everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5 บทที่ 183 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 183 ช่วงเวลาวิกฤตของบริษัทสเตลล่าร์
ค่าตัวของเจี่ยนหย่าแพงมาก ค่าผิดสัญญาย่อมต้องสูง ถ้าไม่ใช่เพราะซูเฟิงซีสัญญาว่าจะออกเงินก้อนนี้ให้หญิงสาวไม่มีทางตัดสินใจแบบนี้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้เธอกลับดีใจในการตัดสินใจจากไปของตัวเองอย่างที่สุด เมื่อเห็นได้ชัดว่าจ้าวเหวินเยี่ยนถูกฟั่นจยาหลัวล้างสมอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรเป็นเชื่อหมด
สัตว์ประหลาด ฉันเนี่ยนะ? หมอนี่อินกับรายการมากเกินจนเพี้ยนไปจริงๆ แล้วใช่มั้ย เจี่ยนหย่าโกรธจนขำ เธอผลักผู้ช่วยที่ยืนถือถาดด้วยสีหน้าอึ้งๆ ออกไป พูดเสียงขุ่นเคือง “พี่จาง เราไปกัน ไม่ช้าก็เร็วบริษัทบ้าๆ นี่ต้องปิดตัวแน่!”
“คุณเจี่ยนครับ คอยเดี๋ยว ผมมีเรื่องอยากถาม” ฟั่นจยาหลัวหมุนเก้าอี้มาครึ่งรอบมองผู้หญิงที่กำลังก้มเก็บกระเป๋ากับผ้าคลุมไหล่
เธอสวยมากจริงๆ ถึงจะโกรธจนหน้าตาน่ากลัวแต่เสน่ห์กลับไม่ได้ลดลง ผิวเธอเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ ขาวผ่อง เนียนละเอียด แค่ทาแป้งบางๆ ก็ดูเหมือนเครื่องกระเบื้องชั้นดีที่สุด เครื่องหน้าดูไม่เด่น แต่พอมารวมกันกลับทรงเสน่ห์อย่างที่สุดจนทำให้คนต้องหยุดสายตาไว้ที่เธอ เจี่ยนหย่ามีเสน่ห์แบบที่คนทั่วไปไม่สามารถต้านทาน แต่เสน่ห์นี้มีมาพร้อมกับตัวเธอตั้งแต่เกิด แตกต่างจากเสน่ห์ปีศาจของซูเฟิงซี ปัญหาของเธอจึงอยู่ที่การบำรุงรักษา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฟั่นจยาหลัวจึงเลื่อนเก้าอี้ไปข้างหน้าเพื่อขวางทาง
เดิมทีจ้าวเหวินเยี่ยนเข้าใจว่าเจี่ยนหย่าดูแลตัวเองได้ดีมากเลยยิ่งดูเด็กลงทุกวัน แต่ตอนนี้พอมองเธออีกครั้งเขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมืดดำ ชายหนุ่มจึงเผลอตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว “นายไปเรียกเธอไว้ทำไม! รีบให้เธอไป!” จ้าวเหวินเยี่ยนหมุนเก้าอี้ครึ่งรอบ หันหลังให้ ไม่ยอมมองอีกฝ่ายแม้แต่แวบเดียว
เจี่ยนหย่าไม่เคยโดนเหยียดขนาดนี้ เธอชี้นิ้วสั่นๆ ไปที่ท้ายทอยของจ้าวเหวินเยี่ยนและชี้จมูกฟั่นจยาหลัว พูดเสียงกัดฟัน “โอเค ได้…ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วิเดียว!”
