ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-1 ถึง 7-2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-1 ถึง 7-2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

Chapter 7-2

 

ฮันจุนยกยิ้มเมื่อได้ไล่อ่านข้อความอวยพรวันเกิดที่หลั่งไหลเข้ามา ดูเหมือนว่าจะต้องขอบคุณแจ้งเตือนวันเกิดของกาเกาทอล์กที่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมา ด้วยมันทำให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาโดยที่เขาไม่ต้องเป็นคนบอกเอง

การส่งข้อความตอบกลับไปทีละข้อความก็ถือว่าเป็นมารยาทอย่างหนึ่งเช่นกัน ฮันจุนเริ่มเลือกตอบจากข้อความที่สามารถตอบกลับไปได้ด้วยคำขอบคุณสั้นๆ เพียงคำเดียวก่อน และในระหว่างที่กำลังตอบข้อความอื่นๆ อยู่นั้น เขาก็นึกถึงข้อความของยูแจที่เขาจงใจทิ้งไว้ตอบเป็นข้อความท้ายสุดขึ้นมา

ถึงโชยูแจจะเป็นฝ่ายพูดเองว่าไม่เคยทำอะไรให้เขาตอนวันเกิด แต่ฮันจุนกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น อีกฝ่ายมักจะเป็นคนที่มาหาเขาถึงหน้าบ้านแล้วรอไปโรงเรียนด้วยกัน ยูแจเป็นคนแรกที่มาเจอหน้าและอวยพรวันเกิดให้เขาก่อนใครในบรรดาเพื่อนๆ เสมอ คนที่เคยเลือกยอมอดข้าวดีกว่าจะไปขอเงินค่าขนมจากพ่อแม่อย่างหมอนั่นกลับซื้อขนมปังอันเล็กๆ มาให้เขาในวันเกิด โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นไปเอาเงินมาจากไหน

ขนมปังไส้ครีมที่ขายอยู่ในร้านค้าที่โรงเรียนนั้นไม่มีทางอร่อยได้มากขนาดนั้น แม้ว่ามันจะราคาถูก แต่ฮันจุนก็ไม่เคยมองว่าความรู้สึกและสิ่งที่ยูแจทำให้นั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไร้ค่าเลยแม้แต่สักครั้งเดียว เพราะเขามั่นใจว่ายูแจต้องยอมอดข้าวจนไส้กิ่วเพื่อที่จะเก็บเงินมาซื้อสิ่งนั้นให้เขาแน่ๆ

ฮันจุนทำไข่ดาวกินง่ายๆ รองท้องเป็นอาหารกลางวันพลางไล่ตอบข้อความกลับไปจนหมด หลังจากที่เช็กเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ลดหน้าจอลงและเลื่อนหาชื่อของยูแจ

 

โชยูแจ

กินข้าวเสร็จแล้วตอบกลับด้วย เจอกันก่อนเข้าเรียน (1.04 PM)

 

แม้ในใจนึกตำหนิว่าข้อความหนึ่งข้อความที่แสนห้วนนี้นี่มันอะไรกัน แต่เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีที่เห็นมัน

ยูแจมักจะส่งข้อความมาชวนให้ออกไปเจอกันก่อนเข้าเรียนแทนคำว่าสุขสันต์วันเกิด สมัยก่อนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน หมอนั่นมักจะมาหาเขาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาบอกว่าจะเดินไปโรงเรียนด้วยกัน แล้วก็ร้องเพลงวันเกิดให้เขาที่หน้าบ้านในขณะที่เขากำลังใส่ชุดนักเรียนอย่างเร่งรีบ ฮันจุนคลี่ยิ้มพลางมองข้อความที่อยู่ตรงปลายนิ้ว พอหวนคิดถึงช่วงเวลาสมัยนั้นทีไร หัวใจก็จะรู้สึกร้อนรุ่มด้วยความว้าวุ่นขึ้นมาทุกที

คิดซะว่าโชคดี อย่างน้อยปีนี้ก็ได้ใช้เวลาในวันเกิดด้วยกัน

ฮันจุนพยายามควบคุมความรู้สึกเพื่อให้จิตใจสงบลง

 

ฮันจุนไปเจอยูแจที่หน้าลานน้ำพุก่อนเข้าเรียนหนึ่งชั่วโมง

แสงแดดในฤดูใบไม้ผลินั้นแสนอบอุ่น โชยูแจที่สวมเสื้อสเว็ตเตอร์น่ารักๆ กำลังยืนลูบสายสะพายของกระเป๋าเป้อยู่ เนื่องจากวิชาเอกส่วนใหญ่ของคณะบริหารธุรกิจจะเรียนอยู่ที่ตึกซึ่งอยู่ตรงหน้าลานน้ำพุ ดังนั้นฮันจุนจึงเห็นเพื่อนร่วมรุ่นในคณะบริหารฯ บางคนที่เดินไปมาแถวๆ นี้ทักทายเขา

คนจำนวนมากที่เดินผ่านไปมาต่างก็แอบชำเลืองตามามองยูแจ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตาอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ศีรษะของเขาถึงดูกลมๆ และเรียบร้อยเป็นพิเศษ ฮันจุนตั้งใจปรับฝีเท้าให้ช้าลงหน่อยเพื่อเฝ้ามอง ยูแจกำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มคนที่เขาเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

เขาเคยกังวลด้วยกลัวว่าคนอย่างยูแจจะถูกคนอื่นๆ ตีตัวออกหากด้วยข่าวลือแปลกๆ นั้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขากลับต้องหัวเราะเยาะให้กับความกังวลอันไร้สาระนั้นของตัวเอง สังคมในมหาวิทยาลัยนั้นใช่ว่าจะแคบเหมือนตอนมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย แถมคนอย่างยูแจไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะมีเพื่อนใหม่เสมอ ได้ยินมาว่าในระหว่างที่อีกฝ่ายทำงานในงานเทศกาลเบียร์นั้นก็ได้เบอร์ของซึงมินมาด้วย ทั้งยังไปขอโทษจองยุนมาอีก ไม่รู้ว่าเอาเวลาจากไหนไปทำเรื่องพวกนั้นกัน

หลังจากเพิ่งแยกกับเพื่อนๆ จนเหลือตัวคนเดียวแล้ว ยูแจก็หันมาเห็นฮันจุน ฮันจุนโบกมือให้ทันทีที่สบสายตากัน จากนั้นยูแจจึงยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว

“Happy birthdayyy…to youuu”

