everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4 บทที่ 145 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 145 แค่ผมพูดประโยคเดียวก็ทำให้คุณกลับเป็นแบบเดิมได้
ระหว่างที่ติงอวี่กำลังเร่งพาฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยไปโรงพยาบาล ข่งจิ้งก็กำลังโวยวายจะเปลี่ยนห้องพักผู้ป่วยให้ฟั่นข่ายเสวียน
พวกหมอออกันอยู่ข้างตัวเธอเพื่อพูดกล่อมสุดชีวิต “คุณนายฟั่นครับ ห้องพักผู้ป่วยปกติกว้างขวาง สะดวกสบาย แต่อุปกรณ์สู้ห้องไอซียูไม่ได้ อาการของประธานฟั่นยังไม่คงที่ เราจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในห้องไอซียูเพื่อสังเกตการณ์และดูแลเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่เกิดสภาวะทรุดโทรมแบบฮวบฮาบขึ้นมากะทันหัน”
“อะไรเรียกว่าอาการยังไม่คงที่ พวกคุณดูอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ชีพจรของลูกชายฉันสิ ทุกอย่างเป็นปกติหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ท่าทางของเขาตอนนี้ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก ริ้วรอยบนหน้าก็น้อยลง! เขากำลังฟื้นตัว! พวกคุณย้ายเขาไปห้องพักผู้ป่วยปกติเลยนะ ฉันจะได้จับมือเขา คุยกับเขาได้ ตอนนี้พวกคุณเอาเขาไว้หลังกระจกจนฉันทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองเขาทรมานตาปริบๆ พวกคุณเข้าใจมั้ยว่าฉันทรมานมากแค่ไหน พวกคุณดูสิ ท่าทางของเขาตอนนี้ก็เหมือนคนที่รู้สึกไม่สบายเอามากๆ เหมือนกัน ไม่งั้นเราลองถามความเห็นของเจ้าตัวดู ฉันรู้ว่าตอนนี้เขามีสติดีมาก ตัดสินใจเองได้”
ข่งจิ้งเถียงหมอพลางใช้เครื่องสื่อสารเพื่อถามฟั่นข่ายเสวียนเสียงดัง “ลูกแม่ แม่อยากย้ายลูกไปห้องพักผู้ป่วยปกติ ลูกโอเคมั้ย”
ฟั่นข่ายเสวียนตามใจแม่ทุกอย่างมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ประกอบกับเขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ชายหนุ่มจึงผงกศีรษะ “ย้ายไปห้องพักผู้ป่วยปกติเถอะครับ ผมไม่อยากอยู่ในที่อุดอู้แบบนี้” ในเวลาแบบนี้เขาอยากมีคนอยู่ด้วยเยอะๆ ถ้าได้มีแม่อยู่ด้วยย่อมดีกว่า
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย ลูกชายฉันไม่ชอบอยู่ในที่แบบนี้! ตอนนี้ร่างกายเขาฟื้นฟูได้กว่าครึ่งแล้ว อัตราการทำงานของร่างกายทุกส่วนล้วนน่าพอใจมาก ไม่มีปัญหาหรอก พวกคุณย้ายเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ข่งจิ้งออกคำสั่งอย่างร้อนใจเหมือนแทบจะคอยไม่ไหว
หมอกับพยาบาลไม่เข้าใจว่าข่งจิ้งจะรีบไปทำไม แต่ติงอวี่ที่ยืนมองภาพนี้อยู่ที่มุมผนังเงียบๆ รู้ดีว่าเธอแทบคอยให้ลูกชายย้ายไปห้องผู้ป่วยปกติไม่ไหว เพราะจะได้ติดต่อทนายกับเจ้าหน้าที่รัฐมาเป็นประจักษ์พยานในสถานที่จริง สำหรับเธอสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ชีวิตลูกชาย แต่เป็นทรัพย์สมบัติหมื่นล้านที่ยังอยู่ในมือเขาต่างหาก
