ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 13 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 13 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด

※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 13 เหมือนเผชิญหน้าศัตรู

ถึงจะได้เงื่อนงำคดีของเกาอี้เจ๋อมาแล้วแต่หน่วยเฉพาะกิจกลับเข้าไปสู่ทางตันอีกครั้ง เพราะเบาะแสกับหลักฐานที่พวกเขาได้มายังน้อยเกินไป น้อยจนไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงคนกลุ่มนี้เข้าด้วยกันยังไง ตายเพราะอะไร หรือถูกใครฆ่า

เกาอี้เจ๋อกับหวังเหว่ยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียน สมัยเรียนนอกจากจะนัดกันไปเล่นบาสบ่อยๆ แล้วก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก คนหนึ่งเป็นนักเรียนดีเด่นบ้านรวย ส่วนอีกคนเป็นนักเรียนห่วยบ้านจน พอเรียนจบมัธยมปลายต่างคนต่างก็แยกไปคนละทาง ภูมิหลังชีวิตและสังคมแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่มีทางต่อกันติดเลย หลังเกาอี้เจ๋อมีชื่อเสียง หวังเหว่ยสไลด์ดูเวยป๋อเขาบ่อยๆ แต่ก็แค่สไลด์ดู ไม่ได้ทำอย่างอื่น

ส่วนจ้าวไคกับเหมาเสี่ยวหมิงยิ่งไม่มีทางมาข้องเกี่ยวกับเกาอี้เจ๋อ เพราะพอพวกเขาจบชั้นมัธยมต้นก็ทำงาน ปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูง เป็นแมงดา เข้าไปอยู่ในสถานกักกัน คลุกคลีอยู่ในระดับชั้นต่ำสุดของสังคม ชีวิตแทบไม่มีทางมาบรรจบกับเกาอี้เจ๋อ เช่นเดียวกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

หน่วยเฉพาะกิจเข้าใจว่าถ้าทั้งสี่คนเคยคบกันก็น่าจะเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนที่รุ่นใกล้ๆ กัน แล้วเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นระหว่างนั้นทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ด้วยกัน เป็นเหตุให้เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแบบนี้ในอีกหลายปีให้หลัง แต่สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไร และฆาตกรเป็นใคร

เพื่อหาคำตอบของคำถามนี้ หน่วยเฉพาะกิจจึงดำเนินการสัมภาษณ์และตรวจสอบเป็นการใหญ่ พวกเขาสอบถามอาจารย์ เพื่อนร่วมชั้น เพื่อนต่างชั้น และญาติของทั้งสี่คน แต่กลับไม่ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์เลย ในความทรงจำของทุกคน เกาอี้เจ๋อกับหวังเหว่ยเป็นแค่เพื่อนที่เล่นบาสด้วยกัน ส่วนเกาอี้เจ๋อกับจ้าวไคและเหมาเสี่ยวหมิงไม่เคยรู้จักกันและไม่เคยเจอกันในที่สาธารณะ สมัยเรียนเกาอี้เจ๋อเป็นคนที่มีความโดดเด่น ว่าง่าย รู้ความ เรียนได้เกรดดีเยี่ยม เป็นนักเรียนดีเด่น และมีความสัมพันธ์กับเพื่อนในระดับดีมาก ไม่เคยมีเรื่องแค้นเคืองกับใคร และยิ่งไม่มีทางไปทำเรื่องระยำตำบอนกับพวกกเฬวราก

ถึงผลการเรียนของหวังเหว่ยจะไม่ดี แต่เขามีนิสัยร่าเริง เปิดเผย มีมนุษยสัมพันธ์ดี ไม่เคยมีพฤติกรรมเลวร้าย ส่วนจ้าวไคกับเหมาเสี่ยวหมิงที่แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือ และทำงานอยู่ในละแวกเดียวกันบ่อยๆ แต่ไม่มีใครจำได้ว่าพวกเขาเคยอยู่กับเกาอี้เจ๋อและหวังเหว่ย ช่วงที่เกาอี้เจ๋อเรียนหนังสือ แถวนั้นไม่มีนักเรียนดร็อปกะทันหันหรือประสบอุบัติเหตุ ทุกคนต่างเรียนจบกันด้วยดี จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ไม่มีเบาะแสเชื่อมโยงพวกเขาสี่คนเข้าด้วยกัน แล้วพวกเขาจะทำความผิดร่วมกันได้ยังไง เรื่องนี้กลายมาเป็นปริศนาที่แก้ไม่ตก

