everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5 บทที่ 185 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 185 เกาเชียนเชียนขออะไรได้อย่างนั้น
การทำของเล่นเป็นมุกตลกหนึ่งของซ่งรุ่ย แน่นอนว่าเขารู้ว่าของชิ้นนี้ไม่มีทางเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง เมื่อโกนเส้นผมกับเนื้อเน่าออกและกลับไปมีขนาดเท่าเดิม กระดูกหัวกะโหลกก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ แทนที่จะบอกว่าเป็นเศษซากของร่างกายมนุษย์ ไม่สู้บอกว่าเป็นแร่ธรรมชาติดีกว่า เพราะมันสะอาดใสยิ่งกว่าคริสตัล แสงอาทิตย์ยามอัสดงทำให้มันได้อาบประกายทองหนึ่งชั้น เหมือนงานศิลปะที่มีค่าควรเมือง
ดวงตาของหลีว์ชิวซื่อเองก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง หลังผ่านการตกตะกอนมาหลายพันปี ของเหลวที่ห่อหุ้มลูกตากลายเป็นสีเหลืองขุ่น แต่ตอนนี้มันกลับดูใหม่และกระจ่างใสทำให้ลูกตาที่ค่อนข้างขุ่นมัวมีความลึกซึ้งเหมือนบ่อน้ำ
ลูกตากับหัวกะโหลกเป็นของคนสองคนที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างมีพลังจิตแข็งแกร่งและนิสัยทำลายล้าง แต่ตอนนี้กลับมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนราวกับพวกมันเกิดมาเพื่อเป็นแบบนี้ ราวกับเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ช่วงที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิด พวกมันก็เป็นเช่นนี้ รูปแบบชีวิตของพวกมันจึงเป็นไปในลักษณะนี้
ซ่งรุ่ยมองนิ่ง สักพักเขาก็ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากของหัวกะโหลก เดาว่า “คุณผนึกพวกมันเป็นอาวุธวิญญาณ? แบบเดียวกับพวกกระดิ่งของหยวนจงโจวเหรอ”
“ไม่ครับ ไม่เหมือนของหยวนจงโจว เพราะนั่นเป็นของคู่วิญญาณ ส่วนนี่เป็นอาวุธวิเศษ”
“สองอันนี้ต่างกันตรงไหน”
“ของคู่วิญญาณเชื่อมโยงกับชีวิต ส่วนอาวุธวิเศษเป็นแค่เครื่องมือในการเพิ่มพลังวิญญาณ”
ซ่งรุ่ยผงกศีรษะเป็นการบอกว่าตนเองเข้าใจ
ฟั่นจยาหลัวเม้มริมฝีปากบาง ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนชี้ที่ร่างของตัวเอง “นี่ต่างหากคือของคู่วิญญาณ”
ซ่งรุ่ยอึ้งไปพักหนึ่งก่อนค่อยๆ ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มกำลังพูดเรื่องอะไร เขากำลังบอกสถานภาพที่แท้จริงของตัวเองแบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว ยอมรับความจริงเรื่องที่ตนไม่ใช่มนุษย์ ซ้ำยังเปิดเผยอดีตส่วนหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
