ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4 บทที่ 143 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4 บทที่ 143 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 143 คุกเข่าขอโทษก็ไม่เป็นไร

ความวุ่นวายโกลาหลในอินเตอร์เน็ตทำให้ฟั่นจยาหลัวรู้ข่าวการล้มป่วยอย่างกะทันหันของฟั่นข่ายเสวียน แฟนคลับหลายคนแท็กชื่อเขา นบศีรษะกราบกรานเรียกเขาว่าเทพฟั่น และแน่นอนว่าต้องมีชาวเน็ตที่ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ พวกเขาเลยพูดกันโต้งๆ ว่าฟั่นจยาหลัววางยาพิษฟั่นข่ายเสวียนเพื่อให้คำทำนายของตัวเองเป็นจริง

คอมเมนต์นี้ได้รับการสนับสนุนจากข่ายเสวียนกรุ๊ปอย่างมาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของพวกเขาออกประกาศทางอินเตอร์เน็ตหนึ่งฉบับบอกว่าทางโรงพยาบาลสงสัยว่าการป่วยของประธานฟั่นจะมีเรื่องวางยาพิษเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้ได้เข้าแจ้งความแล้ว และผู้ต้องสงสัยรายสำคัญของเจ้าหน้าที่คือฟั่นจยาหลัว เวลานี้กำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบ อีกไม่นานความจริงจะต้องปรากฏเฉกเช่นเดียวกับก้อนหินที่โผล่พ้นน้ำ

คอมเมนต์นี้กลายเป็นอาวุธทรงพลังในการโจมตีฟั่นจยาหลัวของแอนตี้ และมีคนโพสต์คำทำนายในทำนองเดียวกันว่าอีกไม่เกินหนึ่งเดือน ฟั่นจยาหลัวอาจได้เข้าไปอยู่ในคุก

‘ฟั่นจยาหลัววางยาพิษฟั่นข่ายเสวียน’ ประเด็นนี้กลายเป็นหัวข้อการสืบค้นที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในเวยป๋อ ทำลายชื่อเสียงของบริษัทสเตลล่าร์และฟั่นจยาหลัวอย่างรุนแรง แต่ระยะนี้มีการร้องเรียนทำนองนี้หลายต่อหลายครั้ง ทางบริษัทสเตลล่าร์นั้นยอมแพ้ไปแล้ว เลยไม่ได้เตรียมเงินไว้ลบหัวข้อการสืบค้น และยิ่งไม่เตรียมแก้ตัวให้ศิลปินในสังกัด ถ้าพูดด้วยคำของเฉาเสี่ยวเฟิงคือจะลบทำซากอะไร ถึงยังไงสุดท้ายคนพวกนี้ก็ต้องถูกอาจารย์ฟั่นตบหน้า เรื่องอะไรต้องเปลืองเงิน

เมื่อทางบริษัทไม่ใส่ใจ ฟั่นจยาหลัวย่อมไม่สนใจเรื่องนี้ เขาอ่านข่าวที่เกี่ยวข้องอย่างสบายใจก่อนวางมือถือลง ชายหนุ่มกำลังคอย คอยการตัดสินใจของฟั่นข่ายเสวียน

จังหวะนี้เองซ่งรุ่ยก็เป็นฝ่ายมาเยือนโดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญ ในมือเขาถือหินอวี่ฮวา สีสันสดใสหนึ่งกระปุกกับตุ๊กตากระเบื้องสีเหลืองตัวเล็กตาโบ๋หนึ่งตัว

“นี่เป็นของขวัญสำหรับกบเขียว” เขาเทหินอวี่ฮวาเข้าไปในตู้ปลา เรียงรายอยู่บนทรายละเอียด ทำให้พื้นที่ว่างเปล่าแต่เดิมมีสีสันมากขึ้น เสร็จแล้วเขาก็เอาลูกตาสองลูกใส่เข้าไปในกระบอกตากลวงโบ๋ของตุ๊กตากระเบื้องสีเหลือง หัวเราะเบาๆ “นี่เป็นของขวัญสำหรับลูกตา ผมเห็นว่าปกติมันชอบรับลมที่ระเบียงเลยหาร่างที่น่าจะเหมาะกว่าให้”