แต่เธอกลับถูกแขนที่ยื่นออกมาช้าๆ ของฟั่นจยาหลัวกั้นไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว ในรูม่านตาสีดำมืดสนิทมีโลหะมิธริล เคลือบอยู่หนึ่งชั้น ซึ่งกำลังขยายตัวเลื้อยไล่เปล่งประกายสะกดใจคน “คุณเจี่ยนครับ ผมไม่ได้ขู่คุณ แต่ตัวของคุณถูกไอดำหนึ่งชั้นกัดกร่อนแล้ว เวลานี้คุณเสี่ยงที่จะเน่าเปื่อยทั้งตัว ถ้าคุณยินดีผมสามารถช่วยคุณได้ แค่คุณส่งมือมาให้ผมก็พอ” ฟั่นจยาหลัวแบมือข้างหนึ่งออกไปคอยให้ความช่วยเหลือ
ทว่าเจี่ยนหย่ากลับปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เน่าเปื่อยทั้งตัว? ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าขู่ แล้วแบบไหนที่เรียกว่าขู่” เธอชี้ไปที่กระจกแต่งห้องที่อยู่ด้านข้าง “หน้าฉันโอเคมั้ยฉันมองเห็น จะส่งมือให้คุณทำไม จะแต๊ะอั๋งฉันเหรอ เชื่อมั้ยว่าฉันตัดมือหมูเค็ม ของคุณได้! หลีกไปเลยไอ้บ้ากาม อย่ามาขวางทาง!” เธอใช้กระเป๋าฟาดแขนชายหนุ่มอย่างแรง
ฟั่นจยาหลัวหลบหลีกการโจมตีของเธอด้วยการสะกิดปลายเท้าเบาๆ เพื่อให้เก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง เปิดทางให้เจี่ยนหย่า เขามองมือตัวเองที่ยื่นมารอแต่คว้าได้เพียงความว่างเปล่าท่าทางเหมือนกำลังอึ้ง ต่อมาจึงใช้ปลายนิ้วเรียวแตะหน้าผาก พูดเสียงอ่อน “คุณเจี่ยนครับ ตกลงคุณดูแลผิวหน้ายังไง มีคนเป็นเหมือนคุณหรือเปล่า เวทหยุดเวลาเพื่อรักษารูปโฉมพวกนี้ซูเฟิงซีเป็นคนบอกคุณใช่มั้ย ถ้าเป็นไปได้ผมหวังว่าคุณจะช่วยให้คำตอบผม เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ”
เจี่ยนหย่ายิ้มเย็นเดินไปเปิดประตู ไม่สนใจฟั่นจยาหลัวเลย
“คุณเจี่ยนครับ ความแก่ชราเป็นความงามสง่าแบบหนึ่ง อย่าพยายามฝืนธรรมชาติเลย มันไม่มีประโยชน์ ไม่มีเวทหยุดเวลาอะไรที่เปลี่ยนคนแก่ให้เป็นเด็กได้ มีแต่มนตร์ดำเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้”
เจี่ยนหย่าชูนิ้วกลางโดยไม่หันกลับมา “มนตร์ดำบ้านแกสิ! แม่แค่รักษาผิวแบบปกติธรรมดา!”
เธอเปิดประตูแบบโกรธๆ ก้าวฉับๆ ออกไปข้างนอก แต่กลับชนเข้ากับเด็กวัยรุ่นอีกหลายคนจนเกือบล้มลงไปกองกัน
“ไอ้หยา พี่เจี่ยน พี่ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ” หญิงสาวคนที่เดินอยู่หน้าสุดรีบพยุงเจี่ยนหย่า น้ำเสียงร้อนรน “ทำไมเดินเร็วขนาดนี้ ไม่ล้มใช่หรือเปล่าคะ ฉันช่วยดูให้นะ” หญิงสาวรู้จักวางตัว เธอลงไปนั่งยองๆ เพื่อปัดชายกระโปรงที่ไม่มีรอยยับให้เจี่ยนหย่า
จังหวะนี้เองที่จ้าวเหวินเยี่ยนหันเก้าอี้มา เขามองไปที่ประตูก่อนเบนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว
ฟั่นจยาหลัวที่กำลังหน้าเครียดขำท่าทางเห็นต้นหญ้าเป็นทหารของจ้าวเหวินเยี่ยน มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย “การกลายเป็นพวกเดียวกันที่ผมบอกหมายถึงสภาพร่างกาย ไม่ใช่ความคิดและความสามารถ คุณไม่จำเป็นต้องกลัวเธอ ร่างกายของซูเฟิงซีเน่าเปื่อยแล้ว แต่เธอใช้วิธีการบางอย่างรักษาความสวยเอาไว้ ตอนแรกผมเข้าใจว่านั่นเป็นวิชาลับของเธอ แต่ดูจากตอนนี้เหมือนเธอจะถ่ายทอดให้ใครอีกหลายคน ผมขอบอกคุณตรงๆ ว่าเมื่อสองสามวันก่อนผมเจอผู้หญิงที่ร่างกายเต็มไปด้วยไอดำ สภาพคล้ายๆ เจี่ยนหย่า แสดงว่าพวกเธอต่างแตะต้องของที่ไม่สมควร”
จ้าวเหวินเยี่ยนส่ายหน้า “เพื่อความสวยผู้หญิงทำได้ทุกอย่าง ลอกผิว เปลี่ยนหนัง เหลากระดูก ถ้าเป็นสมัยก่อนนายจะกล้าคิดมั้ย แต่ดูสมัยนี้สิ มันแทบจะกลายเป็นเทรนด์แบบหนึ่งในสังคมไปแล้ว ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่อยากสวย โดยเฉพาะดาราหญิงในวงการ ถ้ารักษาความสาวไว้ได้ตลอดกาล มีพวกเธอคนไหนบ้างที่ไม่ต้องการ ฉันว่าซูเฟิงซีใช้วิธีนี้แหละหลอกล่อเจี่ยนหย่า!”
