ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด

※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 2 ไม่เกรงกลัว

นักสะกดจิตนั่งอยู่ใต้ดวงไฟแสงสลัว สองมือประสานกันใต้คาง พร้อมจดจ้องชายหนุ่มที่นอนอยู่ตรงหน้าตนอย่างจริงจัง สำหรับผู้ป่วย การสะกดจิตขั้นลึกเป็นวิธีรักษาที่อันตรายที่สุด หากไม่ระวังจะส่งผลร้ายหรือทำให้กลายเป็นโรคเรื้อรังซึ่งยากแก่การรักษา

แต่ฟั่นจยาหลัวยืนกรานและยืนยันว่าจะรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง พร้อมเซ็นเอกสารปฏิเสธความรับผิดชอบไว้ให้ เมื่อนั้นนักสะกดจิตจึงฝืนใจตอบตกลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบผู้ป่วยอาการหนักขนาดนี้ ตามที่ชายหนุ่มเล่า แม้แต่ตัวเขายังไม่แน่ใจว่าในร่างผอมอ่อนแอนี้มีบุคลิกรองซ่อนอยู่มากน้อยแค่ไหน สามสิบ สี่สิบ หรือมากกว่านั้น

พูดกันตามหลัก อำนาจของบุคลิกหลักจะมีความแข็งกล้ามากที่สุด แต่การสูบกลืนบุคลิกรองจำนวนมากในชั่วข้ามคืนกลับไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากสะกดจิต ชี้นำ และปลุกแล้ว นักสะกดจิตไม่สามารถช่วยเหลือคนไข้ได้มากกว่านี้ ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยเจ้าตัว

คอยอยู่นิ่งๆ ได้สองชั่วโมงกว่า พบว่าใบหน้าของผู้ป่วยนิ่งสงบดีมาก นักสะกดจิตเผลอโล่งอก เขาน่าจะคิดได้อยู่แล้วว่าด้วยนิสัยและวิธีการของผู้ป่วยที่มีความรุนแรงขนาดนี้ บุคลิกรองที่ไหนจะเป็นคู่มือของชายหนุ่มได้

นักสะกดจิตเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น หยิบสมุดโน้ตมาจดบันทึกทุกสิ่งในวันนี้ วินาทีที่เขาจรดปากกา ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนโซฟาก็เริ่มดิ้น แขนขาเหมือนถูกเชือกล่องหนพันธนาการ ทำได้เพียงตะกุยตะกายและชักอยู่ในองศาที่จำกัด บัดนี้ใบหน้าที่ตอนแรกนิ่งสงบกลับบิดเบี้ยว แสดงให้เห็นความดุร้ายของวิญญาณแค้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและผวาอย่างมาก

นักสะกดจิตตกใจ รีบวิ่งไปปลอบและชี้นำชายหนุ่มให้ตื่น แต่สัญญาณหลายอย่างที่ตกลงกันไว้ตอนต้นกลับใช้ไม่ได้ผล ชายหนุ่มยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงหลับลึก ดิ้นพราดทว่าไร้เรี่ยวแรงที่จะหลบหนี ด้วยเครื่องหน้าที่บิดเบี้ยวกับเสียงร้องครวญครางของอีกฝ่าย ทำให้นักสะกดจิตได้แต่เดาว่าชายหนุ่มกำลังพบเจอสิ่งใดในความฝัน มันไม่ใช่ความหวาดกลัวและสิ้นหวังแบบคนจมน้ำ ชายหนุ่มผู้โอหังคนนี้ไม่มีทางที่จะแสดงท่าทีน่าอนาถราวแกะที่ถูกเชือดแบบนี้

นักสะกดจิตคอยปลุกอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สำเร็จ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ยกศีรษะขึ้น แอ่นหลัง พร้อมกับแผดเสียงร้องแหลม ทำให้นักสะกดจิตเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงตายแน่แล้ว ทว่าวินาทีต่อมาเขากลับร่วงกลับไปบนโซฟาอย่างแรงและหลับสนิทไปอีกครั้ง ราวกับอาการดิ้นรน ชักกระตุก และร้องโหยหวนก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น

นักสะกดจิตมองชายหนุ่มอย่างขวัญหนีดีฝ่ออยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจ ไม่ได้ตายคาห้วงฝัน เขาจึงถอดแว่นสายตาออกเพื่อเช็ดเหงื่อเย็นๆ และพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด

“เฮ้อ! คุณ เมื่อไหร่จะตื่น” นักสะกดจิตที่เตรียมจะใส่แว่นกลับไปบนสันจมูกต้องตกใจเมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาดำสนิท ปราศจากความสับสนและอารมณ์ความรู้สึกอย่างกะทันหัน