รูปลักษณ์ของตุ๊กตากระเบื้องสีเหลืองดูน่ารักไร้เดียงสา พอได้ดวงตาแจ่มใสเป็นประกายก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที คล้ายว่าวินาทีต่อมามันจะสามารถวาดมือน้อยๆ และกระโดดด้วยขาเล็กๆ สั้นๆ นั้นเพื่อร้องเพลงเต้นรำอยู่บนโต๊ะกลมได้อย่างมีความสุข เดิมลูกตาเป็นของอัปมงคล ชั่วร้าย คอยแผ่รังสีเยียบเย็นออกมาตลอดเวลา แต่พอตอนนี้ได้เปลี่ยนร่าง พวกมันกลับน่ารักมาก ยิ่งกลอกตาไปมายิ่งน่าขำ

ฟั่นจยาหลัวมองตุ๊กตากระเบื้องสีเหลืองแล้วเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นตรง เขามองมันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตบโต๊ะเบาๆ หัวเราะร่า

ซ่งรุ่ยเคยเห็นยิ้มน้อยๆ บางๆ และจางๆ ของฟั่นจยาหลัว และเคยเห็นรอยยิ้มเย็นกับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของฟั่นจยาหลัว แต่ไม่เคยเห็นเขาหัวเราะเต็มที่เช่นนี้ ฟั่นจยาหลัวในเวลานี้กำลังนั่งอยู่กลางแสงตะวันสดใส ท่าทางไร้ทุกข์ไร้โศกเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างที่สุด ชายหนุ่มน่าจะได้ผ่อนคลายแบบนี้น้อยครั้งมาก เพราะพอหัวเราะไปได้ครู่เดียวก็เม้มปากเป็นเส้นตรง ค่อยๆ กดข่มนิสัยเดิมของตัวเอง ทว่าในดวงตาของเขากลับเปล่งประกาย และประกายนั้นได้สลักลึกลงไปในความทรงจำของซ่งรุ่ยอย่างเงียบๆ

ซ่งรุ่ยเอนตัวอยู่ข้างกายชายหนุ่ม เขาเอ่ยถามหนึ่งประโยคอย่างพอใจ “ดูท่าคุณจะชอบของขวัญนี้มาก?”

“ชอบมากเลยครับ” ฟั่นจยาหลัวหยิบมือถือมาถ่ายคลิปให้ตุ๊กตากระเบื้องสีเหลืองที่กำลังกลอกดวงตากลมโตไปมาแล้วส่งเข้าโมเมนต์วีแชต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาส่งภาพเข้าไปในโมเมนต์เห็นได้ว่าเขาชอบของขวัญชิ้นนี้มากแค่ไหน

คนที่กดไลค์กรูกันเข้ามา พวกเขาต่างตกใจในความมีชีวิตชีวาของตุ๊กตากระเบื้องสีเหลือง จนหยวนจงโจวส่งเมสเสจมาว่า

 

‘อาจารย์ฟั่น คุณเอาลูกตาของหลีว์ชิวซื่อใส่ไว้ในตุ๊กตากระเบื้องตัวนี้ใช่มั้ย’

 

พวกซ่งเวินหน่วนเลยถึงบางอ้อแล้วทำหน้าเหมือนกินมูล พวกเขาเข้าใจว่าคลิปนี้เป็นคลิปที่อาจารย์ฟั่นไปโหลดมาจากที่ไหนสักแห่ง ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นของจริง! จะมีใครที่สามารถเอาลูกตาของหลีว์ชิวซื่อมาเป็นของเล่นแบบนี้ได้ อาจารย์ฟั่นช่างร้ายกาจ!

 

‘น่ารักกุ๊บกิ๊บจนพวกฉันหายใจไม่ออก! ขยับแล้วๆ!’

 

ซ่งเวินหน่วนส่งข้อความมาหนึ่งประโยคแบบกึ่งล้อเล่น

ฟั่นจยาหลัวอธิบายอย่างจริงจัง

 

‘นี่เป็นของขวัญที่ด็อกเตอร์ซ่งให้ผม’

 

ซ่งเวินหน่วนตบหน้าผากฉาด ตอบกลับทันทีว่า

 

‘ตาเพี้ยนนั่นนี่เอง! ความกุ๊กกิ๊กของเขาไม่เหมือนคนธรรมดาอย่างเราๆ จริงๆ ช่างครีเอตออกมาได้!’

