everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5 บทที่ 178 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 178 แผนของเกาเชียนเชียน
หลังเข้าเขตเมืองฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยก็ไม่ได้รีบกลับบ้าน แต่ไปร้านเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดสะอาดก่อนไปกรมตำรวจเพื่อขอรับศพพ่อแม่ของเซียวเหยียนหลิง สองสามีภรรยาทิ้งมรดกไว้ก้อนโต บรรดาญาติๆ ของพวกเขาจึงแย่งมรดกมหาศาลกันชนิดหัวร้างข้างแตก แต่ไม่มีใครคิดจะสืบหาที่อยู่ของเซียวเหยียนหลิงเลยสักคน และไม่มีใครเอาศพของสองสามีภรรยากลับไปฝังด้วย
พอแพทย์นิติเวชได้ยินว่าเซียวเหยียนหลิงเสียชีวิตแล้วก็อดส่ายหน้าถอนหายใจไม่ได้ สุดท้ายเขายังคงให้ฟั่นจยาหลัวเซ็นเอกสารเพื่อรับศพไป แม้การทำแบบนี้จะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ศพนิรนามที่อยู่ในห้องเก็บศพของพวกเขามีจำนวนมากจนไม่มีที่ว่างให้เก็บเพิ่มและไม่อาจโยนทิ้งแบบส่งๆ ได้ ได้แต่ให้วัดหรือโรงพยาบาลในละแวกนี้รับไปจัดการ แต่นี่ก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนโตและต้องใช้ทรัพยากรส่วนรวม การที่สังคมมีคนดีช่วยรับศพไปจัดการให้อย่างเหมาะสมทำให้พวกเขาดีใจมากกว่า โดยเฉพาะกับฟั่นจยาหลัวที่ในวงการตำรวจต่างพูดกันถึงความเป็นคนดีของอีกฝ่ายอยู่แล้ว
ฟั่นจยาหลัวยืมมือถือของแพทย์นิติเวชโทรหาเฉาเสี่ยวเฟิงเพื่อให้เขาเร่งจัดงานศพ
น้ำเสียงของเฉาเสี่ยวเฟิงเหมือนคนหมดแรง “อาจารย์ฟั่นครับ คุณไปเอาศพมาจากที่ไหนตั้งสี่ศพ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงจะจัดงานศพให้คนอื่น แบบนี้มันอัปมงคลมากเลยนะ!” แต่บ่นก็ส่วนบ่น เขายังคงทำตามอย่างว่าง่าย คนตายยกบ้าน การจัดงานศพหนึ่งงานใช้เงินไม่เท่าไหร่ ถือเสียว่าสร้างกุศล เนื่องจากมีงานเข้าแบบปุบปับ ความลนทำให้เขาลืมบอกเรื่องสำคัญหนึ่งเรื่องให้อาจารย์ฟั่นรู้ กว่าจะได้สติก็ติดต่อทางนั้นไม่ได้แล้ว
พอจัดการธุระทุกอย่างเสร็จ ฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยก็คอยจนรถของทางวัดมารับศพทั้งสี่ไปเรียบร้อยถึงค่อยพาสังขารอันเหนื่อยล้ากลับบ้าน เมิ่งจ้งแยกตัวไปนานแล้วเพราะต้องไปเช็กเรื่องความเป็นตายของพวกฉางฉี
ตอนที่พวกเขาออกจากสถาบันวิจัยลวี่เหอ ดวงตะวันเพิ่งจะคล้อยไปทางทิศตะวันตก แต่พอกลับถึงคอนโดฯ มูนไลต์เบย์การ์เด้นท้องฟ้ากลับมืดสนิท ไฟริมทางสีเหลืองหม่นเป็นดวงๆ สว่างไสวอยู่ท่ามกลางเงาไม้ที่กำลังกวัดไกวให้ความรู้สึกอบอุ่น ขับไล่ความมืดรอบด้าน ถนนโรยกรวดสายเล็กที่เคยน่ากลัววันนี้กลับดูสงบ สวยงาม แม้แต่ภูเขาจำลองที่ก่อขึ้นจากก้อนหินหน้าตาแปลกๆ ยังดูเหมือนเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“ดูเหมือนสภาพแวดล้อมที่นี่จะเปลี่ยน