“เพิ่งตื่น” ชายหนุ่มพิศดูนักสะกดจิตแวบหนึ่งแล้วเลียริมฝีปากที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนเลือดตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ พูดด้วยน้ำเสียงอิ่มเอมเกียจคร้าน “ผมจะนอนอีกสักพัก คุณกลับไปก่อนได้เลย ค่ารักษาที่เหลือผมจะให้ผู้ช่วยโอนให้”

นักสะกดจิตสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มได้อย่างฉับไว ดวงตาของอีกฝ่ายใสกระจ่างลึกล้ำเกินไป ต่างจากดวงตาสีอำพันของฟั่นจยาหลัวคนเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำเสียงของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป คล้ายน้ำพุที่ผ่านการกรองมาเรียบร้อย ทั้งเย็นเยียบและอ่อนโยน ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

ชายหนุ่มพูดพลางปิดเปลือกตาลง แล้วหลับไปอีกครั้ง สีหน้านิ่งเฉยกว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา นักสะกดจิตจดจ้องใบหน้างดงามของอีกฝ่ายแล้วสมองก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสน เขากล้ารับประกันว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ฟั่นจยาหลัวคนก่อนแน่นอน เพราะน้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเกินไป อารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่บนใบหน้าอบอุ่นเกินไป ทำให้เส้นสายของใบหน้าพลอยอ่อนละมุนลงตามความอ่อนโยนนี้ แสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่งดงามกว่า แตกต่างจากคนก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน!

พูดอีกอย่างคือฟั่นจยาหลัวแพ้ ร่างกายเขาจึงถูกบุคลิกรองยึดครอง! นักสะกดจิตรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วแต่ไม่กล้าพูดไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น เนื่องจากบุคลิกหลักคือฟั่นจยาหลัว บุคลิกรองก็คือฟั่นจยาหลัว ใครชนะใครแพ้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น เพราะเป็นการต่อสู้ภายในของพวกเขา

พอคิดแบบนี้นักสะกดจิตก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วออกจากคอนโดฯ แห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว แม้คนที่ตื่นขึ้นมาจะดูอ่อนโยนกว่าฟั่นจยาหลัวคนก่อน แต่ไม่รู้เพราะอะไร เมื่ออีกฝ่ายมองมา ใจของเขาถึงรู้สึกหนาวยะเยือก

 

ฟั่นจยาหลัวที่ถูกเปลี่ยนตัวตนข้างในนอนหลับรวดเดียวสามวัน ช่วงเวลาสามวันนี้ความนิยมและหน้าที่การงานของเขาเสียหายอย่างหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อเข้าใกล้กับเทพบุตรในดวงใจ เขาออดิชันเข้าไปในบริษัทบันเทิงที่อีกฝ่ายบริหารอยู่จนได้เป็นเด็กฝึก และใช้แบ็กของครอบครัวเพื่อแย่งโอกาสกับทรัพยากรของคนอื่นจนกลายเป็นหนึ่งในบอยแบนด์ผู้ทรงอิทธิพลที่ได้รับการเดบิวต์ เพื่อให้ได้รับความสนใจและเป็นเจ้าของความฮอต เขาเลือกใช้ทุกวิธีการ แม้จะเพิ่งเข้าสู่วงการได้ไม่นานแต่กลับล่วงเกินคนไปไม่น้อย

ทว่าสกุลฟั่นมีเงินและอำนาจ ซ้ำยังเป็นเพื่อนของเจ้าของบริษัทบันเทิงในเครือสกุลจ้าว เมื่อสองฝ่ายร่วมมือกันย่อมสามารถจัดการเรื่องแย่ๆ ที่ฟั่นจยาหลัวก่อไว้ได้ ปูทางอำนวยความสะดวกให้แก่เขา ช่วยดันเขาขึ้น ทำให้วงที่ชื่อว่าสตาร์โด่งดังภายในระยะเวลาสั้นๆ ดึงดูดแฟนคลับจำนวนสิบล้านคนได้อย่างถล่มทลาย

ในชีวิตส่วนตัว ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าไหร่ที่พอได้ยินคำว่า ‘ฟั่นจยาหลัว’ สามคำนี้แล้วต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น แต่กลับไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขาซึ่งหน้า

แต่บัดนี้ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนไป เมื่อนายหญิงสกุลฟั่นเสียชีวิตไปได้ไม่นาน นายใหญ่สกุลฟั่น ฟั่นลั่วซาน ได้ประกาศต่อสื่อใหญ่แบบอดรนทนไม่ไหวว่าฟั่นจยาหลัวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา แต่เป็นลูกเลี้ยงที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด เวลานี้อีกฝ่ายบรรลุนิติภาวะแล้ว สมควรออกจากตระกูลไปใช้ชีวิตเอง