‘ความกุ๊กกิ๊กของผมกับเขาค่อนข้างเหมือนกัน’

 

ฟั่นจยาหลัวพิมพ์พลางลอบมอง ดร. ซ่ง มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ

ซ่งรุ่ยอ่านข้อความที่ฟั่นจยาหลัวคุยกับคนกลุ่มนี้แล้วกดหัวใจสีแดงหนึ่งดวง

ตุ๊กตากระเบื้องสีเหลืองมองมือถือของฟั่นจยาหลัวแล้วมองมือถือของซ่งรุ่ย ดวงตากลอกซ้ายกลอกขวาเหมือนเด็กปัญญาอ่อน บางครั้งมันกลอกจนกลายเป็นตาเข ทำเอาฟั่นจยาหลัวขำ ซ่งรุ่ยเอนตัวกึ่งนอนอยู่บนบีนแบ็ก แค่ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ของชายหนุ่ม เขาก็สามารถใช้เวลาอย่างสงบได้ถึงหนึ่งวันเต็มๆ

สิบนาทีต่อมามือถือของฟั่นจยาหลัวก็เลิกดังๆ หยุดๆ แล้ว ซ่งรุ่ยจึงหยิบยาขวดหนึ่งออกมาถาม “คุณดูออกมั้ยว่านี่คืออะไร”

ฟั่นจยาหลัวรับขวดมา รอยยิ้มบนใบหน้ามลายหายไปอย่างอัตโนมัติ น้ำเสียงค่อนข้างไม่แน่ใจ “ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมสัมผัสได้” เขาประคองขวดไว้แล้วใช้สนามแม่เหล็กของตัวเองแทรกซึมเข้าไปในของเหลวสีฟ้าอ่อนเพื่อลองจำแนกที่มาของมัน และในชั่วพริบตาของเหลวสีฟ้าเริ่มเดือดพล่านอย่างน่าอัศจรรย์ มันกระแทกจุกปิด สาดกระเซ็นไปทั่ว

ปฏิกิริยาแรกของซ่งรุ่ยไม่ใช่การหลบเอาตัวรอด แต่เป็นการปัดมือฟั่นจยาหลัวอย่างแรงทำให้ขวดหลุดจากมืออีกฝ่าย

“คุณโอเคนะ?” ซ่งรุ่ยจับมือชายหนุ่มพลิกดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“ผมโอเค” หัวคิ้วของฟั่นจยาหลัวขมวดแน่นขึ้น น้ำเสียงเคร่งเครียด “ในน้ำเต็มไปด้วยพลังชีวิตและพละกำลัง แต่กลับมีกลิ่นเน่าเฟะ ผมกำลังจะตามไปหาที่มาของความเน่าเฟะแต่กลับถูกพลังที่แข็งแกร่งกว่าตัดการรับรู้”

“พลังที่แข็งแกร่งกว่า? งั้นก็ช่างเถอะ ไม่ต้องหาแล้ว” ถ้าเอาความอยากรู้อยากเห็นกับสวัสดิภาพของฟั่นจยาหลัวมาเทียบกัน ซ่งรุ่ยย่อมเลือกสวัสดิภาพของฟั่นจยาหลัวแบบไม่ต้องหยุดคิด

“ไม่เป็นไรครับ” ฟั่นจยาหลัวสั่นศีรษะ “พลังขุมนี้ยิ่งใหญ่มาก ตอนที่สนามแม่เหล็กของผมลองแทรกซึมเข้าไปยังเหมือนน้ำหยดหนึ่งที่หยดลงไปในทะเลสาบแล้วถูกกลืนหายไปหมด มันเหมือนพลังที่อยู่ในตัวเซียวเหยียนหลิงมาก แต่ปราศจากคลื่นความปรารถนา เป็นพลังชีวิตล้วนๆ เหมือนจะดีแต่ก็เหมือนร้าย ผมเลยบอกไม่ได้ว่ามันดีหรือร้าย นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ทำให้ตอนนี้ผมไม่สบายใจเลย”

