ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6 บทที่ 221 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6 บทที่ 221 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว

การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่างกาย

การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 221 ความขัดแย้งระหว่างฟั่นจยาหลัวกับสำนัก

ถึงอาจารย์ฟั่นบอกว่าการเช็กกล้องวงจรปิดไม่มีประโยชน์ และ ดร. ซ่งบอกว่าการเฝ้าตอรอกระต่ายไร้ผล แต่เมิ่งจ้งยังคงส่งคนไปทำสองวิธีไร้สมองนี้ มันไม่ได้ผลอะไรเลย พวกเขาซุ่มรอฆาตกรอยู่รอบอาคารทุกวัน ฟั่นจยาหลัวเจียดเวลามาดูติดกันสี่วัน เขาโบกมือให้เมิ่งจ้งแล้วเอ่ย “กลับกันเถอะครับ ฆาตกรไม่มาแล้ว เมื่อกี้ห้วงมิตินั้นพังลงไปแล้ว”

เมื่อห้วงมิติพัง บำเหน็จศึกทุกอย่างย่อมกลายเป็นฟองอากาศ ฆาตกรไม่มีทางมาอีก เมิ่งจ้งทำได้เพียงพาทีมกลับ หน้าดำจนแทบเค้นหมึกออกมาได้เป็นขวด

อีกสิบแปดวันต่อมาศพที่สามก็ปรากฏขึ้น เป็นผู้หญิงติดบ้านนิสัยเก็บตัวเหมือนเดิม มือทั้งสองข้างมีคราบเลือดเป็นด่างดวง นอนขดตัวอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อจดจ้องอินเตอร์คอมอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ต้องสงสัยสักนิดว่าฆาตกรต้องติดต่อกับเธอ

รอบนี้ตำรวจยังคงไม่ได้เบาะแสอะไร ทำได้เพียงดูคลิปที่เหยื่อหายตัวไปต่อหน้าต่อตา ก่อนศพจะปรากฏออกมาอีกครั้ง

ถึงจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่เมิ่งจ้งยังคงดักซุ่มอยู่นอกคอนโดฯ ฟั่นจยาหลัวมาดูทุกวันจนถึงวันที่สาม ชายหนุ่มระบายลมหายใจเอ่ย “พวกคุณแยกย้ายกันได้แล้วครับ ห้วงมิติของฆาตกรพังแล้ว”

เมิ่งจ้งเตะถังขยะข้างตัวอย่างแรง สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่ยอมแพ้

อีกสิบห้าวันต่อมาก็เป็นอย่างที่ทุกคนคาด ศพที่สี่ปรากฏขึ้น ตัวเอียงอยู่ในซอกแคบตรงมุมผนังลิฟต์ เธอมองอินเตอร์คอมแบบคนที่ตายตาไม่หลับ ฟั่นจยาหลัวมาดูในวันนั้นแล้วบอกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจว่าไม่ต้องเฝ้าตอรอกระต่าย เนื่องจากห้วงมิติแห่งนั้นพังทลายไปในนาทีที่ศพปรากฏออกมา

สีหน้าของเมิ่งจ้งเข้าใกล้กับคำว่าสติแตก เขาเกือบจะทุบแท็บเลตพังทันทีที่เห็นคนหายวับไปจากกล้องวงจรปิด ตำรวจนายอื่นก็ต้องสะกดกลั้นโทสะ อยากหาที่ระบายความเดือดดาลมากแต่กลับทำได้แค่จนใจ

นอกจากความโกรธเกรี้ยวเดือดดาล ในใจของพวกเขายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เย็นเยือก

ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้สามารถซ่อนตัวอยู่ในอีกมิติ ไปมาอย่างอิสระโดยไม่มีใครพบเห็นเขา และไม่สามารถจับกุมตัวเขาได้ แต่ตัวเขากลับสามารถเฝ้ามอง สะกดรอย ถึงขั้นจับใครก็ได้ไปฆ่าทิ้งได้ตามใจ ดีไม่ดีช่วงที่ตำรวจวิเคราะห์คดี เขาอาจซ่อนตัวดูอยู่ด้านข้างด้วยอารมณ์กระหยิ่มใจ หรือช่วงที่เหยื่อยังไม่ถูกจับ เขาอาจซุ่มอยู่ข้างตัวพวกเธอเพื่อแอบดูพวกเธอทำงาน กินข้าว นอนหลับก็เป็นได้

