everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 14 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 14 ทำอะไรไม่ได้
ความจริงที่จวงเจินรีรอไม่ยอมเริ่มสอบปากคำ หนึ่งคือเพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฟั่นจยาหลัว สองเพื่อคอยการมาของ ดร. ซ่งรุ่ย เนื่องจากมีหลักฐานว่าฟั่นจยาหลัวเป็นผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกขั้นร้ายแรง เขาจึงมีบุคลิกหลากหลายและมีความซับซ้อน สภาพจิตใจไม่แน่นอน แตกต่างจากคนทั่วไปมาก ยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจความคิดของเขา และไม่มีวิธีใดที่จะเจาะกลไกการป้องกันทางจิตของเขาเข้าไป ด้วยเหตุนี้จวงเจินจึงคิดว่าต้องขอความช่วยเหลือจากฝ่ายอื่นที่มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาอยู่ด้วย
จวงเจินไม่เคยมองว่าตัวเองเก่งและไม่เคยดูแคลนฝ่ายตรงข้าม จากหลักฐานที่ปรากฏหลายต่อหลายครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฟั่นจยาหลัวเป็นคู่แข่งที่เล่นด้วยยากเป็นพิเศษ นิสัยของเขาแปลกประหลาด เอาแน่เอานอนไม่ได้ จนไม่สามารถจับจุดอ่อนของเขาได้
ดร. ซ่งรุ่ยเชี่ยวชาญการวิเคราะห์จิตใจของผู้ต้องสงสัยคดีอาญามากที่สุด ด้วยเหตุนี้จวงเจินจึงเชิญเขามา
พอได้ยินเสียงจากทางบลูทูธว่า ดร. ซ่งรุ่ยมาถึงแล้ว และกำลังดูอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ติดกัน จวงเจินถึงเปิดแฟ้มเอกสาร เตรียมเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ขณะที่หลัวหงหยิบปากกาบันทึกเสียงมากดปุ่มอัดเสียง
ตอนแรกฟั่นจยาหลัวนั่งขาซ้ายไขว้ทับขาขวา แต่ตอนนี้เขาค่อยๆ เปลี่ยนท่าอย่างน่ามองเป็นขาขวาไขว้ทับขาซ้าย พร้อมกันนั้นเขาก็หันหน้าไปมองกระจกที่อยู่ห่างจากตนไปสองสามเมตร ยกมุมปากขึ้นนิดๆ
ตำรวจหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลิวเทาทำตาโต เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “รองหัวหน้าครับ ดูเหมือนเขาจะยิ้มให้ผม! เขาน่าจะมองไม่เห็นผมไม่ใช่หรือครับ”
“นายเป็นมือใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานหรือไง ฟั่นจยาหลัวรู้ว่ากระจกนี้เป็นกระจกทางเดียว การที่เขาทำแบบนี้ก็เท่ากับท้าทายพวกเรา! แม่งเอ๊ย คนคนนี้มันร้ายกาจ!” หลิวเทาลูบศีรษะที่ล้านไปแล้วครึ่งหนึ่งของตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธระคนอับจนหนทาง
ฟั่นจยาหลัวเหมือนคนที่มีเปียอยู่บนหัว คว้าไปจับทีไรก็อยู่มือ แต่มีเพียงคนที่ทำอาชีพตำรวจมานานถึงจะรู้ว่าหลักฐานที่เห็นอยู่พวกนั้นไม่สามารถเอาผิดเขาได้เลย อย่างมากก็ทำได้แค่กักตัวเขาไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งถ้าในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้เขาไม่สารภาพ กรมตำรวจต้องปล่อยตัวเขาไป
