง ของพวกนั้นก็จะโผล่มาอยู่ในระยะที่เธอเอื้อมถึง
เรื่องนี้ทำให้เธอมีความสุขกับตัวเอง ในช่วงระยะเวลาที่แสนยาวนาน นี่เป็นความลับเล็กๆ ที่เธอเก็บเอาไว้มีความสุขกับมันคนเดียว เป็นความหวานเล็กๆ ในชีวิตที่แสนขมขื่น จนถึงวันนี้เธอถึงเพิ่งรู้ว่านั่นไม่ใช่อาคมเรียกของอะไร แต่เพราะลูกสาวยังห่วงเธอ ถึงได้คอยปกป้องและดูแลเธออยู่ตลอด!
แต่เธอกลับทำอะไรลงไป เธอลืมความแค้นของลูกสาว เอาแต่หนีให้ห่าง ปฏิเสธตัวตนของลูกสาวกับทุกคนรอบตัวโดยไม่รู้เลยว่าตอนที่เธอทำเรื่องพวกนี้ ลูกสาวคอยมองอยู่ข้างๆ ลูกสาวน่าจะเจ็บปวดมากใช่หรือเปล่า เจ็บยิ่งกว่าคืนฝนตกวันนั้น? เจ็บยิ่งกว่าตอนถูกควักตาและบีบคอจนหักด้วย?
คุณแม่หยางไม่สามารถจินตนาการภาพต่อไปได้ เธอคุกเข่าลงบนพื้น เอาศีรษะโขกขาโต๊ะเสียงดังปึงๆๆ เธออยากเอาหัวตัวเองกระแทกให้ตาย ทำไมเธอถึงทำร้ายลูกสาวได้ขนาดนี้!
“หลันหลัน แม่ผิดต่อลูก แม่ผิดเอง ลูกกลับมาเถอะ!” ไม่มีประโยชน์ การเรียกแบบนี้ไม่ได้ผลนานแล้ว อาคมเรียกของของเธอเสื่อมไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ตอนที่เธอร้องไห้โฮๆ อย่างหมดสภาพเพราะรีโมตหนึ่งอัน ลูกสาวของเธอต้องเจ็บปวดและสิ้นหวังมากแค่ไหน ความแค้นของลูกสาวไม่เคยได้เอาคืน เธอถึงตายตาไม่หลับ!
“ฉันมีลูกสาว ฉันจะไม่มีลูกสาวได้ยังไง ชีวิตนี้ฉันมีลูกสองคน ตอนอายุสิบแปด ฉันคลอดลูกสาวชื่อหยางเซิ่งหลัน และตอนอายุยี่สิบแปดคลอดลูกชายชื่อหยางเซิ่งเฟย ฉันมีลูกสองคน ทั้งสองคนเป็นแก้วตาดวงใจของฉัน โดยเฉพาะลูกสาว เธอน่ารัก รู้ความ ว่าง่าย เรียนดี หน้าตาสวยมาก เป็นเสื้อนวมตัวน้อยของฉัน คนที่ใกล้ชิดกับฉันที่สุดคือเธอ ลูกสาวของฉันชื่อหยางเซิ่งหลัน คุณคะ ฉันมีลูกสาว”
เธอมองฟั่นจยาหลัว พูดเสียงอ้อนวอน “ถูกแล้ว เธอถูกข่มขืนแล้วฆ่า ฉันอยากแก้แค้นให้เธอ ฉันอยากหาตัวฆาตกรที่ทำร้ายเธอ คุณคะ ได้โปรดช่วยฉันด้วย!” เธอไม่สงสัยในความสามารถของชายหนุ่มแม้แต่น้อย เรื่องที่เขาพูดมีแต่เธอคนเดียวที่รู้ เธอไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกชายฟังสักครึ่งคำ รวมถึงการร้องไห้แบบหมดสภาพอย่างที่สุดในครั้งนั้นด้วย
ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้า ในน้ำเสียงมีกระแสเสียใจ “ต้องขอโทษอย่างมาก ผมช่วยคุณไม่ได้ครับ”