หรือผมคิดไปเอง?” ซ่งรุ่ยขับรถเข้ามาตามถนนช้าๆ เหลียวซ้ายมองขวาเป็นระยะ น้ำเสียงบอกถึงความฉงนสงสัย เขาคุ้นชินกับการควบคุมสถานการณ์และรายละเอียดรอบตัว ย่อมต้องสังเกตเห็นความผิดปกติของที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์ แต่เป็นความไม่เหมือนเดิมของบรรยากาศ คล้ายกับแอ่งน้ำขังมีการเปิดทางน้ำเพื่อให้น้ำใหม่เข้ามาทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเป็นมีชีวิตชีวา
“ไม่ได้คิดไปเองหรอกครับ ที่นี่ไม่เหมือนเดิม” ฟั่นจยาหลัวสั่นศีรษะ แต่ไม่ได้อธิบายมาก
ซ่งรุ่ยเองก็ไม่ได้ถามเยอะ เขามองสวี่อี้หยางที่ผล็อยหลับไปผ่านทางกระจกมองหลังก่อนผ่อนความเร็วรถให้ช้าลง เมื่อเห็นว่าใกล้ตึกหมายเลขหนึ่ง ชายหนุ่มก็เตรียมจะเอารถจอดเทียบเข้าข้างทาง คิดไม่ถึงว่าจะมีใครบางคนโผล่พรวดออกมาจากแนวไม้ด้านข้าง กางแขนตะโกนเสียงร้อนรน “อาจารย์ฟั่นหรือเปล่าคะ ฉันต่งฉิน!”
เธอเอาตัวแนบไปกับกระโปรงหน้ารถ ถ้าไม่ใช่เพราะการตอบสนองที่รวดเร็วของซ่งรุ่ยทำให้เหยียบเบรกได้ทัน น่ากลัวว่าเธอคงถูกชนตาย หญิงสาวเกาะฝากระโปรงรถร้อนฉ่า วิ่งอ้อมครึ่งรอบมาที่ข้างหน้าต่างด้วยอาการโซเซ สองตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง ไม่เจอกันครึ่งวัน ต่งฉินหน้าซีดจนไม่เป็นผู้เป็นคน “อาจารย์ฟั่นคะ ฉันขอร้องล่ะ ช่วยหลิวเจาด้วยเถอะนะคะ!” เธอตบหน้าต่างรถอย่างร้อนใจ “เขาถูกตำรวจจับไป เกาเชียนเชียนให้ทนายใหญ่คนนึงแจ้งข้อหาใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืนผู้หญิง แถมยังสร้างหลักฐานมาบอกว่าเขาขโมยทรัพย์สินของเธอ ถ้าถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง หลิวเจาต้องติดคุก! ชีวิตเขาจะพังจริงๆ ฉันขอร้อง คุณช่วยหลิวเจาด้วยเถอะ!”
ฟั่นจยาหลัวไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกฎหมายปัจจุบัน เขาจึงหันไปหา ดร. ซ่ง
ซ่งรุ่ยผงกศีรษะ “ลักษณะโทษในข้อหาใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืนผู้หญิงแตกต่างจากการคุกคามทางเพศเพราะมีระดับที่รุนแรงกว่า ถ้ามีหลักฐานมัดตัวหลิวเจาจะถูกตัดสินให้จำคุกไม่เกินห้าปี ส่วนโทษคดีลักทรัพย์ขึ้นอยู่กับมูลค่าทรัพย์สินว่ามากน้อยแค่ไหน ยิ่งมูลค่าสูงโทษยิ่งหนัก เกาเชียนเชียนแจ้งว่าเขาขโมยไปเท่าไหร่”
ต่งฉินพูดเสียงสั่น “เธอบอกว่าหลิวเจาขโมยแหวนเพชรของเธอไป มูลค่าล้านกว่าหยวน ตำรวจไปเจอแหวนในห้องหลิวเจา ไม่สิ ไม่ใช่ ไปเจอแหวนในห้องเช่าชั่วคราวของไอ้ตัวปลอมนั่นจริง เลยมีหลักฐานมัดตัว นี่มันเป็นการใส่ร้ายชัดๆ หลิวเจาเร่ร่อนอยู่ข้างนอกสามวันสามคืน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ตัวปลอมนั่นพักอยู่ที่ไหนแล้วจะเอาแหวนไปซ่อนได้ยังไง! เกาเชียนเชียนจะต้องให้ไอ้ตัวปลอมเอาไปวางไว้แน่นอน!”