ฟั่นจยาหลัวกำหมัดทุบศีรษะตัวเองเบาๆ สองตาปิดสนิท เหมือนกำลังพยายามใช้จิตสัมผัสถึงที่มาของพลังขุมนั้น

สีหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วของชายหนุ่มกลายเป็นโปร่งแสง ซ่งรุ่ยอดนึกเสียใจไม่ได้ เขารีบหยิบมือถือมาเปิดคลิปหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “ความจริงผมมีอีกเรื่องอยากถามคุณ คุณเคยได้ยินเพลงนี้มั้ย มันชื่อ ‘ดอกท้อในฝัน’ คนที่ฟังเพลงนี้จะคิดอยากฆ่าตัวตาย และเท่าที่ผมรู้ไม่เคยมีใครรอดจากมนตร์สะกดของมัน”

เสียงที่จำแนกชายหญิงไม่ได้ดังก้องสูงๆ ต่ำๆ อยู่บนระเบียงที่ว่างเปล่าทำให้ตุ๊กตากระเบื้องตัวเล็กกลอกตาอย่างบ้าคลั่ง ฟั่นจยาหลัวดึงสติกลับมาจากการรับรู้อันมืดดำไร้จุดสิ้นสุดทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ซูเฟิงซี”

“คุณฟังออกด้วยเหรอ” ซ่งรุ่ยแอบโล่งอกที่เห็นอีกฝ่ายเลิกสนใจยาขวดนั้น

“เปล่าครับ แต่ผมรู้ว่าเป็นเธอ เพราะเธอเคยสร้างภาพมายาที่เป็นดอกท้อบานสะพรั่งบนดาดฟ้าเพื่อหลอกฆ่าผม ชื่อเพลงนี้ตรงกับภาพนั้นพอดี” ฟั่นจยาหลัวขยายสนามแม่เหล็กเพื่อปกป้องตัวเอง ดร. ซ่ง และกบเขียวไว้ นิ่วหน้าพลางเอ่ย “คุณเคยได้ยินเพลงนี้?”

“ใช่ ผมอยากรู้มากว่าทำไมมันถึงสะกดให้คนฆ่าตัวตายได้” ซ่งรุ่ยถอดแว่น น้ำเสียงไม่ใส่ใจ “อันที่จริงเหตุผลมันง่ายมาก สิ่งที่ฆ่าคนไม่ใช่เสียงของนักร้อง ไม่ใช่ทริกเชิงจิตวิทยาในเนื้อเพลง แต่เป็นคลื่นใต้เสียงที่ซ่อนอยู่ในดนตรี คลื่นใต้เสียงคือเสียงที่มนุษย์ไม่ได้ยิน แต่สามารถสั่งการร่างกายของมนุษย์ได้ ตอนคลื่นใต้เสียงเริ่มมีการเคลื่อนไหว เลือด สมอง และอวัยวะของมนุษย์จะสั่นไหวตาม นี่เป็นหลักการเดียวกับการใช้คลื่นไมโครเวฟในการอุ่นอาหาร ตอนที่เพลงนี้ดังรอบๆ ตัว คนฟังจะเหมือนถูกใส่เข้าไปในไมโครเวฟแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว และถูกอุ่นด้วยอุณหภูมิหลายร้อยถึงหลายพันองศา คุณว่าพวกเขาจะไม่บ้าได้เหรอ”

“การที่ด็อกเตอร์ซ่งรับมือกับการโจมตีของคลื่นใต้เสียงนี้ได้แสดงว่าคุณเจ๋งมาก” ฟั่นจยาหลัวทึ่งในความสามารถเฉพาะตัวของ ดร. ซ่งทุกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่ตัวเขากลับเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงๆ

น้ำเสียงของซ่งรุ่ยเรียบสนิท “ตั้งแต่จำความได้ ดวงวิญญาณของผมถูกฉีกทึ้งอยู่ตลอด ตัวผมเหมือนมีชีวิตอยู่กับการทำลายล้างและความมืด คลื่นใต้เสียงพวกนี้จะทำอะไรผมได้ สำหรับคนอื่นความเจ็บปวดระดับนี้อาจรับได้ยาก แต่สำหรับผมมันกลับเป็นแค่เรื่องประจำวัน”