ของคู่วิญญาณถูกสร้างขึ้นมาแบบไหน ซ่งรุ่ยไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จึงไม่รู้ขั้นตอนการสร้างที่เป็นกิจจะลักษณะ แต่ดูจากที่หยวนจงโจวทะนุถนอมกระดิ่ง ซ่งรุ่ยสามารถจินตนาการได้ไม่ยากว่าเรื่องนี้จะต้องมีขั้นตอนซับซ้อนและอันตรายมาก หยวนจงโจวกับของคู่วิญญาณถูกแยกออกจากกัน แต่ฟั่นจยาหลัวกับของคู่วิญญาณของเขากลับรวมเป็นหนึ่งเดียว จิตวิญญาณของเขาอยู่ในวัตถุชิ้นนี้ ใครเป็นคนใส่เขาเข้าไป ร่างกายจริงๆ ของเขาอยู่ไหน ขั้นตอนการหลอมรวมเจ็บปวดหรือไม่
คำถามแล้วคำถามเล่าผุดออกมากระตุกหัวใจของซ่งรุ่ย เขาเป็นใบ้อยู่นานมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอับจนคำพูด ในขณะที่ชายหนุ่มมองเขาเงียบๆ เพื่อคอยปฏิกิริยาจากเขา
“เจ็บหรือเปล่า” สุดท้ายเขาก็ได้แต่ถามออกไปแบบนี้ คำถามที่มีความสำคัญยิ่งกว่าอย่างอื่นล้วนถูกเขาโยนทิ้ง หลังคิดทบทวนอยู่นาน ผ่านมรสุมอารมณ์รุนแรง สิ่งที่เขาแคร์ที่สุดกลับเป็นเรื่องนี้
“เจ็บมากครับ” ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย พูดเสียงอารมณ์ดี “ด็อกเตอร์ซ่ง คุณไม่กลัวผม”
“พูดกันจริงๆ คือผมเข้าใจว่าคุณเป็นคนที่ตายแล้วเหมือนสวี่อี้หยาง” ซ่งรุ่ยจับมือเย็นจัดของอีกฝ่าย ส่ายหน้า “ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร ในสายตาผมล้วนเหมือนกัน คุณคือคุณ คุณคือฟั่นจยาหลัว”
“ด็อกเตอร์ซ่งครับ คุณอาจเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมในโลกใบนี้ การมีคุณอยู่เป็นเรื่องดีจริงๆ” ฟั่นจยาหลัวเอนตัวพิงบีนแบ็ก ถอนหายใจ ยิ้มมองแสงสายัณห์ที่อยู่ไกลออกไป ความอ้างว้างในดวงตาเลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างที่คอนเสิร์ตของซูเฟิงซีกำลังอยู่ในช่วงเตรียมงาน บัตรจำนวนหนึ่งแสนใบถูกแฟนคลับแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยง สถานการณ์การซื้อขายร้อนแรงสุดๆ หลิวเจาถูกแฟนคลับบีบให้หย่าทุกวัน ถึงขั้นมีคนเขียนจดหมายเลือดไปแปะไว้ที่เวยป๋อเขาเรียกไลค์จากคนได้มหาศาล
ต่งฉินเฝ้ารอการขึ้นศาลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่ในฝันเธอยังฝันว่าชนะคดีทำให้เกาเชียนเชียนกับตัวปลอมติดคุก หลิวเจาได้ชีวิตของตัวเองกลับมาและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซ่งรุ่ยบอกเธอว่ามีหลักฐานครบ โอกาสชนะมีถึงแปดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงไม่กังวลเลย
แต่วันนี้เธอกลับได้รับโทรศัพท์จากหลิวเจา น้ำเสียงของเขาอ่อนแรงมาก เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ต่งฉิน เราถอนฟ้องเถอะ”
“นายว่าไงนะ” ต่งฉินเกือบเข้าใจว่าตัวเองประสาทหลอน ปากกาในมือกระแทกเอกสารอย่างแรง
“เราถอนฟ้องเถอะ ยอมความกันนอกศาล” เสียงของหลิวเจายิ่งแหบพร่าขึ้นหลายส่วน
“หลิวเจา นายเตรียมจะยอมความกับใคร เกาเชียนเชียนที่ใส่ร้ายนายทำให้นายติดคุก? หรือสวีเว่ยเปียวที่แย่งทุกอย่างของนายไปทำให้นายไม่เหลืออะไรเลย? หลิวเจา นายไม่สบายหรือเปล่า” เป็นครั้งแรกที่ต่งฉินใช้น้ำเสียงดุดันถามอีกฝ่าย เพราะเธอไม่เข้าใจความคิดของเขาเลยจริงๆ