“เธอทำได้ยังไง” ติงอวี่หันไปมองฟั่นจยาหลัวที่ยืนอยู่ข้างตนเพื่อมองดูข่งจิ้งด้วยสายตามืดมนอ่านยากเหมือนกัน ติงอวี่ถามเสียงหนัก “เธอทำให้ข่ายเสวียนป่วยเป็นโรคประหลาดได้ยังไง วางยาพิษเหรอ บนโลกมียาพิษที่ทำให้คนแก่ตัวเร็วได้ด้วย? แล้วเธอทำให้ข่ายเสวียนฟื้นตัวได้ยังไง ในช่วงที่หมอยื้อชีวิตเขา เธอไม่ได้เข้าใกล้ข่ายเสวียนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะให้ข่ายเสวียนกินยาแก้ได้ยังไง”
“คุณดูละครจอมยุทธ์มากเกินไปหรือเปล่า มีทั้งยาพิษยาแก้” ยังไม่ทันที่ฟั่นจยาหลัวจะได้เอ่ยปาก ซ่งรุ่ยก็ชิงหัวเราะเบาๆ “พลังจินตนาการของเธอมีอำนาจมาก แต่มันยังไม่มากพอ ส่วนที่ว่าเธอทำได้ยังไง อีกเดี๋ยวคุณก็รู้”
“พูดเหมือนคุณรู้ดีมาก” ติงอวี่ย้อนเสียงประชด
“ขอโทษที ผมค่อนข้างจะรู้ดีกว่าคุณ เพราะผมพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ซ่งรุ่ยถอดแว่นที่อยู่บนดั้งจมูกโด่งเผยให้เห็นใบหน้างดงามคมสัน เขาสนใจข่งจิ้งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ถูกความปรารถนาครอบงำอีกหนึ่งคน ไม่สิ เธอถึงขั้นกลายเป็นร่างแปลงของความปรารถนาแล้วด้วยซ้ำ
“คุณเดาอะไรได้ เก่งจริงก็บอกมาสิ บอกก่อนผมถึงจะเชื่อคุณ” ติงอวี่ลองใช้วิธียั่ว แต่ซ่งรุ่ยกลับปรายตามองเขาผ่านๆ ให้ความรู้สึกถูกหยามเรื่องไอคิว
“ไปเถอะ ไปที่ห้องพักผู้ป่วยกัน” พอเห็นพวกพยาบาลเข็นฟั่นข่ายเสวียนไปที่ห้องพักผู้ป่วยวีไอพีที่อยู่ชั้นเดียวกัน ฟั่นจยาหลัวก็ตามไปทันที ติงอวี่สะกดความสงสัยไว้ ไล่ตามไป
ตอนทั้งสามคนเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย หมอยังคงพูดกล่อมข่งจิ้งไม่หยุด “คุณนายฟั่นครับ การย้ายห้องตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อคุณฟั่นเลยจริงๆ นะครับ เพราะเราไม่รู้ว่าสภาพร่างกายของเขาตอนนี้มันดีขึ้นจริงหรือแค่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราวก่อนจะทรุดหนักกว่าเดิม ความเห็นของผมคือให้อยู่ไอซียูอย่างน้อยสองคืน เราจะได้ตรวจเพิ่ม”
“ลูกชายฉัน ฉันจะไม่ห่วงได้เหรอ เขากำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวแน่นอน พวกคุณห้ามแช่งเขา!” ข่งจิ้งชี้หน้าหมอ ท่าทางเถื่อนถ่อยมาก ต่อให้แต่งงานกับฟั่นลั่วซานได้เป็นคุณนายไฮโซแล้ว แต่นิสัยหยาบกระด้างที่ได้อิทธิพลมาจากสลัมในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาสิบกว่าปียังคงเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก และตัวตนของเธอก็ไม่ใช่คุณหนูบ้านรวยที่ไม่รู้จักโลก
หมอได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ เขาหันไปเห็นชายหนุ่มหน้าตางดงามที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้วก็เผยสีหน้าดีใจจนแทบคลั่ง แต่แน่นอนว่าสีหน้านี้อยู่แค่พริบตาเดียวก็หายไป เพราะเขาสามารถควบคุมมันได้ดีมาก หมอกระแอมสองครั้ง แกล้งทำเป็นพูดเสียงซีเรียส “คุณฟั่นจยาหลัวใช่มั้ยครับ คุณมา…”
ดวงตาที่เปล่งประกายจนน่าตกใจของเขากวาดมองฟั่นข่ายเสวียนกับฟั่นจยาหลัวไม่หยุด มาแล้วๆ ซีนสำคัญที่เฝ้ารอมานานในที่สุดก็มาถึง! อาจารย์ฟั่นจะไขปริศนาโรคปัจจุบันของฟั่นข่ายเสวียนได้หรือไม่ คำตอบจะถูกเฉลยเดี๋ยวนี้!