สีหน้าท่าทางที่เลิกคิ้วขึ้นพลางจงใจลากเสียงร้องให้ยานคางนั้นดูขี้เล่นซุกซน ทันทีที่ประโยคแรกของเพลงจบลง ฮันจุนก็เดินเข้าไปใกล้ๆ หยุดยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย นัยน์ตาภายใต้เปลือกตาที่มองลงมาที่เขานั้นช่างอบอุ่น

ฮันจุนละสายตาออกจากริมฝีปากของยูแจก่อนจะพูดขึ้น

“มีเวลาอยู่ชั่วโมงนึง ไปไหนกันดี”

“คาเฟ่ที่เคยไปกับแม่นายครั้งก่อน เราไปที่นั่นกันดีกว่า ฉันมีอะไรจะให้นายด้วยแหละ”

ยูแจดูอารมณ์ดี ปกติแล้วคนเราถ้าหากเตรียมของขวัญเอาไว้ให้ใครสักคน ก็มักจะทำให้รู้สึกกระดี๊กระด๊าลุ้นและมีความสุขแบบนี้ ฮันจุนยังจำได้ดีว่าตอนที่เขาซื้อช็อกโกแลตให้ยูแจนั้น วันทั้งวันจิตใจมันว้าวุ่นขนาดไหน

เขาเดินตามยูแจพลางย่นจมูก พอได้คิดถึงช่วงเวลานั้นหัวใจมันก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่ว่าของที่หมอนี่ให้จะเป็นอะไร เราก็ต้องรับไว้ด้วยความยินดีสิ

ยูแจพูดคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงร้านกาแฟและเครื่องดื่มที่สั่งไปถูกนำออกมาเสิร์ฟ เครื่องหน้าคมชัดที่อยู่บนใบหน้าเรียวนั้นขยับไหวไปมา

“วันนี้ฉันว่าจะลองไปไฟต์คลับดูสักหน่อย”

“อือ ได้ยินมาจากพี่ซึงมินแล้ว จู่ๆ ทำไมถึงได้นึกอยากไปขึ้นมาล่ะ นายไม่ได้สนใจจะชกมวยนี่”

“ก็ไม่ได้จะสมัครทันทีเลยซะหน่อย แค่อยากลองไปดูสักครั้งเฉยๆ”

“ดูเหมือนพี่ซึงมินเขาจะไม่ได้เข้าใจตรงกันกับนายนะ เห็นบอกว่าจะมีเด็กปีหนึ่งเข้ามาเพิ่มอีกคน ทำเอาชมรมวุ่นวายกันไปหมด”

ยูแจหัวเราะ ดูท่าฝ่ายนั้นคงจะประหลาดใจที่เมื่อวานซืนยูแจยังด่าว่าชมรมมันน่าสิ้นหวังตั้งแต่ชื่ออยู่เลย แต่มาวันนี้จู่ๆ ก็บอกว่าอยากจะไปเยี่ยมชม ยูแจดูสนิทกับซึงมินมากขึ้นตอนเทศกาลเบียร์ ฮันจุนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องมาเยี่ยมชมรมนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้สองคนนี้สนิทกันหรือเปล่า ซึงมินเป็นรุ่นพี่ที่ตลกและเฟรนด์ลี่ ถึงแม้ว่าบางทีจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปบ้างก็เถอะ

ยูแจดูดลาเต้เย็นพลางกลอกตาไปมา อีกฝ่ายดื่มกาแฟได้ง่ายต่างจากฮันจุนที่ไม่ถูกกับลาเต้และอเมริกาโน่เลย เขานิ่งเงียบพลางกดริมฝีปากลงบนหลอดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น

“พี่คนนั้นถามฉันว่าเคยเห็นนายต่อยมวยไหม พอลองมาคิดดูแล้ว ฉันก็ยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง”

“ดูแล้วมันทำไม ไม่ได้มีอะไรน่าดูหรอกน่า”

“เห็นบอกว่าเป็นกีฬาของผู้ชายที่สนิทสนมกันอย่างแนบแน่น”

“อะไรของนาย…มันก็แค่กีฬาที่พวกผู้ชายนิยมเล่นกันเยอะ”

ถึงจะรู้สึกผิดต่อซึงมิน แต่ฮันจุนก็เลือกตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรเสียโชยูแจก็ไปดูเพื่อความบันเทิง คงไม่ได้คิดสมัครเข้าชมรมเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว จะว่าไปเขาก็ไม่ได้คิดจะบอกความจริงกับยูแจว่าซึงมินทำความสะอาดโรงยิมเองทุกซอกทุกมุมจนเงาวับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเลือกที่จะปิดมันไว้เป็นความลับ ถึงแม้ว่าคนอย่างยูแจจะไม่ได้มีนิสัยชอบปลีกตัวหนี เพียงแค่รู้สึกอึดอัดใจกับอะไรแบบนั้นก็เถอะ

ฮันจุนเหลือบตาไปมองเพราะได้ยินเสียงรูดซิป ก่อนจะเห็นยูแจเปิดกระเป๋าแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมา

“นี่เป็นของขวัญวันเกิดน่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ”

ถุงช็อปปิ้งที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดเอาไว้ถูกวางลงตรงหน้า ยูแจน่าจะซื้อของขวัญเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะว่าวันนี้มีเรียนตั้งแต่เช้า พอคิดว่ายูแจไปเลือกมันเองกับมือแล้วซื้อมาให้ ในใจก็พลันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา

ตอนที่เห็นโชยูแจแอบไปซื้อขนมปังไส้ครีมคนเดียวที่ร้านค้า ฮันจุนก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังสับสนว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่ ทว่าตอนนี้เขามั่นใจและรู้แล้ว

…ว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่เขาควรจะต้องหยุดความรู้สึกนี้สักที

ฮันจุนกดความรู้สึกลงไป แล้วคลี่ยิ้มออกมา

“อะไรเนี่ย”

ครีมอาบน้ำหรือเปล่านะ

ฮันจุนหยิบกล่องที่อยู่ในถุงออกมาก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น

ต่อให้ไม่ต้องเปิดออกดู เขาก็รู้ได้ทันที เพราะบนกล่องมีรูปภาพของสิ่งของที่อยู่ข้างในกำกับอยู่อย่างชัดเจน

“…โน้ตบุ๊ก?”

“มันไม่ใช่ของสเป็กสูงอะไร ราคาก็ไม่ได้แพงขนาดนั้นหรอกน่า แถมฉันใช้คูปองไปด้วยเลยซื้อมาได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาขายปกติน่ะ”

ยูแจรีบพูดอธิบายอย่างรวดเร็ว ต่อให้บอกว่าเป็นราคาต่ำสุดขนาดไหน แต่มันก็น่าจะเป็นเงินที่มากพอๆ กับเงินค่าสอนพิเศษหนึ่งเดือนของเขา ฮันจุนผ่อนลมหายใจ

“ฉันรับมันไว้ไม่ได้หรอก มันมากเกินไป”

“แต่ฉันไม่มีเค้กให้แทนหรอกนะ มีแต่ของชิ้นนี้เท่านั้นแหละ”

“…”

“แล้วฉันก็ไม่ได้ใช้เงินค่าขนมจากที่บ้านมาซื้อด้วย มันเป็นของขวัญที่ฉันซื้อด้วยเงินที่ฉันหามาเอง”

ฮันจุนตั้งใจจะเถียงออกไปว่า ‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน’ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปิดปากเงียบ

มันมีจุดที่เกี่ยวข้องกันอยู่ เพราะเขาคงจะไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้อย่างเด็ดขาด หากโชยูแจใช้เงินค่าขนมที่ได้รับมานำไปซื้อในขณะที่ต้องทนฟังเสียงพร่ำบ่นที่แสนเกลียดชังนั้น

ยูแจที่เฝ้ามองอยู่เคาะลงบนกล่องเพื่อเรียกร้องความสนใจจากฮันจุน

“ถ้าหากนายพอมีเงิน นายเองก็คงอยากจะทำแบบเดียวกันให้ฉันเหมือนกัน หวังว่านายจะไม่คิดอะไรในแง่ร้ายหรอกนะ”

ยูแจพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ทั้งที่ให้ของขวัญ แต่กลับทำหน้าตาบูดบึ้ง ดูเหมือนว่ายูแจจะรู้สึกเสียความรู้สึก ไม่ใช่ว่าฮันจุนจะไม่รู้ถึงความตั้งใจนั้นของยูแจ เพียงแต่ว่า…

เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะรับทุกอย่างจากยูแจเอาไว้ด้วยความยินดี ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว พอเขาเห็นโน้ตบุ๊ก เขากลับควบคุมสีหน้าของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย แม้เขาจะไม่เคยแสดงออกว่าต้องการหรืออยากได้โน้ตบุ๊ก ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าไม่มีเงินจะซื้อข้าวกินทุกวัน และไม่เคยทำให้อีกฝ่ายเห็นว่ามีเงินไม่มากพอ แต่สุดท้ายแล้วยูแจก็มองเขาออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และนั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจเหลือเกิน

เขาไม่ได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีหรือสมเพชเวทนาตัวเอง เพราะเขาเองก็เข้าใจอย่างถ่องแท้มาโดยตลอดว่าการที่โชยูแจคอยเอาใส่ใจเขามาตลอดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เขาก็แค่รู้สึกเหนื่อย…เหนื่อยกับการที่คนที่ชอบต้องมาเห็นสภาพของตัวเองที่กำลังดิ้นรนเพราะความยากจนอยู่เป็นประจำ

ฉันแค่อยากให้นายเห็นฉันในภาพลักษณ์ที่ดูดีกว่านี้อีกสักนิด…ภาพลักษณ์ที่ดูดีขึ้นได้ด้วยความพยายามของตัวฉันเอง

“รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ค่อยจะชอบ แล้วนายใช้เงินขนาดนี้ไปเพื่ออะไร”

“เพราะตอนนี้มันมีประโยชน์กับนาย ต่อให้นายจะไม่พอใจล่ะมั้ง”

“คราวหน้าฉันไม่ยอมแน่ๆ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

“เขาว่ากันว่าพอเข้าทำงานในบริษัทแล้วได้เงินเดือนเดือนแรกมาก็ให้เอาเงินนั้นไปซื้อของขวัญให้คนในครอบครัวไม่ใช่หรือไง คิดซะว่ามันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ”

ฮันจุนกัดริมฝีปากแน่นพลางสบสายตากับยูแจที่กำลังพูดหยอกเล่นเพื่อให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป มันคงจะดีกว่าหากคิดง่ายๆ แบบนั้นแล้วทำให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด ทว่าพอสบสายตากับดวงตาที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยความวิตกซึ่งแตกต่างไปจากคำพูดนั้นแล้ว ความรู้สึกขุ่นเคืองใจก็ดันตีรวนขึ้นมาแทน

“นายเป็นคนในครอบครัวฉันหรือไง”

หลังจากพูดคำนั้นออกไป คำพูดที่พูดราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นคนอื่นคนไกล ตอนนั้นเองฮันจุนถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองได้พูดอะไรที่ร้ายแรงออกไป

ลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ชั่วขณะหนึ่งพรั่งพรูออกมา ฮันจุนยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองดูภาพฉากตรงหน้าที่ตัวเองไม่อยากจะเผชิญหน้าด้วย โชยูแจยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิมราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่นี้ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ตระหนักได้อย่างถ่องแท้แล้ว รอยยิ้มนั้นก็พลันจางหายไป ทุกครั้งยามที่กะพริบตา นัยน์ตาที่เคยเปล่งประกายกลับค่อยๆ สูญเสียความสดใสลงไปทุกที

แววตาคู่นั้นหลุบเลื่อนลงไปมองพื้น แล้วยูแจก็จ้องมองไปที่กล่องโน้ตบุ๊ก ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเอากล่องใส่เข้าไปในถุงช็อปปิ้งเหมือนเดิมอีกครั้ง

“ไว้ฉันจะเอาไปคืนเงินให้ก็แล้วกัน”

“นี่”

“ถ้าดื่มหมดแล้วก็ไปกันเถอะ”

ยูแจพูดพลางลุกขึ้น ก่อนที่ฮันจุนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามหลังออกไป ทั้งที่เขาควรต้องพูดออกไปว่าไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น แต่เขากลับไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้เลย

ทั้งที่เสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดที่ยูแจร้องให้เขานั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู…

 

อยากดูดีในสายตาของโชยูแจ? ไอ้โง่เอ๊ย แล้วดันไปพูดอย่างนั้นทำไมวะเนี่ย

ฮันจุนเอาหน้าซุกหมอนพลางหัวเราะเยาะตัวเอง

ฮันจุนสารภาพรักแล้วก็ถูกโชยูแจปฏิเสธ ทั้งที่หวังว่าสักวันจะกลับมาคืนดีกับยูแจได้ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด เขากำลังพยายามมุ่งมั่นที่จะกลับไปเป็นเพื่อนกันอย่างเก่า ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากดูดีในสายตาของอีกฝ่าย และการที่ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันก็ได้สร้างบาดแผลและทำให้ใจของเขารู้สึกเจ็บปวด

ถ้าพูดไปตั้งแต่แรกว่าของขวัญแพงๆ นั้นมันทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรี และทำให้ถูกมองว่าน่าเห็นใจ หากพูดแบบนั้นไปยังจะดูน่าหัวเราะเยาะน้อยกว่านี้เลย