ความหมายของคำพูดประโยคนี้คือนับจากวันนี้เป็นต้นไป ทุกเรื่องที่ฟั่นจยาหลัวทำล้วนไม่เกี่ยวข้องกับสกุลฟั่น สกุลฟั่นจะไม่ช่วยตามเก็บกวาดให้ และไม่ซัพพอร์ตอะไรเขาอีก

ทันทีที่ข่าวนี้ออกไป ข่าวเสียหายของฟั่นจยาหลัวก็ถูกปล่อยออกมาตามหนังสือพิมพ์และอินเตอร์เน็ต เรื่องที่เขาด่าทอสตาฟฟ์จนหน้าแดงคอแดง เรื่องที่เขาแข่งรถแบบไม่สนกฎจราจรจนถูกพาตัวไปสถานีตำราจ เรื่องที่เขาเต้นดิสโก้อยู่ใต้แสงไฟหัวสั่นหัวคลอนและมีสีหน้ามึนเมาเหมือนคนเสพยา เรื่องที่เขาตะโกนสารภาพรักกับจ้าวเหวินเยี่ยน ผู้บริหารบริษัทสเตลล่าร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์แล้วถูกปฏิเสธจนหน้าตาบิดเบี้ยว แววตาน่ากลัว แต่วินาทีต่อมาเขากลับทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ แล้วถามผู้คนรอบตัวแบบมึนๆ ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน…

คลิปประเภทนี้ถูกปล่อยลงอินเตอร์เน็ตทีละคลิปๆ กลายเป็นระเบิดที่ทำลายเขา ทำให้ตัวตนและชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาอย่างยากลำบากแหลกสลายกลายเป็นเศษซาก

‘ฟั่นจยาหลัวทำกร่าง’ ‘ฟั่นจยาหลัวเมาแล้วขับ’ ‘ฟั่นจยาหลัวทำตัวเละเทะ’ ‘ฟั่นจยาหลัวอาจเป็นพวกรักร่วมเพศหรือไบเซ็กช่วล’ ‘ฟั่นจยาหลัวเป็นโรคจิต หลายบุคลิก และมีแนวโน้มเป็นคนเจ้าอารมณ์ ต่อต้านสังคม’ พาดหัวข่าวเว่อร์วังที่สื่อปล่อยออกมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และความผิดที่ถูกกุขึ้นก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนวงในกับผู้คนมากมายวิ่งเข้าใส่เหมือนไฮยีน่า พร้อมใจกันฉีกทึ้งฟั่นจยาหลัวเป็นชิ้นๆ

ฟั่นจยาหลัวใช้เวลาไปกว่าครึ่งปี ไต่จากศิลปินอันดับสิบแปดขึ้นมาเป็นอันดับสอง แต่ร่วงจากศิลปินอันดับสองไปเป็นไอ้กากที่ถูกถ่มน้ำลายใส่ในโลกอินเตอร์เน็ตกลับใช้เวลาแค่สามวัน ไม่มีใครคิดว่าฟั่นลั่วซานจะไร้น้ำใจขนาดนี้ มือหนึ่งดันลูกเลี้ยงขึ้นฟ้าแล้ว อีกมือก็ผลักเขาลงนรก เหมือนฮ่องเต้ผู้บงการทุกสิ่ง ทำให้คุณเป็นบ้าและทำให้คุณตายดับได้

เวลาสามวัน จะบอกว่ายาวก็ไม่ยาว จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น เพียงพอให้ทีมผู้จัดการวางแผนรับมือทว่ากลับติดต่อตัวต้นเรื่องไม่ได้ และไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัทในการแก้ปัญหา เมื่อกระแสสังคมดำเนินไปจนได้ที่ย่อมไปถึงจุดเลวร้ายที่ไม่สามารถควบคุมได้อีก

‘ไอ้กากฟั่นจยาหลัว ไสหัวออกจากวงการบันเทิงไป!’ กลายเป็นสโลแกนของความถูกต้องทางการเมือง* กระจายไปทั่วทุกมุมของสื่อ ชาวเน็ตที่เปลี่ยนจากแฟนคลับเป็นแอนตี้ และคนทั่วไปที่เปลี่ยนเป็นแอนตี้มีจำนวนมากมายมหาศาล พูดได้ว่าไม่มีที่ยืนของฟั่นจยาหลัวในวงการบันเทิงอีกต่อไป

 