ฟั่นจยาหลัวมองกลุ่มชายหญิงที่หน้าประตู ส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เจี่ยนหย่า”
“นายว่าไงนะ” จ้าวเหวินเยี่ยนตกใจจนเกือบตกเก้าอี้หมุน
ฟั่นจยาหลัวพยักพเยิดหน้าเล็กน้อย พูดเสียงจริงจัง “สภาพของพวกเขาแทบไม่ต่างกัน ผมบอกแล้วว่าสัตว์ประหลาดชอบออกมาเป็นฝูง พวกมันมาแล้ว”
จ้าวเหวินเยี่ยนรีบกอดตัวเองแน่น ตัวสั่น ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นประธานบริษัท ชายหนุ่มอาจกรีดร้องเหมือนพวกสาวๆ ว่า ‘พวกนายอย่าเข้ามา!’
แต่คนที่ควรมาก็ยังมา หลังส่งเจี่ยนหย่าที่โมโหโกรธาจากไป ผู้ชายสามคนกับผู้หญิงสามคนก็ทยอยกันเข้ามาในห้องทำงาน พวกเขากล่าวคำทักทายจ้าวเหวินเยี่ยนด้วยท่าทีกระสับกระส่าย สถานภาพของพวกเขาแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา หญิงสาวคนที่ยืนอยู่หน้าสุดชื่อหนีซินไห่ ตอนอายุห้าขวบได้ถ่ายหนังหนึ่งเรื่องแล้วดัง กลายเป็นดาราเด็กที่ผู้คนรู้จัก พอโตขึ้นเธอใช้เกรดอันดีเลิศเข้าโรงเรียนภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในประเทศ เพิ่งจะเข้าปีหนึ่งก็ถ่ายหนังจบไปอีกหลายเรื่อง คะแนนจากบ็อกซ์ออฟฟิศรายงานว่ากวาดรายได้สูงถึงสองพันกว่าล้าน เป็นนางเอกดาวรุ่งที่มีหวังว่าจะมาแทนเจี่ยนหย่า
ดาราหญิงอีกสองคนที่ตามหลังเธอมาชื่อวั่นซือซูกับผู่ลี่อวี้ คนหนึ่งเพิ่งได้ถ่ายละครดังหนึ่งเรื่อง มีแฟนคลับหลายสิบล้านคน ส่วนอีกคนร้องเพลงเลิศที่สุด มีความโดดเด่นอยู่ในรายการวาไรตี้ประเภทร้องเพลง อนาคตไกล
ดาราชายสามคนได้แก่สือหย่งเฮ่า ปี้เจ๋อไท่ ลั่วจิ่วหยวน พวกเขาเล่นละคร ร้องเพลงได้ และมีความสามารถพิเศษหลากหลาย รูปร่างหน้าตาอยู่ในอันดับต้นๆ ของบรรดาคนหล่อสวย พวกเขาจึงได้รับการขนานนามจากแฟนคลับว่าเป็นสามไอดอลชั้นสูง ซึ่งหมายถึงไอดอลที่ได้รับความนิยมสูง ติดเทรนด์ในอันดับต้นๆ และมีความสามารถอยู่ในระดับสูง
การที่คนกลุ่มนี้ทยอยเข้ามายืนเรียงแถวกัน ย่อมหมายถึงอนาคตของบริษัทสเตลล่าร์ คนอื่นอาจกลายเป็นดาวตกที่สว่างแค่วูบเดียวแล้วหายไป แต่พวกเขาไม่ใช่ เพราะพวกเขาต่างอาศัยความสามารถที่แท้จริงเดินมาจนถึงวันนี้ ไม่ใช่โชค ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนต่างก้มศีรษะ ทำปากขมุบขมิบ ท่าทางอยากพูดแต่ไม่กล้า เหมือนอยากบอกเรื่องที่ลำบากใจมากแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก
ผู้ช่วยที่กำลังรีบเก็บเศษแก้วเต็มพื้นทำได้เพียงปรายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง หัวใจเต้นตุบๆ หมดกัน ดาราดังพวกนี้จะต้องมาขอยกเลิกสัญญาแน่! ทันทีที่พวกเขาจากไป บริษัทจะต้องขาดคนรับช่วง! นี่คือความบรรลัยอย่างแท้จริง!