ทว่าความจริงเป็นสิ่งโหดร้าย ต่อให้คุณหมออยากแปะสองเท้าของตัวเองไว้กับพื้นห้องพักผู้ป่วยห้องนี้มากแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงถูกติงอวี่ไล่อย่างไร้น้ำใจ “คุณหมอ คุณพยาบาลครับ พวกคุณช่วยออกไปก่อน เรามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกัน”
“พวกคุณจะไม่เหลือหมอไว้สักคนเผื่อกรณีฉุกเฉินหรือครับ” คุณหมอยังพยายามสู้ เขากระซิบที่ข้างหูติงอวี่ “ผมออกไอเดียให้คุณไปเชิญคุณฟั่นมานะ คุณจะข้ามแม่น้ำรื้อสะพานแบบนี้ไม่ได้”
“ผมถึงต้องขอบคุณคุณไงครับ” ติงอวี่ผลักคุณหมอออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มแค่บนหน้า แต่ดวงตาไม่ยิ้ม
เสียงสูงปรี๊ดของข่งจิ้งดังลอดร่องประตูที่ค่อยๆ ปิดมาว่า “เธอพาเขามาทำไม! ถ้าเขาไม่แช่งข่ายเสวียน ข่ายเสวียนจะป่วยแบบนี้เหรอ เธอให้เขาไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ติงอวี่เพียงถืออภิสิทธิ์เดินไปดูอาการของเพื่อนสนิทที่ข้างเตียงและพูดปลอบอีกฝ่ายเบาๆ โดยไม่สนใจข่งจิ้ง ฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยเดินช้าๆ ไปที่ข้างหน้าต่างนั่งลงบนโซฟาอย่างมีมาด
“คุณข่งครับ คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าแค่คำพูดประโยคเดียวของผมสามารถทำให้ลูกชายคุณล้มป่วยได้? คุณเอาแต่บอกว่าผมเป็นพวกโกหกไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนท่าทีที่คุณมีต่อผมมันจะย้อนแย้งกันอยู่นะครับ” สองขาเรียวยาวของฟั่นจยาหลัวไขว่ห้าง แต่ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองข่งจิ้งชนิดไม่ยอมกะพริบ
ข่งจิ้งนิ่งอึ้ง “…”
เธออ้าปาก แต่นานแสนนานกลับหาคำแย้งแรงๆ มาโต้อีกฝ่ายไม่ได้ ใช่ ถ้าฟั่นจยาหลัวเป็นพวกขี้โกหก คำทำนายของเขาย่อมมีค่าเท่ามูลสุนัข ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อลูกชาย เธอจะไม่สนใจการมาเยือนของเขาเลยก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่ใช่พวกโกหก เธอยิ่งไม่ควรแสดงท่าทีต่อต้านหรือปฏิเสธการมาเยือนของเขา แต่ควรให้การต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ เพราะเขาอาจช่วยลูกชายของเธอได้ สถานภาพของเธอในเวลานี้คือแม่ผู้สิ้นหวังคนหนึ่ง เพื่อลูกแม่ย่อมพร้อมลองทำทุกอย่าง เธอจึงไม่มีเหตุผลที่จะไล่ฟั่นจยาหลัว…
“ดูเหมือนคุณจะกลัวการเผชิญหน้ากับผมมาก? คุณซ่อนอะไรไว้เหรอครับ” ประโยคต่อมาของฟั่นจยาหลัวกระตุ้นต่อมผวาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกภายในใจของข่งจิ้ง แม้เธอจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร
ข่งจิ้งมองคนรอบตัวอย่างตื่นๆ สายตาจดจ้องที่ลูกชายอย่างขอความช่วยเหลือ เธอรู้ว่าเขายืนอยู่ฝ่ายตนเสมอ
ฟั่นข่ายเสวียนไม่ได้ทำให้เธอผิดหวัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท “ฟั่นจยาหลัว ผมพอจะเดาได้ว่าคุณมาทำอะไร คุณก็เห็นว่าผมกำลังฟื้นตัว ตอนนี้อายุร่างกายผมหยุดอยู่ที่อายุห้าสิบ อีกไม่นานน่าจะเป็นเหมือนเดิม ผมไม่เคยเชื่อว่าบนโลกมีร่างทรงวิญญาณ คำทำนาย พลังเหนือธรรมชาติ ผมแค่ป่วย ไม่ได้โดนสาป และยิ่งไม่ใช่เพราะคำพยากรณ์ของคุณ คุณอาจอ่านสีหน้าและท่าทางของผมได้ว่าผมจะป่วยเลยอยากจะใช้ผมเป็นสปริงบอร์ดในหน้าที่การงานของคุณ แต่ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งที่ผมคงช่วยคุณไม่ได้ หมอเป็นคนช่วยชีวิตผม ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ เชิญคุณไปซะ”
“ข่ายเสวียน!” ติงอวี่กดไหล่เพื่อนอย่างร้อนใจ
ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับยิ้มอย่างไม่ถือสา “คุณคิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วจริงๆ เหรอ”
ฟั่นข่ายเสวียนปัดมือของติงอวี่ออก เขาชี้ไปที่อุปกรณ์การแพทย์ซึ่งกำลังทำงานเป็นปกติทุกอย่าง เป็นการสื่อความหมายโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าเขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ และยิ่งไม่ยอมโดนคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยบงการ
ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ “คุณเชื่อมั้ยว่าแค่ผมพูดประโยคเดียวก็ทำให้คุณกลับเป็นแบบเดิมได้”
“ไม่ต้อง!”