“นายเป็นพ่อพระหรือไง คนอื่นตบแก้มซ้าย นายก็เลยยื่นแก้มขวาไปให้เขาตบด้วย? นายรักเกาเชียนเชียนจนเสียสติไปแล้วเหรอ ต่อให้เธอฆ่าตายก็ยอม? หลิวเจา นายคิดอะไรอยู่ หลักฐานที่เราเตรียมไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ เราต้องชนะคดีแน่นอน เพราะอะไรนายถึงอยากยอมความ” ต่งฉินคุมโทสะไว้ไม่อยู่ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทหาร ตอนที่กำลังเป็นด่านหน้าสู้ตายเพื่อหลิวเจาจนแผลเต็มตัว พอจวนจะชนะเธอกลับถูกเขาแทงเข้าข้างหลังอย่างแรง
ความเจ็บที่มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวคราวนี้รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ในอดีต เจ็บกว่าวันที่เขาปฏิเสธการสารภาพรักของเธอ เจ็บกว่าวันที่เขาแต่งงาน ถึงขั้นเจ็บกว่าวันที่เขาถูกขโมยตัวตนไปแล้วไม่มีบ้านให้กลับ ต่งฉินเจ็บจนเกือบหายใจไม่ออก ความเงียบของหลิวเจาทำให้เธอยิ่งกดดัน หญิงสาวจึงเลิกคอยคำตอบจากเขา ตัดสายไปดื้อๆ เปลี่ยนไปโทรหา ดร. ซ่ง
เธอบอกเขาว่าความทุ่มเทของพวกเขาอาจกลายเป็นการปาหินกระดอนน้ำ คนที่พวกเขาอยากช่วยผลักไสมือของพวกเขาโดดลงไปในน้ำเอง
“เขาไม่ได้อยากจมน้ำ ตรงกันข้ามเขากำลังช่วยตัวเอง” เสียงของซ่งรุ่ยนิ่งมากเหมือนคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว “สองสามวันนี้เขาได้เจอแม่ของเขาหรือเปล่าครับ”
เพิ่งจะจบคำเขา ผู้ช่วยของต่งฉินก็รีบวิ่งเข้ามารายงานว่า “พี่ต่งคะ ฟร้อนต์ที่โรงแรมเพิ่งโทรมาบอกฉันว่าเมื่อคืนเกาเชียนเชียนพาแม่ของหลิวเจาไปหาเขา พวกเขาคุยกันอยู่ประมาณสามสี่ชั่วโมง ระหว่างนั้นมีผู้ชายหลายคนทยอยมาหาหลิวเจา ดูท่าจะเป็นคนสำคัญในวงสังคม พอเกาเชียนเชียนไป แม่ของพี่หลิวก็เปิดห้องที่โรงแรมหนึ่งห้องเพื่ออยู่กับพี่หลิว ส่วนผู้ชายพวกนั้นก็กลับไปด้วย ฟร้อนต์บอกว่าคนหนึ่งในนั้นหน้าตาเหมือนรองประธานบริษัทฉินเฉาคัลเจอร์มีเดีย เธอเคยเห็นในทีวี”
ยังไม่ทันที่ต่งฉินจะได้ซึมซับคำพูดประโยคนี้ ซ่งรุ่ยก็ออกคำสั่ง “คุณเก็บของ เราจะไปหาหลิวเจาที่โรงแรม มีอะไรไว้คุยกันซึ่งหน้า”
“อ๊ะ ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” สมองของต่งฉินรวนมากแต่กลับไม่ลืมถาม “ด็อกเตอร์ซ่งคะ คดีของเรายังจะขึ้นศาลต่อได้มั้ย”
“ขึ้นไม่ได้แล้วครับ” ซ่งรุ่ยไม่เหลือความหวังไว้ให้ต่งฉิน เขาพูดเสียงเรียบ “เตรียมเจรจาดีกว่า”
ต่งฉินที่เพิ่งลุกขึ้นยืนเก็บเอกสารซวนเซลงไปนั่งอีก มือหนึ่งถือมือถือ อีกมือกุมหน้าผาก เธอแย้มริมฝีปากช้าๆ เป็นรอยยิ้มเศร้า นี่เธอเหนื่อยแทบเป็นแทบตายเพื่อใคร เธอทุ่มสุดตัวเพื่อใคร พอถึงเวลาใครคือคนที่ปัดความทุ่มเทของเธอทิ้งเหมือนรองเท้าขาด หลิวเจา คนที่เธอช่วยเหลือตลอดมา ผู้ชายที่เธอรักมาสิบกว่าปีและไม่เคยลืมสักนาที สักวินาที!