ผู้ช่วยเอาเศษแก้วเทใส่ถังขยะแล้ว ยกถาดวิ่งเหยาะๆ ออกไป พอปิดประตูก็กุมหัว อ้าปาก ทำท่าจะตะโกน พนักงานคนอื่นๆ ต่างหันมามองเธอด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น เธอหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหนึ่งเข้าไปในกรุ๊ปแชต
‘รวมกลุ่มกันมายกเลิกสัญญา! ตอนนี้ดาราดังกำลังทยอยออกกันหมด ขอให้พวกเราเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ!’
ข่าวนี้ทำให้พนักงานระดับเจ้าหน้าที่ที่รู้สึกไม่ค่อยมั่นคงยิ่งแตกตื่น แต่จ้าวเหวินเยี่ยนกลับดีใจ แค่มองปราดเดียวเขาก็ดูจุดประสงค์ในการมาของคนกลุ่มนี้ออก ชายหนุ่มจึงโทรออกไปบอกว่า “ให้ฝ่ายกฎหมายเอาสัญญาของหนีซินไห่ วั่นซือซู ผู่ลี่อวี้ สือหย่งเฮ่า ปี้เจ๋อไท่ ลั่วจิ่วหยวนเข้ามาแล้วเตรียมเอกสารยกเลิกสัญญาหกฉบับ จัดการเร็วหน่อย”
การหายใจร่วมกับคนแบบนี้ทำให้จ้าวเหวินเยี่ยนเกิดอาการขนลุกขนพองขึ้นมาชั้นหนึ่ง เขาป่วยเป็นโรคที่มีชื่อว่าภูมิแพ้สัตว์ประหลาด!
“ไปยืนไกลหน่อย ไปๆๆ ไปนั่งด้านนั้น” ชายหนุ่มหลับหูหลับตาชี้ไปยังโซฟาที่อยู่ไกลที่สุด
ถูกรังเกียจแบบนี้ทั้งหกคนจึงมีสีหน้าปั้นยาก แต่พวกเขาไม่อยากฉีกหน้าบริษัทเลยทำได้แค่กัดฟันทน
สายตาคมปลาบของฟั่นจยาหลัวกวาดมองใบหน้าของหกคนนี้แล้วส่ายหน้า หลับตาลง ใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามขนาดนี้ ชะตาชีวิตทรงพลังรุ่งโรจน์ขนาดนี้ น่าเสียดายจริงๆ…
เหมือนไม่อาจทนให้ความสวยงามนี้ต้องร่วงโรยไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้แย้มบาน ฟั่นจยาหลัวจึงลืมตากางมือเพื่อแผ่สนามแม่เหล็กของตัวเองไปคลุม
ดาราทั้งหกคนเห็นท่าทางของฟั่นจยาหลัวแล้วมองหน้ากัน มุมปากของพวกเขาโค้งขึ้นอย่างเยาะหยันโดยไม่ได้นัดหมาย หุ้นของบริษัทสเตลล่าร์ดิ่งขนาดนี้ ฟั่นจยาหลัวไม่เพียงไม่ออกมาขอโทษ ซ้ำยังเล่นละครต่ออีก เขาช่างไม่รู้จักตายเลยจริงๆ! ประธานจ้าวก็เลอะเลือน ยอมตามเขาตลอด คงไม่คอยให้จ้าวซื่อกรุ๊ปล่มก่อนประธานจ้าวค่อยได้สติหรอกนะ
ดาราทั้งหกคนลอบสั่นศีรษะกับตัวเองแล้วมองค้อนฟั่นจยาหลัว เบะปาก ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังถูกแทรกซึม
การควบคุมสนามแม่เหล็กของฟั่นจยาหลัวสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง เขาสามารถอ่านคนได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย แต่ที่น่าแปลกคือเขามองเห็นแค่หมอกดำหนาทึบกับเส้นด้ายสีดำที่สอดสลับกันไปมา ในเส้นด้ายสีดำมีเศษดาวเปล่งประกายวิบวับออกมาตามร่อง กลายเป็นภาพม้วนตามแนวคิดนวนิยมที่ดูเลือนราง มองเห็นภาพจริงๆ ได้ไม่ชัด พูดอีกอย่างคือสิ่งชั่วร้ายที่ช่วยคนกลุ่มนี้รักษาใบหน้างดงามกับผิวไร้ตำหนิมีความแข็งแกร่งมาก และอยู่นอกเหนือการรับรู้ของเขา
ฟั่นจยาหลัววางมือลง เปลี่ยนมาลูบริมฝีปากบางสีแดงสดของตัวเองเบาๆ หัวคิ้วย่นเข้าหากันเล็กน้อย
‘ทำไมเขาไม่พูด’
สือหย่งเฮ่าส่งข้อความหนึ่งเข้าไปในกรุ๊ป ชื่อกลุ่มที่อยู่แถวบนเด่นสะดุดตามาก ชื่อกลุ่มเชียร์พี่ซีซี ราชินีดารา
หนีซินไห่ตอบกลับ
‘ฉันเกือบนึกว่าเขาจะอ่านใจพวกเรา แอ็กท่าได้เหมือนจริงๆ’
‘โชคดีที่เขาไม่พูด ไม่งั้นผมจะว้ากให้!’
ปี้เจ๋อไท่ยิ้มเย็นระหว่างพิมพ์
ผู่ลี่อวี้สรุปแบบตัดตะปูเฉือนเหล็ก
‘คนใหม่เก่งๆ บริษัทไม่ดัน เอาแต่ดันคนบ้าแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วบริษัทสเตลล่าร์ต้องกินยาพุทรา* แน่!’
‘กดไลค์!’
‘กดไลค์!’
‘+1’
ดาราทั้งหกคนคุยกันอย่างเมามัน จ้าวเหวินเยี่ยนไม่ได้ลืมตาก็เลยมองไม่เห็น พวกเขาต่างส่งซิกให้กันและโค้งริมฝีปากยิ้มเยาะพลางมองไปทางฟั่นจยาหลัวด้วยท่าทางได้ใจ ‘พวกเราด่าคุณซึ่งๆ หน้าแล้ว คุณจะทำอะไรเราได้’
ทว่าสายตาของฟั่นจยาหลัวกลับมองผ่านพวกเขาไปมองหมอกดำเป็นกลุ่มก้อนที่ปกคลุมอยู่รอบตัวพวกเขา ดวงตาค่อยๆ สูญเสียโฟกัส เส้นด้ายสีดำที่สอดสลับกันไปมากับลายจุดจากเศษดาวเหมือนไม่ได้รวมตัวกันแบบไร้ความหมาย มันดูเหมือนอะไรกันนะ
ฝ่ายกฎหมายหอบเอกสารเป็นตั้งเข้ามาในห้องทำงานตัดบทความคิดของชายหนุ่ม จ้าวเหวินเยี่ยนลืมตาขึ้น ประทับตราและเซ็นชื่อเอกสารยกเลิกสัญญาหกฉบับอย่างคล่องแคล่ว ก่อนให้ดาราทั้งหกคนเซ็นชื่อ ประทับลายนิ้วมือ แนบสำเนาบัตรประชาชน
คนทั้งหกที่เข้าใจว่าเรื่องจะต้องยากมากถึงกับอึ้งกิมกี่ คิดไม่ถึงว่าการยกเลิกสัญญากับบริษัทจะง่ายดายแบบนี้ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเจอกับการทะเลาะเบาะแว้งอย่างรุนแรง ตามด้วยการฉีกหน้า จากนั้นค่อยขอความช่วยเหลือจากแฟนคลับในอินเตอร์เน็ต แต่ทุกสิ่งที่เตรียมไว้ล้วนไม่ได้ใช้ เหมือนพวกเขาปล่อยหมัดออกไปอย่างแรง แต่ศัตรูที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขากลับเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุแบบกะทันหัน
ความรู้สึกจิตตกอย่างรุนแรงทำให้ทั้งหกคนดึงสติกลับมาไม่ได้เป็นเวลานาน