น้ำเสียงของเขาไม่มีความสลด แต่กลับทำให้ฟั่นจยาหลัวต้องยื่นมือออกไปวางลงบนหลังมือเขาเพื่อเป็นการปลอบใจ

ซ่งรุ่ยสวมแว่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ผมโอเค” เขาพลิกมือกุมนิ้วที่เย็นนิดๆ ของชายหนุ่ม

“การรวมกลุ่มฆ่าตัวตายเมื่อวานเกิดจากเพลงนี้เหรอครับ ผมอาจช่วยคุณไม่ได้ เพราะความสามารถของซูเฟิงซีแกร่งขึ้นอีกแล้ว สนามแม่เหล็กของผมไม่อาจแทรกเข้าไปในสนามแม่เหล็กของเธอได้ พูดได้ว่าตอนนี้ผมไม่สามารถใช้การท่องกวีโบราณสองสามประโยคเพื่อทำลายคลื่นใต้เสียงที่เธอสร้างขึ้น มีแต่เสียงของเธอที่สามารถทำลายเสียงเรียกจากความตายที่เกิดจากเพลงนี้ได้”

“แต่เสียงสวดมนต์ของคุณใช้ได้นี่” ซ่งรุ่ยเปิดอีกคลิป

ฟั่นจยาหลัวฝืนยิ้ม โบกมือ “นั่นเป็นเพราะตอนนั้นผมถือกระดิ่งวิญญาณของหยวนจงโจว พลังเลยเสถียร แต่ผมไม่รู้ว่าอาวุธวิเศษนั้นจะสามารถกำราบซูเฟิงซีได้ราบคาบมั้ย ถ้าไม่ อาวุธวิเศษย่อมถูกทำลายแล้วหยวนจงโจวจะตาย ผมเอาชีวิตของเขามาเสี่ยงไม่ได้”

“ผมก็ไม่มีทางให้คุณไปเสี่ยง” ซ่งรุ่ยเก็บมือถือ พูดอย่างระมัดระวัง “คุณลืมสองเรื่องนี้ไปได้เลย ถือเสียว่าผมไม่เคยพูด”

ฟั่นจยาหลัวรับคำส่งๆ แต่ความมืดมนขมขื่นในดวงตาสีดำเป็นมันขลับฟ้องว่าเขาไม่มีทางลืม และลืมไม่ได้

ซ่งรุ่ยลอบกำหมัด เป็นครั้งแรกที่เขาอยากปิดปากตัวเอง

 

อีกด้านหนึ่ง ฟั่นข่ายเสวียนที่ได้สติแล้วถูกย้ายไปห้องผู้ป่วยธรรมดา คณะแพทย์มาห้อมล้อมเพื่อตรวจอาการเขา เขาถูกเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมาย และมีการเก็บข้อมูลร่างกายของเขาตลอดเวลา หัวใจเขาเต้นเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า การหายใจของเขาติดขัด ผิวแห้ง กล้ามเนื้อฝ่อและหดตัว ฟั่นข่ายเสวียนแก่ลงไปทุกนาที รวดเร็วกว่าคนปกติหลายเท่า

ติงอวี่ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องผู้ป่วย พอเห็นใบหน้าที่แก่กว่าในรูปของเพื่อนรัก ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปาก ขอบตาก็แดงเรื่อ

“เมื่อคืนนายกินเหล้าอีกแล้วหรือเปล่า สีหน้าดูแย่มากนะ ต่อไปอย่าขยันดื่มนักเลย มันจะเสียสุขภาพ” ฟั่นข่ายเสวียนถอดหน้ากากออกซิเจน เตือนเสียงแหบ

“นายหุบปาก สูดออกซิเจนของนายไป!” คำพูดที่เหมือนสั่งเสียของเพื่อนสนิททำให้ติงอวี่มีสีหน้าดุดัน แต่เขากลับสวมหน้ากากออกซิเจนให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มมองไปทางกลุ่มแพทย์ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “หมอครับ ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง มีทางรักษาหรือเปล่า”