“ก็ลองสิ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ติงอวี่กับฟั่นข่ายเสวียนซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเกิดแตกคอกันอย่างรุนแรงต่อหน้าคนนอก ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความไม่พอใจอย่างรุนแรงและคำถามในดวงตาของกันและกัน
“โอเค ผมจะลอง” ฟั่นจยาหลัวรับคำ เขาหันไปหาข่งจิ้ง พูดเสียงเนิบ “คุณนายฟั่น อันที่จริงทนายโกหกคุณ พินัยกรรมที่คุณให้ฟั่นข่ายเสวียนทำเริ่มมีผลทางกฎหมายแล้ว พูดได้ว่าถ้าเขาตาย คุณจะได้มรดกทั้งหมด”
“อะไรนะ” ความสนใจทั้งหมดของข่งจิ้งถูกฟั่นจยาหลัวดึงดูด
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็โทรหาทนายดู บอกว่าประธานติงสารภาพความจริงหมดแล้ว ให้เขาเลิกหลอกคุณ” ข่งจิ้งหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะเธอห่วงความรู้สึกของฟั่นข่ายเสวียนเลยไม่กล้าโทรถามต่อหน้าเขา ฟั่นจยาหลัวหันไปมองติงอวี่ สั่งว่า “ประธานติงครับ เอามือถือของคุณให้เธอโทรหน่อยสิ”
“โอเค” ติงอวี่คุ้นกับการทำตามคำสั่งของชายหนุ่มแล้ว เขาต่อสายหาทนายจริงๆ พร้อมกับเปิดลำโพง “พินัยกรรมก่อนหน้านี้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วหรือยัง” เขาจงใจหลอกล่อ
“ถูกต้องตามกฎหมายแล้วครับ เรื่องที่ประธานฟั่นสั่งเอง ผมจะกล้าชักช้าได้ยังไง ประธานติงครับ ทำไมคุณถึงให้ผมไปหลอกคุณนาย มีเรื่องอะไรกันหรือครับ” ทนายพูดเสียงหวาดๆ “ประธานติงครับ ถ้าประธานฟั่นเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมต้องประกาศพินัยกรรมฉบับนี้ ผมช่วยคุณปิดคุณนายได้แค่ชั่วคราว แต่จะทรยศต่อจรรยาบรรณของตัวเองไม่ได้ และไม่สามารถแก้ไขเนื้อหาในพินัยกรรม…”
ปลายสายยังพูดเสียงเจื้อยแจ้ว แต่สีหน้าของข่งจิ้งได้เปลี่ยนจากไม่เชื่อเป็นตื่นตกใจ สุดท้ายก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวแบบที่ยากจะหาถ้อยคำในโลกมาอธิบาย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอ่านความคิดจริงๆ ของเธอจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวนี้ได้
ติงอวี่ขวางอยู่หน้าเตียง เขามองข่งจิ้งอย่างระมัดระวังเต็มที่เพื่อไม่ให้เธอลงไม้ลงมือกับเพื่อนสนิท
แต่ฟั่นข่ายเสวียนไม่ยอมรับน้ำใจและผลักติงอวี่ออกไป ถามเสียงดุดัน “พวกคุณเล่นอะไร หลอกแม่ผมทำไม ติงอวี่ ฉันนึกว่าในช่วงวิกฤตฉันจะเชื่อใจนายได้”