เขาไม่เหมือนคนแต่เหมือนผี เสพกินความกลัวของมนุษย์ บันเทิงกับความสิ้นหวังที่พวกเขาแสดงออกมา จากนั้นก็พรากชีวิตของพวกเขาไปอย่างไม่ลังเล ถ้าจับได้แล้วส่งไปให้ศาลตัดสิน ต่อให้ยิงเป้าเป็นพันครั้งก็ยังไม่สาสม!

เมิ่งจ้งทั้งโกรธ ทั้งร้อนใจ ทั้งกลัว ผมเริ่มร่วงเป็นกระจุก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตั้งแต่เกิดมานี่เป็นคดีที่สืบยากที่สุดที่เขาเคยเจอ และเป็นฆาตกรที่จับได้ยากที่สุด เพราะพอเข้าไปซ่อนอยู่ในอีกมิติ ฝ่ายตรงข้ามก็หนีพ้นจากการจับกุมทั้งหลายได้แล้ว

ก่อนจะจับฆาตกรได้ เรื่องที่จะปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไรก็กลายมาเป็นปัญหาที่ไม่สามารถปล่อยปละละเลย หลังหารือกับผู้บัญชาการหลายครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจประกาศเรื่องฆาตกรต่อเนื่องออกไป แต่ปกปิดส่วนที่อัศจรรย์พันลึกที่สุดไว้ บอกเพียงว่าเหยื่อของฆาตกรมักเป็นสาวโสด สถานที่ซุ่มซ่อนคือคอนโดฯ หรู ขอให้ผู้ที่เช่าพักในสถานที่เหล่านี้ระมัดระวังตัวอย่างสูง และขอให้คนที่มีผู้หญิงลักษณะนี้อยู่รอบตัวใส่ใจพวกเธอให้มากหน่อย หมั่นโทรหาเพื่อสอบถามความเป็นอยู่ของพวกเธออย่างสม่ำเสมอ

ประกาศนี้ออกไปทางโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย ข่าวจึงกระจายออกไปได้กว้างมากและให้ผลลัพธ์ที่แน่นอน หกวันต่อมาสายแรกที่ตำรวจได้รับแจ้งมาจากญาติของคนที่หายตัวไป เจ้าทุกข์เป็นแม่ของบุคคลสูญหาย เธอเห็นประกาศทางทีวีแล้วรู้สึกว่าคุณสมบัติของลูกสาวตรงกับเป้าหมายของฆาตกรมากจึงรีบโทรหาลูกสาว แต่ทางนั้นกลับไม่มีคนรับสาย

หลังกระวนกระวายใจอยู่ชั่วโมงกว่าเธอก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เลยโทรหา 110 ตามหลักแล้วตำรวจจะไม่รับแจ้งความคดีคนหายที่ระยะเวลายังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เบื้องบนให้ความสำคัญกับคดีนี้มากเลยส่งหน่วยคดีพิเศษของเมิ่งจ้งไปสืบหาทันที

เสี่ยวหลี่ค้นภาพจากกล้องวงจรปิดในคอนโดฯ ออกมาอย่างรวดเร็วก่อนแจ้งข่าวไม่สู้ดีว่า “เมื่อหกชั่วโมงก่อนหวังหวั่นถูกฆาตกรจับตัวไปจริงๆ ครับ”

“รีบคิดหาวิธีช่วยคน ถ้าผ่านไปสามวันหวังหวั่นจะมีอันตราย” เมิ่งจ้งยืนโทรหาฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยอยู่ที่หน้าลิฟต์อันว่างเปล่า

ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งคู่รีบมากันชนิดฝุ่นตลบ ไม่พูดพร่ำก็เริ่มตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเลย

“ผมช่วยเธอไม่ได้” ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้าถอนหายใจ “ผมทำได้แค่จับห้วงมิตินั้นไว้แต่เปิดประตูของมันไม่ได้ ถ้าผมฝืนใช้สนามแม่เหล็กของตัวเองกระแทก หวังหวั่นจะแตกสลายไปพร้อมห้วงมิติ”

สองตาเป็นประกายของเมิ่งจ้งอับแสงลง ตำรวจทุกนายที่เต็มไปด้วยความหวังเริ่มขอบตาแดง พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าเหยื่ออยู่ที่ไหนและรู้ด้วยว่าอันตรายถึงตายกำลังคืบเข้าไปใกล้เธอ แต่กลับไม่สามารถช่วยหญิงสาวออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเพื่อคอยให้ศพของเธอปรากฏออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีดคมเล่มนี้จะสร้างบาดแผลที่ไม่มีวันสมานไว้ในใจของพวกเขาไปตลอดชีวิต

“แบบนี้มันทารุณเกินไป!” หูเหวินเหวินกับเลี่ยวฟางจับมือกันนั่งนิ่งอยู่บนพื้น น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“คนแบบไหนถึงได้เลือดเย็นแบบนี้!” ซุนเจิ้งชี่ฟาดผนังอย่างแรง สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความโกรธแค้น

จวงเจินกับหลิวเทาเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายปฏิบัติการอารมณ์จึงนิ่งกว่า แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล

มีเพียงซ่งรุ่ยที่หยิบสมุดโน้ตเล่มหนึ่งออกมาพลิกอ่านเงียบๆ พร้อมกับคอยจดโน้ตลงไปเป็นระยะ

รอบนี้เหมือนสี่ครั้งก่อน ฆาตกรไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ กล้องวงจรปิดทำได้แค่จับภาพพริบตาที่หวังหวั่นถูกจับไป แต่ทางตำรวจช่วยเธอไม่ได้และจับคนร้ายไม่ได้ ทำได้แค่ยืนแกร่วอยู่นอกลิฟต์ พวกเขาจ้องลิฟต์ที่เปิดอ้าด้วยดวงตาแดงก่ำ นายเหนื่อย ฉันแทน ฉันเหนื่อย นายมาแทน วนกันไปกะแล้วกะเล่า ไม่มีใครยอมไปไหน

คนที่ถูกเปลี่ยนไม่ยอมกลับบ้าน นอนเอาแรงกันอยู่ตรงโถงทางเดินทั้งที่ยังสวมเครื่องแบบ

พวกเขาคอยกันตั้งแต่บ่ายจนค่ำ จากค่ำจนถึงเช้าวันใหม่ ไม่ทันรู้สึกตัวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้ว ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีอาหารและน้ำ การเดินหน้าของเวลาทุกนาทีหมายถึงการลิดรอนชีวิต ในเวลานี้หวังหวั่นจะทำอย่างไร เธออาจตะกายประตูอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องเรียกของเธอ และไม่มีใครมองเห็นตัวเธอ แต่เพราะไม่ได้ยินและไม่เห็นเลยได้แต่วาดภาพในสมองทำให้ความรู้สึกยิ่งรับได้ยาก

หูเหวินเหวินกับเลี่ยวฟางร้องไห้ติดต่อกันหลายรอบ บางครั้งพวกเธอจะเอาแต่มองประตูลิฟต์ที่เปิดอ้าแล้วน้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ตำรวจชายไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมา แต่ใบหน้าของแต่ละนายดูกรมเกรียม ขอบตาแดง

ในบรรดาทุกคน ฟั่นจยาหลัวคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับหวังหวั่นที่สุด เนื่องจากเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่คนอื่นไม่ได้ยิน มองเห็นการดิ้นรนที่คนอื่นไม่เห็น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้หลับตาเลยตลอดคืน เอาแต่ยืนตัวตรงอยู่หน้าประตูลิฟต์ มองความว่างเปล่าด้วยแววตามืดมน