คุณแม่หยางไปคุกเข่าข้างชายหนุ่ม ร้องไห้ “ทำไมล่ะ คุณมองเห็นลูกสาวของฉัน! คุณเห็นเธอไม่ใช่เหรอ ขอร้องล่ะ ช่วยพวกเราด้วย!” เธอคว้าตัวลูกชายมาอย่างลนลาน บังคับให้เขาคุกเข่าและกดศีรษะของหยางเซิ่งเฟยให้ก้มต่ำ เหมือนการทำแบบนี้จะสามารถแลกตัวลูกสาวคืนมาจากดินได้
ผู้คนรอบตัวต่างน้ำตาคลอ เบือนหน้าหนีอย่างทนดูไม่ได้ และไม่กล้าขวาง แม้แต่จวงเจินยังเผลอขอบตาแดงๆ มีเพียงซ่งรุ่ยที่เอามือปิดหน้าและหันหนีกล้อง ต้องขอโทษอย่างมากที่เขาไม่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจไปกับฉากโศกแบบนี้ได้ แต่การที่เขาสามารถรู้สึกเสียใจให้กับความรู้สึกนี้ก็ถือเป็นความก้าวหน้าที่ไม่น้อยแล้ว
“สิ่งที่ผมเห็นคือเศษความทรงจำที่เธอทิ้งไว้ สำหรับเธอ วันนั้นเป็นวันที่เจ็บปวดมากเกินไป เธอจึงเอาสิ่งที่มากกว่านั้นไปพร้อมกับตัวเองทั้งหมด” ฟั่นจยาหลัวหลุบตามองคุณแม่หยาง ใบหน้าเศร้าสลด แต่สิ่งที่พูดกลับไร้น้ำใจอย่างสิ้นเชิง “พวกคุณทอดทิ้งเธอก่อน เธอถึงทิ้งพวกคุณ เท่ากับเลิกแล้วต่อกัน”
“เลิกไม่ได้! เลิกไม่ได้! ฉันไม่เคยทิ้งเธอ ไม่เคย!” คุณแม่หยางถือสร้อยไว้ ร้องไห้โฮๆ พลางกล่าว “แม่ไม่ทิ้ง แม่ไม่เคยทิ้งลูก! แม่จะแก้แค้นให้ลูก!”
หยางเซิ่งเฟยเดินเข่าขึ้นหน้ามาสองก้าว กัดฟัน โขกศีรษะให้ฟั่นจยาหลัว แต่พอศีรษะก้มต่ำ กลับถูกฝ่ามือเย็นๆ ของอีกฝ่ายรับไว้
ฟั่นจยาหลัวมองพวกเขานิ่ง ดวงตาฉายแววเห็นใจ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ “ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมแพ้ งั้นก็ลองวิธีสุดท้ายหน่อยแล้วกัน”
“วิธีอะไร คุณบอกมาได้เลย พวกเราจะฟัง พวกเรายินดีทำทุกอย่าง!” คุณแม่หยางรีบหยุดร้องไห้ เช็ดน้ำมูกน้ำตาบนหน้าเป็นพัลวัน หยางเซิ่งเฟยมองฟั่นจยาหลัวอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาฉายแววแห่งความหวัง
“เรียกวิญญาณ” ฟั่นจยาหลัววางมือของหยางเซิ่งเฟยไว้บนมือที่ถือสร้อยของคุณแม่หยางเบาๆ พูดต่อว่า “แต่ไม่ใช่ผมเรียก พวกคุณต้องเรียกเอง พวกคุณกุมของชิ้นนี้ไว้ บอกความในใจกับเธอ ดูว่าเธอจะได้ยินหรือเปล่า”
“ไม่ต้องมีพิธีหรือ” เสียงของคุณแม่หยางสั่นน้อยๆ เพราะความตื้นตันและความหวัง
“ไม่จำเป็น แค่คิดก็ใช้ได้แล้ว” ฟั่นจยาหลัวแตะหัวคิ้วของตัวเอง น้ำเสียงเบานุ่ม “ความคิดที่ทรงพลังมากพอคือพิธีกรรมที่ดีที่สุด เข้าใจหรือเปล่า”
