everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 ภาพวาดอันน่าสะพรึง
ฟั่นจยาหลัวขึ้นลิฟต์มาที่ลานจอดรถ เขาจำรถของเจ้าของร่างคนเดิมได้อย่างรวดเร็ว แม้เขาดูจะไม่คุ้นกับการขับรถแต่มีท่าทีสนใจมาก เขาพิจารณาหน้าปัดและมิเตอร์ต่างๆ อย่างละเอียดจนคุ้นเคยกับฟังก์ชันทุกอย่าง แล้วลูบพวงมาลัยกับเกียร์แบบอัตโนมัติ ดวงตาสีดำเปล่งประกาย เผยความเป็นเด็กออกมาหลายส่วน
พอคุ้นเคยกับตำแหน่งต่างๆ ภายในตัวรถ เขาก็หลับตาเหมือนทบทวนความทรงจำว่าจะเคลื่อนไปได้อย่างไร และจะบังคับเครื่องยนต์เหล็กนี้แบบไหน พอลืมตาขึ้นอีกครั้งฟั่นจยาหลัวก็สตาร์ตรถ เหยียบคันเร่ง ขับออกจากที่จอดรถไปด้วยความเร็วสูง จังหวะที่ไปถึงประตู ท้ายรถที่สะบัดเหมือนจะชนก็กลับเปลี่ยนมาทรงตัวได้อย่างรวดเร็วก่อนหายลับไป
ครึ่งชั่วโมงต่อมาฟั่นจยาหลัวมาถึงบริษัทสเตลล่าร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เขาเดินมาที่ห้องทำงานของผู้จัดการเฉาเสี่ยวเฟิงอย่างเจนทาง พอเคาะประตูเสร็จก็เดินเข้าไปเจอที่เขี่ยบุหรี่อันหนึ่งลอยมาใส่หน้า
“แม่งเอ๊ย ในที่สุดก็ยอมโผล่! สามวันนี้นายหายไปไหนมาฮะ ยังไม่ตายอีกเหรอ ฉันอยากให้นายตายๆ ไปซะ ฉันจะได้จัดงานศพแล้วโยนเรื่องระยำตำบอนพวกนั้นของนายเข้าเตาเผาไปพร้อมโลงของนายให้เหี้ยน จะได้ไม่เหนื่อยคนอื่น! รู้มั้ยว่าวงสตาร์เสียหายเพราะนายไปมากแค่ไหน งานพรีเซ็นเตอร์หลายงานที่ฉันเพิ่งรับไว้ถูกนายทำป่วนหมดแล้ว! นายอยากบินเดี่ยวใช่มั้ย ตอนนี้นายได้บินเดี่ยวแล้ว! ถ้ารู้ก่อนว่าจะมีวันนี้ วันที่นายขอบินเดี่ยวฉันน่าจะให้นายเอาทีมพวกนั้นของนายไสหัวไปให้หมด!”
ฟั่นจยาหลัวรับที่เขี่ยบุหรี่ไว้แล้ววางคืนบนโต๊ะด้วยท่าทางนิ่งๆ สีหน้าเรียบสนิท ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เฉาเสี่ยวเฟิงไม่เคยแสดงท่าทีต่อเขาแบบนี้ เมื่อก่อนอีกฝ่ายแสนจะประจบเอาใจ แต่ตอนนี้กลับลงไม้ลงมือและด่าทอไม่ยั้ง เปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ
เฉาเสี่ยวเฟิงคร้านจะมองหน้าชายหนุ่มอีก เขาลุกขึ้นยืน ฝืนข่มเพลิงโทสะแล้วเอ่ยว่า “ไป ประธานหลิวอยากเจอนาย”
ฟั่นจยาหลัวเดินตามหลังเฉาเสี่ยวเฟิงไปเงียบๆ ดวงตาสีดำสนิทคอยมองการตบแต่งภายในบริษัทเป็นระยะ ไม่มีสีหน้าแตกตื่นหรือหวาดกลัว ทว่าดูสนอกสนใจเล็กน้อยเหมือนแขกที่มาเยี่ยมชม
ทั้งคู่เดินผ่านระเบียงทางเดินและขึ้นลิฟต์มายังห้องผู้บริหารที่ชั้นยี่สิบแปด พนักงานฝ่ายเลขานุการขวางพวกเขาไว้ที่หน้าประตู พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ประธานหลิวกำลังยุ่ง พวกคุณต้องคอยก่อนนะคะ”
“อ้อๆ โอเค” เฉาเสี่ยวเฟิงรับคำ ผงกศีรษะค้อมตัว เขาถลึงตาใส่ฟั่นจยาหลัวหนึ่งครั้ง
ความตั้งใจแรกของเลขาฯ คือทำโทษฟั่นจยาหลัวให้ยืนอยู่หน้าประตู คอยให้ประธานหลิวเรียกค่อยเข้าไป แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องร้ายแรงมากแค่ไหน เขาเดินไปยังโซนพักผ่อนที่อยู่ด้านข้าง หาโซฟานุ่มๆ นั่งแล้วหยิบมือถือออกมาสไลด์ดู
เวลานี้แค่เข้าอินเตอร์เน็ตก็จะเจอข่าวเสียๆ หายๆ ของฟั่นจยาหลัวชนิดมืดฟ้ามัวดิน ถ้อยคำร้ายกาจทุกรูปแบบเข้ายึดหน้าเวยป๋อของเขานานแล้ว แฟนคลับที่ตอนแรกมีอยู่สิบล้าน ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบล้าน ครึ่งหนึ่งตั้งใจเข้ามาด่าเขาโดยเฉพาะ ส่วนอีกครึ่งคือแฟนคลับที่เปลี่ยนเป็นแอนตี้ ต่างตั้งหน้าตั้งตาเหยียบซ้ำ แฟนคลับผู้ภักดีซึ่งมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย เพิ่งจะโผล่มาก็ถูกมหาชนชาวเน็ตบีบให้ต้องออกไป ซ้ำยังถูกตราหน้าว่า ‘สมองพัง’ อีก
ถ้าเปลี่ยนเป็นศิลปินที่ต้องอาศัยกระแสเพื่อเลี้ยงปากท้อง คาดว่าตอนนี้คงยับเยินไปแล้ว แต่ฟั่นจยาหลัวกลับทำเหมือนไม่มีอะไร เขาไม่ได้ปิดเวยป๋อหนีคำวิจารณ์ และไม่ได้หลบไปร้องไห้น้ำตานอง แต่กลับอ่านข่าวเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมดอย่างสนอกสนใจ
เฉาเสี่ยวเฟิงเห็นท่าทางของเขาแล้วเตรียมจะเดินไปด่าอีกยก แต่กลับเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หล่อเหลาสองคนเดินมาอย่างรีบร้อนเสียก่อน พวกเขาคือเกาอี้เจ๋อกับซุนอิ่ง สมาชิกอีกสองคนของวงสตาร์
“พวกนายมาแล้ว” เฉาเสี่ยวเฟิงรีบไปต้อนรับด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
ทั้งสามคนยืนคุยกันเร็วๆ อยู่มุมหนึ่ง เหมือนกำลังหารือเรื่องแก้ข่าว ฟั่นจยาหลัวใช้มือข้างหนึ่งยันเท้าคาง มองเพื่อนร่วมวงของเจ้าของร่างเดิมทั้งสองคน สีหน้าเรียบเฉยเผลอเปลี่ยนเป็นสนอกสนใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น ถ้าขยับเข้าไปดูใกล้ๆ คนที่ช่างสังเกตจะพบว่ารูม่านตาของเขาหดตัวลงเป็นเส้นบางๆ เหมือนดวงตาแนวตั้งของสัตว์ป่า ดวงตาที่ดำสนิทแต่เดิม บัดนี้ยิ่งดูลึกล้ำจนยากจะคาดเดา
เกาอี้เจ๋อพลันรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาทั้งตัว เขาเผลอเงยหน้ามองไปทางโซนพักผ่อนและพบว่าต้นตอของปัญหามาแล้วจึงแสดงสีหน้าเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า* ออกมา แต่เขาก็อดทนไว้ ไม่ทำอะไร ทว่าพอซุนอิ่งเห็นฟั่นจยาหลัวกลับไม่มีความปรานีเหมือนหัวหน้าวง อีกฝ่ายถกแขนเสื้อเตรียมปะทะ
เฉาเสี่ยวเฟิงดึงซุนอิ่งไว้ พูดเสียงเบา “ที่นี่คนเยอะ ระวังหน่อย ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่คอยจ้องพวกนายอยู่ ห้ามก่อเรื่อง”
เกาอี้เจ๋อกดไหล่ซุนอิ่งและยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค ทำให้ชายหนุ่มที่เกือบจะพ่นไฟสงบลง
พอประธานหลิวที่ว่ากันว่ากำลังยุ่งได้ยินเสียงเอะอะข้างนอกก็ร้องบอก “เสี่ยวเจ๋อกับเสี่ยวอิ่งมาแล้วใช่มั้ย รีบเข้ามา”
ทั้งสามคนเลิกหันไปมองฟั่นจยาหลัว เดินเรียงกันเข้าไปในห้อง
พนักงานประจำชั้นเดินมาที่โซนพักผ่อน แต่ไม่มีใครสักคนสนใจฟั่นจยาหลัว ต่างทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ ที่ครั้งนี้ประธานหลิวให้หาตัวฟั่นจยาหลัวเพราะเตรียมจะแบนเขา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในบริษัทนานแล้ว
ที่ผ่านมาเพราะเห็นแก่หน้าสกุลฟั่น จ้าวเหวินเยี่ยนผู้บริหารสเตลล่าร์จึงให้การดูแลฟั่นจยาหลัวเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้จ้าวเหวินเยี่ยนแค่กำจัดข่าวและการสืบค้นเรื่องชู้สาวระหว่างตนกับฟั่นจยาหลัวออก ทว่าไม่ได้จัดการเรื่องข่าวเสียอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ไม่มีปัญญาจัดการเรื่องพวกนี้ แต่ยินดีกอดอกยืนมองอยู่ด้านข้างมากกว่า
การวางตัวของผู้ใหญ่ย่อมส่งผลต่อผู้น้อย วิธีล้างมลทินหลายอย่างที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดไว้ถูกเบื้องบนดอง และหันไปให้ความสำคัญแก่สมาชิกที่เหลืออีกสองคนแทน แผนคือให้พวกเขาตัดความสัมพันธ์กับฟั่นจยาหลัว ถ้าทำได้ดี เกาอี้เจ๋อกับซุนอิ่งจะสามารถขายความน่าสงสาร เรียกคะแนนเห็นใจ ถูกจับเปรียบเทียบ ได้รับการผลักดันจนได้รับความนิยม และเป็นที่สนใจมากขึ้น พลิกสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นดี บริษัทเตรียมจะสร้างกระแสไปในทางที่ดีขึ้น
สำหรับฟั่นจยาหลัว สถานการณ์แบบนี้คือหิมะคลุมน้ำค้างแข็งเกาะ** ถ้าแผนของบริษัทสำเร็จ หน้าที่การงานและอนาคตของเขาย่อมจบสิ้น ทว่าตัวเขาในตอนนี้กลับไม่แสดงสีหน้าวิตกกังวลออกมาให้เห็น ตรงกันข้าม เขายังขอยืมสมุดโน้ตหนึ่งเล่มกับปากกาจากเลขาฯ มาวาดรูปอย่างไม่ยี่หระ
อีกสามคนพูดคุยกับประธานหลิวอยู่ในห้อง และอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาซุนอิ่งก็เดินออกมาก่อน ในขณะที่เฉาเสี่ยวเฟิงกับเกาอี้เจ๋อยังคงหารือเรื่องแผนอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะเรื่องความสามารถหรือรูปลักษณ์ของเกาอี้เจ๋อล้วนเป็นอันดับต้นๆ ในวงการบันเทิง และเป็นไอดอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวง การที่บริษัทให้ความสำคัญกับเขามากกว่าจึงไม่ใช่เรื่องผิด
ซุนอิ่งกับเกาอี้เจ๋อสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ จึงไม่เคยมีความรู้สึกอิจฉาริษยา หลังปิดประตูซุนอิ่งก็เดินตรงมาหาฟั่นจยาหลัวอย่างฉุนเฉียว พูดเสียงเบาว่า “เราไปคุยกันที่บันไดหนีไฟหน่อย”
“คุยเรื่องอะไร” ฟั่นจยาหลัววางปากกา เอ่ยถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“นายมากับฉัน!” ซุนอิ่งคว้าคอเสื้อฟั่นจยาหลัวเพื่อลากตัวไป พนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างรู้ว่าซุนอิ่งอาจลงไม้ลงมือแต่ก็ไม่มีใครห้าม ความเป็นตายของฟั่นจยาหลัวเกี่ยวอะไรกับพวกเขากัน
ประตูบันไดหนีไฟถูกซุนอิ่งเตะเปิดจนเกิดเสียงดังสนั่น เขาอัดฟั่นจยาหลัวติดผนังอย่างแรงจนกระดูกหลังแทบป่น แต่จนแล้วจนรอดฟั่นจยาหลัวก็เพียงย่นหัวคิ้ว แสดงสีหน้าเจ็บปวดที่หาได้ยากออกมา
“ถ้านายพอมีจิตสำนึกอยู่บ้างก็ไปโพสต์เวยป๋อขอโทษทุกคนแล้วประกาศถอนตัวออกจากวงซะ อย่ามาถ่วงฉันกับพี่เจ๋อ สามวันที่นายหายตัวไปพี่เจ๋อแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะต้องคอยเคลียร์เรื่องยุ่งๆ ของนาย เราเป็นทีมเดียวกัน ค่าเสียหายที่นายละเมิดสัญญาฉันกับพี่เจ๋อจะช่วยรับผิดชอบส่วนหนึ่ง นายพอใจหรือยัง” ซุนอิ่งถามแบบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ฟั่นจยาหลัวพิงผนังอย่างเกียจคร้าน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “ถ้าไม่ได้สกุลฟั่นที่เป็นแบ็กของฉัน พวกนายจะดังเหมือนตอนนี้? จะได้ทีมงานที่ศิลปินระดับเอลิสต์ยังหาได้ยากหรือ พวกนายอาศัยบารมีฉัน ฉกฉวยผลประโยชน์จากฉันไปตั้งเยอะแล้วยังไม่พอใจ แล้วฉันจะทำอะไรได้”
ทรัพยากรของวงสตาร์เป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงอย่างมาก และเป็นเพราะมีฟั่นจยาหลัวอยู่ในวงจริงๆ ซุนอิ่งโกรธจนควันขึ้นแต่หาคำมาเถียงไม่ได้ ทว่าเมื่อเขานึกได้ว่าฟั่นจยาหลัวไม่ใช่คุณชายใหญ่สกุลฟั่นอีกแล้ว และแผนบินเดี่ยวของอีกฝ่ายก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อารมณ์ของซุนอิ่งก็ดีขึ้น ตอนแรกคนคนนี้ตั้งใจทิ้งวง แต่ตอนนี้กลับเป็นคนที่ถูกทิ้ง กฎแห่งกรรมมีจริง คนชั่วย่อมถูกกรรมสนอง!
ทั้งคู่นิ่งกันอยู่พักหนึ่งเกาอี้เจ๋อก็มาหา เขาเหวี่ยงตัวซุนอิ่งไปด้านหลัง ถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ สุดท้ายจึงหันมามองฟั่นจยาหลัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “จยาหลัว ฉันคุยกับท่านประธานหลิวแล้ว ค่าละเมิดสัญญาของนายฉันจะช่วยรับผิดชอบส่วนหนึ่ง ถึงยังไงฉันก็เป็นหัวหน้าวง ต้องรับผิดชอบดูแลนาย และรับผิดชอบปกป้องวงของพวกเรา นายกลับไปพักผ่อนก่อน คอยให้เรื่องสงบแล้วค่อยออกมาพูด ถ้ามีปัญหาโทรหาฉันได้ตลอดเวลา มือถือฉันเปิดรอนายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
เกาอี้เจ๋อพูดพลางยื่นมือมาหมายจะลูบศีรษะของชายหนุ่มแต่กลับถูกอีกฝ่ายเบี่ยงหลบ มองเข้าไปในดวงตาสีดำที่ปราศจากความสับสนของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หัวใจเกาอี้เจ๋อพลันรู้สึกเย็นเยือก ไม่รู้ทำไมเขาถึงลืมบทพูดที่คิดมาจนหมดเกลี้ยง
ฟั่นจยาหลัวมองหน้าเกาอี้เจ๋อนิ่งๆ สุดท้ายเขาก็หัวเราะเบาๆ “ขอบคุณในความหวังดีของนาย แต่ไม่จำเป็น ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนาย” ฟั่นจยาหลัวฉีกกระดาษจากสมุดโน้ตออกมาหนึ่งแผ่น พับแล้วยัดใส่มือเกาอี้เจ๋อ พูดเสียงเนิบ “ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าขึ้นไปเดินบนที่สูง เพราะความตายเป็นแค่จุดเริ่มต้นของหายนะ”
นิ้วเย็นๆ ลูบแก้มของเกาอี้เจ๋อเบาๆ และหยุดนิ่งที่ลำคอของเขาหลายวินาที ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มบางๆ แต่ร้ายกาจอย่างยิ่งเดินลงบันไดไป เงาแผ่นหลังสูงเพรียวค่อยๆ หายลับเข้าไปในความมืด
เกาอี้เจ๋ออึ้งไปพักหนึ่งก่อนจับราวบันได ตะโกนว่า “จยาหลัวกลับมาก่อน ประธานหลิวมีเรื่องจะคุยกับนาย! จยาหลัว จยาหลัว!”
ซุนอิ่งลงบันไดตามไป สักพักก็วิ่งหอบฮักกลับมาโบกมือ “พี่เจ๋อ ฟั่นจยาหลัวหายไปแล้ว! น่าจะลงลิฟต์ชั้นล่างไปแล้ว เขาเป็นอะไรไป ข่าวเสียตั้งเยอะแยะเขาไม่แคร์เลยเหรอ เขานึกว่าตัวเองยังเป็นคุณชายใหญ่สกุลฟั่นอีกหรือไง! นิสัยแบบนี้ถ้าไม่ปล่อยให้เขาตายแล้วใครจะตาย! พี่เจ๋อไม่ต้องไปสนใจเขา ทำตามที่ประธานหลิวบอก ตัดขาดกับเขาซะ”
“ขอฉันคิดดูก่อน ถึงยังไงเราก็เป็นทีมเดียวกัน จะทิ้งหินลงบ่อ* ไม่ได้” เกาอี้เจ๋อส่ายหน้า เดินออกจากประตูบันไดไปอย่างกลัดกลุ้ม
เฉาเสี่ยวเฟิงเข้ามาถาม “ฟั่นจยาหลัวล่ะ ประธานหลิวอยากเจอเขา”
“เขาไปแล้ว!” ซุนอิ่งบอกอย่างอารมณ์เสีย
“ว่าไงนะ ที่ให้เขามาเพราะจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง หลังโดนแบนไม่แน่ว่าเขาอาจคืนวงการได้ ทำไมถึงไปซะแล้ว ดีๆๆ ถ้าเขาอยากตัดหนทางตัวเองฉันก็จะไม่สนใจอีก ปล่อยเขาไปเลย! พวกนายเอาบัญชีเวยป๋อให้ฉัน ฉันจะให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดการ ฟั่นจยาหลัวเก่งนักไม่ใช่เหรอ งั้นก็มาช่วยหนุนพวกนาย ส่งพวกนายไปให้ไกลขึ้นอีกแล้วกัน ตัวเขาตอนนี้ก็มีประโยชน์แค่นี้แหละ”
ซุนอิ่งส่งบัญชีให้ทันที เกาอี้เจ๋อลังเล แต่เพราะถูกผู้จัดการกับเพื่อนกล่อม สุดท้ายเลยต้องเลือกอย่างอับจนหนทาง
ฟั่นจยาหลัวที่กลายเป็นหินหนุนนั่งอยู่บนรถสปอร์ตคันเล็ก เขาสตาร์ตรถอย่างกระตือรือร้น เตรียมจะไปวนรอบเมืองอันศิวิไลซ์แห่งนี้สักรอบ เขาไม่เคยเก็บเอาข่าวเสียๆ หายๆ ของเจ้าของร่างเดิมมาใส่ใจ แต่จะไม่ยอมถูกใช้ง่ายๆ ข่าวที่กระจายอยู่บนอินเตอร์เน็ตพวกนั้น โดยเฉพาะคลิปที่ถูกถ่ายจากมุมที่อยู่ใกล้มาก ภาพค่อนข้างชัดเจนและนิ่ง ถ้าไม่ใช่คนที่สนิทกันมากๆ ไม่มีทางแอบถ่ายได้แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ตั้งแต่ต้นว่าคนที่สร้างกระแสตัวจริงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่อยู่ร่วมกับเจ้าของร่างเดิมทั้งวันทั้งคืนนั่นเอง
ในบรรดาคนพวกนี้ใครน่าสงสัยที่สุด นอกจากสมาชิกของวงสองคนกับผู้จัดการ ฟั่นจยาหลัวก็นึกถึงคนอื่นไม่ออก หลังจากพบเกาอี้เจ๋อกับซุนอิ่ง เขาก็แน่ใจว่ามือมืดที่อยู่หลังม่านคือใคร แต่ไม่คิดที่จะไปแก้แค้น เพราะเขาเห็นภาพล่วงหน้าแล้วว่าต่อให้วงนี้ไม่ถูกคนทำลายก็ต้องเกิดความร้าวฉานภายใน และสุดท้ายก็ไม่เหลือซาก เขาจึงไม่จำเป็นต้องแก้ตัวและยิ่งไม่ต้องให้คำอธิบายใดๆ
รถสปอร์ตสีแดงวิ่งฉิวเสียงดังกระหึ่มออกจากตึกสเตลล่าร์ไป และเป็นเวลาเดียวกับที่เกาอี้เจ๋อคลี่กระดาษออกดู สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปทันที
“นี่ นี่มันอะไร! ใช่ที่ฟั่นจยาหลัวให้พี่เมื่อกี้หรือเปล่า” พอซุนอิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ในกระดาษถนัดก็ตกใจจนพูดไม่ออก
“ไหนดูซิ!” เฉาเสี่ยวเฟิงแย่งกระดาษไปดูอย่างละเอียดแล้วโกรธจนมือสั่น บนกระดาษมีภาพศพที่มันสมองไหล ใบหน้าบิดเบี้ยว สองตาเบิกโพลง คล้ายตายตาไม่หลับ เลือดสีดำไหลนองรอบศพกลายเป็นแอ่งโลหิต แขนขาหักงออยู่ในสภาพผิดธรรมชาติอย่างที่สุด เห็นแล้วอยากอาเจียน แต่ที่เขย่าขวัญมากยิ่งกว่าคือศพนี้เป็นศพของเกาอี้เจ๋อ
ก่อนหน้านี้เฉาเสี่ยวเฟิงไม่เคยรู้ว่าฟั่นจยาหลัววาดรูปเป็น ซ้ำยังวาดได้เหมือนจริง แม้แต่เงาสะท้อนในดวงตาหม่นมัวของศพก็ยังเห็นชัด เงาสะท้อนนั่นเป็นภาพของฝูงชนกับอาคารหลายหลัง ใครคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า ในมือถือสิ่งที่หน้าตาเหมือนโทรศัพท์มือถือ คล้ายกำลังถ่ายภาพศพ รายละเอียดทุกอย่างล้วนสมจริง คล้ายทุกอย่างในภาพคือสตอรี่บอร์ด
เฉาเสี่ยวเฟิงหนาวเยือกในอก แต่ฝืนทำนิ่งแล้วเอ่ยว่า “แบบนี้มันข่มขู่กันชัดๆ! ฟั่นจยาหลัว คอยดูเถอะ ฉันเอาแกตายแน่!”
ซุนอิ่งตบไหล่เกาอี้เจ๋อพลางพูดปลอบเขาไม่หยุด ดวงตาฉายแววชิงชังที่มีต่อฟั่นจยาหลัว
เกาอี้เจ๋อสะกดความตื่นตระหนกในใจไว้ แสร้งทำเป็นไม่ถือสา แต่ในดวงตากลับฉายแววเคียดแค้นจางๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 4 ได้ในวันที่ 8 ก.ย. 64