“ประธานติงครับ เราพลิกบันทึกการรักษาแล้ว ในโลกยังไม่มีเคสแบบประธานฟั่นเลย ถ้าเป็นโรคแก่ไวกว่าอายุก็น่าจะเริ่มแสดงอาการมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางคอยมาจนถึงตอนนี้ และโรคแก่ไวกว่าอายุที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีนแบบปุบปับไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผล เราจึงไม่มีข้อมูลให้อ้างอิง เวลานี้เราทำได้แค่รักษาไปตามสภาพร่างกายของประธานฟั่น เช่น ถ้าหัวใจเขาล้มเหลวก็ให้ยากระตุ้นหัวใจ ถ้าไตวายเราก็ให้ยา แต่การรักษาแบบนี้ไม่สามารถรักษาไปถึงต้นตอ อย่างมากก็แค่ชะลอ ไม่สามารถควบคุม และยิ่งไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ พวกคุณคงต้องทำใจ…”

“เงียบ มีอะไรออกไปคุยกันข้างนอก!” ติงอวี่ตัดบทคำวินิจฉัยที่โหดร้ายของแพทย์

ฟั่นข่ายเสวียนโบกมืออย่างมีกำลังใจดีแม้จะไร้เรี่ยวแรง “ฉันให้เขาบอกความจริงเอง เราฝ่าพายุและคลื่นยักษ์มาแล้ว ยังจะรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้อีกเหรอ” จบคำเขาก็ยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก แต่กลับพบว่าผมสีขาวหนึ่งปอยร่วงจากไหล่ไปบนผ้าห่ม

ฟั่นข่ายเสวียนมองเส้นผมแห้งกรอบที่หลุดร่วงเหมือนเป็นสัญญาณว่าความตายกำลังจะมาเยือนแล้ว ทั้งยังนิ่งเงียบเป็นเวลานาน

ข่งจิ้งที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยตลอดเวลาร้องไห้อย่างอัดอั้นตันใจ เธออยากกอดลูกชายแต่ไม่กล้าแตะร่างกายที่แสนเปราะบางของเขา “สวรรค์ ทำไมท่านถึงทารุณลูกชายฉันแบบนี้! เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่า! ท่านจะเอาชีวิตเขาไปได้ยังไง ฉันขอเอาชีวิตของฉันแลกกับเขาได้หรือเปล่า ท่านปล่อยเขาไปเถิด!”

เสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดและสิ้นหวังของข่งจิ้งทำให้ติงอวี่พลอยเศร้าตามจนยืนแทบไม่อยู่ เขาจับที่เปิดประตูแน่น สั่งเสียงแหบ “ข่ายเสวียน นายพักผ่อนเยอะๆ นะ เดี๋ยวฉันกลับมา”

เขาพาหมอทั้งกลุ่มไปที่ปลายโถงทางเดิน พูดเสียงกัดฟัน “ไม่มีทางรักษาจริงๆ หรือ เงินไม่ใช่ปัญหา…” พูดมาถึงตรงนี้ ติงอวี่ฉุกคิดถึงคำเตือนประโยคหนึ่งที่ชาวเน็ตทิ้งไว้ในเว็บไซต์ทางการของข่ายเสวียนกรุ๊ปว่า ‘ไม่สบายให้รีบรักษา เพราะต่อให้มีเงินก็ซื้อชีวิตไม่ได้!’ ตอนนั้นเขาโกรธมากเลยลบข้อความนั้นทิ้งเองกับมือ แต่ตอนนี้คำเตือนประโยคนี้กลับสะท้อนก้องอยู่ในหูเขา เหมือนห่าธนูที่ซัดกระหน่ำเข้ามาทะลุอกเขา และทะลุความคิดอันเพ้อเจ้อของเขา

“ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน แต่ปัญหาคือไม่มีวิธีรักษา ต่อให้คุณตามหมอทั้งโลกมาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะโรคนี้มันไม่เคยมีมาก่อน” คำพูดของหมอกระแทกถูกจุดตายของเขาทำให้สมองของติงอวี่มึนงง

“งั้นเขามีเวลาอีกนานเท่าไหร่” ติงอวี่ไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองมีกระแสสะอื้น สำหรับเขาทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่ยอมตื่น