“ฉันเข้าใจค่ะ! ฉันเข้าใจแล้ว!” คุณแม่หยางพยักหน้า เอาหน้าผากแนบสร้อยเย็นจัดเส้นนั้น พูดเสียงสะอื้น “หลันหลัน กลับมาเถอะ แม่คอยลูกอยู่ที่นี่! หลันหลัน หยางเซิ่งหลัน ลูกได้ยินแม่มั้ย แม่ไม่เคยทิ้งลูก เพื่อลูกแล้วแม่ทะเลาะกับคุณปู่คุณย่าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม่โกรธที่พวกเขาว่าลูกเป็นคนผิด แม่ไม่เคยเห็นว่าลูกเป็นคนผิด แม่แค่เจ็บปวดมาก เจ็บปวดมากเกินไป เจ็บจนแทบจะมีชีวิตอยู่ไม่ไหว! ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากพูดถึงลูก แต่แม่ไม่กล้าพูดถึงลูก เพราะพอคิดถึงลูก ใจแม่เหมือนถูกฉีก ถูกทึ้ง ถูกดึง เจ็บจนแทบขาดใจ! ตอนนั้นแม่อยากให้ตัวเองเป็นคนตายแทน เพื่อแลกเอาลูกคืนมา! ความทุกข์ทรมานที่ลูกได้รับ แม่ฝันว่ามันมาเกิดกับตัวแม่แทนลูกทุกคืน! แม่อยากให้ฝันพวกนั้นเป็นจริง ให้คนที่โดนเป็นแม่ ไม่ใช่ลูกสาวของแม่ ให้คนที่ตายเป็นแม่ ไม่ใช่ลูกสาวของแม่ ขอแค่ให้ลูกอยู่ดีมีสุข แม่ยอมทำทุกอย่าง แม่เสียใจมาก ชื่อของลูกเป็นเหมือนดาบเหล็กที่คว้านหัวใจแม่! ฮือๆๆ…หยางเซิ่งหลัน ลูกกลับมานะ แม่จะมอบชีวิตให้ลูก!”
คุณแม่หยางร้องไห้จนล้มลงไปบนตัวลูกชาย เรี่ยวแรงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนลง
หยางเซิ่งเฟยเงยหน้า มองไปรอบๆ พลางพูดเสียงงึมงำ “พี่กลับมาเถอะ! ผมเคยสาบานหน้าหลุมศพของพี่ว่าจะช่วยแก้แค้นให้พี่! เพื่อพี่ ผมทุ่มเทเรียนหนังสือ ไม่สนใจคำค้านของพ่อเพื่อสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ตอนนี้ผมช่วยพี่จับคนร้ายได้แล้ว! พี่เห็นผมมั้ย เฟยเฟยโตแล้ว เฟยเฟยไม่เคยลืมพี่สักวินาที! พี่ หยางเซิ่งหลัน พี่กลับมา กลับมานะ!”
ระหว่างที่ทั้งสองคนทำหน้าตื่น กวาดตามองไปรอบๆ พลางพูดเสียงงึมงำ ฟั่นจยาหลัวก็เอาแต่หลับตา เหมือนกำลังใช้จิตสัมผัสอะไรบางอย่าง พอเห็นคุณแม่หยางตัวโงนเงน เอามือกุมศีรษะอย่างใกล้จะเป็นลม เขาพลันพูดเสียงเบา “มาแล้ว”
“อะไรนะ” คุณแม่หยางที่ใกล้จะเป็นลมเกิดมีสติขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนลูกสาวคุณจะได้ยินแล้ว” ฟั่นจยาหลัวลืมตา ดวงตาฉายแววประหลาดยากแก่การคาดเดา
คุณแม่หยางมองหน้าเขาอย่างมึนๆ ก่อนตะโกนขึ้นอย่างลนลาน “สร้อย สร้อยมันร้อน!”