“ด็อกเตอร์ครับ ครั้งนี้จะปิดคดีได้อย่างราบรื่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณและหัวหน้าแล้วนะครับ” หลิวเทามองซ่งรุ่ยตาปริบๆ
ซ่งรุ่ยพลิกดูบันทึกการรักษาโรคทางจิตเวชของฟั่นจยาหลัวแล้วผงกศีรษะ “ผมจะพยายามเต็มที่”
ทั้งสองคนหยุดพูด เนื่องจากจวงเจินที่อยู่ทางห้องสอบสวนเริ่มเอ่ยขึ้นว่า “ในฐานะอดีตดาราไอดอลที่ดังแบบสุดๆ ช่วงหนึ่ง คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง”
มุมปากของฟั่นจยาหลัวโค้งขึ้นขณะพูดว่า “ดาราเป็นแค่สินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์สวยเป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาให้คนอื่นมอง ไม่มีอะไรน่าประเมินค่า”
“คงไม่ได้ปลอมทุกอย่างหรอกมั้ง ไม่มีด้านที่เป็นจริงบ้างหรือ” จวงเจินถามเสียงอ่อนโยน
“ของจริงที่ไหนจะกลัวโดนน้ำแค่น้อยนิด นั่นก็เท่ากับของปลอมแล้ว” ฟั่นจยาหลัวหัวเราะเบาๆ พลางสั่นศีรษะ
จวงเจินถามเหมือนคุยเล่น “คุณกับเกาอี้เจ๋อเป็นสมาชิกวงเดียวกัน คุณน่าจะพอรู้จักเขาบ้างใช่มั้ย คุณว่าเขาเป็นคนยังไง”
“ไม่มีอะไรให้ประเมินค่า” ฟั่นจยาหลัวยังคงส่ายหน้า องศาของมุมปากไม่เปลี่ยน
จวงเจินยังอยากคุยเรื่อยเปื่อยต่อ แต่ซ่งรุ่ยสั่งผ่านบลูทูธมาว่า “ไม้นี้ใช้กับเขาไม่ได้ผล ดูจากมอนิเตอร์ สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนเลย ทำให้ผมตั้งเกณฑ์ตัดสินไม่ได้ คุณลองเปลี่ยนเป็นคำถามที่ทิ่มแทงกว่านี้หน่อย ลองยั่วอารมณ์เขาให้ของขึ้น ตอนนี้อารมณ์เขานิ่งมาก เราต้องทำลายความนิ่งของเขา”
จวงเจินนิ่งไปสองวินาทีแล้วเลิกวิธีถามปัญหาที่ใช้อยู่อย่างรวดเร็ว
เพื่อรับมือกับฟั่นจยาหลัว ก่อนเริ่มการสอบสวนครั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจได้รับการชี้แนะจากซ่งรุ่ยเรื่องขั้นตอนการสอบสวนทั้งหมด อย่างแรกคือให้จวงเจินชวนฟั่นจยาหลัวคุยเล่นด้วยท่าทีอ่อนโยน ถามเขาเรื่องชีวิตประจำวันที่ไม่เจ็บไม่ปวด เมื่อฟั่นจยาหลัวไม่รู้สึกถึงการถูกคุกคาม คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องจริง
และเวลาที่เขากำลังคิดว่าควรตอบปัญหาพวกนี้ยังไง ลูกตาเขาจะกลอกไปมา นิ้วอาจจะเผลอลูบอะไรบางอย่าง ปลายนิ้วจะขยับ ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้สามารถทำให้เจ้าหน้าที่สอบสวนกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสามารถตั้งเกณฑ์ตัดสินได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริงหรือเท็จ และทิศทางการสอบสวนเป็นไปในทางที่ถูกหรือไม่
นอกจากนี้การที่ซ่งรุ่ยให้จวงเจินเปิดประเด็นนี้ยังมีข้อดีอีกหนึ่งอย่างคือระหว่างที่ถูกสอบไปเรื่อยๆ ผู้ต้องสงสัยจะรักษาความนิ่งไว้ได้ยาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาพูดไปเยอะมาก และการจู่ๆ ก็เงียบไปคือการแสดงออกถึงความรู้สึกผิดอย่างมาก ดังนั้นเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องฝืนเล่าต่อ นี่คือลักษณะความเฉื่อยทางความคิด พอเขาพูดเยอะแล้ว ผู้สอบสวนย่อมได้สิ่งที่ต้องการจากปากเขา