“ดูจากความเร็วระดับนี้ อย่างมากก็หนึ่งหรือสองวัน” หมอเจ้าของไข้คิดหนักอยู่พักหนึ่งก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “ประธานติงครับ อันที่จริงทางการแพทย์ไม่มีวิธีรักษาชีวิตของประธานฟั่นแล้ว ถ้าคุณอยากสู้ต่อ งั้น…ลองไปหาฟั่นจยาหลัวหน่อยดีมั้ยครับ”

นี่เป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วที่มีคนพูดถึงฟั่นจยาหลัว หัวใจที่เตรียมการไว้พร้อมของติงอวี่เริ่มเต้นกระหน่ำรุนแรง “โรคที่พวกคุณรักษาไม่หาย ไปหาเขาจะมีประโยชน์อะไร” เขาจ้องหน้าหมอแบบเอาเป็นเอาตาย ด้วยความหวังว่าจะได้ยินคำว่า ‘มีสิ’ สองคำจากปากของอีกฝ่าย ไม่ว่าข้อเสนอของคนพวกนี้จะเหลวไหลแค่ไหน เขาก็พร้อมจะลอง!

“มีหรือไม่มีประโยชน์ผมก็ไม่รู้ แต่คุณฟั่นจยาหลัวไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน คุณรู้เรื่องคดีเด็กนรกหรือเปล่าครับ” หมอถามเสียงเบา

“อะไร” เห็นได้ชัดว่าติงอวี่ไม่ใช่คนที่เล่นอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ

หมอไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร ได้แต่พูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “สรุปคือคุณไปหาคุณฟั่นจยาหลัวดีกว่า ในเมื่อเขาสามารถทำนายดวงชะตาของประธานฟั่นและบอกว่าช่วยได้ แสดงว่าไม่ได้ล้อพวกคุณเล่นแน่” หมอกระซิบที่ข้างหูติงอวี่เร็วๆ “คุณฟั่นจยาหลัวเก่งสุดยอด! ผมดูไลฟ์เด็กนรกแล้ว เชื่อว่าเขาต้องช่วยพวกคุณได้แน่นอน!”

พูดจบหมอก็กระแอม แสร้งพูดน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง “ต้องขอโทษอย่างมากที่เวลานี้เราทำได้แค่นี้ ประธานติงครับ คุณไปอยู่กับประธานฟั่นเถอะ เรายังต้องทำการตรวจสอบต่อ”

“อ้อๆ โอเค ขอบคุณครับ” ติงอวี่เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยด้วยสีหน้าอึนๆ เอ่ยถามข่งจิ้ง “คุณป้าครับ คุณป้ารู้เรื่องไลฟ์เด็กนรกหรือเปล่าครับ หมอบอกว่าฟั่นจยาหลัวเก่งมาก สามารถช่วยข่ายเสวียนได้”

หูของฟั่นข่ายเสวียนได้ยินเสียงไม่ค่อยชัดแล้ว เขาจึงไม่ได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท ทว่าข่งจิ้งกลับทำหน้าตึง โบกไม้โบกมือ “ไม่รู้ เธอไปฟังใครพูดมา ฟั่นจยาหลัวเป็นแค่คนขี้โกหกคนหนึ่ง!” ความจริงข่งจิ้งรู้ทุกอย่าง และหลังไลฟ์เธอยังลบเวยป๋อที่เคยด่าฟั่นจยาหลัวทิ้งด้วย

ทว่าติงอวี่กลับเข้าใจว่าข่งจิ้งไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เขาฝืนยิ้มเพื่อปลอบใจเธอกับฟั่นข่ายเสวียนก่อนเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปอย่างรีบร้อน เขาใช้เส้นสายทั้งหมด ใช้ทรัพยากรทุกอย่าง จนได้คลิปที่ควรถูกบล็อกมา เด็กผู้หญิงในคลิปที่ถูกฟั่นจยาหลัวเรียกว่าเด็กนรกคนนั้นทำให้ติงอวี่ขนลุกซู่ ขวัญผวาจนพูดไม่ออก