หยางเซิ่งเฟยมองมือของตนที่ซ้อนทับอยู่บนมือแม่อย่างอึ้งๆ สีหน้าตื่นตะลึงอย่างมาก เพราะสร้อยเส้นนั้นร้อนขึ้นจริงๆ ความร้อนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบแผดเผา แต่สิ่งที่คนรอบตัวเห็นคือมันยังเป็นเหมือนเดิม สีเงิน เย็นเยียบ ไม่มีอะไรพิเศษ
ความพิสดารที่เจอทำให้สองแม่ลูกเหวอ ส่วนคนอื่นมีอาการปากอ้าตาค้างอย่างแตกตื่นงงงัน
จวงเจินย่นหัวคิ้วแน่น ฟ้องชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของสองแม่ลูก แต่ไม่สะดวกจะฉีกหน้าผู้ใหญ่ เขาเข้าใจว่านี่คือการสะกดจิตที่ประสบผลดีมาก สร้อยเส้นนั้นคือเครื่องสะกดจิต การที่อีกฝ่ายสามารถเล่นกลใต้หนังตาเขาสำเร็จถึงสองครั้งแบบนี้ คงต้องบอกว่าฟั่นจยาหลัวมีความสามารถมาก
ฟั่นจยาหลัวประคองมือที่ประสานกันของสองแม่ลูก สั่งว่า “หลับตา ใช้จิตสัมผัสข้อมูลที่เธอให้พวกคุณ เห็นอะไรต้องจำไว้ให้แม่น ห้ามลืม”
“ค่ะๆ/ครับๆ! เข้าใจแล้วๆ!” คุณแม่หยางกับหยางเซิ่งเฟยเหมือนท่อนไม้สองท่อน ฟั่นจยาหลัวบอกอะไร พวกเขาก็ทำตามนั้น เวลานี้ทั้งสองคนหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ใช้จิตไปสัมผัส เวลาผ่านไปช้าๆ สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไปเป็นนิ่งสงบ ถึงขั้นยิ้มออกมาได้อย่างสบายๆ เหมือนมีแต่ความสุข ไร้ทุกข์กังวล
เพราะห่วงว่าพวกเขาจะจมดิ่งเข้าไป ฟั่นจยาหลัวจึงเตือนอีกครั้ง “บอกสิ่งที่เห็นออกมา เล่าให้ละเอียด”
คุณแม่หยางถูกสะกดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของลูกสาว ส่วนหยางเซิ่งเฟยเป็นตำรวจจึงควบคุมตัวเองได้ดีกว่า เขาเริ่มบรรยายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาช้าๆ “มุมมองของผมแปลกมาก ผมเห็นตัวเองกับแม่ พวกเขาเดินอยู่หน้าผม กำลังคุยอะไรกันยิ้มๆ ผมเด็กมาก ตัวสูงหน่อยเดียว แม่ผมเลยอุ้มผมขึ้นมา…”
เขาก้มศีรษะทั้งที่หลับตาแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงแบบคนเพิ่งรู้แจ้งว่า “ผมเข้าใจแล้ว! ผมอยู่ในร่างของพี่ ทุกอย่างที่ผมเห็นคือสิ่งที่ตาของพี่เห็น เธอใส่ชุดเดรสสีแดงสดใส เป็นชุดที่อาหญิงของผมเอามาให้พี่จากฮ่องกง ทั้งหมู่บ้านมีแค่ตัวนี้ตัวเดียว เวลาเดินไปไหนทุกคนก็ชมว่าเธอสวย ผมรับรู้ได้ว่าเธอมีความสุขมาก อยากใส่เดรสชุดนี้เดินวนรอบหมู่บ้านหนึ่งรอบเพื่อให้ทุกคนได้เห็น นี่ นี่เป็นวันที่เธอถูกทำร้าย”
สีหน้าของหยางเซิ่งเฟยเปลี่ยนเป็นตื่นกลัวกะทันหัน หน้าผากเริ่มมีเหงื่อเย็นๆ แตกซิก แต่สิ่งที่คุณแม่หยางเห็นกลับแตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้เธอป่วยเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรง สิ่งที่เธอเห็นจึงมีแต่ความสุขและเรื่องดีๆ อย่างเรื่องราวในอดีตอันแสนสุขของครอบครัวพวกเขา
คุณแม่หยางยิ้มน้อยๆ ในขณะที่หยางเซิ่งเฟยเริ่มดิ้นรน “เธอหิ้วปิ่นโตไปส่งข้าวให้พ่อที่โรงงานเหล็ก ไม่นะ อย่าไป ห้ามไป! ผม ผมควบคุมร่างกายของเธอไม่ได้!”