ซ่งรุ่ยไม่ได้นอนทั้งคืนเหมือนกัน สมุดโน้ตในมือแทบจะถูกเขาพลิกจนขอบขึ้นขน พอเห็นฟ้าสว่าง ชายหนุ่มพลันพูดขึ้น “ทำไมฆาตกรถึงอยากใช้การขังไว้ในลิฟต์มาฆ่าผู้หญิง เรื่องนี้มันต้องมีสาเหตุใช่หรือเปล่า คดีฆาตกรรมต่อเนื่องทุกคดี ครั้งแรกสุดจะเป็นการจุดประกายความอยากฆ่าของฆาตกร แล้วอะไรที่จุดประกายคดีนี้ ถ้าเราหาคำตอบนี้ได้ เราจะหาตัวจริงของคนร้ายได้หรือเปล่า ตัวเขาในตอนนั้นยังไม่เชี่ยวชาญเหมือนตอนนี้ ไม่มีทางที่จะทำงานได้แบบภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ”

คำพูดของซ่งรุ่ยดึงดูดความสนใจของทุกคน กระทั่งฟั่นจยาหลัวที่เอาแต่จ้องความว่างเปล่ายังหันมามอง

“ก่อนพบศพเจียงเข่อเข่อ ฆาตกรจะต้องเคยก่อคดีคล้ายๆ กัน ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางเชี่ยวชาญขนาดนี้ เทคนิคการฆ่าต้องมีการฝึกฝน แล้วผลงานของมือใหม่อย่างเขาคืออะไร การเป็นมือใหม่หมายถึงยังไม่ชำนาญ เมื่อไม่ชำนาญย่อมต้องทิ้งเบาะแส” เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน เสียงของซ่งรุ่ยจึงแหบมาก

เมิ่งจ้งตบหน้าผาก รีบตะโกน “เสี่ยวหลี่ นายไปเช็กดูว่าก่อนพบศพเจียงเข่อเข่อ ในเมืองมีคดีทำนองนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า!”

ซ่งรุ่ยเตือน “คีย์เวิร์ดคือลิฟต์ ผู้หญิง ถูกขัง”

เสี่ยวหลี่รีบเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อเข้าคลังข้อมูลของตำรวจ ใส่คีย์เวิร์ด ผลลัพธ์ออกมาอย่างรวดเร็วว่าก่อนพบศพเจียงเข่อเข่อ ในเมืองมีคดีทำนองเดียวกันเกิดขึ้นสองคดี เหยื่อรายแรกสุดเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไปดูห้องในอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จ และไม่มีคนของฝ่ายขายไปด้วย ขึ้นไปชั้นบนคนเดียว

ลิฟต์ในตึกเพิ่งติดตั้ง ยังไม่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย เขียนไว้ชัดว่าห้ามใช้งาน แต่หญิงสาวมั่นใจเรื่องดวง กดชั้นที่จะไปแล้วเกิดติดอยู่ระหว่างทาง ออกมาไม่ได้

ในอาคารไม่มีผู้พักอาศัย เธอเรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินไม่ขาน พอใช้งานอินเตอร์คอม อีกทางก็ไม่มีคนรับ มือถือของเธอแบตฯ หมด ทำได้เพียงรอความตายอยู่ในลิฟต์ โชคดีที่ก่อนออกจากบ้านเธอบอกเรื่องที่ออกมาให้สามีทราบ พอเขาเห็นเธอไม่กลับบ้านเลยทั้งคืนเลยพาตำรวจมาช่วยหญิงสาวที่หมดสติไปแล้วออกมาจากลิฟต์ได้อย่างฉิวเฉียด

อาคารยังสร้างไม่เสร็จ ทรัพย์สินยังไม่มีการโอน ห้องควบคุมไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ากะ การโทรไปเบอร์ฉุกเฉินไม่ติดจึงเป็นเรื่องธรรมดา ความผิดทุกอย่างจึงตกอยู่ที่การถืออภิสิทธิ์ล่วงล้ำเข้าไปเองของเจ้าของห้องคนดังกล่าว แต่หลังเกิดเรื่องนี้นักพัฒนาที่ดินก็ยังคงไล่ยามที่เข้าเวรวันนั้นออก

คดีที่สองเกิดขึ้นในคอนโดฯ เก่าแห่งหนึ่ง เหยื่อเป็นแม่บ้านอายุเจ็ดสิบกว่าปี เธอถูกขังอยู่แค่สามสี่ชั่วโมงโรคหัวใจก็กำเริบ เป็นเหตุให้เสียชีวิต ก่อนตายเธอใช้อินเตอร์คอมฉุกเฉินโทรออกไปแต่ไม่มีคนรับ จึงพลาดโอกาสดีที่สุดที่จะได้รับความช่วยเหลือ

ทุกรายล้วนถูกขังอยู่ในลิฟต์ และเป็นผู้หญิงที่อยู่ตามลำพัง ปราศจากความช่วยเหลือ พวกเธอต่างใช้อินเตอร์คอมแต่ไม่มีการตอบรับ สองคดีนี้ดูสอดคล้องกับคดีของพวกเจียงเข่อเข่อ แต่กลับถูกทางตำรวจมองว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่มันจะมีเนื้อในที่ยังไม่กระจ่างอยู่หรือไม่ จะมีจุดร่วมกันอยู่หรือเปล่า จะมีคนน่าสงสัยที่ออกมาหรือไม่

แค่คิดเร็วๆ เมิ่งจ้งก็ตบพื้น “รีบไปสืบ!”

ตำรวจทุกนายรับคำกันอย่างกระปรี้กระเปร่าดูไม่ออกเลยว่าพวกเขาแทบไม่ได้นอนกันมาทั้งคืน

ไม่คอยให้พวกเขาแยกย้ายกันไปทำงาน ผู้บัญชาการระดับสูงก็พาคนสวมชุดนักพรตสี่คนเดินเข้ามาในคอนโดฯ สองคนในนั้นเป็นคนที่ทุกคนรู้จักดีคือหลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือ ส่วนชายวัยกลางคนอีกสองคนดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา ท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง ค่อนข้างวางมาด

เมิ่งจ้งรีบออกไปรับหน้าและรายงานเรื่องคดี

ผู้บัญชาการให้กำลังใจ “ดี อย่าปล่อยเบาะแสไหนให้หลุดไป พวกนายไปตรวจสอบเถอะ”

“พวกเขาคือ?” เมิ่งจ้งมองนักพรตสี่คนด้วยแววตาสงสัย

“พวกเขาเป็นผู้สูงส่งจากสมาคมลัทธิเต๋า พวกเขามีวิธีช่วยหวังหวั่นออกมา”

ตอนผู้บัญชาการพูด ชายวัยกลางคนสองคนรีบเดินไปที่หน้าลิฟต์ ออกคำสั่ง “ให้คนปิดประตูลิฟต์ เราจะวาดยันต์” พวกเขาหันมามองหน้าฟั่นจยาหลัวด้วยแววตาเยียบเย็น ในดวงตามีเพลิงแค้นและความอัดอั้นตันใจ เนื่องจากพวกเขารับปากอาจารย์ไว้แล้วว่าจะไม่ทำอะไรวู่วามก่อนหน้าที่ท่านปรมาจารย์จะมาถึง

ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะให้พวกเขาด้วยท่าทางสบายๆ

พวกเขากัดฟัน ทำได้เพียงเบนสายตา

ผู้บัญชาการให้เจ้าหน้าที่เทคนิคปิดประตูลิฟต์ทันที ทั้งคู่หยิบพวกจูซา เลือดไก่ ชอล์ก และจานเข็มทิศออกมาเริ่มวาดแผนผังบนประตูพลางอธิบาย “นี่คือแผนผังเคลื่อนย้ายฟ้าดินที่สืบทอดกันในสำนักเทียนสุ่ยเรามาเป็นพันปี สามารถเชื่อมหยินต่อหยาง ย่อมเชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่งเพื่อช่วยคนออกมาได้”

ผู้บัญชาการผงกศีรษะ ท่าทางเลื่อมใสพวกเขามาก

ฟั่นจยาหลัวเลิกคิ้ว “แผนผังที่สืบทอดกันในสำนักเทียนสุ่ยมาเป็นพันปี? ทำไมผมถึงไม่รู้”

ฉางเซิงกับฉางเจินตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็น

ฟั่นจยาหลัวคิดดูแล้วก็เข้าใจ ส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก ที่เขาไม่รู้ว่าสำนักเทียนสุ่ยมีแผนผังชนิดนี้เป็นเพราะอาจารย์ไม่เคยสอน แล้วทำไมถึงไม่สอน ย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเห็นศิษย์คนนี้เป็นผู้สืบทอดตัวจริงของสำนักเลยสงวนไว้

ไม่มีใครฝืนใจคนอื่นให้มาชอบตนได้ แต่ความไม่ชอบสามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา สามารถปฏิเสธ ถึงขั้นขับไล่คนไปไกลๆ ได้ แต่การยอมรับแล้วกดไว้ คอยกีดกันออกจากทุกสิ่งล่ะ เขาน่ารังเกียจมากขนาดนั้นเชียวหรือ

ฟั่นจยาหลัวมองความว่างเปล่า ประกายในดวงตาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง วูบวาบ สำหรับเขาความทรงจำในอดีตคือความรุ่มร้อน เขาเลยไม่เคยปล่อยให้ความคิดของตัวเองจมดิ่งอยู่ในอดีต ฟั่นจยาหลัวสัมผัสได้ว่า ดร. ซ่งสะกิดหลังมือของตน ชายหนุ่มจึงรีบกดข่มความทรงจำไม่น่าอภิรมย์พวกนั้นลงเพื่อมองฉางเจินกับฉางเซิงอีกครั้ง

ซ่งรุ่ยถามเสียงหนัก “พวกคุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะช่วยคนออกมาได้”

“ประมาณหนึ่งชั่วโมง” ฉางเซิงตอบอย่างยโส

“ไม่ได้” ซ่งรุ่ยพูดเสียงเฉียบขาด “พวกคุณคอยอีกสามชั่วโมงค่อยช่วยคนออกมาได้มั้ย เราเพิ่งได้เบาะแสมา มีความเป็นไปได้มากว่าจะใช้เบาะแสนี้จับคนร้ายได้ ถ้าพวกคุณเปิดมิติของเขาทางนี้ เขาจะรู้ตัวแล้วหนีไปทำให้การที่เราจะจับเขาอีกเป็นเรื่องยาก”

“คุณรับประกันได้มั้ยว่าจะจับคนร้ายได้ภายในสามชั่วโมง เกิดจับไม่ได้จะทำยังไง หวังหวั่นถูกขังมาสามสิบกว่าชั่วโมง ถ้าร่างกายเธออ่อนแอ ตอนนี้อาจใกล้ตายแล้ว คุณรับผิดชอบชีวิตของเธอได้หรือเปล่า เราอยากช่วยคนออกมาเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ แต่พวกคุณกลับขอให้เรารออีกสามชั่วโมง พวกคุณคิดอะไรอยู่ เห็นชีวิตคนเป็นของเล่นหรือ” ฉางเซิงบริภาษซ่งรุ่ย แต่ตากลับมองตรงไปที่ฟั่นจยาหลัว

ฟั่นจยาหลัวก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดเสียงเนิบ “ผมรับประกันได้ว่าภายในสามชั่วโมงนี้หวังหวั่นจะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะผมมองเห็นเธอ แล้วพวกคุณรับประกันได้หรือเปล่าว่าหลังช่วยเธอออกมาสำเร็จจะไม่มีคนถูกทำร้ายมากขึ้นอีก ความใจร้อนของพวกคุณกำลังผลักให้เรื่องไปสู่เส้นทางที่เลวร้ายที่สุด”