“ทำอะไร ก็ช่วยนายน่ะสิ! มีแต่ให้เธอรู้ว่าถ้านายตาย เธอจะไม่ได้มรดกทั้งหมด นายถึงจะรอด! นายมันโง่แล้วยังจะมาสงสัยฉันอีก!” ติงอวี่ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเพื่อนสนิทไม่ได้ดีเลิศเหมือนอย่างที่ตัวเองวาดภาพไว้ เพราะบางครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ห้าวหาญและไม่ได้เฉลียวฉลาด
“แล้วไง ตอนนี้แม่ฉันรู้ว่าพินัยกรรมมีผลแล้ว เธอจะฆ่าฉันหรือไง ติงอวี่ ฉันว่าสมองนายพัง…” ฟั่นข่ายเสวียนพูดยังไม่จบประโยคก็ต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกทรุดลงไปกับเตียง ใบหน้าที่เมื่อครู่กลับมาเรียบเนียนเกิดมีริ้วรอยมากมายปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว หัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอสูญเสียจังหวะ ความดันโลหิต ชีพจรพุ่งสูงขึ้นพร้อมกัน แค่พริบตาเดียวเขาก็ร่วงลงไปในเหวแห่งความตายอีกครั้ง
“หมอ…หมอ! ข่ายเสวียนอาการกำเริบ พวกคุณรีบมาเร็ว!” ติงอวี่รีบใส่หน้ากากออกซิเจนให้เพื่อนสนิทแล้วพุ่งไปที่วิทยุเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
ฟั่นข่ายเสวียนพยายามสูดออกซิเจนและลืมตา ในบรรดาทุกคนที่ล้อมอยู่ในห้องพักผู้ป่วย เขามองเห็นฟั่นจยาหลัวที่มีสีหน้านิ่งสนิท ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เห็นซ่งรุ่ยที่ยืนมองด้วยสายตาเย็นชาสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอยู่ที่ด้านข้าง เห็นติงอวี่ที่ร้อนรนกระวนกระวายจนขอบตาแดง และสุดท้ายจึงมองแม่ที่ส่ายหน้าไม่หยุด ดวงตาฉายแววหวาดผวา ในดวงตาของเธอไม่มีความเสียใจ มีแต่ความรู้แจ้ง ซึ่งความรู้แจ้งนี้ทำให้เธอหวาดกลัวจนตัวสั่นและถอยหลังกรูด
เธอไม่ได้พุ่งเข้ามาดูอาการลูกชายเป็นคนแรก ตรงข้ามข่งจิ้งหมุนตัวอย่างลนๆ วิ่งไปที่ประตู ในช่วงที่ลูกชายใกล้ตาย เธอกลับเลือกที่จะหนี เพราะอะไร!
ม่านตาของฟั่นข่ายเสวียนขยายกว้างขึ้นในชั่วพริบตา ภาพแผ่นหลังของแม่ที่หมุนตัวหนีตราตรึงอยู่ในสมองของเขา
หมอที่รีบวิ่งเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยชนข่งจิ้งให้กลับเข้าห้องไปอีกครั้ง พยาบาลห้าหกคนที่กรูกันเข้ามาทำให้ประตูห้องถูกปิดสนิท ในมือของพวกเธอถือถาด บนถาดมียาประเภทฉีดอย่างอะดรีนาลินและอื่นๆ ที่ไม่รู้จักชื่อ ข่งจิ้งไม่สามารถบอกให้พวกเธอเปิดทาง และไม่ควรจากไปในช่วงที่ลูกชายกำลังจะตาย เธอจึงต้องถอยกลับเข้าไปเงียบๆ แกล้งทำเป็นเหมือนตัวเองไม่เคยมีความคิดที่จะหนี
หมอตรวจอัตราการทำงานส่วนต่างๆ ของร่างกายฟั่นข่ายเสวียนพลางทำซีพีอาร์ ตวาดเสียงเกรี้ยว “ผมบอกแล้วว่าไม่ควรย้ายเขา อาการของเขายังไม่คงที่! พวกคุณดูสิ การทำงานของร่างกายเขาเสื่อมถอยอีกแล้ว แย่กว่าตอนก่อนเข้าห้องผ่าตัดอีก!”