ฟั่นจยาหลัวใช้มือข้างหนึ่งกดมือของสองแม่ลูก และใช้มืออีกข้างกดไหล่หยางเซิ่งเฟยเบาๆ ทำให้เขาสงบลง
ทุกคนที่อยู่ในห้องทดสอบเริ่มชะโงกตัวเข้ามามองหยางเซิ่งเฟยแบบไม่ละสายตา ซ่งรุ่ยถึงกับหยิบปากกากับสมุดโน้ตมาจดบันทึกเหตุการณ์อย่างเร็วๆ มีเพียงจวงเจินที่ใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก และอีกมือเคาะโต๊ะ ฟ้องว่าเขากำลังหงุดหงิดมาก เขาคาดว่าหยางเซิ่งเฟยจะต้องตื่นก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นจริงๆ และเขามองไม่เห็นความจริงอะไรเลย การสื่อวิญญาณทั้งหมดเป็นแค่ละครหลอกลวง มันคือการขุดเอาความลับที่ซ่อนอยู่ในใจของคนที่ต้องการความช่วยเหลือออกมาแล้วให้พวกเขาจัดการกันเอง คำตอบที่ได้ล้วนเป็นความเพ้อเจ้อที่ปราศจากความชัดเจน ไม่มีความหมาย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีส่วนช่วยในการคลี่คลายคดี
แต่เขาเดาผิด เพราะหยางเซิ่งเฟยยังไม่ตื่น ซ้ำยังอยู่ในร่างพี่สาวจนเดินเข้าไปในโรงงานเหล็กเมื่อยี่สิบปีก่อน
“พอส่งข้าวให้พ่อเสร็จ พี่ก็เดินออกไปบนถนนเส้นเล็กที่ไร้ผู้คน มีเสียงเท้าเดินตามมาทางด้านหลัง พี่เตรียมจะหันไปมอง! แต่พริบตาเดียวพี่ก็เจ็บท้ายทอยมาก เธอถูกโจมตี!” พูดมาถึงตรงนี้ หยางเซิ่งเฟยก็มีสีหน้าเจ็บปวดตาม
ซ่งรุ่ยจดรายละเอียดในช่วงนี้เป็นพืด เนื่องจากมันมีความสำคัญเป็นพิเศษ
สีหน้ารำคาญใจของจวงเจินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด มือที่เคาะโต๊ะเผลอเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง
หยางเซิ่งเฟยพูดต่อ “พี่ตื่นแล้ว เธอมองไม่เห็นและร้องไม่ออก ตาเธอถูกผ้าปิด ในปากก็มีอะไรอุดไว้ เหม็นมาก เป็นกลิ่นน้ำมันก๊าด ถ่านโค้ก* กับกลิ่นคนที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันผสมกัน เธอดิ้นไม่ได้เพราะถูกมัดให้มือและขาติดกับลำตัวแล้วยัดใส่กระสอบ เสื้อผ้าของเธอหายไป กระสอบหยาบๆ เสียดสีตัวเธอจนเจ็บ มีอะไรหนักๆ ทับตัวเธอ ทำให้เธอหายใจไม่ออก เธอกลัวมาก กลัวมากๆ เธอตะโกนเรียกชื่อพวกเราในสมอง ตะโกนซ้ำแล้วซ้ำอีก!”
ขอบตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้จนแห้งของหยางเซิ่งเฟยมีน้ำตาสองสายไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่แม่ที่นั่งอยู่ข้างเขากลับยิ้มอย่างมีความสุข หยางเซิ่งหลันให้พวกเขามองเห็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซ่งรุ่ยเขียนลงสมุดโน้ต
‘เสื้อผ้าถูกถอดออก คำให้การอาจจะผิด’
เขายื่นสิบเอ็ดคำนี้ให้จวงเจิน จวงเจินปรายตามองแล้วก็เข้าใจ ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียด
ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ในตอนนั้นเคยไปสอบปากคำคนงานโรงงานเหล็ก คนส่วนใหญ่บอกว่าเห็นหยางเซิ่งหลันส่งข้าวให้คุณพ่อหยางเสร็จแล้วก็ออกจากโรงงานไป เนื่องจากเดรสสีแดงตัวนั้นของเธอสวยมาก ทั้งหมู่บ้านมีแค่ตัวเดียว ทุกคนเลยจำแม่น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวโรงงานเหล็กบอกว่าเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีแดงหนึ่งคนเดินผ่านไปบนถนน เดินพลางกระโดดไปรอบๆ ท่าทางร่าเริงมาก แน่ใจว่าเป็นหยางเซิ่งหลันอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนี้ ตำรวจในตอนนั้นจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าหยางเซิ่งหลันไปเจอฆาตกรที่นอกตัวเมือง ข้อสงสัยที่มีต่อคนงานในโรงงานเหล็กจึงถูกตัดไป
แต่ตอนนี้คำบอกเล่าของหยางเซิ่งเฟยทำให้ซ่งรุ่ยพบว่าข้อสันนิษฐานนี้ผิดพลาด เพราะว่าหยางเซิ่งหลันถูกตีจนหมดสติขณะเดินออกจากโรงงานเหล็กและถอดเสื้อผ้าก่อนถูกใครคนหนึ่งพาตัวไปให้พ้นสายตาของผู้เห็นเหตุการณ์ และคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์กลุ่มนี้ทำให้ตำรวจตัดสินผิดพลาด สรุปแล้วคนที่สวมเดรสสีแดงไปคือใคร นี่เป็นข้อสงสัยสำคัญ และเป็นกุญแจในการคลี่คลายคดี
จวงเจินบีบมุมหนึ่งของสมุดโน้ตแน่น การออกแรงมากเกินไปทำให้หลังมือมีเส้นเลือดปูดโปนเป็นเส้นๆ แม้จะไม่อยากยอมรับอย่างมาก แต่เขารู้ว่าสิ่งที่หยางเซิ่งเฟยบรรยายมีความสมเหตุสมผล ถึงขั้นเติมเต็มข้อสงสัยต่างๆ ที่พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบให้ชัดเจนได้ ข้อสันนิษฐานที่ตั้งขึ้นมาจากคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ถูกคำพูดนี้ปัดตกไป แต่กลับให้ความรู้สึกที่ชัดเจน เหมือนความจริงแล้วเหตุการณ์มันต้องเป็นแบบนี้!
จวงเจินระบายอารมณ์ขุ่นมัวออกมาหนึ่งเฮือก ในที่สุดเขาก็ยอมตั้งใจฟังคำบอกของหยางเซิ่งเฟยและยอมรับว่าในทางจิตวิทยาการตอบสนองนี้อาจเป็นปรากฏการณ์ไอดีโอมอเตอร์ หรืออาจไม่ได้เป็นแค่ปรากฏการณ์นี้ก็ได้
หยางเซิ่งเฟยพูดต่อ “อะไรหนักๆ ที่ทับบนตัวพี่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมสัมผัสได้ว่าเธอใกล้จะไม่ไหวแล้ว ของนั่นเพิ่มขึ้นทีละนิด ทุกครั้งที่มันหนักขึ้นจะมีเสียงฝีเท้าเดินมา ของหนักๆ พวกนั้นแข็งมาก ทับจนเธอเจ็บไปทั้งตัว กลิ่นแสบจมูกมาก เป็น…เป็นถ่านโค้ก! ผมรู้จักกลิ่นนี้ ทุกครั้งที่ถึงหน้าหนาว บ้านเราต้องเผาถ่านโค้กที่เอามาจากโรงงาน!”