ต่งฉินยิ่งคิดยิ่งขำแล้วเธอก็หัวเราะออกมาจริงๆ ทว่าหางตากลับมีน้ำตาร้อนๆ สองสายไหลออกมา ตัวเธอที่ก่อนหน้านี้ร้อนอกร้อนใจเหลือเกินกลับนั่งนิ่งอยู่สิบกว่านาทีก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางไปโรงแรมแบบมึนๆ หญิงสาวไม่ได้ตรงไปยังห้องพักของหลิวเจาเพราะอยากเจอเขาจนแทบทนไม่ไหวเหมือนเมื่อก่อน แต่นั่งรอ ดร. ซ่งอยู่ที่ล็อบบี้ด้วยสีหน้าเฉยชา
ซ่งรุ่ยมาถึงอย่างรวดเร็วเพื่อไปคุยกันต่อหน้าที่ห้องของหลิวเจา พอคุณแม่หลิวรู้ข่าวก็รีบมา สีหน้าตื่นเต้น ระแวดระวัง เธอเตรียมสู้กับคนที่ช่วยลูกชายเธอ นี่เป็นเรื่องที่น่าขำเกินไปแล้ว! พอคิดแบบนี้ต่งฉินก็หัวเราะออกมาจริงๆ
หลิวเจาปรายตามองเธอเร็วๆ แวบหนึ่งก่อนก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ถึงจะมีคำพูดเต็มท้องที่อยากพูด แต่เขากลับไม่รู้ว่าควรเริ่มแบบไหน เขาเองก็ลำบาก เพราะไม่อาจอยู่เพื่อตัวเอง แต่ต้องคิดเผื่อคนอื่นด้วย เกรงว่าต่งฉินที่ชอบทำอะไรตามใจฉันมาโดยตลอดคงไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา
ทันทีที่ซ่งรุ่ยอ้าปากก็จี้ถูกความคิดของเขา “คุณตัดใจจากบริษัทไม่ได้?”
“ไม่ใช่ว่าผมตัดใจไม่ได้” หลิวเจาปฏิเสธทันที “ด็อกเตอร์ซ่งครับ คุณน่าจะรู้ว่าบริษัทไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นผลจากความพยายามของทุกคนที่มีร่วมกัน ถ้าผมประกาศเรื่องที่ถูกสลับตัวและแย่งหุ้นไปตอนนี้ แผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจะต้องกลายเป็นฟองสบู่ ความทุ่มเทของทุกคนย่อมสูญเปล่า ผมเป็นแบรนด์ของบริษัท ถ้าจะพูดให้ถูกคือหน้าผมคือแบรนด์ของบริษัท ผมไม่สามารถทำลายมันด้วยมือตัวเอง คุณเข้าใจใช่มั้ยครับ”
แนวความคิดของซ่งรุ่ยไม่ถูกเบี่ยงเบน เขาพูดเสียงเย็น “ผมเข้าใจว่าแม่คุณมีหุ้นของบริษัทอยู่สิบเปอร์เซ็นต์ ทันทีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มูลค่าของพวกมันจะพุ่งทะยานขึ้น รองประธานบริษัทคุณ หุ้นส่วน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนต่างมีหุ้นตั้งต้นในระดับที่แตกต่างกัน พวกเขากดดันคุณเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ให้คุณถอนฟ้องใช่หรือเปล่า พวกเขาต้องการให้คุณเป็นเครื่องบูชายัญ เพื่อทำฝันที่จะเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนของตัวเองเป็นจริง และคุณก็เห็นด้วย”
หลิวเจาพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรตอบแบบไหน
ซ่งรุ่ยพูดอีก “ญาติมิตร เพื่อนสนิท รวมไปถึงคนรัก เมื่ออยู่ต่อหน้าเงินล้วนสามารถตีค่าเป็นราคา คุณถูกพวกเขาติดป้ายราคาแล้วใช่มั้ย พวกเขาให้คุณเท่าไหร่ในการถอนฟ้อง พวกเขาให้คุณเท่าไหร่กับการให้คุณใช้ชีวิตในฐานะสวีเว่ยเปียวต่อ”
หลิวเจาเม้มริมฝีปากบางสุดชีวิตราวกับรู้สึกอัปยศอดสูเป็นเท่าทวี เขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ทำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อทุกคน เรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นสิ่งที่เขากับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในบริษัทฉินเฉาคัลเจอร์มีเดียเตรียมการมาด้วยกัน เขารู้ว่ามันมีความทุ่มเทของทุกคนเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งอยากรักษามันไว้
คุณแม่หลิวรีบแก้ตัวแทนลูกชาย “เราไม่ได้บีบเจาเจา เราทำเพื่อเขา บริษัทฉินเฉาคัลเจอร์มีเดียเป็นความทุ่มเทของเขา ทันทีที่พวกคุณฟ้อง เกาเชียนเชียนกับตัวปลอมต้องติดคุกแน่ แต่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทเองก็ต้องล้มเหลวและปิดตัว ต่อไปเจาเจาจะอยู่ยังไง หน้าเขาไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว แฟนคลับจะรับได้หรือ ต่อไปเขาจะมีหนังให้ถ่ายอีกหรือเปล่า เขาจะกลายเป็นคนไม่มีอะไรเลย! พวกคุณอาจรู้สึกว่าทักษะการแสดงเขาดี สามารถค่อยๆ ปีนขึ้นมาได้ แต่พวกคุณเคยคิดมั้ยว่าถ้าแบรนด์กับภาพลักษณ์ของสินค้าตัวหนึ่งเสียไปแล้ว กว่าจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ มันยากยิ่งกว่าสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเป็นพันเป็นหมื่นเท่า! เขาอายุสามสิบห้า จะไปเอาเวลากับแรงมาจากไหน”
คุณแม่หลิวเหลือบมองต่งฉินแวบหนึ่งก่อนพูดต่อ “ฉันเป็นแม่เขา ฉันย่อมไม่มีทางทำร้ายเขา! เราถอนฟ้อง ยอมความกันนอกศาล เอาหุ้นบริษัทกับสมบัติคืนมา ส่วนเรื่องอื่นให้แล้วกันไป พอมีเงินเจาเจายังต้องกลัวว่าต่อไปจะไม่สุขสบายอีกหรือ คอยให้คลื่นลมผ่านไป ถ้าอยากถ่ายหนังก็ลองดูได้ ผู้กำกับจะได้ทำกับเขาเหมือนเป็นคนหน้าใหม่ ถูกเพ่งเล็งน้อยลงและได้การยอมรับจากผู้ชมมากขึ้น ถ้าเขาบอกว่าตัวเองเป็นหลิวเจา ฉันบอกคุณได้เลยว่าคนอื่นยอมรับเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศได้มากกว่ายอมรับเขา ตัวเขาที่เป็นแบบนี้ต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าของจริง”