ฉางเซิงยิ้มเย็นอย่างไม่ใส่ใจ “ช่วยคนคือช่วยคน มีอะไรให้ต้องพูดพล่าม! เมื่อกี้เราเจอพ่อแม่ของหวังหวั่นและให้คำมั่นกับพวกเขาว่าจะช่วยหวังหวั่นกลับบ้านภายในหนึ่งชั่วโมง คนอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจความทุกข์ใจของการเสียคนในครอบครัวไปหรอก”

ฉางเซิงมองไปทางหลินเนี่ยนฉือพบว่าขอบตาเธอแดงตามคาด จึงรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างห้ามไม่อยู่

น้ำเสียงของซ่งรุ่ยทวีความเยียบเย็นกว่าเดิม “พวกคุณรู้ผลของการช่วยหวังหวั่นออกมาก่อนจะจับคนร้ายได้หรือเปล่า”

“รู้สิ การช่วยคนหนึ่งคนได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น พวกเรากำลังสร้างกุศล” ฉางเซิงหันกลับไปวาดแผนผังต่อด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางคุยกับตาแก่หัวโบราณสองคนนี้รู้เรื่อง แต่ซ่งรุ่ยก็ยังคงพูดจนจบ “สิ่งที่พวกคุณทำคือการยั่วโมโหคนร้าย เมื่อถูกยั่วโมโห เขาจะจับอีกคนต่อทันที”

ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่อีกคน แต่เป็นอีกหลายคน อัตราความเร็วในการพังทลายของห้วงมิติของเขาจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากสี่วันเป็นสามวันและหนึ่งวัน นี่ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอลง ตรงข้ามมันแสดงให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาสามารถทำลายห้วงมิติได้ตามใจโดยไม่ต้องมีอะไรมากระทบด้วยซ้ำ ความอยากฆ่าในใจส่งผลให้เขามีความชำนาญเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การสูบกินทุกชีวิตของเหยื่อคือการเสริมความแข็งแกร่งของเขา ผมเดาว่าเขาอาจมีพลังในการสร้างมิติแบบต่อเนื่อง ถึงขั้นสามารถสร้างมิติพร้อมกันหลายๆ มิติแล้ว”

ซ่งรุ่ยรีบเสริม “พูดอีกอย่างคือพอพวกคุณช่วยคนออกมา เขาก็จะสร้างอีกมิติหนึ่งทันทีเพื่อขังเหยื่อรายอื่น ถึงขั้นขังเหยื่อหลายคนในเวลาเดียวกัน”

ฉางเซิงกับฉางเจินยังคงวาดแผนผัง ไม่สนใจทั้งสองคน

ผู้บัญชาการโบกมือ พูดออกมาอย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไร ไม่ว่าคนร้ายจะขังคนอีกกี่คน ต้าซือกลุ่มนี้ก็ไปช่วยออกมาได้”

ซ่งรุ่ยค้านทันควัน “คุณรับประกันได้หรือเปล่าว่าจะเจอทุกคนที่ถูกขังและได้รับแจ้งทันเวลา”

ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้าปฏิเสธ “ช่วยไม่ไหวหรอกครับ ถึงผมจะไม่เข้าใจแผนผังชนิดนี้ แต่ผมรู้จุดร่วมของแผนผังทุกแผนผังว่าการใช้งานแผนผังที่มีอำนาจพลิกฟ้าแบบนี้ในแต่ละครั้งต้องใช้พลังวิเศษมหาศาล อาจสูบเอาฌานตบะของพวกเขาทุกคนออกไปหมด พูดอีกอย่างคือพอพวกเขาช่วยได้คนหนึ่งแล้ว ภายในระยะเวลาอย่างน้อยสามเดือนพวกเขาไม่มีทางช่วยคนที่สองได้อีก”

ฉางเซิงกับฉางเจินหยุดวาดแผนผังทันที หลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือหลบสายตาของทุกคนตามสัญชาตญาณแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลที่แอบซ่อนอยู่