ไม่มีใครโง่ได้เท่าเราแล้วล่ะ

เขาได้รู้แล้วว่าไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นขนมปังไส้ครีมหรือโน้ตบุ๊ก ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นหัวใจดวงเดิม

เมื่อนึกถึงสีหน้าของยูแจยามรู้สึกเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นมา หัวใจของเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน ถึงภายในอกมันจะปวดหน่วงมากสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดมันลงได้เลย ยิ่งกล้ำกลืนเสียงร้องครวญครางภายในใจที่คอยจะล้นทะลักออกมาเท่าไร ความรู้สึกเหล่านั้นก็มีแต่จะทับถมกันมากขึ้นเรื่อยๆ

โง่เง่าชะมัด

รักข้างเดียวอันแสนหนักอึ้งนี้

ทั้งความรู้สึก ทั้งหัวใจ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยแม้แต่อย่างเดียว

ฮันจุนเงยหน้าขึ้นแล้วคลำหามือถือ ทันทีที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่น เขาก็เผลอนึกไปว่าอาจจะเป็นสายโทรศัพท์จากยูแจ ทว่ามันกลับไม่ใช่ มันเป็นสายโทรศัพท์จากซึงมิน

วันนี้ที่ชมรมไฟต์คลับ หลังจากฟิตซ้อมออกกำลังกายกันแล้วก็มีนัดกันจัดปาร์ตี้วันเกิดแบบง่ายๆ แน่นอนว่าเขาควรจะต้องไป แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จะไปออกกำลังกายเลย ฮันจุนใช้ฝ่ามือลูบหน้าอกที่รู้สึกเจ็บปวด ก่อนจะกดรับสาย

“นี่ นายอยู่ไหน”

“พี่ วันนี้ผมไม่ไปซ้อมแล้วนะ ไว้อีกสักเดี๋ยวผมจะไปนะครับ”

“ว่าไงนะ นายออกมาเดี๋ยวนี้เลย เพื่อนนายที่บอกว่าจะมาดูนายชกมวยอะ หมอนั่นมาถึงแล้วเนี่ย”

“…ครับ?”

ฮันจุนทำหน้าบึ้งแล้วลุกขึ้นนั่ง

โชยูแจ?นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก

“ยูแจเขาบอกว่าจะมาดูนายชกมวย ตอนนี้ก็กำลังรออยู่เนี่ย แถมยังมีเด็กปีหนึ่งคนอื่นมากันเพียบเลย แล้วที่สุดยอดที่สุดคืออะไรรู้ไหม มีเด็กผู้หญิงมาดูด้วย! ถ้าเกิดว่าในบรรดาเด็กผู้หญิงพวกนั้นมีใครสักคนบอกว่าจะสมัครเข้าชมรมเราล่ะ…ถ้าเป็นงั้นจะทำไงดีวะเนี่ย หืม? ฮันจุนอา ถึงวันนี้จะเป็นวันเกิดนายก็จริง แต่มันก็นับเป็นวันมงคลของชมรมไฟต์คลับด้วยนะ สงสัยคงต้องแต่งตั้งให้วันนี้เป็นวันครบรอบชมรมซะแล้วสิ”

“…”

“นี่ฉันฝันหรือตื่นอยู่กันแน่วะเนี่ย นายรีบมาหยิกพี่ทีสิ”

โชยูแจมาที่โรงยิม แม้ว่าหมอนั่นคงจะเจ็บปวด แต่เขาก็ยังรักษาสัญญา…

“จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

ฮันจุนวางสายทันทีก่อนจะรีบลุกจากเตียง

ไม่ว่าจะเป็นกีฬาของพวกผู้ชายที่สนิทสนมกันอย่างแนบแน่น หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่างไรเสียเขาก็คิดอยากจะโชว์ให้ยูแจได้เห็นภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวคาดหวัง

 

ฮันจุนวิ่งพรวดเข้าไปในโรงยิมก่อนจะเห็นภาพที่ไม่คุ้นเคย อีกฟากหนึ่งของโรงยิม รุ่นพี่คนอื่นๆ รวมถึงซึงมินกำลังสอนชกมวยอยู่ การต่อสู้กันบนสังเวียนมีเสียงดังฮึกเหิมมากกว่าทุกที ขนาดตอนที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในโรงยิมนี้เป็นครั้งแรก พวกรุ่นพี่ต่างก็ต้อนรับกันเสียงดังวุ่นวายมากแล้ว แต่โชว์ของวันนี้มันยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพื่อนร่วมรุ่นที่เข้ามาเยี่ยมชมถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามความชอบและความสนใจ บ้างก็ไปดูการสอนออกหมัดฮุค บ้างก็ไปชมการแข่งขัน

นอกจากเพื่อนในชมรมบาสของยูแจหนึ่งคนที่เดินวนไปวนมารอบๆ แล้ว ที่เหลือต่างก็เป็นเพื่อนที่ลงเรียนคลาสเดียวกันกับยูแจทั้งหมด ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เวลายูแจไปไหนมาไหนก็มักจะดึงดูดผู้คนให้ไหลตามกันมาด้วยอยู่เสมอ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจขนาดนั้นที่เพื่อนๆ ต่างก็ตามยูแจกันมาเป็นแถว แม้ชมรมจะมีชื่อว่า ‘ไฟต์คลับ’ แต่ยูแจก็ยังสามารถทำให้เพื่อนๆ เกิดความสนใจใคร่รู้และตามมาได้อย่างง่ายดาย

ฮันจุนมองไปรอบๆ ทุกซอกทุกมุมภายในโรงยิมที่แสนจะคึกคักวุ่นวาย ก่อนที่เขาจะเห็นโชยูแจอยู่แถวๆ สังเวียน

โชยูแจกำลังดูการซ้อมชกมวยอยู่ ทว่าแววตาของเขาดูไม่ได้สนใจการซ้อมชกมวยตรงหน้าเลย มันดูเฉยเมยเกินกว่าจะบอกว่าอยากมาดู ดูเหมือนว่าที่เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่นั้นไม่ได้มาเพื่อชมการชกมวย แต่มาเพื่อดูฮันจุนเสียมากกว่า

ดวงตาที่กำลังจับจ้องอยู่บนสังเวียนเคลื่อนมามองฮันจุน

ฮันจุนผงกศีรษะทักทายไปอย่างทำตัวไม่ถูก ยูแจหันหน้ากลับไปมองบนสังเวียนอีกครั้งโดยไม่พูดไม่จา ใบหน้าที่ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรนั้นทำให้ฮันจุนรู้สึกเป็นห่วงเสียเหลือเกิน

หมอนั่นคงจะเสียใจมากแน่ๆ

ฮันจุนรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าจะต้องขอโทษอย่างไรดี แทนที่จะพูดออกไปว่า ‘ที่ฉันพูดไปมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น’ ทว่าเขากลับอยากจะเปิดอกอธิบายทุกความรู้สึกออกไปตรงๆ เสียมากกว่า แต่มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ควรจะมาพูดในสถานที่ที่มีผู้คนเยอะแยะมากมายแบบนี้

ขณะเขากำลังจัดการกับความรู้สึกที่แสนวุ่นวายซับซ้อนอยู่นั้น ซึงมินที่หันมาเห็นฮันจุนก็ออกตัววิ่งมาหาพอดี

“เฮ้ ฮันจุนมาแล้ว พวกนายเป็นเพื่อนฮันจุนใช่ไหม เดี๋ยวจะให้ฮันจุนสาธิตให้ดู มานี่เร็ว เออใช่! ฮันจุนอา สุขสันต์วันเกิดนะ”

พอซึงมินที่กำลังยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเอ่ยปากแสดงความยินดีออกมา วินาทีนั้นเองฮันจุนก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้อีกครั้งว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง เพราะภายในหัวเขามันเอาแต่คิดถึงโชยูแจอยู่เต็มไปหมดจึงลืมปาร์ตี้ที่จะจัดในวันนี้ไปเสียสนิท

ฮันจุนเริ่มวอร์มอัพง่ายๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง ในขณะที่กำลังวอร์มไหล่และคออยู่นั้น ซึงมินก็เดินเข้ามากระซิบกระซาบอยู่ข้างๆ

“ก่อนอื่นเลย พอฉันกับนายขึ้นสังเวียนไปแล้วเราก็ทำตามปกติอย่างที่เคยทำกันเป็นประจำก่อน แล้วจากนั้นก็ค่อยปล่อยหมัดแย็บๆ เหมือนในหนังนะ เคไหม เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”

“ไหนบอกว่าการชกมวยไม่ได้มีเอาไว้โชว์ไงครับ”

“นั่นมันหมายถึงตอนที่ไม่มีคนมาดูต่างหากล่ะ น่านะ ฮันจุนอา”

“เราต้องเริ่มจากโชว์สเต็ปก่อนไม่ใช่เหรอครับ ถ้าพวกคนที่เข้ามาดูเขามาดูเพราะสงสัยว่าต่อยมวยเขาต่อยกันยังไง เราก็ควรจะเริ่มโชว์ตั้งแต่พื้นฐาน…”

“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ”

“ครับ?”

“ตอนนี้เด็กๆ ที่มาดูเนี่ยเขาไม่ได้มาเพื่อเรียนพื้นฐาน แล้วก็ไม่ได้มาดูด้วยว่าการต่อยมวยมันคือการออกกำลังกายแบบไหน ถ้ามาดูแค่เราโชว์สเต็ปแล้วก็ไป มันจะเป็นที่จดจำได้ยังไงกันเล่า ถ้ามาดูแค่นั้น ฉันสั่งให้นายไปกระโดดเชือกโชว์ไม่ดีกว่าเหรอ ถ้างั้นอะ”

ฮันจุนปิดปากเงียบเพราะคำพูดของซึงมินที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุด

ไหนบอกว่าไอ้พวกที่ชกมวยแล้วรู้จักแต่การแย็บมันน่ารำคาญไง

ฮันจุนโน้มตัวลงเพื่อยืดเส้นยืดสายพลางเลียริมฝีปาก ทั้งที่เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกครั้ง แต่พอคิดว่าโชยูแจกำลังดูอยู่ มันก็อดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้

“พาวเวอร์ฮุคและการแย็บแบบเร็วๆ เราต้องโชว์อะไรแบบนี้สิ ไฮไลต์น่ะ รู้จักไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

“เดี๋ยวฉันจะเป็นฝ่ายรับหมัดเอง นายชกโชว์ไปเลย”

“ครับ”

ฮันจุนเหลือบมองยูแจ ซึ่งยูแจเองก็กำลังจ้องมองมาทางเขาพอดีเช่นกัน ทันทีที่สบสายตากัน ฮันจุนก็ถอนหายใจออกมา

เป็นยังไงก็เป็นยังงั้นอยู่วันยังค่ำ ไอ้คนงั่งเอ๊ย

ทีฉันซื้อช็อกโกแลตให้ ราคาไม่ถึงสองหมื่นวอนด้วยซ้ำ ตัวเองยังมาโมโหฉุนเฉียวใส่ แล้วแบบนี้นายคิดว่าฉันจะรู้สึกขอบคุณแล้วรับโน้ตบุ๊กราคาหลายแสนวอนนั่นมาหน้าตาเฉยหรือไงกัน

“อ๊ะ”

ฮันจุนที่กำลังบ่นอุบอยู่ในใจสะดุ้งโหยงแล้วเผลอส่งเสียงครางออกมา กล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาจู่ๆ ก็ตึงเกร็งขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่านั่งเรียนมาตลอดทั้งวันหรือเปล่า บริเวณนั้นถึงได้แข็งตึงเป็นพิเศษแบบนี้ ซึงมินขมวดคิ้วพลางเอ่ยปากถาม

“เจ็บเหรอ”

“ครับ”

“ไปคลายกล้ามเนื้อฝั่งนู้นกัน”

ฮันจุนเดินตามซึงมินไปยังม้าขวาง* ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงยิม สมาชิกในชมรมมักจะใช้ม้าขวางซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยได้ใช้งานสักเท่าไรในการยืดเส้นยืดสาย

ฮันจุนยืนโดยเอาขาข้างหนึ่งวางพาดไว้บนขอบของม้าขวาง พอได้ลองหมุนขาไปทางซ้ายและขวาอย่างช้าๆ เขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที

“โอ๊ะ”

“นายนี่น้า ไหนยืดหลังหน่อยสิ”

“อ๊ะ พี่ เดี๋ยวก่อน ผมเจ็บ”

แม้ว่าเขาจะต้องยืดหลังให้ตรงเพื่อที่จะได้สามารถยืดกล้ามเนื้อได้อย่างถูกต้อง ทว่ามันเจ็บเกินไป ถึงอย่างนั้นซึงมินเองก็ไม่ได้เห็นใจเขาสักนิด อีกฝ่ายจับหลังของเขาดันจนยืดตรง ฮันจุนหอบหายใจถี่รัวพลางใช้สองมือควานหาม้าขวางแล้วจับเอาไว้มั่น

“พี่ครับ อ๊ะ”

“สำหรับการออกกำลังแล้ว การยืดกล้ามเนื้อมันสำคัญมากนะ ถ้าไม่ทำก่อน นายก็จะได้รับบาดเจ็บเอาได้ ว่าแต่ทำไมกล้ามเนื้อนายถึงได้ตึงขนาดนี้เนี่ย”

“อา…คงเพราะช่วงนี้ผมต้องอ่านหนังสือสอบแล้วก็ต้องเตรียมงานกิจกรรมด้วยเลยไม่ค่อยได้ออกกำลังกายบ่อยๆ น่ะครับ”

“ต่อให้ยุ่งยังไง เวลาอยู่บ้านก็ต้องยืดกล้ามเนื้อด้วยสิ”

“อึก!”

หลังจากร้องครวญครางโอดโอยจนคลายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างเรียบร้อยก็นับว่าเป็นอันเตรียมตัวเสร็จสิ้นแล้ว เขาถอนหายใจออกมายาวๆ เพื่อคลายความตึงเครียดพลางกวาดสายตามองหายูแจ ก่อนจะเห็นว่ายูแจยังคงยืนอยู่ที่เดิม

…เพิ่มเติมคือเจ้าตัวกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังดูนิ่งๆ เฉยเมยทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอยู่เลย ดูท่าว่าเจ้าตัวคงจะไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกที่อยู่ภายในใจไว้ได้ทั้งหมด

หลังจากที่ฮันจุนสวมเฮดการ์ดกับนวมเสร็จแล้ว เขาก็กระโดดวอร์มอัพอยู่กับที่เบาๆ เพียงแค่เขาสวมใส่อุปกรณ์ เขาก็ได้ยินเพื่อนร่วมรุ่นพากันส่งเสียงดังโหวกเหวกกันยกใหญ่ ฮันจุนนึกถึงยูแจที่น่าจะยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ยูแจเองก็คงจะเพิ่งเคยเห็นเขาในสภาพที่สวมเฮดการ์ดแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

ฮันจุนไม่ได้ซ้อมชกคู่แบบนี้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว โดยปกติแล้วจะมีการซ้อมชกประมาณสัปดาห์ละครั้ง แต่เพราะเขายุ่งมากเลยหยุดชกไปได้หลายสัปดาห์แล้ว ฮันจุนรู้สึกตื่นเต้นมากๆ พลางคิดทบทวนสิ่งที่พวกพี่ๆ พูดให้ฟังในเวลาปกติซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัว

ใจเย็นๆ ผ่อนคลายเข้าไว้แล้วยึดสังเวียนนั่นซะ

ซึงมินรู้ท่วงท่าและสไตล์การชกของเขาทั้งหมด ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะซึงมินที่แทบจะกินอยู่และใช้ชีวิตในโรงยิมได้ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากทำให้มันเป็นเกมที่น่าพึงพอใจ ฮันจุนหันไปมองยูแจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปบนสังเวียน

“เราจะชกกันทั้งหมดสามยกนะครับ เชิญรับชมยกแรกกันได้เลย”

ซึงมินเอ่ยปากตะโกนด้วยความฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ฮันจุนยกกำปั้นขึ้นมาในจังหวะเดียวกันกับที่เสียงระฆังดังขึ้นซึ่งเป็นสัญญาณว่าเกมนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ซึงมินยกมือขึ้นตั้งการ์ดพร้อมกับสะบัดศีรษะ ทั้งที่ซึงมินมักจะบ่นฮันจุนอยู่เสมอว่าถ้าหากตื่นเต้นแล้วล่ะก็จะทำให้เสียพละกำลังไปมาก แต่ในวันนี้แม้แต่ซึงมินเองก็ยังควบคุมความตื่นเต้นนั้นเอาไว้ไม่ได้ และแล้วหมัดแย็บเบาๆ ก็ถูกส่งออกไป

ทุกครั้งที่ฮันจุนปล่อยหมัดแย็บออกไป ซึงมินก็จะใช้สเต็ปเท้าก้าวเข้ามาใกล้ๆ และด้วยการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอนั้นทำให้สามารถอ่านทางออกได้ง่าย ฮันจุนจึงรู้สึกได้ว่าซึงมินจงใจใช้จังหวะการเคลื่อนไหวที่คล้ายๆ กัน ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะโชว์รูปแบบการเคลื่อนไหวที่หลากหลายมากกว่านี้จนฮันจุนไม่สามารถเดาทางได้ ฮันจุนปัดหมัดที่แย็บเข้ามาไม่หยุดหย่อนอย่างรวดเร็วพลางพินิจมองซึงมิน

การชกมวยไม่ใช่กีฬาที่ใช้เพียงแค่กำปั้นเท่านั้น มันเป็นกีฬาที่ต้องรีบคิดว่าจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องวิเคราะห์สไตล์การชกของฝ่ายตรงข้ามแบบเรียลไทม์ในระหว่างการแข่งขัน เหตุผลที่ฮันจุนมีความสนใจในการชกมวยมานานนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาเคยทำงานพาร์ตไทม์ทำความสะอาดที่บ็อกซิ่งคลับ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกสนุกไปกับการชกมวยด้วยหัวใจจริงๆ

เขาหลบหมัดที่ลอยเข้ามาแล้วก้มตัวก่อนจะเคลื่อนไปทางขวา และใช้ช่องว่างนั้นปล่อยหมัดแย็บออกไป ซึงมินที่ถูกต่อยไปหนึ่งทีทำท่าทำทางเป็นเซไปเซมา ทั้งที่มันไม่ใช่การโจมตีที่ใส่เต็มแรงอะไรขนาดนั้น แต่พอดูจากการที่อีกฝ่ายทำตัวโอเว่อร์แล้ว ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสัญญาณที่สั่งว่าให้ซัดเข้ามาเลย ฮันจุนจึงรัวหมัดออกไปไม่ยั้งอย่างรวดเร็ว

แม้จะถูกต่อย แต่ซึงมินก็มีความสุขกับเสียงโห่เชียร์อันอึกทึกจากผู้คนที่อยู่ด้านล่าง หลังจากโดนชกไปพอสมควรแล้ว ซึงมินก็ยกไหล่ขึ้นใช้การ์ดป้องกันหมัดที่ชกเข้ามา จากนั้นก็ปล่อยหมัดตรงออกไปข้างหน้าครั้งหนึ่งราวกับต้องการแค่จะวัดระยะ ฮันจุนรู้สึกว่ามันไม่เกินจริงเลยสักนิดหากจะกล่าวว่านั่นเป็นการกระทำที่ทำไปเพื่อดึงดูดสายตาและความสนใจของนักศึกษาปีหนึ่งที่แววตาสั่นระริกซึ่งต่างไปจากปกติ สิ่งที่เขาทำนั้นมันใกล้เคียงกับการแสดงละครมากกว่าจะบอกว่าเป็นการแข่งขัน

ในยกสุดท้ายนั้นมีเสียงเชียร์ที่ฮึกเหิมดังขึ้นตั้งแต่เริ่มยกสมกับที่มันเป็นยกสุดท้าย ซึงมินปล่อยหมัดเคาน์เตอร์* ต่อยไปตรงศีรษะของฮันจุน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้น แต่ก็พอทำให้ได้ยินเสียงบรรดาผู้ชมร้องออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งนั่นคงเป็นเพราะเฮดการ์ดเลยทำให้เสียงที่โดนชกนั้นฟังดูแล้วดังมาก

ซึงมินเริ่มเคลื่อนตัวไปตรงริมขอบสังเวียนอย่างชาญฉลาดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ ฮันจุนพลันกลั้นขำเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตั้งท่าป้องกันรออยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณว่าให้เขาพุ่งเข้าไปต่อยได้เลย

ดังนั้นฮันจุนจึงไล่ต้อนซึงมินเข้ามุมแล้วปล่อยหมัดออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความยินดี ซึงมินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วรับบทเป็นกระสอบทรายอันทนทานให้ฮันจุนได้ต่อยตี

ปั้กๆๆ

เสียงโห่ร้องเชียร์ผสานไปกับเสียงชกที่ดังอย่างต่อเนื่อง มันเป็นฉากที่ทำให้คนที่ไม่ค่อยรู้จักการชกมวยพอจะรู้สึกลุ้นและสนุกสนานไปกับมันได้

ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่น่าสนุกเท่าไรเพราะว่าเป็นการชกเพื่อโชว์มากกว่าจะเป็นการชกเพื่อการแข่งขันกันอย่างจริงจัง ทว่ามันก็มีความสนุกในแบบของมัน ซึ่งคล้ายๆ กับมวยปล้ำอาชีพที่มีการตระเตรียมวางแผนกันมาก่อนล่วงหน้า

ในระหว่างที่ชกกันนั้น เสียงระฆังดังขึ้นในตอนจบของยกสุดท้าย ฮันจุนก้าวถอยหลังแล้วแอบเหลือบตาไปมองยูแจ ตอนยกแรกโชยูแจทำเพียงเฝ้ามองอยู่ไกลๆ เขายืนห่างจากสังเวียนอยู่หลายเมตร แต่พอจบยกสุดท้าย ฮันจุนไม่รู้เลยว่ายูแจเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กระทั่งยื่นหน้าเข้ามาจนแทบจะชิดเชือกสังเวียนเส้นหนานั่นตั้งแต่เมื่อไหร่

ใบหน้าของยูแจขึ้นสีแดงก่ำ

คงจะรู้สึกสนุกสินะ กีฬาประเภทต่อสู้มันก็ดูเพื่อความสนุกและความมันส์ตอนที่ได้เห็นคนผลัดกันรุก ผลัดกันตั้งรับกันแบบนี้นี่แหละ

ทันทีที่การซ้อมคู่จบลง ฮันจุนก็เริ่มถอดอุปกรณ์ทั้งหลายออก ในตอนที่เขากำลังเสยผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพลางจัดการเส้นผมให้เข้าที่เข้าทางอยู่นั้น ฉับพลันซึงมินที่ทั้งตัวโชกเหงื่อเหมือนกันก็วิ่งเข้ามาดึงตัวเขาเข้าไปกอด

“โอ๊ย! พี่ ผมหายใจไม่ออกนะ”

“เป็นเกมที่สุดยอดไปเลย เอาชนะนายไม่ได้เลยจริงๆ”

ทั้งที่คนฟังก็ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าซึงมินกลับพูดออกมาเสียงดัง ฮันจุนลอบสังเกตเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนออกันอยู่หน้าสังเวียน ดูท่าซึงมินจะอยากโชว์น้ำใจนักกีฬาของนักมวย ถึงอย่างนั้นมันก็อดรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี

ทำเป็นพูดไป เอาชนะไม่ได้อะไรกันล่ะ

ฮันจุนรู้สึกกระดากอายขึ้นมาจึงเงยหน้ากระซิบซึงมิน

“ผมจะถือซะว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดนะครับ ผมสนุกกับมันมากๆ เลยล่ะ”

แม้คำพูดนั้นฟังดูแล้วไม่ได้มีตรงไหนที่น่าขำ ทว่าซึงมินกลับหัวเราะดังลั่น

 

กว่าฮันจุนจะเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จแล้วออกมา เพื่อนร่วมรุ่นที่มาดูต่างก็กลับกันไปหมดแล้ว ลำดับต่อไปคือปาร์ตี้วันเกิดที่ร้านเนื้อย่างที่ซึงมินจองเอาไว้ ฮันจุนเอาผ้าขนหนูที่คลุมศีรษะไว้มาเช็ดผมพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่านักศึกษาปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่นั้นกลับกันไปหมดแล้ว ไม่มีเหลือเลยแม้แต่คนเดียว

รวมถึงยูแจเองก็เช่นกัน

หมอนั่นจะรู้สึกสนุกกับการมาดูเราหรือเปล่านะ นี่นับว่าเป็นการดูมวยครั้งแรกของหมอนั่นเลย ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่าหมอนั่นจะคิดยังไง

ฮันจุนสะบัดศีรษะไล่หยดน้ำออก

เดี๋ยวกินข้าวเย็นเสร็จ คงต้องติดต่อไปสักหน่อยแล้ว

เขาเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ซึงมินที่กำลังนั่งเหม่ออยู่

“ถ้าไม่ได้ผลจะทำไงครับ”

“ไม่ได้ผลอะไรกันล่ะ นี่มันสุดยอดแห่งการโปรโมตเลยต่างหาก ฉันมั่นใจว่าคนที่มาดูต้องเอาสิ่งที่เห็นไปเล่าต่อให้เพื่อนๆ ฟังแน่นอน เพราะงั้นน่าจะต้องมีเด็กหน้าใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาดูอีกแน่”

“ผมก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่มีแค่พวกนายก็พอแล้ว”

ทั้งที่กำลังพูดคำว่า ‘พอ’ อยู่ แต่สีหน้ากลับดูผิดหวัง ซึ่งมันก็แอบน่าเสียดายจริงๆ เพราะพวกเขาเองก็ทำจนสุดความสามารถแล้ว ทำแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างการโปรโมตการชกมวย

ทว่าผิดหวังกันไปได้เพียงแค่ครู่เดียว พวกเขาก็เริ่มหัวเราะคิกคักพลางเปิดดูวิดีโอซ้อมชกมวยที่อัดไว้เมื่อครู่นี้ แต่พอเห็นว่าลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว เขากลับยิ่งรู้สึกสมเพชมากกว่าเดิมเข้าไปอีก

ในขณะที่ซึงมินยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองพลางดูวิดีโอช่วงที่โดนต่อยศีรษะอยู่นั้น ประตูโรงยิมก็ถูกเปิดออก

ฮันจุนเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอะไรก่อนจะตกใจจนสะดุ้งโหยง โชยูแจที่เขาคิดว่ากลับบ้านไปแล้วกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาในโรงยิมอย่างรวดเร็ว

ยูแจเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ก่อนจะก้มลงมองซึงมินแล้วพูดออกมา

“ผมอยากสมัครเข้าชมรมครับ”

ซึงมินอ้าปากค้าง ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวาขึ้นมาภายในชั่วพริบตาขณะที่ลำคอขึ้นสีแดงระเรื่อ

“สมัคร? ไฟต์คลับเนี่ยนะ”

“ครับ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผม…อยากลองเรียนชกมวยดูสักครั้งน่ะครับ”

ยูแจตอบกลับไปอย่างใจเย็น ในระหว่างที่พวกรุ่นพี่กับซึงมินต่างไหวไหล่กระโดดโลดเต้นกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาก็ปรายตามองฮันจุนด้วยหางตา

ทำไม

ฮันจุนรู้สึกสงสัย ทั้งที่เขากับอีกฝ่ายก็อยู่ด้วยกันและตัวติดกันมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ แต่ยูแจก็ไม่เห็นจะมีท่าทีที่อยากจะสมัครเข้าชมรมไฟต์คลับมาก่อนเลยแม้แต่น้อย ขนาดวันนี้ตอนที่เจอกันตอนกลางวัน เจ้าตัวยังดูมวยอย่างไม่ได้คิดจริงจังอะไรอยู่เลย

เกิดอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เนี่ยนะ?

หรือว่าพอเห็นสิ่งที่ฉันทำวันนี้เป็นครั้งแรกแล้วก็เลยเกิดสนใจขึ้นมา?

ฮันจุนลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วก้มหน้าลง ภายในใจของเขารู้สึกสับสนปั่นป่วนไปหมด

โชยูแจเป็นคนประเภทที่หากตั้งใจทำอะไรแล้วก็มักทำมันออกมาได้ดีเสมอ การอ่านทางสไตล์การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามแล้วตอบโต้กลับ เรื่องพวกนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างยูแจจะทำไม่ได้

ฮันจุนเผลอหลุดยิ้มออกมา แต่แล้วก็ต้องพยายามข่มรอยยิ้มนั้นเอาไว้พลางแกล้งแซวซึงมินโดยการเอ่ยปากถาม

“ดีใจขนาดนั้นเลยหรือไง”

“ฮันจุนอา นี่ฉันดีใจอย่างกับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉันอีกวันเลยนะ”

“ไหนบอกว่ามีแค่ผมก็พอแล้วไงครับ”

ซึงมินยกมือขึ้นโอบไหล่ฮันจุนแล้วดึงเข้าหาตัวเพราะคำพูดที่ฮันจุนจงใจแกล้งแซว ในขณะที่กำลังฟังซึงมินพูดออกมาอย่างระริกระรี้อยู่นั้น ยูแจก็ได้ถามแทรกขึ้นมา

“พี่ครับ ถ้าจะเริ่มชกมวยมีอะไรที่ต้องเตรียมไหมครับ ผมจะได้ซื้อเอาไว้ก่อน”

“ฮะ? อ๋อ มีสิ แป๊บนะ เดี๋ยวฉันจะลิสต์รายการแล้วส่งให้นายทางกาเกาทอล์ก”

“ฟันยางล่ะครับ อันนั้นผมต้องใช้ไหม”

“ช่วงแรกจะเริ่มเรียนจากพื้นฐานก่อน เพราะงั้นมันยังไม่ได้จำเป็น แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เอาให้อันนึงก็แล้วกัน”

พอบทสนทนาเริ่มยาวขึ้นซึงมินก็ลุกพรวดจากที่นั่ง ในขณะที่เขาควานหามือถือเพื่อที่จะเอารูปภาพของฟันยางให้ดู ยูแจที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ เลื่อนสายตามามองฮันจุน

ยูแจขมวดคิ้วพลางจ้องฮันจุนเขม็งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มันเป็นใบหน้าที่เห็นได้อยู่บ่อยๆ ตอนที่เจ้าตัวกำลังทำหนังสือแบบฝึกหัดข้อสอบจำลอง ในวินาทีที่ฮันจุนกำลังจะถามออกไปว่ามีอะไรอยากจะพูดไหม ซึงมินก็ปรบมือเสียงดังเพื่อปลุกแรงใจให้คนรอบตัว

“นี่ๆ ก่อนอื่นเลยนะ ฉันหิวแล้ว พวกเราไปกินข้าวแล้วนั่งคุยกันเถอะ ยูแจ นายเองก็ไปด้วยกันสิ วันนี้เป็นวันเกิดฮันจุนด้วย ถือซะว่าฉันเลี้ยงต้อนรับนายไปด้วยเลย มากินกันให้ท้องแตกกันไปข้างเลย!”

สิ้นคำนั้น ทุกคนต่างเริ่มเก็บสัมภาระกันทีละอย่างสองอย่าง ฮันจุนเองก็สะพายกระเป๋าแล้วหันไปมองยูแจอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยูแจไปยืนยิ้มอยู่ข้างๆ พวกรุ่นพี่

 

* ม้าขวาง เป็นอุปกรณ์กีฬาอย่างหนึ่ง มีทั้งแบบคานพาดและแบบบล็อกไม้ตั้งซ้อนกัน วิธีการเล่นคือใช้มือค้ำเพื่อกระโดดข้ามไป รวมถึงใช้เป็นสิ่งกีดขวางในกีฬายิมนาสติก

* หมัดเคาน์เตอร์ เป็นหนึ่งในเทคนิคมวยขั้นสูง จัดว่าเป็นหนึ่งในกระบวนท่าการชกมวยที่ยากที่สุดก็ว่าได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ท่านี้มีความหมายตรงตามชื่อ โดยเคาน์เตอร์ (Counter) แปลว่าการสวนกลับ ซึ่งหมัดเคาน์เตอร์จะใช้แรงจากคู่ต่อสู้ที่ออกหมัดใส่เราในการสวนกลับไป

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com