วิธีนี้ถูกใช้อยู่บ่อยครั้ง ต่อให้เป็นพวกค้ายารายใหญ่อย่างกลุ่มไท่ปานก็เผลอขายตัวเองได้เหมือนกัน
และตอนนี้สิ่งที่ซ่งรุ่ยคิดคือการที่หน่วยเฉพาะกิจเชิญตนมารับมือกับดาราหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่เพราะต้องการเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัว* แต่เพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว
ทุกมุมของห้องสอบสวนมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ สามารถจับตาความเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยได้ทุกอย่าง เวลานี้ซ่งรุ่ยนั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ ย่นหัวคิ้ว หน้าเครียด จ้องมองชายหนุ่มบนหน้าจออย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่ออยู่ใต้แสงไฟสว่างจ้า ผิวที่ขาวของอีกฝ่ายยิ่งเปล่งประกาย ทว่าดวงตากลับดำสนิทจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ตอนจวงเจินเริ่มถามคำถาม เขายิ้มน้อยๆ อยู่ตลอด องศาของมุมปากไม่ลดและไม่เพิ่มเลยสักนิด ดวงตาจดจ้องที่จวงเจินไม่กะพริบ ไม่เคยเลื่อนไปไหน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเขากำลังใช้สมองด้านไหนในการคิดวิเคราะห์ มือทั้งสองข้างของเขาประสานกันและวางอยู่บนโต๊ะ นิ้วเรียวนุ่มแข็งแรง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ขาทั้งสองข้างไขว่ห้าง ปลายเท้าชี้ลงบนพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคยขยับ
ท่าทางของเขาดูสบายๆ และน่ามองมาก ทว่ากลับนิ่งสนิทเหมือนรูปปั้น มีเพียงสองตาที่สว่างโรจน์มีชีวิตชีวา
ซ่งรุ่ยไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากอากัปกิริยาและ Microexpression* ใดๆ ของฟั่นจยาหลัว และไม่สามารถตั้งเกณฑ์ตัดสินความจริงเท็จ เมื่อไม่มีเกณฑ์ จวงเจินย่อมไม่รู้ว่าทิศทางการสอบปากคำของตนถูกหรือผิด รูปแบบการสอบปากคำที่พวกเขาเซ็ตไว้ถูกฟั่นจยาหลัวทำลายหมด
หลังได้รับคำชี้แนะจากซ่งรุ่ย จวงเจินใช้เวลาสองสามวินาทีเพื่อเปลี่ยนวิธีคิด และถามคำถามแทงใจออกมา “คุณรู้มั้ยว่าข่าวเสียๆ ของคุณกว่าครึ่งเกาอี้เจ๋อเป็นคนปล่อย ดูเหมือนความประทับใจที่เขามีต่อคุณจะไม่ดีเอามากๆ เลยนะ”
ฟั่นจยาหลัวยิ้ม แต่ไม่ตอบ
จวงเจินพูดต่อ “ฉากหน้าเขาดูแลคุณดีมาก แต่ลับหลังกลับทำลายคุณอย่างเอาเป็นเอาตาย คุณรู้หรือเปล่าว่าเป็นเพราะอะไร ระหว่างพวกคุณมีความแค้นฝังรากลึกอะไรต่อกันเขาถึงได้ทำรุนแรงกับคุณแบบนี้”
ฟั่นจยาหลัวมองจวงเจินยิ้มๆ ส่ายหน้าแต่ไม่พูด