ซ่งรุ่ยดึงสมุดโน้ตของตัวเองกลับมาจากมือของจวงเจินเพื่อขีดๆ เขียนๆ
‘เธอถูกฟาดจนสลบแล้วยัดใส่กระสอบ ซ่อนไว้ในที่เก็บถ่านโค้กของโรงงานเหล็ก เสื้อผ้าของเธอถูกคนอื่นใส่ไป ทำให้คำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์บิดเบือน ทิศทางการตรวจสอบของพวกนายผิดทางมาตั้งแต่ต้น ฆาตกรเป็นใครคนหนึ่งในโรงงานเหล็ก ไม่ใช่คนเร่ร่อนบนถนน’
จวงเจินหยิบปากกามาเขียนตัวอักษรหนึ่งแถวหนักๆ
‘ต้องตรวจสอบให้เสร็จก่อนถึงจะคอนเฟิร์มความจริงเท็จของคำพูดพวกนี้ได้’
ซ่งรุ่ยหรี่ตามองอีกฝ่าย ดวงตาฉายแววเยาะหยัน
แก้มของหยางเซิ่งเฟยเริ่มแดง เขาพยายามยืดคอเพื่อหอบหายใจ “พี่หายใจไม่ออก เธอใกล้จะถูกทับจนตายแล้ว เธอ เธอหมดสติไป พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าบนตัวยังมีของหนักอยู่ แต่ไม่ได้เกินทนขนาดนั้น ตัวเธอแกว่งไปมา ขึ้นลงโคลงเคลงเหมือนอยู่บนรถ ไม่ ไม่ใช่รถยนต์” หยางเซิ่งเฟยเอียงศีรษะเหมือนเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่างก่อนคอนเฟิร์มว่า “เป็นจักรยาน จักรยานสามล้อแน่ๆ! จักรยานสามล้อหนึ่งคันจะขนถ่านโค้กแล้วขี่ออกไปไกลตามถนน ไกลมาก มีคนร้องทักคนขับ แต่พี่ผมหายใจไม่ออก หูมีแต่เสียงวิ้งๆ เลยได้ยินไม่ชัด เธอพยายามแล้ว แต่เธอถูกมัดนาน กดทับนาน เลือดในร่างแข็งตัวไปหมดแล้ว เธอเลยสัมผัสอะไรไม่ได้เลย!”
น้ำตาของหยางเซิ่งเฟยไหลพราก เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เจอกับตัวสักครั้ง เขาย่อมไม่มีทางนึกภาพความเจ็บปวดและสิ้นหวังในตอนนั้นของพี่สาวได้
“เดรัจฉานตัวนั้นจอดรถ มันย้ายถ่านโค้กออกจากตัวพี่ เปิดกระสอบแล้วลากเธอออกมา มันไม่พูดอะไรเลย เงียบจนน่ากลัว! อา! อ๊าๆๆๆ!” หยางเซิ่งเฟยร้องลั่น กล้ามเนื้อทั่วตัวมีอาการกระตุก สั่นเทิ้ม แต่เพราะมือของฟั่นจยาหลัวที่กดไหล่อยู่ทำให้เขาไม่ได้ดิ้นแรงมาก และไม่ได้ปล่อยมือจากสร้อย
“เดรัจฉาน! เดรัจฉาน! เดรัจฉาน!” เขาสะอื้น ด่าคำว่าเดรัจฉานออกมาติดกันสามครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดแค้นลึกถึงกระดูก “มันควักตาของพี่ผม! มันทุบตีเธอ ทรมานเธอ บีบคอเธอ หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้…พี่ พี่ไม่ไหวแล้ว มันจับข้อเท้าแล้วลากเธอไปไกลมาก บนพื้นมีก้อนกรวดเต็มไปหมด มันบาดหลังเธอ ใบหญ้าคมๆ ก็บาดผิวเธอ เธอเจ็บจนถึงที่สุด เจ็บจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว เธอถูกโยนลงแม่น้ำ มันล้างตัวเธอหลายรอบก่อนโยนเธอไปตรงที่ชื้นๆ เพื่อทรมานเธออีกหนึ่งรอบ หยดน้ำเย็นจัดไหลลงมา เม็ดใหญ่เท่าเม็ดถั่ว ฝนตกแล้ว คอของพี่ถูกบีบจนหัก…”
ในที่สุด หยางเซิ่งเฟยก็ปล่อยมือแม่ ฟุบตัวร้องไห้บนพื้น “พี่ตายแล้ว เธอถูกทรมานทั้งเป็นจนตาย…”
ในเวลาเดียว คุณแม่หยางกลับถือสร้อยไว้ เธอคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข อารมณ์ของสองแม่ลูกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นละครฉากหนึ่ง ใครเห็นก็สะเทือนใจมาก! เพราะถึงจะตายแล้วแต่หยางเซิ่งหลันยังคงปกป้องแม่ด้วยความอ่อนโยนในแบบของเธอ และโอบกอดน้องชายเบาๆ เหมือนสายลมที่พัดผ่านไป
พิธีเรียกวิญญาณนี้ฟั่นจยาหลัวไม่ใช่เจ้าพิธี แต่ความน่าตื่นตะลึงที่เขานำมาให้ทุกคนกลับยากที่จะหาถ้อยคำมาบรรยาย
ซ่งเวินหน่วนมองเหม่อ น้ำตาไหลอาบเต็มแก้มอย่างไม่ทันรู้ตัว
สตาฟฟ์ทุกคนที่เห็นภาพนี้ผ่านกล้องต่างร้องไห้น้ำตานอง ในใจร้อนรุ่มด้วยไฟโทสะที่ลุกโชติ ผีห่าซาตานแบบไหนถึงทำเรื่องอำมหิตแบบนี้ได้! จะต้องจับมันให้ได้! แน่นอน!
ซ่งรุ่ยส่งสมุดโน้ตของตัวเองให้จวงเจิน บนนั้นเขียนคำง่ายๆ แต่ชัดเจนว่า
‘ผู้ต้องสงสัย : คนงานโรงงานเหล็ก นิสัยเงียบๆ พูดน้อย นิ่งๆ ไร้ความรู้สึก ทำงานประเภทขนส่ง อยู่หน้าเตาหรือจัดซื้อ รูปร่างกำยำแข็งแรง ทำงานหนัก มนุษยสัมพันธ์ดี ท่าทางเป็นคนดีในสายตาของทุกคน ตอนก่อคดี อายุอยู่ในช่วงระหว่างสามสิบปีถึงสี่สิบห้าปี เป็นโสดหรือเป็นม่าย ต้องสืบหาร่องรอยของเดรสสีแดงตัวนั้นด้วย เพราะมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นหลักฐานชั้นดี’
จวงเจินรับสมุดโน้ตมาอ่าน เขามองชายหนุ่มหน้าตางดงามที่นั่งประจันหน้ากับตน ความรู้สึกในดวงตาสับสนมาก ถ้าคำพูดพวกนี้ออกจากปากฟั่นจยาหลัว เขาอาจระแวง แต่นี่เป็นหยางเซิ่งเฟยที่บรรยายออกมาเอง จวงเจินรู้จักเพื่อนร่วมงานของเขาดีว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ความจริงในตอนนั้นมาตั้งแต่ต้น จะไปดิ้นรนอย่างไม่มีความหวังอยู่ที่โม่เป่ยตั้งเดือนกว่าได้ยังไง
จวงเจินพยายามหาพิรุธในคำพูดพวกนี้ แต่เขาไม่เจออะไรเลย รายละเอียดของความทารุณพวกนั้น ทุกประโยค ทุกประเด็น ล้วนตรงกับรายงานการชันสูตรศพของนิติเวช! ถึงขั้นสามารถบอกความจริงที่มีแต่เหยื่อที่ตายไปแล้วกับคนร้ายเท่านั้นที่รู้ได้!
สรุปคือพิธีเรียกวิญญาณนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเรื่องจริง! ความรู้นี้ทำลายสามทัศนะของจวงเจิน ทำให้เขาตกอยู่ในความมึนงง ทำอะไรไม่ถูก
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3
วางจำหน่ายที่ร้าน JamClub, เว็บไซต์ Jamsai Store และร้านหนังสือทั่วไป