จ้าวเหวินเยี่ยนพลิกเอกสารที่เย็บเรียบร้อย ยิ้มเย็น “หนีซินไห่ ค่าผิดสัญญาห้าสิบล้าน สือหย่งเฮ่า ค่าผิดสัญญาห้าสิบล้าน ผู่ลี่อวี้ ค่าผิดสัญญาสี่สิบล้าน วั่นซือซู ค่าผิดสัญญาสามสิบล้าน ปี้เจ๋อไท่ ค่าผิดสัญญาห้าสิบล้าน ลั่วจิ่วหยวน ค่าผิดสัญญาห้าสิบล้าน ซูเฟิงซีใจกว้างกับพวกเธอจริงๆ จ่ายค่าผิดสัญญาแทนพวกเธอรวดเดียวสองร้อยเจ็ดสิบล้าน บวกกับแปดสิบล้านของเจี่ยนหย่า เป็นสามร้อยห้าสิบล้าน พวกเธอหาเจ้านายได้ดีจริงๆ!”
ดาราทั้งหกคิดไม่ถึงว่าจ้าวเหวินเยี่ยนจะไม่ถามมากสักประโยคก็รู้เจตนาในการมาและที่ไปของพวกเขาเลยมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง แต่มนุษย์ย่อมเดินขึ้นสู่ที่สูง ในขณะที่น้ำไหลลงต่ำ เวลานี้หุ้นของบริษัทสเตลล่าร์ร่วงดิ่งอย่างมาก ภายในและภายนอกไม่สงบ ในขณะที่ฝั่งพี่ซีซีมีเส้นสายและทรัพยากรอันล้นเหลือของสกุลจางกับเงินทุนที่ไร้ขีดจำกัด ใครสูงใครเตี้ยแค่ดูก็รู้
“ขอบคุณประธานจ้าวที่ใจกว้างปล่อยพวกเรา” สุดท้ายยังคงเป็นหนีซินไห่ที่เข้มแข็งที่สุด เธอก้าวยาวๆ ออกไปรับสัญญาของทุกคน
จ้าวเหวินเยี่ยนแตะโดนหลังมือเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนโดนไฟลวก เขารีบสะบัดแขนก่อนถีบขาทั้งสองข้างถอยไปด้านหลัง กอดเอกสารทั้งตั้งไปชนผนัง สภาพของเขาทำให้ฟั่นจยาหลัวต้องก้มศีรษะ กุมหน้าผาก กลั้นหัวเราะ
หนีซินไห่ยืนอยู่ที่เดิมในสภาพปากอ้าตาค้าง เธอมองมือของตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าประธานจ้าวเป็นบ้าอะไร เธอไม่ใช่ยาพิษเสียหน่อย ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรือ
พวกสือหย่งเฮ่าทำหน้าเหวอ คิดในใจว่าประธานจ้าวเป็นอะไรไป ติดโรคจากฟั่นจยาหลัวหรือไง ท่าทางสะดุ้งเฮือกแบบนี้เหมือนไก่ไม่มีผิด
ทันใดนั้นจ้าวเหวินเยี่ยนถึงตระหนักได้ว่ารีแอ็กชั่นของตัวเองออกจะมากเกินไป เขาเลยรีบเบะปาก ยิ้มเย็น “ฝ่ายกฎหมาย พาพวกเขาไปจ่ายค่าผิดสัญญาที่ห้องบัญชี ใครจ่ายเสร็จก็พาตัวไปได้เลย” เขาเลื่อนเก้าอี้หมุนกลับมากระแทกเอกสารทั้งตั้งลงบนโต๊ะ เป็นการแสดงบารมีของตน
หนีซินไห่ทนรับการดูแคลนของเขามามากพอแล้ว เธอร้องเสียงแหลม “แค่สองร้อยกว่าล้านพี่ซีซีเตรียมไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว ขอเลขบัญชีด้วยค่ะ เราจะโอนให้เดี๋ยวนี้”
ฝ่ายกฎหมายแจ้งเลขบัญชี หนีซินไห่หยิบมือถือออกมาโทรหาซูเฟิงซี ไม่นานยอดเงินก็เข้า ทำเอาจ้าวเหวินเยี่ยนอดปรายตามองไม่ได้ เขาหลุบตาคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ “ซูเฟิงซีเตรียมขุดเอาดาวเด่นของฉันไปเพราะอยากให้ฉันล้มละลาย เมื่อกี้หลิวเจาเพิ่งโทรมาบอกว่าจะไป ต่อมาก็เจี่ยนหย่า เสร็จแล้วก็พวกเธอ หึ ซูเฟิงซีนี่เก่งจริงๆ”
ดาราทั้งหกคนไม่มีความรู้สึกละอายใจ แต่ละคนเชิดหน้าเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายถูก
จ้าวเหวินเยี่ยนปรายตามองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วบอก “ซูเฟิงซียังขุดเอาใครไปอีก พวกเธอน่าจะรู้ใช่มั้ย โทรเรียกพวกนั้นมาให้หมด วันนี้ฉันจะได้ปล่อยพวกเขาไปทีเดียว”
“ประธานจ้าว คุณพูดจริงหรือคะ” หนีซินไห่หวั่นไหว
“เรียกพวกเขามา อย่าชักช้า จะไปก็ไปกันให้หมด บริษัทฉันไม่เลี้ยงสัตว์ประหลาด” แต่ไรมาจ้าวเหวินเยี่ยนก็ไม่ใช่คนไร้ความกล้า ตรงกันข้ามเขาตระหนักถึงความสำคัญของความหนักแน่นเด็ดขาดเป็นอย่างดี ถ้าไม่รีบตัดเนื้อเน่าพวกนี้ทิ้ง ไม่แน่ว่าบริษัทสเตลล่าร์อาจเน่าไปด้วย
ตอนแรกหนีซินไห่ยังกลัวว่าเขาจะเล่นเกม ไม่ให้คนกลุ่มนั้นไปแล้วดองเอาไว้ แต่พอได้ยินเขาเรียกสัตว์ประหลาดๆ ก็ทำให้เธอโกรธจนขึ้นสมอง หญิงสาวรีบโทรหาพวกที่ตนรู้จักทันที
ระหว่างที่คอยฟั่นจยาหลัวลองเสนอความช่วยเหลือให้คนกลุ่มนี้อีกครั้ง เขาแบมือทั้งสองข้างออกไป พูดเสียงเนิบ “ผมสัมผัสได้ว่าพวกคุณถูกไอดำกัดกร่อน เสี่ยงที่จะเน่าเปื่อยไปทั้งตัว ถ้าอยากเลี่ยงภัยอันตรายนี้ พวกคุณส่งมือมาให้ผมได้นะ”
เขาไม่มีนิสัยฝืนไปช่วยใคร และเฝ้าคอยการเลือกของคนกลุ่มนี้อย่างสงบ เพราะเขาเข้าใจดีถึงหลักการที่ว่าการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่สู้การช่วยเหลือตัวเอง
“พูดอะไรน่ะ ไม่สบายหรือเปล่า ที่นี่เป็นห้องทำงานของประธานจ้าว ไม่ใช่สตูดิโอถ่ายรายการ น้อยๆ หน่อยเถอะพ่อคนหลอกลวง จะให้ส่งมือให้นี่ยังหลอกเอาเงินหลอกแต๊ะอั๋งไม่พออีกหรือไง นึกว่าฉันจะตกหลุมพรางหรือ ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ คุณหาเวลาไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยดีกว่า ฉันรู้สึกว่าสมองคุณมีปัญหา ต้องรีบรักษา” หนีซินไห่โกรธจนขำ คำพูดคำจาไร้น้ำใจอย่างมาก
ฟั่นจยาหลัวมองมือที่ว่างเปล่าของตัวเองอีกครั้งแล้วถอนหายใจหนักๆ
ไม่รู้ทำไม แต่การเห็นสีหน้านิ่งๆ ของฟั่นจยาหลัวถึงทำให้จ้าวเหวินเยี่ยนปวดใจ เขารีบปลอบ “จยาหลัว พวกเขาจะอยู่หรือตายไม่เกี่ยวกับนายเลยสักนิด นายไม่ต้องยุ่งหรอก พ่อจะคอยให้พวกเขาเน่าตายไปเอง! แม่มันเถอะ มีแต่ปีศาจตาบอดทั้งนั้น!”
พวกหนีซินไห่ถูกด่าจนหนังหน้ากระตุกแต่กลับไม่กล้ามีเรื่องกับจ้าวเหวินเยี่ยน ทำได้แค่ทน สุดท้ายใครจะตายก็ยังไม่แน่ ที่แน่ๆ คือสองคนนี้เสียสติไปแล้ว!
วันนี้ห้องทำงานของจ้าวเหวินเยี่ยนมีคนทยอยกันมาสิบกว่าคน ทุกคนเป็นดาราดังอนาคตไกลที่ทางบริษัทลงทุนทั้งกำลังคน กำลังของ และกำลังเงินเพื่อผลักดัน แรงกระเพื่อมนี้ไม่เพียงทำให้พนักงานระดับล่างมีลางสังหรณ์ถึงความเสี่ยงที่องค์กรจะล้ม แต่ยังทำให้ผู้ถือหุ้นระดับสูงไม่พอใจมาก แม้ท่าทางของจ้าวเหวินเยี่ยนจะดูเข้มแข็ง แต่เขาก็เกือบทนรับแรงกดดันไว้ไม่ไหว การยกเลิกสัญญาของฟั่นจยาหลัวจึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา
ขอบตาที่เปลี่ยนเป็นแดงเรื่ออย่างกะทันหันของชายหนุ่มทำให้ฟั่นจยาหลัวต้องหันหน้าไปปลอบ “เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพอครบกำหนดสัญญาผมจะไป ผมไม่เหมาะกับวงการนี้ แต่ต่อไปเรายังจะเป็นเพื่อนกัน มีเรื่องอะไรคุณไปหาผมได้ ถ้าช่วยได้ผมต้องช่วยแน่นอน”
แม้จะได้รับคำปลอบประโลม แต่ร่างกายของจ้าวเหวินเยี่ยนยังคงทรุดลงเหมือนถูกถอดกระดูกออกไปแบบปุบปับ เขากุมหัวตัวเองอย่างมีโทสะทว่าไร้เรี่ยวแรง สิบนิ้วสอดเข้าไปในเรือนผม เสียงแตกแหบพร่า “จยาหลัว ฉันกลัวมากจริงๆ นะ อีกครึ่งเดือนซูเฟิงซีจะเปิดคอนเสิร์ต สัญชาตญาณบอกฉันว่าฉันต้องตายในวันนั้น คนที่หักหลังเธอทุกคนจะต้องตาย! เธอคือฝันร้ายที่ฉันไม่มีทางหนีพ้น บางทีสำหรับฉัน ความตายอาจเป็นการปลดปล่อยวิธีหนึ่ง”
ฟั่นจยาหลัววางมือเย็นจัดลงบนหลังมือที่สั่นน้อยๆ ของจ้าวเหวินเยี่ยน พูดเสียงหนักแน่นแบบเน้นทีละคำ ทีละประโยค “คุณยังจำคำที่ผมเคยพูดไว้ได้มั้ยว่าบนโลกนี้ไม่มีพลังอะไรที่จัดการไม่ได้ เวลานี้ผมเจอพลังที่สามารถกำราบซูเฟิงซีได้แล้ว คอยให้ถึงวันนั้น คนที่ต้องตายคือเธอ และคุณจะเป็นอิสระตลอดกาล”
จ้าวเหวินเยี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าท้อแท้แข็งค้างอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะทำหน้าเหมือนร้องไห้ แต่ก็เหมือนดีใจแทบคลั่งออกมาอย่างระมัดระวัง ถ้ารอดได้ ใครบ้างไม่อยากรอด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 ก.พ. 65