ต่งฉินพิจารณาสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ของคุณแม่หลิวแล้วหัวเราะเสียงเย็น “คนอื่นรับได้หรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่าคุณรับไม่ได้แน่นอน อย่าทำหน้ายี้ชัดนักสิคะ ถ้าไม่เห็นแก่เงิน คุณคงไม่เดินทางเป็นพันหลี่กลับมาจากต่างประเทศเพื่อช่วยเขาหรอกใช่มั้ย คุณย่าเป็นคนเลี้ยงเขามาจนโต เขามีความผูกพันอะไรกับคุณบ้าง ตอนเขาไม่ได้เรียนหนังสือคุณอยู่ไหน ตอนเขาต้องออกจากโรงเรียนมาเร่ร่อนทางเหนือคุณอยู่ไหน พอเขาดัง หาเงินได้ คุณกลับโผล่มาโวยวาย แม่อย่างคุณนี่มันแสนดีจริงๆ คิดเพื่อเขาหรือ คุณคิดเพื่อตัวเองมากกว่า คุณกลัวว่าหุ้นในมือคุณจะกลายเป็นเศษกระดาษ กลัวว่าชีวิตหรูหราที่สวิตเซอร์แลนด์ของคุณจะหาย คุณกลัวจน! คุณไม่เคยเห็นหลิวเจาเป็นลูก ไม่เคยคิดเพื่อเขาจากใจจริงๆ!”
คุณแม่หลิวโกรธจนหน้าผิดรูป เธอดึงแขนเสื้อลูกชายตามความเคยชิน
หลิวเจาร้องบอกตามสัญชาตญาณ “ต่งฉิน พอแล้ว หยุดพูดได้แล้ว”
ดวงตาของต่งฉินมีประกายน้ำตาแวววับแต่กลับฝืนไว้ไม่ให้ไหล เธอคุ้นชินกับสถานการณ์เวลาที่ตัวเองปกป้องหลิวเจา แต่กลับถูกหลิวเจาที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอดึงรั้งเธอไว้บ้าง ขัดแข้งขัดขาเธอบ้าง แทงมีดใส่เธอแรงๆ บ้าง ใช่ พอแล้ว เธอควรหุบปากจริงๆ
ประกายน้ำตาระเหยหายไปจากดวงตาร้อนผ่าวของเธอ ครั้งนี้ต่งฉินไม่ต้องเงยหน้าไม่ต้องพยายามกะพริบตาก็สามารถสะกดอารมณ์อยากร้องไห้ได้ หญิงสาวหยิบมือถือออกมา ล็อกอินเข้าคลังภาพ จ้องอัลบั้มที่ชื่อ ‘ที่รัก รักที่สุด’ แล้วเลือกลบทิ้งทั้งหมดด้วยมือสั่นๆ
หลิวเจาไม่เห็นว่าเธอกำลังทำอะไร แต่เห็นว่าต่งฉินเปลี่ยนจากตะลึงเป็นนิ่งสงบ สีหน้าเฉยเมย ส่งผลให้หัวใจเขาดิ่งวูบ เหงื่อเย็นๆ แตกซิกทั้งตัวแบบไม่รู้สาเหตุ
ซ่งรุ่ยไม่เคยถูกรบกวนด้วยความรู้สึกของใคร เขาแค่ต้องการให้มั่นใจว่าทุกเรื่องอยู่ในการควบคุมของตัวเอง อันที่จริงเขาคาดการณ์เรื่องในตอนนี้ไว้ตั้งแต่ต้น ชายหนุ่มจึงชี้ไปที่มือถือบนโต๊ะ พูดเสียงเรียบ “คุณหลิวครับ ตอนนี้คุณช่วยโทรหาเกาเชียนเชียน สวีเว่ยเปียว รวมไปถึงพวกผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฉินเฉาคัลเจอร์มีเดียให้พวกเขามาตกลงกัน”