ซ่งรุ่ยพูดเสียงหนัก “การลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่าหนึ่งล้านจะมีโทษอย่างน้อยสิบปีขึ้นไป บวกโทษอีกห้าปีจากคดีใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน รวมทั้งหมดเป็นโทษสิบห้าปี ถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริงและมีการลงโทษสำหรับสองคดีนี้หลิวเจาต้องติดคุกอย่างน้อยห้าปีแต่ไม่เกินสิบห้าปี กว่าเขาจะออกมาก็อายุสี่สิบห้าสิบ ชีวิตหายไปกว่าครึ่งแล้ว”
ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ พูดไปตามเนื้อผ้า “แบบนั้นเท่ากับชีวิตของเขาจะไม่มีหวังอะไรอีก”
“ไม่นะคะ อาจารย์ฟั่น คุณต้องมีวิธีสิ! ฉันขอร้อง ขอคุณช่วยชี้ทางสว่างให้หลิวเจาด้วย! ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยทำเรื่องชั่ว มีแต่ความเมตตากรุณา เป็นคนดีจริงๆ เขาเอาเงินก้อนแรกที่ได้มาไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ในหมู่บ้านบนภูเขาครึ่งหนึ่ง พอดังแล้วก็บริจาคเงินหลายล้านให้แก่องค์กรการกุศลหลากหลายรูปแบบทุกปี ฉันจะเอาใบเสร็จการบริจาคของเขาให้คุณดู ฉันเก็บไว้ตลอด บอกว่าต่อไปจะเอาไว้โปรโมตกับสื่อแต่ถูกหลิวเจาปฏิเสธ เขาเป็นคนที่ทำความดีแบบไม่ออกหน้า ไม่เคยแสวงหาชื่อเสียงมาแต่ไหนแต่ไร ต่อมาเขาถอยออกจากวงการไปครึ่งตัว มีเวลามากขึ้น แต่ละปีเลยแบ่งเวลาสองสามเดือนไปเป็นครูอาสาบนภูเขา ในมือถือฉันมีรูปที่เขาถ่ายกับเด็กๆ อยู่ คุณดูสิคะ ดูสิ”
ต่งฉินร้อนใจจนร้องไห้ แต่มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างกลับเปิดมือถือเพื่อสไลด์รูปทีละรูป ผู้ชายในรูปกอดเด็กบนภูเขาผิวดำเมี่ยมแต่ละคนไว้ ยิ้มอย่างสดใส ดูออกว่าเขามีความสุขมากจริงๆ เพราะการส่งต่อความรักและเพาะปลูกความหวังแบบนี้ทำให้เขาค้นพบความหมายของชีวิต
หลิวเจาเป็นคนแบบไหน ฟั่นจยาหลัวรู้ดีกว่าต่งฉิน เพราะครั้งแรกที่เจอกันสิ่งแรกที่เขาสนใจไม่ใช่ใบหน้าสองดวงที่ซ้อนทับกันของหลิวเจา แต่เป็นแสงเรืองรองซึ่งเกิดจากจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของเขาที่สาดออกมาจากความมืด แค่พริบตาเดียวฟั่นจยาหลัวก็ฟันธงได้แล้วว่าหลิวเจาเป็นคนดีคนหนึ่ง
“ขึ้นมาคุยกันบนรถก่อนเถอะครับ” ฟั่นจยาหลัวถอนหายใจ
ลมหายใจของต่งฉินติดขัด หลังจากหอบหายใจหนักๆ ครั้งหนึ่ง เธอก็สะอื้นออกมาด้วยความสุข “ขอบคุณค่ะ อาจารย์ฟั่น ขอบคุณ!” หญิงสาวรีบขึ้นรถแล้วจึงเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่บนเบาะหลัง และตอนนี้เขากำลังพิศดูเธอด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
ต่งฉินรีบเช็ดน้ำตาที่นองหน้า ยิ้มอ่อนโยน กล่าวคำทักทายเด็กชายเสียงเบา ตามด้วยการขอโทษ บอกว่าขอรบกวนด้วย การที่เธอสามารถรักษาท่าทีความนุ่มนวลและอ่อนหวานเอาไว้ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายแบบนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเธอได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดียิ่งกว่าหลิวเจาเสียอีก ฟั่นจยาหลัวมองเห็นเงาของหลิวเจาอยู่บนตัวต่งฉิน สองคนนี้ต่างสะท้อนให้เห็นถึงทุกอย่างของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว แต่กลับต้องคลาดกันไปแบบไร้เหตุผล บางครั้งโชคชะตาก็ไม่มีทางเลือกแบบนี้
“คุณกำป้ายหยกนี้ไว้ ใช้พลังทั้งหมดเพื่ออธิษฐานขอให้หลิวเจาเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิม” ฟั่นจยาหลัวไม่ได้อธิบายอะไรมาก แค่คอยเตือนว่า “ต้องใช้พลังทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคำอธิษฐานของคุณจะไม่เป็นจริง”
“แบบไหนถึงเรียกว่าใช้พลังทั้งหมดคะ เอาชีวิตฉันแลกเลยได้หรือเปล่า” ต่งฉินถามเสียงจริงจัง
ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ “ได้ครับ แบบนั้นจะดีที่สุด”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ต่งฉินไม่ถามมาก เธอกำป้ายหยกไว้แล้วเริ่มอธิษฐาน แสงสีเทาขาวไหลออกมาจากปลายนิ้วของเธอเป็นสาย คล้ายจะทำลายความมืดที่อยู่รอบด้าน ช่วยเสริมสร้างความหวัง ไม่นานแสงนั้นก็พลันสว่างจ้า แต่ราวกับเจอปราการบางอย่างแล้วไม่อาจฝ่าไปได้ หลายนาทีต่อมารัศมีสีเทาที่เปล่งประกายนั้นก็ค่อยๆ มืดลงจนดับหาย
ความรักที่ต่งฉินมีให้หลิวเจานั้นฝังลึกถึงกระดูก ทว่าคำอธิษฐานของเธอยังคงไม่เป็นผล
ซ่งรุ่ยชี้ไปที่กระเป๋าของฟั่นจยาหลัวเป็นการบอกให้เขาเอาหัวกะโหลกออกมาเสริมพลังศรัทธาของต่งฉิน
ฟั่นจยาหลัวเงียบ ใช้มือถือพิมพ์ข้อความเพื่อไม่ให้รบกวนการอธิษฐานของต่งฉิน
‘ตัวตนของหัวกะโหลกนี้เหมือนลูกตาของหลีว์ชิวซื่อคือมีความสามารถในการติดตาม มันสามารถส่งความคิดชั่วร้ายเข้าไปในสมองของคนที่เคยสัมผัสมันทำให้พวกเขาเข้าสู่ทางมารและเป็นบ้า จิตตานุภาพของคนทั่วไปเทียบคุณไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถแตะต้องของอาถรรพ์พวกนี้ได้’
ซ่งรุ่ยเข้าใจ เขาส่งเมสเสจหนึ่งไปอธิบาย
‘เธอทำไม่สำเร็จหรอก ดูจากคำพูดและท่าทางของเธอตอนขึ้นรถ ผมพอจะบอกนิสัยคร่าวๆ ของเธอได้ว่าเธอเป็นคนที่มีเหตุผลและควบคุมตัวเองเก่งที่สุดคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเธอคงอยู่ข้างหลิวเจาไม่ได้ถึงสิบหกปีหรอก แต่สุดท้ายกลับเป็นได้แค่คนแปลกหน้า ตลอดเวลาสิบหกปี เธอสั่นคลอนจิตใจของเขาไม่ได้เป็นเพราะการควบคุมตัวเองของเธอนี่แหละ ถ้าพูดกันถึงเรื่องจิตตานุภาพ เธอแกร่งกว่าและกดข่มความปรารถนาได้เก่งกว่าหลิวเจาเสียอีก ต่งฉินเป็นคนที่โตขึ้นมาในครอบครัวไฮโซที่มีการศึกษา สำหรับเธอการปลดปล่อยความปรารถนาคือความผิด โอกาสที่เธอจะทำสำเร็จมีน้อยกว่าหลิวเจา’
ฟั่นจยาหลัวโบกมือ พิมพ์ออกมาอีกประโยค
‘ยังไงก็ให้เธอลองดูก่อนเถอะครับ’
‘ได้ งั้นให้เธอลองดู’
ซ่งรุ่ยตามใจชายหนุ่มทันที แม้จะรู้ว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าก็ตาม
ตอนเห็นเส้นแสงที่ปลายนิ้ว แรงศรัทธาของต่งฉินก็เพิ่มมากขึ้น เธอใช้พลังทั้งหมดเพื่ออธิษฐานอยู่ห้าถึงหกนาทีก่อนจะคลายมือออกจากป้ายหยก ถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง “อาจารย์ฟั่นคะ ใช้ได้แล้วหรือยัง”
“ยังครับ ไม่สำเร็จ” ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
“งั้นฉันจะลองอีกที” ต่งฉินเป็นเหมือนหลิวเจาคือไม่ยอมปล่อยโอกาสใดๆ ให้ผ่านเลยไป ต่อให้มันจะดูน่าขำและเลื่อนลอยมากก็ตาม
“คุณลองได้เต็มที่เลยครับ” ฟั่นจยาหลัวเฝ้ารอด้วยความอดทนอย่างที่สุด ส่วนสวี่อี้หยางที่ตื่นขึ้นมาได้ไม่นานก็หลับไปอีกรอบ
ต่งฉินลองแล้วลองอีก จนป้ายหยกค่อยๆ เลิกเปล่งแสงออกมา หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงท้อใจ “อาจารย์ฟั่นคะ ฉันล้มเหลวอีกแล้วใช่มั้ย คุณสอนฉันทีสิคะว่าต้องทำยังไงหลิวเจาถึงจะกลับร่างของตัวเองได้ คุณช่วยชี้ทางสว่างให้ฉันหน่อย แต่อย่าให้ฉันอธิษฐานอีกเลย ฉันทำไม่ได้ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาอาจไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนอย่างที่ฉันคิด” พูดมาถึงตรงนี้ขอบตาแดงๆ ของเธอก็มีน้ำตาแห่งความสิ้นหวังเอ่อคลอ ความสงสัยในตัวเองกับการตำหนิตัวเองอย่างหนักทำให้ต่งฉินตกลงไปสู่หุบเหวลึกแห่งความเจ็บปวด
เกาเชียนเชียนร้ายมากจริงๆ เธอสร้างความเชื่อมโยงของหลักฐานทั้งหมดเอาไว้แต่แรก ตำรวจถึงกับขอให้ต่งฉินยอมแพ้ เนื่องจากประสบการณ์ในการสืบสวนสอบสวนที่มีมาหลายปีของพวกเขาบอกให้รู้แล้วว่าคดีนี้เป็นคดีเหล็ก ต่อให้เชิญทนายเก่งแค่ไหนมาก็พลิกคดีไม่ได้!
ถ้าไม่ใช่เพราะอับจนหนทาง ต่งฉินไม่มีทางลองวิธีพิสดารแบบนี้แน่ เธอกังวลมากจริงๆ แต่ไม่กล้าร้องไห้ฟูมฟายเพราะกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยตกใจตื่น ทำได้เพียงปิดปากเพื่อควบคุมตัวเองไว้ นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังครั้งที่สองในชีวิตเธอ ครั้งแรกคือวันที่หลิวเจาแต่งงาน ครั้งที่สองคือตอนนี้ ดูเหมือนความทุกข์ทั้งหมดในชีวิตของเธอล้วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่ต่งฉินกลับเพียรพยายามต่อสู้เพื่อความสุขของเขา
“อาจารย์ฟั่นคะ ฉันใช้เส้นสายที่ใช้ได้ไปหมดแล้ว แต่เรื่องนี้ถูกเกาเชียนเชียนโหมกระแสให้ติดเทรนด์เลยไม่มีใครกล้าช่วยหลิวเจา แฟนคลับจำนวนเกือบร้อยล้านของเขาต่างจับตาดูคดีนี้ ทั้งกดดันและส่งข้อความไปที่กรมตำรวจเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อขอให้ลงโทษหลิวเจาสถานหนัก พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังบีบไอดอลของตัวเองไปสู่ทางตายกับมือ เวลานี้วิธีเดียวที่จะช่วยให้หลิวเจาหลุดรอดไปได้คือให้เขากลับเข้าร่างของตัวเอง นอกจากใช้ป้ายหยกนี้แล้วคุณยังมีวิธีอื่นอีกมั้ยคะ อย่างเช่นเรียกวิญญาณอะไรทำนองนั้น” ต่งฉินถามอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม
ฟั่นจยาหลัวอึ้ง ใบหน้าขาวซีดปรากฏรอยแดงๆ ที่หาดูได้ยากขึ้นมา ชายหนุ่มคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “หรือผมไม่เคยบอกพวกคุณว่าหลิวเจาแค่ถูกเปลี่ยนรูปโฉมภายนอก แต่ร่างกายยังเป็นของเขา?”
“ว่าไงนะคะ” ต่งฉินเหวอ ความคิดสับสน “คุณไม่เคยบอกฉันมาก่อน! หลิวเจา…หลิวเจาเองก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ แสดงว่าคุณไม่เคยบอกเขาเหมือนกันใช่หรือเปล่า คุณได้บอกเขาหรือเปล่าคะ เขายังคงเป็นตัวเขาเหรอ แค่เปลี่ยนหน้าอย่างเดียวเหมือนทำศัลยกรรม?”
“ใช่ครับ เขายังคงเป็นเขา แค่หน้าไม่เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ให้เขาอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่จะช่วยเขาด้วยการสลับวิญญาณกลับมาเลย” ฟั่นจยาหลัวลูบจมูกมองออกไปนอกหน้าต่าง สุดท้ายก็เอาแต่บิดนิ้วไปมาไม่หยุด ท่าทางขัดเขินจนพูดไม่ออก เวลานี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าความเลอะเลือนของตัวเองได้สร้างความวุ่นวายให้แก่หลิวเจาอย่างมหาศาล
ซ่งรุ่ยเกือบหลุดขำเพราะท่าทางวางตัวลำบากของชายหนุ่ม จึงทำได้เพียงกระแอมกระไอพลางปลอบด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง “ตอนนั้นคุณได้รับบาดเจ็บสาหัส สติค่อนข้างเลอะเลือน ความผิดพลาดจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อร่างกายยังเป็นของหลิวเจา งั้นเรื่องนี้ก็แก้ไขได้ง่ายมาก”
“แก้ยังไงครับ/แก้ยังไงคะ” ฟั่นจยาหลัวกับต่งฉินถามออกมาพร้อมกัน
“ตรวจดีเอ็นเอ เท่าที่ผมทราบ แม่ของหลิวเจายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือเปล่า ให้เธอขึ้นศาลเป็นพยานและตรวจดีเอ็นเอก็เป็นอันใช้ได้ ขอแค่พิสูจน์ได้ว่าคนที่ถูกขังคือหลิวเจา การใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืนและลักทรัพย์ล้วนฟังไม่ขึ้น เพราะเขากับเกาเชียนเชียนเป็นสามีภรรยา ความใกล้ชิดของสามีภรรยาเป็นเรื่องปกติ และเขาไม่มีความจำเป็นต้องขโมยทรัพย์สินของตัวเอง”
“ใช่ๆๆ ตรวจดีเอ็นเอเป็นวิธีที่เร็วที่สุด! ฉันจะโทรเรียกแม่เขามาเดี๋ยวนี้!” ต่งฉินรีบหยิบมือถือมาต่อสายหาแม่ของหลิวเจา หลายปีมานี้อีกฝ่ายไปพักฟื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การนั่งเครื่องบินกลับมาต้องใช้เวลานานมาก ต้องทำเวลา
ทว่าทางนั้นกลับไม่มีคนรับสาย ต่งฉินเพิ่งนึกได้ว่าสามทุ่มของเมืองหลวงคือตีสามของสวิตเซอร์แลนด์ คุณแม่หลิวต้องหลับอยู่แน่ ถ้าอยากติดต่อเธอ อย่างน้อยต้องรอไปอีกสี่ชั่วโมง
แรงฮึดที่เพิ่งเกิดขึ้นมาของต่งฉินห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง สองตาจดจ้องจอมือถืออย่างเอาเป็นเอาตายราวกับว่าการทำแบบนี้จะทำให้กาลเวลาไหลไปได้เร็วขึ้น ทันใดนั้นการแจ้งเตือนจากเวยป๋อก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เสียงดังติ๊งทำให้ต่งฉินหน้าเปลี่ยนสี หญิงสาวรีบบอก “จริงสิคะ อาจารย์ฟั่น ฉันกำลังจะช่วยหลิวเจาจัดแถลงการณ์ล้างมลทิน คุณอยากให้ฉันช่วยคุณแถลงด้วยหรือเปล่า เพราะเหมือนผู้จัดการของคุณจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย”
“แถลงอะไรหรือครับ” มือถือของฟั่นจยาหลัวแหลกเป็นผุยผงไปในการต่อสู้นานแล้ว ไหนเลยจะรู้ความเคลื่อนไหวล่าสุดในอินเตอร์เน็ต
ต่งฉินยื่นมือถือของตัวเองไป ชี้ให้ดูฮอตท็อปปิกหลายอันแล้วเอ่ย “คุณดูสิคะ เกาเชียนเชียนพุ่งเป้ามาที่คุณ บอกว่ารายการโลกของผู้วิเศษช่วยคุณสร้างภาพ บอกว่าการสื่อจิตของคุณทุกครั้งมีสคริปต์ มีบทพูด หลิวเจาไม่ยอมแสดงกับคุณ ทางรายการเลยยกเลิกสัญญากับเขา และเพื่อเอาคืนเรื่องที่หลิวเจาไม่ไว้หน้า คุณเลยแต่งเรื่องเหลวไหลประเภทแมวป่ามาสลับตัวกับรัชทายาทเพื่อทำลายหลิวเจาลับหลัง สร้างข่าวลือเรื่องเขา แฟนคลับของหลิวเจาถูกเกาเชียนเชียนปลุกปั่น ตอนนี้เลยไปโจมตีแอ็กเคานต์ของคุณกับเว็บไซต์ของบริษัท คุณดูสิคะ เธอยังแอบถ่ายคลิปไว้หนึ่งคลิป คุณกับหลิวเจาถือบทไว้ในมือคนละเล่มระหว่างที่พูดคุยกัน สุดท้ายก็มีปากเสียง เกาเชียนเชียนเจ้าเล่ห์มาก เธอเซ็นเซอร์บทสนทนาที่เป็นประโยชน์ต่อคุณทิ้งไป เหลือไว้แต่ที่เป็นผลเสีย เวลานี้ชาวเน็ตต่างบอกว่านี่เป็นหลักฐานที่มีความชัดเจนและหนักแน่นเหมือนขุนเขา จะแบนคุณ ตอนนี้พวกเขาไม่ยอมเชื่อแล้วว่าคุณเป็นร่างทรงวิญญาณจริงๆ ด่าคุณว่าเป็นคนหลอกลวง”
“ยังมีเหวินซืออวี่คนนั้นอีก ไม่รู้เธอไปซื้อคลิปตอนที่พวกคุณถ่ายรายการจากใครมาตัดต่อให้เป็นภาพที่เธออยากได้ก่อนแชร์ลงอินเตอร์เน็ต บอกว่าคุณอยากเคลมเธอ พอโดนเธอปฏิเสธก็ล้างแค้นกลางรายการด้วยการแช่งให้เธอดังได้ไม่เกินหนึ่งปี แฟนคลับของเธอถูกปลุกปั่น ตอนนี้เลยเล่นงานคุณเป็นบ้าเป็นหลัง ด่าว่าคุณเป็นปีศาจราคะชนิดสาดเสียเทเสีย คุณดูคลิปนี้สิคะ ตัดต่อได้เนียนมาก”
ต่งฉินกดเปิดคลิปที่เหวินซืออวี่แชร์ เห็นฟั่นจยาหลัวที่อยู่ในคลิปจับมือเหวินซืออวี่อยู่นานหลายนาทีก่อนจะปล่อยมือเธอชั่วครู่แล้วกลับมาจับอีกหลายนาที ราวกับยังเอาเปรียบหญิงสาวไม่พอ บทสนทนาของทั้งสองถูกเซ็นเซอร์ไว้จนถึงช่วงที่ฟั่นจยาหลัวฟันธงว่าเหวินซืออวี่ไม่มีอนาคต จากนั้นค่อยใช้เทคนิคพิเศษเพื่อทำให้เสียงของทั้งคู่เปลี่ยนเป็นชัดขึ้น
ในคลิปยังตัดมาเฉพาะหน้าของฟั่นจยาหลัวหลายชอต แววตาที่เขามองเหวินซืออวี่ทั้งจดจ้องและลึกซึ้ง บวกกับมือของเขาที่จับมือเธอแน่นไม่ยอมปล่อย บรรยากาศดูมีซัมธิงจริงๆ พอเหวินซืออวี่ได้ยินคำทำนายที่ไม่เป็นมงคลของเขา เธอก็รีบดึงมือตัวเองกลับ ท่าทางเหมือนถูกล่วงเกิน
แค่ตัดเอาเฉพาะซีนที่ต้องการมาต่อกันก็สามารถทำให้ความจริงถูกบิดเบือน คนที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์จริงย่อมไม่พบพิรุธใดๆ เวลานี้ฟั่นจยาหลัวถูกด่าจนติดเทรนด์ แม้แฟนคลับของเขาจะหยิบยกเหตุผลมาโต้แย้ง แต่กลับสู้การกลุ้มรุมของคนหลายแสนที่ล็อกอินเข้ามาพร้อมกันไม่ได้ และตอนนี้อาจจะกำลังฟุบตัวกระอักเลือดอยู่บนคีย์บอร์ด
ต่งฉินชี้ไปยังชื่อแอ็กเคานต์ที่ส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกัน “เหวินซืออวี่คนนี้น่าจะเป็นผู้ช่วยของเกาเชียนเชียน ไม่งั้นเด็กใหม่ตัวเล็กๆ คนเดียวอย่างเธอไม่มีทางกล้าต่อกรกับบริษัทสเตลล่าร์แน่ คุณดูแอ็กเคานต์พวกนี้สิ ทั้งหมดเป็นมือโพสต์รับจ้างที่เกาเชียนเชียนจ้างมา เธอเตรียมลากอาจารย์ฟั่นลงน้ำไปด้วย เพราะอาจารย์ฟั่นรู้ความจริง เธอเลยต้องทำให้คำพูดของอาจารย์ฟั่นหมดความน่าเชื่อถือและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม แบบนี้ถึงจะตัดตอนปัญหาไปได้ตลอดกาล ความคิดอ่านของผู้หญิงคนนี้แยบคายมาก วิธีการก็เหี้ยมโหด ฉันดูออกแต่แรกแล้ว แต่หลิวเจาไม่เคยเชื่อฉันเลย”
ต่งฉินส่ายหน้าติดๆ กันพลางฝืนยิ้ม ฟั่นจยาหลัวสไลด์จอมือถืออย่างไม่ใส่ใจ เขาปฏิเสธต่งฉินเรื่องข้อเสนอที่จะช่วยแถลงการณ์ล้างมลทินให้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาพิสูจน์ตนเอง
ฟั่นจยาหลัวอ่านคอมเมนต์ที่ไม่น่าดูพวกนี้แล้วไม่รู้ทำไมเขาถึงแทบสะกดไฟโทสะที่ผุดพุ่งขึ้นมาแบบปุบปับไม่ได้ คนที่กระตุ้นให้เขามีอารมณ์รุนแรงแบบนี้ไม่ได้มีแค่เกาเชียนเชียนกับเหวินซืออวี่ แต่ยังมีคนที่ใกล้ชิดเทพคนนั้นด้วย ถ้าไม่หาตัวอีกฝ่ายออกมาถล่มให้ยับ เขาอาจต้องตกอยู่ในความเดือดดาลที่ไร้ทางระบายออกนี้ไปตลอด
ต่งฉินปรายตามองสีหน้ามืดครึ้มของเขาแล้วพลันรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เธอรีบเปิดประตูรถ โค้งตัวบอกลา “อาจารย์ฟั่นคะ ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ข้อมูลที่คุณให้ฉันยังคงช่วยได้มาก! คอยให้เรื่องนี้เคลียร์เสร็จแล้วฉันจะมาขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ!”
ทว่าจังหวะนี้เองซ่งรุ่ยกลับพูดเสียงขรึม “เดี๋ยวครับ คุณอย่าเพิ่งรีบพลิกคดีให้หลิวเจา ผมยินดีเป็นทนายของเขา ช่วยเขาสะสางเรื่องยุ่งยากนี่ให้ ผมจะไม่ช่วยแค่ชีวิตเขา แต่จะทำให้เกาเชียนเชียนต้องเอาชีวิตของตัวเองมาชดใช้ คุณเชื่อผมมั้ย”
ต่งฉินนิ่งอึ้ง ก่อนแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 15 ก.พ. 65