สามวัน…ในที่สุดชายหนุ่มที่สลบไสลก็ลืมตาสีดำสนิทดุจน้ำหมึกขึ้น เขาลุกนั่งช้าๆ ปัดเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้างดงาม เวลานี้ดวงหน้านั้นเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ความคมเข้มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนละมุน ความดุร้ายรุนแรงค่อยๆ หายไป ผิวที่ขาวกว่าคนทั่วไปแต่เดิมตอนนี้ขาวจนโปร่งใส ทว่าริมฝีปากสีชมพูอ่อนกลับแดงก่ำประดุจดื่มเลือด

ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้คนรอบตัวจะสังเกตเห็นได้ยาก แต่มันทำให้ชายหนุ่มมีเสน่ห์เย้ายวนเพิ่มเติมเข้ามาอย่างประหลาด เขาเดินไปที่ห้องครัวอย่างไม่เร็วไม่ช้า รินน้ำหนึ่งแก้ว ดื่มอึกๆ จนหมดก่อนเปิดมือถืออย่างเป็นธรรมชาติ เช็กดูข่าวสารที่ได้รับในช่วงหลายวันมานี้ด้วยท่าทีที่ถอดแบบมาจากฟั่นจยาหลัวคนเดิม

เสียงแจ้งเตือนดังระงมเปลี่ยนให้ห้องเงียบๆ นี้มีเสียงดังหนวกหู ข้อความส่วนตัวจากหลากหลายช่องทางเต็มไปด้วยคำสาปแช่งและด่าทอ ประเดประดังเข้าใส่ชายหนุ่มเต็มๆ ไม่นานเขาก็สำเหนียกได้ถึงสภาวะยากลำบากของตน ทว่ารอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากกลับไม่ได้เลือนหาย และเขาไม่ได้วิ่งออกไปขอความช่วยเหลืออย่างแตกตื่นลนลาน ซ้ำยังเลื่อนอ่านข่าวแต่ละข่าวได้อย่างใจเย็นเป็นที่สุด หลังเข้าใจสถานการณ์แล้วเขาก็วางมือถือ เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ถอดเสื้อผ้าออกไปยืนใต้ฝักบัวที่ปล่อยน้ำเย็น

เขาไม่ได้ใช้อุปกรณ์อาบน้ำใดๆ แค่แหงนหน้าหลับตา ปล่อยให้สายน้ำกระทบถูกเรือนร่างผอมบางของตัวเองราวกำลังครุ่นคิด ไม่รู้ว่าผิวขาวซีดของเขาไปโดนอะไรทำให้เปล่งรังสีสีดำมืดหม่นออกมา รังสีเหล่านี้ค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นตัวอักษรสันสกฤตขนาดเล็กจิ๋ว ก่อนจะกลายเป็นภาพดอกบัว วงรี และวงแหวน ปรากฏอยู่บนผิวกายขาวซีดของเขาเป็นพืด ตั้งแต่ข้างแก้มถึงคอ ตั้งแต่สะบักไหล่ถึงหลังเอว และตั้งแต่สะโพกถึงน่อง แทบไม่มีพื้นที่ว่าง

ชายหนุ่มลืมตา ลูบภาพอักษรสันสกฤตเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจแล้วปิดก๊อก เช็ดตัวให้แห้ง เดินกลับไปที่ห้องรับแขก

มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารยังคงส่งเสียงไม่หยุด แต่เมื่อไม่มีคนรับมันก็ตัดสายไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ผ่านไปสักพักมันก็ส่งเสียงแบบบ้าคลั่งอีกครั้ง แสดงถึงความไม่ยอมเลิกรา

ชายหนุ่มพันผ้าขนหนูรอบเอวก่อนเดินไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า รับสายเสียงเนิบ “ฮัลโหล”

คนปลายสายได้ยินเสียงเขาไม่ได้มีความร้อนรนกระวนกระวายก็ระเบิดอารมณ์ออกมา อีกฝ่ายด่ากราดมาเป็นชุดก่อนตบท้ายว่า “ฟั่นจยาหลัว นายต้องมาถึงบริษัทภายในยี่สิบนาที ไม่งั้นฉันจะไม่ให้พื้นที่นายได้คืนวงการอีกเลย!”

“คุณคอยเดี๋ยว” ฟั่นจยาหลัวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสาย

ไม่ให้พื้นที่คืนวงการ? คำพูดประโยคนี้เหมือนจะเกี่ยวพันกับชีวิตที่แสนสั้นแต่ยาวนานของเขา แล้วเขาต้องกลัวหรือเปล่านะ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 3 ได้ในวันที่ 6 .. 64

 

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com