ติงอวี่ยกสองมือถอยไปอยู่ในมุม เขามองความโกลาหลด้วยขอบตาแดงก่ำ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองสู้ข่งจิ้งไม่ได้ และยิ่งสู้ฟั่นจยาหลัวไม่ได้ เพราะฟั่นข่ายเสวียนฟังแต่แม่ของตัวเองและปฏิเสธคำเตือนของคนอื่นๆ
ณ ช่วงเวลานี้ติงอวี่พลันเข้าใจความรู้สึกของฟั่นจยาหลัว ความรู้สึกของการไม่เป็นที่เชื่อถือเหมือนการถูกถลกหนัง เจ็บเหมือนถูกฉีก และทำให้ความสามารถในการปกป้องตัวเองของคุณลดต่ำลงถึงขีดสุด เมื่อนั้นคุณจะเริ่มตั้งข้อสงสัยในตัวเอง ปฏิเสธตัวเอง กังขาต่อโลก ปฏิเสธโลก เพื่อนที่คุณมอบความจริงใจให้กลับตั้งกำแพงน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยหนามใส่คุณทำให้คุณหนาวเยือกไปทั้งหัวใจ
ติงอวี่เอาแต่ชูมือเหมือนทหารหนีทัพที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้ ได้แต่มองดูกลุ่มคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกอย่างมึนงง เขาเริ่มเกลียดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า เกลียดข่งจิ้ง และเกลียดไปถึงเพื่อนสนิทสมองกลวง เขาไม่รู้ว่าฟั่นจยาหลัวที่เจอกับข้อสงสัยแบบนี้ทุกวันทนยืนหยัดมาได้ยังไง แค่เขาเจอสายตาหวาดระแวงของฟั่นข่ายเสวียนไป หัวใจก็เจ็บเหมือนถูกปืนยิงแล้ว!
“ไม่ได้การ หัวใจเขาหยุดเต้น เตรียมอะดรีนาลิน!” เสียงตะโกนของหมอเข้าหูของทุกคน ในที่สุดติงอวี่ที่ใจลอยๆ ก็ได้สติ เขาลดสองมือที่ชูอยู่ลงทันที ก่อนมองฟั่นจยาหลัวด้วยแววตาอ้อนวอน สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ไม่ได้ เขาเคยเจอความเคลือบแคลง รังเกียจ ต่อต้าน และตีกันของฟั่นข่ายเสวียนมาหลายต่อหลายครั้ง ต่อให้เจออีกครั้งก็ไม่เป็นไร
ฟั่นจยาหลัวถอนหายใจเล็กน้อย พูดเสียงเนิบ “คุณนายฟั่น อันที่จริงเมื่อกี้เราหลอกคุณ ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้พินัยกรรมจะมีผลได้ยังไง”
ข่งจิ้งมองเขาด้วยดวงตาแทบฉีกขาด เธอไม่ยอมเชื่อคำพูดที่หลุดออกมาจากปากฟั่นจยาหลัวอีก
ฟั่นจยาหลัวยิ้มบางๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูไม่เร็วไม่ช้า “คุณเดาไม่ผิด ผมร่วมมือกับฟั่นลั่วซานจริง เขากำลังรีบใช้เงิน และผมรู้ว่าจะเอามรดกมาจากฟั่นข่ายเสวียนยังไง ดังนั้นเราเลยใช้คุณ ต้องขอบคุณในความช่วยเหลือเป็นอย่างดีของคุณ ลาก่อน”
ซ่งรุ่ยสวมแว่นที่เช็ดจนใสผงกศีรษะอย่างมีมารยาท “ลาก่อน”
ข่งจิ้งที่ก่อนหน้าแสดงท่าทีแข็งกร้าว ตอนนี้กลับเหมือนถูกมือล่องหนตบหน้าอย่างแรงจนเกือบล้ม เธอรีบหันไปมองลูกชายที่ใกล้ตายด้วยสีหน้าตื่นตกใจและเสียใจ พริบตานี้เองอุปกรณ์การแพทย์ที่ส่งเสียงถี่กระชั้นก็สงบเงียบลงอย่างสิ้นเชิง กราฟที่ขึ้นสุดลงสุดทยอยกลับมาเสถียร ฟั่นข่ายเสวียนที่เมื่อวินาทีก่อนต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยได้ยากกลับมาหายใจเป็นปกติในวินาทีต่อมา
เขาบีบมือของหมอที่เตรียมฉีดอะดรีนาลินเข้าหัวใจแน่นพลางหันมามองแม่อย่างไม่กล้าเชื่อสายตา ถึงเขาจะใกล้ตาย แต่จิตสำนึกที่ล่องลอยกลับรับรู้การกระทำและบทสนทนาของทุกคนที่อยู่ในห้องได้อย่างชัดเจน
ในความมึนงงเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 21 ม.ค. 65