ที่แท้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่จริงๆ! ที่แท้โลกในสายตาของฟั่นจยาหลัวเป็นแบบนี้ ความอัปลักษณ์ที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ความสวยงาม ความอ่อนแอที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความแข็งแกร่ง ทุกอย่างล้วนหนีไม่พ้นสายตาของฟั่นจยาหลัว น่าขำที่เขาเคยเชิดใส่ความมหัศจรรย์ของอีกฝ่าย และยังคงปักใจว่าคนคนนี้เป็นแค่คนโกหกหลอกลวงคนหนึ่ง

ติงอวี่พร่ำด่าความไม่รู้เรื่องรู้ราว ความโง่งม และความอวดดีของตัวเองแบบสาดเสียเทเสีย เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปในห้องผู้ป่วย พูดเสียงหนักแน่น “ข่ายเสวียน ฉันจะไปขอให้ฟั่นจยาหลัวมาช่วยนาย!”

“เธอพูดว่าอะไรนะ” ข่งจิ้งลุกพรวด ดวงตาฉายแววตื่นตกใจ

แต่ติงอวี่ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของเธอ พอพูดจบเขาก็รีบวิ่งออกไป

ชายหนุ่มสตาร์ตรถพลางโทรหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ของข่ายเสวียนกรุ๊ปเพื่อออกคำสั่งแต่ละข้ออย่างรวดเร็ว “ลบถ้อยแถลงในทางลบเกี่ยวกับฟั่นจยาหลัวออกจากเว็บไซต์ทางการของบริษัทเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ใช่ ถ้อยแถลงในทางลบ ลบทิ้งให้หมด! คำสืบค้นในเวยป๋อก็เอาออก! เอาอันไหนออกเหรอ นอกจากอันที่ฟั่นจยาหลัววางแผนทำร้ายข่ายเสวียนแล้วยังจะมีอันไหนอีก ลบแถลงการณ์เรื่องฟ้องฟั่นจยาหลัวข้อหาวางยาพิษที่เราโพสต์ลงไปก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง ตำรวจไซเบอร์ลบแล้วเหรอ ไม่พอ แค่นี้ยังไม่พอ เราต้องรีบออกหนังสือขอโทษ ต้องให้จริงใจ จริงจัง! ใช่ ยิ่งจริงจังเท่าไหร่ยิ่งดี! ให้คนทั้งบริษัทแชร์ด้วย! ใครไม่แชร์ก็เฉดหัวมันออกไป! ฉันเอาไอดีเวยป๋อของตัวเองให้เธอแล้ว เธอเขียนจดหมายขอโทษขึ้นมาหนึ่งฉบับ เสร็จแล้วส่งมาให้ฉันดูก่อน พอฉันแก้เสร็จเธอค่อยโพสต์ ภาษาห้ามแข็งกระด้าง ต้องนอบน้อม”

ดูเหมือนทางนั้นจะถามโน่นถามนี่มาเยอะ ติงอวี่เลยตวาดอย่างฉุนเฉียว “นอบน้อมถึงขั้นที่ฉันยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอให้ฟั่นจยาหลัวยกโทษให้! ขอแค่เขาพอใจจะให้ฉันนอนลงให้เขากระทืบเล่นเลยก็ได้ เธอเข้าใจแล้วหรือยัง เข้าใจแล้วก็รีบไปทำ ฉันไม่มีเวลามาเสียกับเธอ! ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้พวกเธอต้องโพสต์แถลงการณ์ขอโทษ จดหมายขอโทษให้ฟั่นจยาหลัวและทุกคนเห็น!”

ปลายสายวางไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น ติงอวี่เหยียบคันเร่งแรงขึ้นเพื่อตรงไปคอนโดฯ มูนไลต์เบย์การ์เด้นด้วยความรู้สึกร้อนใจมาก เขารู้ดีว่าเวลาจะขอร้องใครสักคนต้องทำตัวเป็นคนขอความช่วยเหลือ จะวางตัวหัวสูงเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ถ้ารู้ก่อนว่าข่ายเสวียนจะป่วยเป็นโรคประหลาดรักษาไม่หายแบบนี้ เขาน่าจะคุกเข่าให้ฟั่นจยาหลัวกลางงานเลี้ยงไปเลย!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com