“ตอนนี้มีเพียงฟั่นจยาหลัวที่ช่วยพวกเราหาตัวฆาตกรได้ ต่อให้เขาไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย แต่เขาก็รู้เรื่องวงใน!” จวงเจินพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจอย่างมาก

บ่ายวันนั้นจวงเจินจึงไปเยี่ยมเยียนคอนโดฯ ของฟั่นจยาหลัวด้วยตัวเอง

“คุณตำรวจจวง เจอกันอีกแล้วนะครับ” ฟั่นจยาหลัวเพิ่งตื่น เขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดหนึ่งตัว ปอยผมยังมีน้ำหยดติ๋งๆ อากาศเย็นๆ กรูออกมาจากหลังประตูที่เขาเปิดแง้มออก เย็นจนคนในหน่วยเฉพาะกิจถึงกับตัวสั่น

จวงเจินเข้าประเด็น “คุณฟั่น เชิญไปกับพวกเราหน่อยครับ คดีของเกาอี้เจ๋อต้องขอให้คุณให้ความร่วมมือในการสืบสวนของเรา”

“ได้ครับ กรุณารอสักครู่” ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะอย่างมีมารยาทแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็กส์สีดำ ผ้าสีดำสนิทห่อหุ้มร่างเพรียวแกร่งของเขา ขับเน้นให้เห็นผิวเนียนละเอียดขาวเผือดมากขึ้น ตอนเขาเดินมาที่ประตู เจ้าตัวชะงักเล็กน้อยก่อนยิ้มบางๆ พลางสั่นศีรษะ “เกือบลืมของตอบแทน”

ฟั่นจยาหลัวย้อนกลับไปหยิบกล่องกระดาษหนึ่งใบ แล้วขึ้นรถตำรวจไปอย่างปราศจากอาการลนลาน

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเลี่ยวฟางกำลังคุยเล่นกับพวกเพื่อนร่วมงาน “ใกล้หน้าร้อนแล้ว ฉันอยากซื้อร่มกันแดดสักคัน แต่หาแบบที่อยากได้ไม่เจอเลย”

“ฉันรู้จักร้านที่มีร่มสวยๆ อยู่สองร้าน เดี๋ยวส่งลิงก์ให้นะ”

“อ๋อ ร่มของสองร้านนั้นฉันไปดูมาแล้ว สวยน่ะสวยอยู่ แต่ไม่ใช่แบบที่ฉันอยากได้”

“แบบนี้ยังไม่สวยอีกเหรอ แล้วเธออยากได้แบบไหนล่ะ”

“ฉันอยากได้ที่เป็นลายดวงดาว จะให้ดีที่สุดคือเป็นลายราศีสิงห์ เพราะมันเป็นราศีของฉัน พื้นสีดำ ดาวสีเงิน ส่องแสงระยิบระยับเวลาโดนแดด” เลี่ยวฟางทำไม้ทำมือประกอบ ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ฉันจะช่วยเธอหา ร่มกันแดด รูปดาว ราศีสิงห์” ตำรวจหญิงอีกคนหยิบมือถือมาพิมพ์คีย์เวิร์ดในหน้าการค้นหา

“ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันหามาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เจอ” เลี่ยวฟางโบกมืออย่างเสียดาย เพิ่งจะขาดคำก็เห็นหัวหน้าเดินนำฟั่นจยาหลัวเข้ามาจากด้านนอก วันนี้คนคนนั้นสวมเสื้อสีดำกับกางเกงสีดำ ทำให้ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ ริมฝีปากสีแดงสด ตอนเขาเดินมาจากด้านนอกเหมือนทั้งตัวได้รับแสงตะวันมาอย่างเต็มที่จึงเปล่งประกายสดใสไม่จางหาย

เลี่ยวฟางกับพวกตำรวจหญิงตาค้าง จู่ๆ ก็พูดไม่ออกสักประโยค ทั้งที่รู้ว่าคนคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัย แต่พวกเธอยังคงไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเขาเข้ากับสิ่งไม่ดีอย่างความทารุณ โหดร้าย และกลิ่นคาวเลือดได้เลย

จวงเจินพาฟั่นจยาหลัวตรงเข้าไปในห้องสอบสวน เขาชี้ให้หลัวหงทำหน้าที่บันทึกข้อความ ตำรวจหญิงพวกนั้นแต่ละคนต่างใช้ความรู้สึกในการทำงาน และดูเหมือนใบหน้าของฟั่นจยาหลัวจะทรงอานุภาพมากกว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน หากจวงเจินไม่ได้ส่งคนไปเฝ้าดูตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาคงสงสัยว่าอีกฝ่ายไปทำศัลยกรรมมา

ฟั่นจยาหลัวหลุบตาลง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ท่าทางสงบเสงี่ยม

จวงเจินย้ายไฟส่องไปตรงหน้าเขา ภายใต้แสงจ้าขนาดนี้อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา ซ้ำยังหัวเราะนิดๆ เสียงหัวเราะแจ่มใสสะท้อนไปทั่วห้องสอบสวนที่มีบรรยากาศกดดัน ทำให้หลัวหงตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงหัวเราะของคนคนนี้มีเสน่ห์จริงๆ!

จวงเจินไม่มองฟั่นจยาหลัวเลย แค่ปล่อยแขนเสื้อที่พับอยู่ในระดับข้อศอกลงช้าๆ และติดกระดุมให้เรียบร้อย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนแขนเขามีอาการขนลุก

หลิวเทากับคนในทีมอีกสองคนอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ติดกัน พวกเขาสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของฟั่นจยาหลัวผ่านทางกระจก คนคนนี้หนักแน่นเกินไป พวกเขาไม่มีทางได้อะไรจากปากอีกฝ่ายแน่

ไม่ต้องพูดถึงตำรวจคนอื่นว่าอาจรับมือกับการสอบสวนครั้งนี้ไม่ไหว แม้แต่จวงเจินผู้มีประสบการณ์อย่างโชกโชนและเฉียบขาดยังไม่กล้ารับประกันว่าจะทลายปราการในจิตใจของฟั่นจยาหลัวได้หรือไม่ สำหรับเรื่องนี้เขาได้เตรียมพร้อมไว้โดยเฉพาะแล้ว

เดิมทีเก้าอี้ในห้องสอบสวนจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ต้องสงสัย นอกจากพนักพิงกับผิวหน้าของเก้าอี้ที่หุ้มด้วยหนังบางๆ แล้ว ส่วนอื่นล้วนทำขึ้นจากเหล็ก ด้วยเหตุผลว่าจะได้ขัดต่อหลักสรีระของมนุษย์ ทำให้คนนั่งไม่รู้สึกถึงความผ่อนคลาย ทั้งเย็น ทั้งแข็ง ทั้งไม่สบายตัว ความรู้สึกแบบนี้จะส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ต้องสงสัยหนักขึ้น ทำให้การสอบสวนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่จวงเจินกลับมีความรู้สึกว่าเก้าอี้แบบนี้สบายมากสำหรับฟั่นจยาหลัว เขาจึงเปลี่ยนเป็นเก้าอี้เหล็กที่ไม่มีหนังหุ้มเลยสักนิด ภายในห้องสอบสวนเล็กแคบ ไม่ระบายอากาศ อุณหภูมิย่อมต่ำกว่าข้างนอกมาก แค่เดินเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความมืดและความหนาวเย็น พอนั่งลงบนเก้าอี้เย็นๆ แข็งๆ ความรู้สึกไม่สบายตัวจะเพิ่มขึ้นทันที

ไฟขาวบนโต๊ะถูกให้แสงแรงกว่าไฟทั่วไป เวลาลำแสงขาวส่องตรงไปที่ใบหน้าย่อมแสบตาจนผู้ต้องสงสัยลืมตาไม่ขึ้น ในเวลานี้อีกฝ่ายย่อมมีความรู้สึกไร้ที่กำบัง จริงๆ แล้ว ความรู้สึกแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ท่ามกลางแสงที่สว่างพรึบขึ้นมา พฤติกรรมทุกอย่างของผู้ต้องสงสัยย่อมถูกตำรวจตรงหน้ามองออก ต่อให้ผู้ต้องสงสัยไม่พูดเลยสักคำ แต่อาการกระตุกของริมฝีปาก การหดตัวของรูม่านตา การเบี่ยงเบนสายตา ไปจนถึงจังหวะการหายใจ ล้วนสามารถฟ้องเบาะแสให้แก่ตำรวจได้มาก

แต่พอทุกสิ่งมาอยู่เบื้องหน้าฟั่นจยาหลัว มันกลับเหมือนไม่มีอะไรเลย เขานั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้เหล็กที่ทั้งเย็นทั้งแข็ง ขาเรียวทั้งสองข้างไขว่ห้างทำมุมสวย เช่นเดียวกับมือขาวจัดซึ่งวางซ้อนอยู่บนโต๊ะ แสงไฟสีขาวที่สาดมาพบกับความงดงามยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน

เขานั่งอยู่ในห้องสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย แต่กลับวางมาดโอ่อ่างดงาม สำรวมเรียบร้อย เหมือนมางานพบปะเพื่อนฝูง

ในหนึ่งนาที หลัวหงลอบมองเขาหลายสิบครั้งแล้ว รู้สึกชื่นชมความแข็งแกร่งทางจิตใจของคนคนนี้อย่างมาก

คิ้วกระบี่สีดำสนิทของจวงเจินขมวดเข้าหากันแน่นจนหว่างคิ้วกลายเป็นร่องลึก เขาเดาได้อยู่แล้วว่าการสอบสวนครั้งนี้จะต้องยากมาก แต่ในเมื่อสองสิ่งที่เตรียมมาใช้ไม่ได้ผล เขาก็ทำตามวิธีของตัวเองด้วยการจ้องฟั่นจยาหลัวนิ่งๆ ไม่พูด ในขณะที่หลัวหงคอยพลิกดูเอกสารไปเรื่อยๆ เหมือนเตรียมหลักฐานเอาไว้มากมาย

ความเงียบคือแรงกดดันอย่างหนึ่ง สิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวมากที่สุดไม่ใช่การมาของปัญหา แต่เป็นการเฝ้าคอยสิ่งที่กำลังจะเข้ามา เนื่องจากช่วงเวลาที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี้สามารถทำให้ผู้ต้องสงสัยคิดอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย และยิ่งพวกเขาคิดก็จะยิ่งไม่มั่นใจว่าทางตำรวจได้เบาะแสอะไรไปแล้วบ้าง ทางตำรวจมีหลักฐานจริงหรือเปล่า แล้วตัวเองควรจะอธิบายอย่างไร ยอมรับดีหรือไม่…

ความคิดฟุ้งซ่านพวกนี้จะกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ซัดสาดใส่กลไกการป้องกันทางจิตของผู้ต้องสงสัย ทำให้การสอบสวนต่อจากนั้นดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมาก

จวงเจินเชี่ยวชาญเรื่องการรับมือด้านจิตวิทยาของผู้ต้องสงสัยในคดีอาญามาก แต่เขากลับต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งเมื่อฟั่นจยาหลัวไม่ได้หวาดกลัวความเงียบและการรอคอย ความอดทนของอีกฝ่ายสูงกว่าจวงเจินมาก การนั่งอยู่ในห้องสอบสวนที่มีบรรยากาศกดดันอย่างหนักทั้งวันแบบนี้สำหรับฟั่นจยาหลัวไม่นับว่าเป็นอะไรเลย คนคนนี้สามารถรับมือกับดวงไฟเจิดจ้า พร้อมกับใช้ดวงตาเป็นประกายทว่ายังคงดำสนิทอย่างน่าแปลกใจคู่นั้นจ้องมองไปยังจวงเจินโดยปราศจากการหลบหลีก ความรู้สึกชอบ หรือกระทั่งความเกลียดชัง

นอกจากความสวยของดวงตาสุกใสกับความอ่อนโยนที่ทำให้รู้สึกเกลียดไม่ลงแล้ว จวงเจินไม่พบสิ่งอื่นใดบนใบหน้าของฟั่นจยาหลัวเลย มุมปากสีแดงสดของเขาถึงขั้นโค้งเป็นรอยยิ้มสู้กับความเชือดเฉือนในสายตาคมกริบของจวงเจินด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่า ‘ยินดีรับทุกอย่างที่คุณจัดมา’

จวงเจินหลุบตาหลบหน้ายิ้มๆ ของอีกฝ่าย หัวใจที่สงบนิ่งอยู่แต่เดิมเริ่มปรากฏระลอกคลื่น เขารำคาญใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่าการสอบสวนยังไม่ทันเริ่ม ฟั่นจยาหลัวก็ชิงเป็นต่อไปก่อนแล้ว คู่ต่อสู้ที่รับมือยากขนาดนี้ ทั้งชีวิตคงมีให้เจอได้แค่คนเดียว

การเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอย่างระมัดระวังของจวงเจินและหลัวหง กับท่าทางสบายๆ ผ่อนคลายของฟั่นจยาหลัว เป็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนพวกหลิวเทาที่ยืนจับสังเกตฟั่นจยาหลัวอยู่ที่หน้ากระจกทางเดียวอดรู้สึกท้อใจไม่ได้

“ผมรู้สึกว่าคดีนี้มีสิทธิ์ค้างเติ่ง!”

“ทำไมสภาพจิตใจของเขาถึงได้ดีขนาดนี้!”

“หัวหน้าจะต้องมีวิธีจัดการเขาแน่ๆ พวกค้ายารายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกลุ่มไท่ปานเขาก็เป็นคนสอบ ฟั่นจยาหลัวไม่มีทางเจ้าเล่ห์เกินหน้ากลุ่มไท่ปานหรอก”

“ฉันรู้สึกว่าเขานิ่งกว่ากลุ่มไท่ปาน พอเข้าประตูมาเขาก็นั่งเฉยๆ ตั้งสิบกว่านาที แต่องศามุมปากกลับไม่เปลี่ยนเลย กลุ่มไท่ปานยังไม่นิ่งเหมือนเขา”

“รองหัวหน้าครับ ด็อกเตอร์ซ่งมาแล้ว!” ตำรวจนายหนึ่งเคาะประตูห้องสังเกตการณ์ และนำผู้ชายท่าทางคงแก่เรียนคนหนึ่งเข้ามา

หลิวเทาดีใจมาก รีบเชิญชายคนนั้นมาที่หน้ากระจกพร้อมเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ พอรู้ว่าสภาพจิตของฟั่นจยาหลัวนิ่งมาก ชายคนนั้นกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพียงเชื่อมหูฟังบลูทูธเพื่อคุยกับจวงเจินในสายว่า “เหล่าจวง เริ่มถามได้แล้ว ผมจะช่วยคุณดีลเอง”

ซ่งรุ่ยคือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นที่ปรึกษาวิชาจิตวิทยาอาชญากรรมของสันติบาล คนร้ายที่ถูกเขาสอบไม่มีคนไหนที่ไม่ให้ความร่วมมือ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 14 ได้ในวันที่ 1 .. 64

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com