เขาใช้ปลายนิ้วแตะหน้าจอมือถือใสสะอาด พูดต่อ “ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมา ผมขอคอนเฟิร์มวัตถุประสงค์ในการคุยสามข้อ ข้อที่หนึ่ง สามารถยอมความกันนอกศาลได้ แต่เกาเชียนเชียนต้องคืนหุ้นกับทรัพย์สินของคุณกลับมาทั้งหมด ข้อที่สอง คำให้ร้ายคุณ รวมไปถึงข่าวด้านลบที่เกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัวในอินเตอร์เน็ต เกาเชียนเชียนจะต้องออกข่าวขอโทษพวกคุณต่อสาธารณชน อธิบายที่มาที่ไปอย่างชัดเจนและรับผิดชอบทุกอย่าง ข้อที่สาม เกาเชียนเชียนจะต้องหย่าขาดจากคุณทันทีโดยไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ เลย ถ้าเธอทำตามสามข้อนี้ได้ คุณก็ตกลงตามข้อเรียกร้องของพวกเขาได้ ไม่ประกาศความจริง และใช้ชีวิตในฐานะสวีเว่ยเปียวต่อไป”
หลิวเจาอึ้งเผลอส่ายหน้า พูดเสียงงึมงำ “วัตถุประสงค์สามข้อนี้มีแต่จะบีบให้เกาเชียนเชียนไปตาย เธอไม่มีทางตกลง”
ซ่งรุ่ยโค้งริมฝีปากคล้ายกำลังยิ้ม ทว่าดวงตากลับเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ถ้าเธอไม่ตกลง เราจะยื่นเรื่องฟ้องต่อ และในขณะเดียวกันก็จะประกาศความจริงด้วย ถ้าต้องเลือกระหว่างทั้งติดคุก หมดตัว และเสียชื่อ กับแค่หมดตัวเสียชื่อ ผมคิดว่าเธอรู้ว่าต้องเลือกอะไร ขอเพียงคุณยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง หุ้นส่วนของคุณจะไปกดดันเกาเชียนเชียน คุณก็รู้ว่าหลักฐานในมือเราทำให้เธอติดคุกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับเรา เธอต้องรับผิดชอบทุกเรื่องที่เธอก่อ ไม่มีใครต้องรู้สึกผิดต่อเธอ สิ่งเดียวที่เธอมีสิทธิ์ปกป้องคือสวีเว่ยเปียวที่เธอปกป้องเขามาตั้งแต่ต้น ถือเสียว่าเธอขออะไรได้อย่างนั้นแล้ว คุณหลิวครับ คุณว่าผมพูดถูกมั้ย”
หลิวเจาคิดอยู่พักหนึ่ง ทำได้เพียงผงกศีรษะ “ถูกครับ” ท้ายที่สุดแล้วความผิดทุกอย่างจะไปตกอยู่ที่เกาเชียนเชียน ดร. ซ่งคาดการณ์เรื่องในตอนนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีวิธีมารับมือคนที่เขาอยากเล่นงาน
“โทรเถอะครับ” ซ่งรุ่ยใช้ปลายนิ้วผลักมือถือไปให้
ต่งฉินพูดเสียงเนิบ “หุ้นที่นายให้ฉัน ฉันจะคืนให้นายเดี๋ยวนี้ มีหุ้นเพิ่มอีกสิบเปอร์เซ็นต์ ชีวิตต่อจากนี้ของนายน่าจะมีเกราะกำบังมากขึ้น ต่อไปขอให้นายดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่าเสียสละเพื่อคนอื่นอีก มันไม่คุ้ม” หญิงสาวสั่นศีรษะ ในดวงตาเหมือนมีประกายน้ำตาวูบไหว แต่แค่พริบตาเดียวก็แห้งหายไป เหลือเพียงความนิ่งสงบ
“คุณว่าไงนะ” หลิวเจาตัวแข็ง รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัวเพราะคำพูดที่เหมือนการบอกลาของต่งฉิน ปลายนิ้วของเขาสั่นจนทำมือถือตก
ติดตามเรื่องราวต่อได้ใน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico