ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-1 ถึง 7-2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-1 ถึง 7-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Chapter 7-1

 

เทศกาลเบียร์

มันเป็นตัวอย่างที่ดีที่สามารถมัดรวมเอาไว้ด้วยกันกับเหตุผลที่ว่าทำไมยูแจถึงได้ไม่ชอบทำสโมสรนักศึกษา

ช่วงนี้ซอฮันจุนยุ่งจนหัวหมุน เพราะต้องเตรียมงานเทศกาล และต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบกลางภาคไปด้วย ทั้งยังคงต้องทำงานพาร์ตไทม์อยู่ตลอดอีก ในขณะเดียวกันเขาก็ยังติดต่อกับฮันยูบินอยู่และไปอ่านหนังสือด้วยกันที่ห้องสมุดเป็นประจำ ทุกคนต่างยุ่งกันจนถึงขั้นที่ว่าช่วงวันสุดท้ายของการสอบกลางภาค แม้แต่คนที่ผิวดีก็ยังดูหมองคล้ำและใต้ตาดำลึกโบ๋

เขายุ่งจนแทบไม่มีเวลาให้หายใจ โดยเทศกาลเบียร์จะจัดขึ้นทันทีในสัปดาห์ถัดไปหลังจากสอบกลางภาคเสร็จ ช่างเป็นตารางกิจกรรมของนักศึกษาที่ไม่ได้เห็นใจคนเตรียมงานเลยสักนิด สโมสรนักศึกษาเองก็น่าสงสารเพราะจนปัญญาด้วยหากำลังคนมาช่วยงานไม่ได้ เนื่องจากเหล่านักศึกษาไม่มีใครอยากจะเสียสละเจียดเวลามาช่วยเลย ในขณะที่อะไรๆ ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง สโมสรนักศึกษาก็เริ่มเปิดรับอาสาสมัครมาช่วยงานเทศกาลเบียร์

รับสมัคร

ยูแจเกือบจะหลุดขำออกมาตอนที่ชียองพูดคำนั้น

มันเป็นการกระทำที่ไม่ควรทำเลยสักนิด ทั้งๆ ที่สโมสรนักศึกษาเองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมายขนาดนั้น ต่างไปจากทุกคนในคณะที่มีสิทธิ์เลือกว่าอยากจะมาช่วยหรือไม่ ถึงอย่างนั้นสุดท้ายแล้วเพื่อนร่วมรุ่นในคณะบริหารฯ รวมถึงตัวฮันจุนเองก็สมัครใจที่จะมาช่วยเป็นอาสาสมัคร

รับสมัครอะไรกัน พูดอย่างกับมีทางเลือก ต้องใช้คำว่า ‘ขอเรียนเชิญ’ ต่างหากล่ะ ถึงจะเหมาะกว่า

ยูแจบ่นเรื่องข้อผิดพลาดของสโมสรนักศึกษากับฮันจุนอยู่เป็นประจำ จนในที่สุดก็มีคำพูดที่ยูแจเห็นด้วยอย่างยิ่งหลุดออกมาจากปากของฮันจุนที่ยุ่งจนแทบไม่มีสติในวันงาน

“แค่ได้ลองเป็นเจ้าภาพงานดูสักครั้งก็พอแล้ว”

“ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นเทอมหน้าเราไปเข้าชมรมบาสกันเถอะ”

“นี่ อย่ามาพูดจาน่าเกลียดตรงนี้น่า จะไปไหนก็ไป เรื่องนั้นไว้คุยกันทีหลัง”

ฮันจุนที่กำลังเช็กเบียร์ที่เพิ่งมาส่งเอ่ยปากไล่ยูแจออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังอยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์หงุดหงิดเป็นพิเศษเพราะความเหนื่อยล้า เนื่องจากเขาต้องคอยตรวจสอบเบียร์โดยการโทรไปหาบริษัททีละบริษัทเพื่อต่อรองราคา

ยูแจที่ถูกไล่ตะเพิดออกมานั้นหันไปมองทางบูธเพื่อเช็กความเรียบร้อย ก่อนจะเห็นคนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวท้ายสุด ในบรรดาคนพวกนั้นมีนักศึกษาที่สวมเสื้อสตาฟฟ์งานเทศกาลเบียร์อยู่ด้วย ยูแจจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ โต๊ะนั้นแล้วพูดขึ้น

“ใครที่ไม่มีอะไรทำ ไปช่วยทางฝั่งนั้นเรื่องกับแกล้มหน่อยนะครับ นี่มันก็ใกล้จะเริ่มงานแล้ว”

“โชยูแจ?”

ยูแจขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นั่นเป็นเสียงของอีมินฮี เธอจ้องยูแจเขม็งพลางลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ตอนนั้นเองเขาถึงได้เห็นเพื่อนร่วมรุ่นในสโมสรนักศึกษาที่กำลังยืนล้อมอยู่รอบๆ เธอ ซึ่งทุกคนต่างก็ทำหน้าอึดอัดแปลกๆ เหมือนกันหมด

จีฮุนมองยูแจและมินฮีสลับไปมา ก่อนจะพูดออกมาต่อหน้าอย่างตรงไปตรงมา

“นี่ พวกนายคุยกันให้มันดีๆ หน่อยสิ เรียนก็เรียนด้วยกัน อย่ามาทำให้พวกเราที่เป็นคนกลางอึดอัดเลยน่า”

มินฮีขมวดคิ้วพลางหัวเราะ ถึงใบหน้าของเธอนั้นจะแสดงออกถึงความใจกว้าง แต่มันก็ไม่เข้ากับเธอเลยสักนิด เมื่อยูแจลองลอบมองเธออย่างละเอียด เขาก็พบว่าตอนนี้เธอกำลังสวมเสื้อสตาฟฟ์อยู่เหมือนกัน

“ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะยะ ฉันเองก็คิดว่าจะอยู่อย่างสมานฉันท์เหมือนกันนั่นแหละ”

เธอตอบห้วนๆ เสร็จแล้วก็เดินตรงไปหายูบินที่ยุ่งอยู่กับการเตรียมกับแกล้ม

ถึงท่าทางของเธอนั้นมันจะเย็นชาเกินกว่าที่จะบอกว่า ‘คิดว่าจะอยู่อย่างสมานฉันท์’ แต่ยูแจก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอมากขนาดนั้น หรือต่อให้สนใจจริงๆ เขาก็ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายที่ต้องคิดต้องทำอยู่ดี จีฮุนเดินเข้ามาใกล้และหยุดยืนอยู่ข้างๆ ยูแจที่กำลังจัดโต๊ะที่วางไว้ไม่ตรงกัน ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากชวนคุย

“นี่ นายไปขอโทษแล้วก็คืนดีกับยัยนั่นให้มันจบๆ เถอะ”

“ที่นายพูดมันก็ถูก แต่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันที่จะต้องไปขอโทษ”

“นายพูดแรงเกินไปแล้วนะ เธออาจจะตามตื๊อนายไปนู่นไปนี่บ้าง แต่ที่ทำไปก็เพราะว่าเธอชอบนายไง มันถูกแล้วเหรอที่นายไปถามว่า ‘บ้าไปแล้วเหรอ’ เนี่ย อีกอย่างที่เธอเข้าใจผิดไปเองก็เพราะว่านายทำดีด้วยมาตลอด”

พวกเพื่อนๆ ต่างก็พูดกันขึ้นมาคนละประโยคสองประโยคและพยายามโน้มน้าวยูแจ ยูแจจึงพยักหน้าตอบกลับไปส่งๆ อย่างไม่เต็มใจนักพลางคิดว่าต้องตอบกลับไปว่า ‘เข้าใจแล้วล่ะ’ คนพวกนี้จะได้ไม่มายุ่งวุ่นวายให้รำคาญใจอีก

เมื่อผู้คนเริ่มเข้ามาจับจองโต๊ะนั่งกันแล้ว ยูแจจึงมองดูเวลา

ห้าโมงสิบนาที

ตามกำหนดการแล้วจะสามารถรับออเดอร์ได้ตั้งแต่ตอนหกโมงเป็นต้นไป ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเวลาอีกไม่มากนัก

ในขณะที่กำลังวิ่งวุ่นไปทั่ว ภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งจะนั่งลงจับจองโต๊ะนั้นก็ดึงดูดสายตาของยูแจ ใบหน้าของเธอช่างคุ้นตา

จองยุน

รุ่นพี่เอกวิชาภาษาจีน ดูท่าเธอคงจะมาหาฮันจุน

ทันทีที่มองออกว่าเป็นใคร ยูแจก็รีบมุ่งหน้าไปยังโต๊ะนั้นทันที มันเป็นโอกาสที่ดีและเหมาะสมที่จะได้ทำความรู้จักรวมถึงเอ่ยปากขอโทษเธอ

“สวัสดีครับ”

พอเขาเดินเข้าไปใกล้แล้วเริ่มทักทาย จองยุนก็เงยหน้าขึ้นมาและเหม่อมองเขาอยู่สักพัก สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอจำเขาไม่ได้เลยสักนิด ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วเพราะเขากับเธอเคยเห็นหน้ากันผ่านๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยูแจจึงแนะนำตัวออกไปอย่างมีมารยาท

“ผมเป็นเพื่อนฮันจุนชื่อโชยูแจครับ ครั้งก่อนเจอกันแค่แป๊บเดียว ไม่ทราบว่ารุ่นพี่พอจะจำผมได้ไหมครับ”

“อ๋า…จำได้ค่ะ คนที่เจอกันตรงประตูหน้ามอสินะ”

“คือผมอยากจะมาขอโทษน่ะครับที่วันนั้นทำตัวหยาบคาย ไหนๆ ก็มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ผมขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาขอโทษอะไรฉันหรอก”

จองยุนยิ้มกว้างพลางส่ายศีรษะ เธอเป็นผู้หญิงที่มีอัธยาศัยดี และนั่นทำให้เขานึกถึงฮันจุนที่เคยบอกว่าสามารถเล่าเรื่องที่ไม่สามารถพูดที่ไหนให้เธอฟังได้

“เดี๋ยวอีกสักครู่ก็น่าจะเปิดรับออเดอร์แล้ว รุ่นพี่อยากทานอะไรเหรอครับ ถึงผมจะแอบลักเบียร์มาให้ไม่ได้ แต่กับแกล้มนี่ผมแอบเติมมาให้เยอะๆ ได้ครับ”

ยูแจส่งยิ้มแพรวพราวให้เธอ พอทักทายกันเสร็จก็ถึงเวลาทำงานพอดี ในขณะที่รอรับออเดอร์ ผู้ชายที่มาด้วยกันก็ยกยิ้มพลางหรี่ตามองไปที่จองยุน

“ก็ว่าอยู่ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ชวนมาเทศกาลเบียร์คณะบริหารฯ ไหนล่ะฮันจุน ไหนๆ”

“หนวกหูน่า ฉันกับน้องเขาตกลงกันแล้วว่าจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน”

“ทำไมล่ะ เธอไม่ดีตรงไหนกัน”

“ไม่ใช่ว่าฉันดีไม่พอหรอกน่า ขอกับแกล้มเป็นกิมจิเต้าหู้หน่อยนะคะ”

“น้องเป็นเพื่อนของฮันจุนเหรอครับ”

จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็ถามยูแจ เขาถามพลางเอี้ยวตัวหลบจองยุนที่พยายามจะเข้ามาปิดปากเขาด้วยความตกใจ

“น้องพอจะรู้ไหมครับว่าเพื่อนน้องชอบคนแบบไหน คงจะชอบคนเรียบร้อยๆ หน่อยสินะ?”

“นี่! อยากตายหรือไงยะ บอกแล้วไงว่าตอนนี้ฉันกับน้องไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกันแล้ว”

“ถ้าไม่ได้คิดอะไรแล้วจะมาที่นี่ทำไม เธอยอมจ่ายเงินแพงๆ ซื้อเหล้ามากินข้างถนนที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้เป็นเด็กคณะบริหารฯ เนี่ยนะ?”

“จะไปไหนก็ไปเลยไป ฉันดื่มคนเดียวก็ได้ย่ะ”

“แล้วเสื้อผ้าล่ะ เพื่อนน้องชอบผู้หญิงใส่เสื้อผ้าประมาณไหน ดูเพื่อนพี่จะชอบใส่เสื้อผ้าแบบเรียบร้อยๆ นะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”

ท่ามกลางคนสองคนที่กำลังถกเถียงกัน ยูแจได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะเปิดปากพูดออกมา

“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันครับ”

“ไม่รู้? เพื่อนกันไม่ใช่หรือไง”

ยูแจแกล้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพอเป็นมารยาทก่อนจะส่ายหน้า ทางด้านจองยุนเธอยกมือขึ้นมาทุบหลังของผู้ชายคนนั้นด้วยความหงุดหงิด

“ขนาดฉันไปไหนมาไหนตัวติดกับนายตลอด ฉันยังไม่รู้สเป็กนายเลยเหอะ”

“ก็จริง จะว่าไปแล้วก็เพิ่งเจอกันได้ไม่นานด้วยนี่นะ”

ผู้ชายคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน คำพูดของเขานั้นมีหมายความว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กปีหนึ่งจะไม่รู้จักกันและกัน เพราะเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองเดือนกว่าๆ ทั้งที่มันเป็นคำพูดที่รุ่นพี่ผู้ชายคนนี้พูดพึมพำออกมาราวกับพูดคนเดียว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บมาใส่ใจ แต่ยูแจกลับตอบมันกลับไป

“เปล่าหรอกครับ พวกเราแค่ไม่เคยคุยเรื่องพวกนั้นกันเฉยๆ ความจริงแล้วเรารู้จักกันมานานมากแล้ว ผมกับฮันจุนเป็นเพื่อนสมัย ม.ต้น กันน่ะครับ”

“ม.ต้น? แล้วมาอยู่มหา’ลัยเดียวกันได้ยังไงเนี่ย น่าทึ่งชะมัด”

ผู้ชายคนนั้นมองจองยุนพลางถามความเห็น ทว่าจองยุนกลับจ้องมองไปที่ยูแจนิ่งแทนที่จะตอบรับคำพูดของเพื่อน ก่อนที่เธอจะถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกๆ

“เพื่อนสมัย ม.ต้น? เป็นเพื่อนบ้านกันด้วยใช่ไหม”

“ครับ”

คำตอบนั้นถูกกลบหายไปด้วยเสียงลากเก้าอี้ที่ดังขึ้น ยูแจหันหน้าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายนั่น มีกลุ่มผู้ชายหุ่นดีประมาณสิบกว่าคนกรูกันเข้ามาเป็นโขยงแล้วลากโต๊ะสี่ตัวมาต่อชิดติดกัน พร้อมทั้งพูดคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว

ยูแจบอกลาจองยุนผ่านทางสายตาแล้วหันหลังกลับไป ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่เขากำลังจะเดินเข้าไปช่วยจัดโต๊ะและที่นั่งให้ ยูแจก็สังเกตเห็นว่าคนพวกนั้นเป็นใคร

พวกชมรมไฟต์คลับ

แม้ลองคิดดูอีกครั้งแล้ว แต่ยูแจก็คิดว่ามันเป็นชื่อชมรมที่เหมาะกับคนพวกนี้ดีจริงๆ

“โทษนะครับ สั่งอาหารหน่อยครับ!”

มีใครคนหนึ่งยกมือขึ้นพรวดแล้วตะโกนเสียงดังฟังชัด ทันทีที่เขาเปล่งเสียงตะโกนดังลั่น ผู้ชายคนอื่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ ก็พลันเงียบเสียงลงทันที ชายคนนั้นคือพ่อหนุ่มเสื้อแขนกุด แม้จะมองเพียงปราดเดียว แต่ยูแจก็สามารถดูออกว่าเป็นใครได้ในทันที ถึงอีกฝ่ายจะใส่เสื้อฮู้ดรูดซิปปิดเอาไว้อยู่ แต่เสื้อที่สวมไว้ข้างในวันนี้ก็ยังเป็นเสื้อแขนกุดเช่นเคย ยูแจรีบเดินเข้าไปใกล้แล้วรับออเดอร์

“ครับ รับอะไรดีครับ”

“ที่นี่มีกับแกล้มกี่อย่างครับ”

“หกอย่างครับ”

“น้อยจังแฮะ ถ้างั้นเอามาอย่างละสองจานก่อนแล้วกัน ส่วนเหล้า…ไม่สิ มีเบียร์สดไหม ขายยังไง”

“เราขายเป็นเบียร์ขวดครับ มีเบียร์หลากหลายประเภทจากทั่วโลกเลยครับ เพราะงั้นเลยมีให้เลือกหลายอย่าง ไม่ทราบว่า…”

“ถ้างั้นเอาอะไรก็ได้คละๆ มาให้ได้ยี่สิบขวดละกัน”

เมื่อพ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดพูดตัดบทเสร็จแล้วก็หันไปถามความเห็นจากสมาชิกในชมรมไฟต์คลับคนอื่นๆ ยูแจกวาดสายตามองสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งล้อมรอบอยู่ ถึงแม้ส่วนสูงจะไม่เท่ากัน แต่ว่าสรีระรูปร่างนั้นค่อนข้างกำยำล่ำสันกันทุกคน ไม่ว่าใครมองมาก็คงดูออกว่าเป็นชมรมสายกีฬา ในบรรดาคนเหล่านั้นบางคนก็สวมเสื้อยืดของชมรม ตรงด้านหลังเสื้อยืดสีดำมีตัวอักษรอาร์ตที่มีลักษณะเหมือนไฟลุกโชนเขียนเอาไว้ว่า ‘FIGHT CLUB’

ยูแจลองจินตนาการภาพฮันจุนสวมเสื้อแบบนั้นแล้วมานั่งอยู่กับคนพวกนี้ ต่อให้จะบอกว่าฮันจุนชอบชกมวยมากขนาดไหน แต่มันก็เป็นภาพที่ไม่ได้ดูเข้ากันเลยแม้แต่น้อย

“เออใช่ ที่นี่มีคนที่ชื่อซอฮันจุนไหม ช่วยเรียกมาให้หน่อยได้ไหม”

จู่ๆ พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดก็พูดขึ้น ยูแจจึงยกยิ้มพลางส่ายศีรษะ

“ฮันจุนเป็นตัวแทนจัดงานเลยมีเรื่องที่ต้องทำเยอะ น่าจะกำลังยุ่ง-”

“พี่ครับ!”

เสียงของฮันจุนดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็เห็นซอฮันจุนกำลังยิ้มกว้างพลางเดินเข้ามาใกล้ ฮันจุนยิ้มหวานแล้วเอ่ยทักทายสมาชิกทีละคนโดยไม่มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดจับตัวฮันจุนที่กำลังวุ่นอยู่กับการทักทายเพื่อนลงมานั่งข้างๆ ตัวเอง

“พี่พาเด็กๆ ในชมรมมากันหมดเลย ไง ไอ้หนู งานเรียบร้อยดีไหม”

“ครับ รีบถามจัง งานมันเพิ่งจะเริ่มเอง”

“มาดื่มกันก่อนสักแก้วแล้วค่อยไปทำงานน่า อ่า โทษนะครับ ช่วยเอาเบียร์ที่สั่งไปเมื่อกี้มาให้หน่อยได้ไหมครับ”

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดมองมาที่ยูแจพลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าทำไมยังยืนบื้ออยู่ตรงนี้อยู่อีก ยูแจจึงเดินไปหยิบเบียร์เงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถไปขอให้คนอื่นมาช่วยเสิร์ฟแทนให้ก็ได้ แต่อย่างไรเสียงานเสิร์ฟมันก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เขาจึงเลือกแบ่งเบียร์ยี่สิบขวดแล้วเดินไปเสิร์ฟอยู่หลายรอบพลางเฝ้ามองซอฮันจุนไปด้วยอย่างไม่วางตา

ต่อหน้าเหล่ารุ่นพี่พวกนั้น ซอฮันจุนทำหน้าอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันแตกต่างจากตอนที่อยู่ด้วยกันกับเพื่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ฮันจุนรับเบียร์ไปดื่มอย่างกระตือรือร้นทั้งยังตั้งอกตั้งใจฟังบทสนทนาของคนในกลุ่มเป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศการพูดคุยนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างออกรส

ดูเหมือนว่าฮันจุนจะต้องใช้ความพยายามในการปั้นหน้ามากกว่าปกติ เจ้าตัวคงรู้สึกว่าจะต้องรับผิดชอบและดูแลเพื่อนในชมรมที่มารวมตัวกันเพื่อตัวเอง เขาวุ่นอยู่กับการกระแซะไหล่คนนั้นทีคนนี้ที ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนน้องน้อย ทำเป็นเบะปากบ้าง เม้มปากบ้าง หรือแม้กระทั่งเลียริมฝีปากบ้างอยู่ตลอดเวลา

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ดูเหมือนนี่จะเป็นความสัมพันธ์ที่ยังต้องรักษาน้ำใจกันอยู่

ยูแจมองไปที่มือของพ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดที่ไม่คิดจะเลื่อนออกจากแผ่นหลังของฮันจุน

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ผู้ชายคนนั้นก็ดูแปลกๆ ชอบกล ยูแจนำขวดเบียร์ที่เอามาเสิร์ฟเป็นครั้งสุดท้ายไปวางตรงหน้าชายคนนั้นด้วยความคิดที่ต้องการจะเฝ้าสังเกตอะไรฮันจุนอีกสักหน่อย เขาจึงตัดสินใจถามขึ้น

“ต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”

“ไม่มี”

พอหนุ่มเสื้อแขนกุดตอบตัดบท ขณะนั้นฮันจุนก็เคลื่อนสายตามามองยูแจ ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งหันหน้าไปยังหนุ่มเสื้อแขนกุดแล้วพูดขึ้น

“พี่ครับ จำหมอนี่ไม่ได้เหรอ คนที่พี่เจอหน้าคณะมนุษยศาสตร์ตอนนั้นไง ชื่อโชยูแจ เพื่อนผมที่ผมเคยบอกว่าเล่นบาสอะครับ”

“อ๋า! หมอนี่นี่เอง ก็ว่าทำไมหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน ฉันเผลอลืมไปซะสนิทเลยนะเนี่ย สวัสดีครับ”

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดทำท่าทำทางยินดีพลางยื่นมือออกมาทักทาย พอบอกว่าเป็นเพื่อนของฮันจุนก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที ยูแจยิ้มพลางยื่นมือเข้าไปจับทักทาย

“สวัสดีครับ”

“เพื่อนก็อยู่สโมฯ เหมือนกัน?”

“ใช่ครับ”

“ไหนเรียกฉันว่า ‘พี่ซึงมิน’ ซิ”

“พี่ซึงมิน”

“ต้องอย่างนี้สิวะ!”

หนุ่มเสื้อแขนกุดยิ้มอย่างพึงพอใจ

แค่เรียกว่าพี่มันน่าดีใจขนาดนั้นเลย? คนรอบตัวก็มีแต่คนที่เด็กกว่าก็น่าจะเรียกว่าพี่กันหมดไม่ใช่หรือไง

ยูแจมองไปรอบๆ วงของสมาชิกชมรมไฟต์คลับ ทั้งหมดมีสิบสองคนและทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย

ซอฮันจุนจะสนิทกับคนพวกนี้ทุกคนเลยไหมนะ

เนื่องจากมีทั้งหมดสิบสองคน มันจึงยากที่จะทำความรู้จักได้ภายในครั้งเดียว ดังนั้นยูแจจึงเริ่มคุยกับหนุ่มเสื้อแขนกุดก่อนเป็นอันดับแรก

“ได้ยินมาว่าเป็นชมรมชกมวยสินะครับ จะว่าไปแล้วผมไม่เคยลองชกมวยมาก่อนเลย”

“สงสัยอะไรล่ะ ถามมาได้เลย”

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดวางก้ามทำเป็นอวด ในขณะที่ฮันจุนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นมาราวกับคาดไม่ถึงด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะที่ผ่านมายูแจไม่เคยแสดงท่าทีให้เห็นเลยว่าสนใจการชกมวย พอยูแจเห็นสีหน้าแบบนั้นของฮันจุน เขาก็เกิดรู้สึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาจึงเอ่ยปากถามซึงมิน

“เห็นเรียกชื่อชมรมกันว่า ‘ไฟต์คลับ’ ฟังแล้วมันดูเถื่อนๆ อยู่เหมือนกันนะครับเนี่ย ฮันจุนเองก็เคยต่อยผมไปตั้งสองครั้งแน่ะ”

ทั้งที่เป็นการล้อเล่น แต่บรรยากาศกลับแปลกไปในทันที ซึงมินตกใจจนตาเบิกกว้างแล้วหันขวับมามองฮันจุนทันใด

“จริงหรือเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย คือ…จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้นหรอกครับ”

“พี่เคยบอกนายว่าไง การต่อยมวยมันคือเหวี่ยงหมัดออกไปต่อยใครก็ได้งั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ”

ฮันจุนหลุบตาลงแล้วรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ยูแจขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทางของฮันจุนที่ก้มหัวให้พี่คนนั้นอย่างง่ายดาย

ทำไมจู่ๆ ถึงต้องหันไปดุหมอนั่นด้วยล่ะ ถ้าไม่อยากถูกใครเข้าใจผิดแบบนั้นก็ควรจะต้องรีบไสหัวไปเปลี่ยนชื่อชมรมไม่ใช่หรือไงวะ

วินาทีนั้นเองยูแจก็ได้พูดแทรกขึ้น

“เมื่อกี้ผมล้อเล่นนะครับ จริงๆ แล้วเป็นฝั่งฮันจุนมากกว่าที่ได้แผลระหว่างต่อยมวยอยู่บ่อยๆ”

“ฉันเนี่ยนะได้แผล?”

“แต่ก่อนนายเคยมีแผลบนหน้าไม่ใช่หรือไง”

“นี่นายพูดถึงเรื่องสมัยไหนกันแน่เนี่ย”

“จะว่าไปแล้วมือนายเองก็มีแผลเยอะตลอดเลยนี่”

ยูแจรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เพราะเขาไม่ชอบใจที่ไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดมาดุด่าตะคอกใส่ฮันจุนทั้งที่ตัวเองก็ยังเป็นนักศึกษาเหมือนกัน แถมฮันจุนเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาทำให้ฮันจุนดูกลายเป็นนักเลงหัวไม้ขึ้นมาทันทีโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

กีฬานั้นมีหลากหลายประเภท แม้จะเป็นมือสมัครเล่น ทว่าในกีฬาแต่ละประเภทก็จะมีบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป สำหรับชมรมฮูปส์นั้นค่อนข้างมีอิสระ กฎระเบียบวินัยระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าชมรมไฟต์คลับนั้นจะตรงกันข้าม เขาจึงรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรนัก

ซึงมินจับมือของฮันจุนพลิกไปมาพลางพูดต่อ

“ขึ้นชื่อว่าการต่อยมวยยังไงมันก็ต้องมีได้แผลกันบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้วแหละ กีฬาทุกอย่างน่ะ ถ้าไม่ได้เตรียมตัวก่อนเล่นดีๆ มันก็พลาดท่าบาดเจ็บกันได้ทั้งนั้น ทางชมรมของเราเองก็จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับฝึกซ้อมอย่างดี แถมเราก็ระมัดระวังซึ่งกันและกันเสมออยู่แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ ถึงอย่างนั้นนายจะไปจินตนาการซัดหน้าใครอย่างในการ์ตูนไม่ได้นะ”

“หมอนี่คงจะเข้าใจผิดเพราะชื่อชมรมดูเถื่อนแน่ๆ เลย”

“ดูท่าคงต้องเปลี่ยนชื่อชมรมจริงๆ แล้วมั้งเนี่ย”

ในขณะที่มีเสียงของคนในชมรมพึมพำดังขึ้นเรื่อยๆ ซึงมินก็ยังคงมองหาบาดแผลที่มือของฮันจุน ถึงจะไม่มีบาดแผล แต่ก็มีรอยแดงๆ ปรากฏอยู่ ซึงมินขมวดคิ้วพลางลูบผิวแห้งแตกนั้นด้วยปลายนิ้วมือ

“ทำไมมือถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ”

“ผิวมันแห้งก็เลยแตกน่ะครับ”

“หาอะไรทาซะสิ”

“ทาแล้วนะครับ แต่มันก็ไม่ค่อยดีขึ้นเลย”

“ตอนนอนก็หาเครื่องทำความชื้นเครื่องเล็กๆ มาวางไว้ตรงหัวเตียงสิ ฉันมีที่ไม่ได้ใช้อยู่เครื่องหนึ่ง เอาไหม”

พอเปิดปากพูดก็มีแต่คำว่า ‘เอาให้’ ‘ซื้อให้’ ดูท่าจะเป็นคำพูดติดปากของผู้ชายคนนี้ แม้แต่ค่าเบียร์ผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนจ่ายเองทั้งหมด แถมเรียกฮันจุนที่เป็นเจ้าภาพงานมาแล้วยังพูดจาโอ้อวดอีก

ฮันจุนได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร มันช่างน่าเห็นใจเอามากๆ กับการที่เหนื่อยล้าจนจะตายอยู่แล้ว แต่กลับต้องเสแสร้งแสดงออกมาราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไร

สุดท้ายแล้วยูแจจึงช่วยหาข้ออ้างให้ฮันจุนหนีออกไปจากตรงนี้

“นี่ พี่จองยุนก็มาด้วยนะ ไปทักพี่เขาหน่อยสิ”

“จริงเหรอ”

ฮันจุนหันหน้าไปทางที่นิ้วของยูแจชี้พร้อมกับทำสีหน้าดีใจ เขาลุกขึ้นพรวดแล้ววิ่งไปทางโต๊ะของจองยุนทันทีก่อนที่จะโดนซึงมินจับตัวไว้

“พี่!”

ยูแจได้ยินเสียงฮันจุนเรียกจองยุน รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นช่างเข้ากันกับน้ำเสียงที่แสนสดใส คราวนี้เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องพยายามปั้นหน้ารักษาน้ำใจเธออีกแล้ว

โล่งอกไปทีที่ช่วยทำให้ฮันจุนสบายใจขึ้นได้

ความสัมพันธ์ดีๆ ระหว่างพี่สาวและน้องชาย

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่จองยุนเคยพูดขึ้นมาพลางนึกไปถึงท่าทางของเธอตอนที่พูดคำนั้น เธอดูเหมือนจะยังมีใจให้ฮันจุน แม้แต่เพื่อนของเธอเองก็ยังดูออกและมั่นใจว่าเธอยังคงชอบฮันจุนอยู่เช่นกัน

แต่แล้วทำไมถึงได้บอกว่าตกลงกันแล้วว่าจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันล่ะ การพูดแบบนั้นมันหมายความว่าทั้งสองคนต้องคุยกันแล้ว และตกลงกันได้แล้วไม่ใช่หรือไง

ถ้าอย่างนั้นคนที่ต้องการความสัมพันธ์แบบที่ไม่ใช่แฟน แต่มั่นคงในระยะยาวก็คือฝั่งฮันจุนงั้นสินะ?

ถ้าหากไม่มีใจอยากจะคบ ฮันจุนก็คงจะขีดเส้นความสัมพันธ์และทิ้งระยะห่างชัดเจนเหมือนที่ทำกับยูบินไปแล้ว แต่ฮันจุนกลับไม่ได้ทำแบบนั้นกับจองยุน กลับกันแล้วพวกเขาทั้งคู่ดูจะไปพบเจอกัน พูดคุยกัน แถมคงยังติดต่อกันอยู่บ่อยๆ จนน่าประหลาดใจอีกด้วย ถ้าหากทำอย่างนั้น ความรู้สึกรักในเชิงชู้สาวที่เคยมีก็จะค่อยๆ จางหายไป และคงจะเหลือไว้เพียงแค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อน

ทีกับจองยุนทำไมมันถึงง่ายดาย แต่ทีกับฉันแล้วทำไมมันถึงยากเย็นขนาดนั้น เหตุผลมันคืออะไรงั้นเหรอ เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่นายชอบผู้ชายงั้นสินะ? หรือเป็นเพราะว่านายมีอารมณ์กับฉัน?

ยูแจถอนหายใจพลางบอกกับตัวเองว่าเขาต้องเลิกคิดอะไรแบบนี้ได้แล้ว

ซอฮันจุน…และความต้องการทางเพศของเขา

หลังจากตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลยแม้แต่สักครั้งเดียวในช่วงเวลาที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนาน คำถามที่ไม่ควรตั้งขึ้นมามากมายก็เริ่มผุดขึ้นมาเต็มหัวจนไม่อาจควบคุม

พอสมองมันเริ่มคิดอะไรแบบนี้ รีบกลับไปช่วยงานน่าจะดีกว่า

ยูแจเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น ทว่าซึงมินกลับคว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน

“ถ้าไม่ยุ่งมากก็นั่งก่อนสักเดี๋ยวแล้วค่อยไปสิ ไหนๆ นายก็เป็นเพื่อนของฮันจุน ฉันขอเลี้ยงนายสักแก้วสิ”

ยูแจลังเลก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง การที่เขาเลือกเผชิญหน้ากับรุ่นพี่คนนี้ทั้งที่เขาเลือกที่จะเมินเฉยไปก็ได้นั้นเป็นเพราะคำพูดของซึงมินที่พูดออกมาด้วยท่าทีอวดดี

‘ไหนๆ นายก็เป็นเพื่อนของฮันจุน ‘ฉัน’ ขอเลี้ยงนายสักแก้วสิ’

เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมคนที่เป็นคนนอกถึงได้กล้าพูดคำพูดแบบนั้นออกมาได้เรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ได้เป็นพี่ชายหรือพ่อแม่ของฮันจุนแท้ๆ เขาอยากจะรู้เหตุผลนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ชอบเสนอหน้าออกตัวพูดจาอย่างกับว่าจะต้องแบ่งปันทุกอย่างให้แก่คนที่อยู่รอบตัวของฮันจุนด้วย ทั้งยังทำตัวเหมือนตัวเองเป็นอะไรกับฮันจุนอีก

เพราะว่าเอ็นดูฮันจุนมาก? หรือเพราะว่าแค่อยากจะทำตัวโอ้อวดกับรุ่นน้อง?

“นายเคยเห็นฮันจุนต่อยมวยไหม”

ซึงมินรินเบียร์แก้วหนึ่งยื่นให้ก่อนจะพูดขึ้น ยูแจลอบกลอกตาไปมาอยู่เงียบๆ แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นฮันจุนชกมวยจริงๆ เลยสักครั้งเดียว

“ไม่ครับ”

“ดูท่าจะไม่เคยสินะ”

ซึงมินยกยิ้มมุมปาก

ฮันจุนชกมวยแล้วไง มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องทำมาเป็นพูดจาโอ้อวดแบบนั้นด้วยวะ

เขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ จุดประสงค์ของไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนี่มันแปลกอย่างเห็นได้ชัด

“ดูจากที่นายบอกว่าการชกมวยมันดูป่าเถื่อน ก็พอจะเดาได้ว่านายไม่เคยดูการแข่งขันชกมวยอย่างจริงจังมาก่อน ไว้ถ้าว่างก็มาที่ชมรมเราสิ จะได้ลองมาดูฮันจุนสักครั้ง ถึงจะมีแต่พวกชายฉกรรจ์ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่การออกกำลังที่ใช้ความรุนแรงแบบนั้นแน่ๆ เพราะความจริงแล้วมันตรงกันข้ามเลยล่ะ เอ จะว่ายังไงดีล่ะ มันแบบ…มากๆ เลยล่ะ”

“…”

“ใช้คำว่า ‘แนบแน่น’ ได้หรือเปล่านะ”

ซึงมินลดเสียงลงแล้วแอบกระซิบเบาๆ ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นแล้ววางแขนลงบนโต๊ะ

“…มันเป็นเรื่องของผู้ชายน่ะ นายเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”

ซึงมินพูดเสริมพลางอวดลำแขนที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา

ความสนิทสนมแนบแน่นกันระหว่างผู้ชาย

ยูแจกลั้นขำกับคำพูดที่น่าขยะแขยงนั้น

มุมปากที่ยกยิ้มขึ้นค่อยๆ ลดลงมาอย่างเชื่องช้า หลังจากแตะขวดเบียร์อยู่สักพักยูแจก็เอ่ยปากถามออกไป

“ทำอะไรกันมาเหรอครับถึงได้สนิทสนมแนบแน่น”

“ก็แค่เจอกันเกือบทุกวัน มันก็เป็นธรรมดาของสมาชิกไฟต์คลับนั่นแหละ แต่ช่วงนี้ฮันจุนดูจะยุ่งๆ อยู่กับการสอบ ปกติแล้วถ้ามีเวลาก็จะมาออกกำลังกาย เจอกันทุกวัน ฟัดกันทุกวัน ทำอย่างนั้นแล้วจะไม่ให้แนบแน่นกันได้ยังไงล่ะ นายว่าไหม”

“…เจอกันทุกวันงั้นเหรอครับ”

“ใช่ ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนเกี่ยวกับฮันจุนที่ฉันไม่รู้หรอกนะ ฉันรู้ว่าหมอนั่นอยากจะซื้อโน้ตบุ๊กรุ่นไหน รู้ว่าเร็วๆ นี้ก็ใกล้จะถึงวันเกิดหมอนั่นแล้ว แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าสัปดาห์ก่อน หมอนั่นโดนปล่อยให้รอเก้ออยู่หน้าประตูมหา’ลัยตอนที่จะไปสอนพิเศษ”

ยูแจที่กำลังนั่งฟังอย่างเหม่อลอยอยู่นั้นค่อยๆ หลุบตาลงช้าๆ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าฮันจุนถูกปล่อยให้รอเก้ออยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย

เรื่องราวชีวิตประจำวันที่เคยแบ่งปันเล่าสู่กันฟังทุกวันแม้แต่เรื่องไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ

เรื่องราวที่ตอนนี้ซอฮันจุนกลับไม่คิดที่จะเล่าให้เขาฟังอีกต่อไป

ยูแจหันไปมองฮันจุนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของจองยุนและกำลังพูดคุยกับเธออยู่ เมื่อก่อนยูแจสามารถคาดเดาในสิ่งที่ฮันจุนจะพูดคุยกับคนอื่นได้ ทว่าตอนนี้เขากลับไม่สามารถคาดเดามันได้เลยสักนิด

แนบแน่น?

ยูแจวางแก้วเบียร์ลงช้าๆ แล้วหยิบมือถือขึ้นมายื่นส่งให้

“พี่ ผมขอเบอร์พี่หน่อยสิครับ”

“หืม? อืม ได้สิ”

“ไว้คราวหน้าเดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมชมรมมวยสักครั้งนะครับ”

ซึงมินตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ จู่ๆ เขาก็ตื่นเต้นมาก หันรีหันขวางไปเขย่าตัวสมาชิกคนอื่นๆ แม้แต่บางคนที่เมาไปแล้วก็ยังลุกขึ้นมาเต้นโยกไปย้ายมา

แค่บอกว่าจะไปเยี่ยมนี่มันน่ายินดีขนาดนั้นเลย? ดูท่าจะหิวคนมากเพราะเป็นชมรมที่แทบจะไม่มีคนสนใจงั้นสินะ

คงต้องโทษที่คนพวกนี้ส่งเสียงโหวกเหวกกันดังมาก สายตาของผู้คนจึงจ้องมาทางนี้กันเป็นตาเดียว ยูแจรับมือถือกลับคืนมา ก่อนจะพุ่งตรงไปหาทีมที่ดูแลเรื่องกับแกล้มเพื่อช่วยเสิร์ฟ ในระหว่างที่ก้าวเดินไปนั้น สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับสายตาของฮันจุนที่จ้องมองมาที่ตนอยู่พอดี

ฮันจุนขยับปากถามโดยจับใจความได้ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ ก่อนที่ยูแจจะยักไหล่ตอบกลับไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com