จวงเจินจึงเพิ่มระดับการโจมตีทางวาจา “จากการตรวจสอบของเรา ตั้งแต่วงสตาร์ได้เดบิวต์จนกระทั่งมีชื่อเสียง สิ่งที่ใช้ทั้งหมดคือทรัพยากรของคุณ หรือพูดได้ว่าเกาอี้เจ๋อมีวันนี้ได้เพราะการสนับสนุนของคุณ การที่เขาแค้นคุณจึงไร้เหตุผล พวกเรายังสืบได้อีกว่าเขาไปได้ข่าวเรื่องที่คุณถูกไล่ออกจากสกุลฟั่นจากใครสักคนในวงการเลยรีบปล่อยข่าวเสียๆ ของคุณลงเน็ต เพราะอยากทำลายคุณจนอดใจรอไม่ไหว ถ้าพวกคุณไม่เคยมีเรื่องแค้นกัน ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้”
ฟั่นจยาหลัวยังยิ้มรับ สีหน้าไม่เพียงไม่เปลี่ยน ม่านตายังไม่หดตัวลงด้วย
ซ่งรุ่ยจดจ้องชายหนุ่มในมอนิเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ ก่อนถอนหายใจ “คนคนนี้ไม่มีช่องโหว่เลยจริงๆ ผมไม่สงสัยเลยว่าถ้ามีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ พวกเราคงได้เห็นว่าอัตราการเต้นของหัวใจเขาไม่เปลี่ยนเลย การควบคุมอารมณ์ของเขาไปถึงระดับสุดยอดแล้ว”
จวงเจินสะกดกลั้นความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ผุดขึ้นมา เค้นถามต่อว่า “ตอนนี้คุณต้องอยู่อย่างลำบากมากไม่ใช่หรือ จากการตรวจสอบของพวกเราคุณต้องจ่ายค่าละเมิดสัญญาเป็นเงินหนึ่งร้อยสามสิบล้าน ยังมีอีกหลายบริษัทฟ้องเอาค่าเสียหายจากคุณเป็นเงินก้อนโต กระแสความนิยมของคุณหมดไป ไม่เหลือทั้งฐานะและชื่อเสียง มีแต่แอนตี้ ถ้าหากเกาอี้เจ๋อไม่คอยผลักคุณอยู่ด้านหลัง ต่อให้ถูกไล่ออกจากสกุลฟั่น คุณก็ยังสามารถทำมาหากินอยู่ในวงการบันเทิงได้ แต่คุณดูซิว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง วงการบันเทิงไม่มีที่สำหรับคุณ คุณไม่มีประวัติการศึกษาหรือความชำนาญ ต้องขายของเก่ากิน ต่อไปถ้าของพวกนั้นหมดแล้วคุณจะทำยังไง ไปขอทานอยู่ข้างถนนหรือ คุณถูกเกาอี้เจ๋อทำให้ชีวิตพัง เสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีทางไป คุณไม่แค้นบ้างเลยหรือ”
ถ้าเป็นคนทั่วไปมาได้ยินคำพูดแทงใจแบบนี้ เกรงว่าคงแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ แต่ฟั่นจยาหลัวกลับมองจวงเจินยิ้มๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ภาษากายของเขากับใบหน้าที่นุ่มนวลฟ้องว่าเขาไม่โมโหเลย ตรงกันข้าม เขากลับกำลังผ่อนคลายมาก เหมือนกำลังฟังเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
จวงเจินคอยอยู่สองวินาทีแล้วยังไม่ได้รับปฏิกิริยาตามที่คาด ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้
หลัวหงเกาศีรษะ สีหน้าฉายแววท้อใจออกมาอย่างไม่ทันรู้สึกตัว ทำไมฟั่นจยาหลัวคนนี้ถึงได้ดีลด้วยยากขนาดนี้ ขนาดไม่มีทนายยังรู้ว่าอะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้
“ย่ามันเถอะ!” หลิวเทาที่ยืนอยู่หน้ากระจกทางเดียวอดระเบิดคำสบถออกมาไม่ได้ “ปากของฟั่นจยาหลัวถูกเย็บไว้หรือไงถึงรู้จักแต่ยิ้มๆๆ ไม่ยอมพูดเลยสักประโยค! เห็นหน้ายิ้มๆ ของมันแล้วกำปั้นงี้คันยิบ อยากประเคนใส่สักหมัด!”