ดูท่าฟั่นจยาหลัวจะพูดจี้ใจเข้าแล้วจริงๆ

ซ่งรุ่ยกล่าวเสียงหนัก “หลังก่อคดีแรกสำเร็จ คนร้ายคอยอยู่ครึ่งเดือนก่อนจะก่อคดีซ้ำ แต่หลังก่อคดีครั้งที่สอง ช่วงที่ห้วงมิติค่อยๆ พังทลายเขากลับคอยแค่สิบวัน จากนั้นก็แปดวัน ห้าวัน ความอยากของเขาเติบโตอย่างไร้จุดสิ้นสุด ความอดทนค่อยๆ หมดลง แตะถูกเส้นของความบ้าคลั่งเต็มรูปแบบแล้ว ทันทีที่เขาถูกยั่วโมโห เขาจะยิ่งลงมือไวขึ้น ตอนนี้เราได้เบาะแสสำคัญมา แค่ให้เวลาเราสามชั่วโมงก็จะยับยั้งคดีสังหารโหดที่จะเพิ่มขึ้นได้ คำขอนี้คงไม่ถือว่ามากเกินไปใช่หรือเปล่าครับ”

“ถ้าพวกคุณช่วยหวังหวั่นออกมาก่อนจะจับคนร้ายได้ ผลลัพธ์จะเลวร้ายมาก” ฟั่นจยาหลัวหลับตา “ผมมองเห็นความตาย รายแล้วรายเล่า ถนนใต้เท้าของพวกคุณหายไปในหมอกสีดำ กลิ่นอายแห่งความสิ้นหวังโอบล้อมรอบทิศ”

คำทำนายแม่นยำขั้นเทพของฟั่นจยาหลัวประกอบกับการตั้งข้อสันนิษฐานแบบมีเหตุผลและหลักฐานประกอบของ ดร. ซ่งทำให้ไม่มีใครไม่เชื่อ ผู้บัญชาการฟังแล้วมีเหงื่อเย็นๆ แตกเต็มศีรษะ รีบโบกมือ “งั้นพวกนายรีบไปหา ฉันให้เวลาพวกนายสามชั่วโมง!”

“ขอบคุณครับหัวหน้า!” เมิ่งจ้งรีบนำกำลังจากไป

ฉางเจินชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างหูฉางเซิง “จะคอยพวกเขาสามชั่วโมงจริงหรือ”

ฉางเซิงยิ้มเยาะ “คอยก็บ้าสิ พอวาดแผนผังเสร็จก็ช่วยคนออกมาทันที การจับคนร้ายมันง่ายนักหรือ ถ้าคอยให้จับคนร้ายได้ค่อยช่วยคนออกมา เกิดหวังหวั่นตายใครจะรับผิดชอบ เราสาบานกับพ่อแม่ของหวังหวั่นไว้ย่อมต้องรับผิดชอบ ถ้าหวังหวั่นตายครอบครัวของพวกเขาไม่มีทางไปเอาเรื่องกับตำรวจ และไม่มีทางไปเอาเรื่องกับฟั่นจยาหลัว มีแต่จะมาหาเรื่องเรา! เพราะฉะนั้นเราต้องพาคนกลับออกมาอย่างปลอดภัย”

“แต่เรื่องที่พวกเขาพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่นะ” ใบหน้าของฉางเจินเต็มไปด้วยความลังเล

น้ำเสียงของฉางเซิงยิ่งทวีความไม่แยแส “นายฟังไม่เข้าใจเหรอว่าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นแค่การคาดเดา ไม่แน่ว่าจะแม่นยำ แต่การที่พวกเราช่วยคนออกมาต่างหากที่เป็นเรื่องจริง!”

ระหว่างที่ทั้งคู่คุยกัน พ่อแม่ของหวังหวั่นพุ่งตัวเข้ามาในคอนโดฯ คุกเข่าลงบนพื้นโขกศีรษะ หลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือต้องรีบวิ่งเข้าไปประคอง แต่กลับถูกพวกเขากอดขาทั้งสองข้างอ้อนวอนไม่หยุด ทั้งคำพูดและการกระทำล้วนน่าเห็นใจมาก

ฉางเจินกับฉางเซิงมองตากันแล้วตัดสินใจว่าพอวาดแผนผังเสร็จจะช่วยคนออกมาอย่างไม่รีรอ

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED

/ Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com