“รองหัวหน้าครับ คุณอย่าต่อยกระจกนะ เดี๋ยวเขาได้ยิน” ตำรวจหนุ่มสองนายที่อยู่ซ้ายขวาช่วยกันดึงตัวหลิวเทาออกห่างจากกระจกทางเดียว
ซ่งรุ่ยถอดแว่นกรอบทองบางๆ ออกเพื่อนวดหัวคิ้วที่เริ่มปวด ออกคำสั่ง “การใช้คำพูดเล่นงานเขาไม่ได้ผล ลองใช้การจู่โจมทางจักษุประสาทดู”
ขั้นตอนการสอบสวนที่วางแผนไว้ล่วงหน้าถูกฟั่นจยาหลัวป่วนหมดแล้ว วิธีการสอบสวนของหน่วยเฉพาะกิจจึงต้องยกระดับขึ้นทีละก้าวๆ วิธีพิเศษนี้จะใช้กับนักโทษอำมหิตที่สุดหรือผู้สมรู้ร่วมคิดที่มีความน่ากลัวเท่านั้น จวงเจินคิดไม่ออกเลยว่าฟั่นจยาหลัวฝึกให้ตัวเองเป็นแบบนี้ได้ยังไง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคุณชายบ้านรวยที่ได้รับการประคบประหงมมาเป็นอย่างดี แต่เหมือนจิ้งจอกเฒ่าที่มีตบะพันปีมากกว่า
จวงเจินปรับไอเดียในการสอบใหม่ เขาหยิบภาพถ่ายสี่ใบออกมาจากแฟ้มเอกสาร วางเรียงลงตรงหน้าฟั่นจยาหลัวแล้วพูดเสียงเย็น “คุณรู้จักพวกเขามั้ย”
ในที่สุดดวงตาของฟั่นจยาหลัวที่เอาแต่จดจ้องจวงเจินก็ขยับหลุบลงมอง
ภาพถ่ายแบบเลือดสาดสี่ใบทำให้อากาศภายในห้องสอบสวนมืดเย็นลงกว่าเดิม เมื่อมองจากซ้ายไปขวา ภาพแรกคือศพของเกาอี้เจ๋อที่ตกตึกลงมาตาย สมองไหล กะโหลกแตก แขนขาหักงอ เลือดเหนียวข้นเจิ่งนองพื้น ภาพที่สองเป็นภาพชายหนุ่มคนหนึ่งนอนแผ่หลาอยู่ในซอยแคบ ที่ท้องมีมีดปัก เลือดสีแดงสดเปียกชุ่มเสื้อของเขา ภาพที่สามเป็นภาพชายหนุ่มคนหนึ่งนอนเปลือยอยู่บนเตียง นิ้วชี้กับนิ้วนางข้างซ้ายถูกตัดขาด เลือดไหลโชก ที่คอมีรอยรัดสีม่วงเข้ม ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ น้ำปัสสาวะสีเหลืองกับเลือดสดๆ จึงเปื้อนผ้าปูที่นอนสีขาว เป็นภาพอุจาดตา ภาพที่สี่เป็นภาพชายหนุ่มหนึ่งคนขดตัวอยู่ข้างโถส้วม ปากอ้าเต็มไปด้วยฟองฟอด ตรงข้อพับแขนซ้ายมีรอยเข็มเจาะพรุน มือขวากำเข็มไซริงก์แน่น
ภาพถ่ายสี่ใบฟ้องถึงลักษณะการตายอย่างอนาถสี่แบบ และภาพเหล่านี้ได้เข้าไปในคลองจักษุของฟั่นจยาหลัวแบบเต็มๆ จวงเจินจดจ้องฝ่ายตรงข้ามตาไม่กะพริบ ด้วยเกรงว่าจะพลาดความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 15 ได้ในวันที่ 4 ต.ค. 64