everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-3 ถึง 7-4 #นิยายวาย
Chapter 7-3
นี่ฉันเป็นพวกโฮโมโฟเบีย* หรือเปล่านะ
ระหว่างทางที่โยกย้ายจากโรงยิมไปยังร้านอาหาร ภายในหัวของยูแจมีคำถามคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาอยู่ตลอด โดยที่เขาไม่อาจสลัดมันออกไปจากสมองได้เลย
ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะนิยามความรู้สึกต่อต้านที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดนี้ได้อย่างไร
เขาก็แค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเวลาที่เห็นไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นทำตัวสนิทสนมกับฮันจุนมากเกินควร ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาอารมณ์เสียยิ่งกว่านั้นก็คือคำพูดของซึงมินในวันนี้ที่บอกว่าการมาไฟต์คลับทุกวันจะทำให้มิตรภาพระหว่างผู้ชายนั้นใกล้ชิดและแนบแน่นได้มากยิ่งขึ้นทุกวันๆ
ถึงแม้ว่ายูแจจะไม่ได้สนใจเรื่องการชกมวยเลยสักนิด แต่พอได้ลองคิดว่าถ้าหากได้เจอฮันจุนทุกวัน ได้ลองเล่นกีฬาที่ฮันจุนชอบด้วยกันทุกวัน พวกเขาก็อาจจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ในวันใดวันหนึ่ง ทว่าพอเอาเข้าจริงแล้ว ภาพที่ได้เห็นกับตาตัวเองในวันนี้นั้นมันเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
ถึงพวกผู้ชายจะสามารถปฏิบัติตัวอย่างอ่อนโยนต่อกันได้ก็จริง ทว่าสำหรับเขาแล้ว มันก็เป็นการยากเกินไปที่จะไม่เก็บมาคิด แถมซอฮันจุนเองก็เป็นคนที่ชอบผู้ชาย…ซึ่งนั่นมันรวมถึงเขาด้วย ยูแจตกใจมากที่เห็นฮันจุนที่มีนิสัยแบบนั้นสนิทสนมกับชายอื่นได้อย่างแนบแน่นและลึกซึ้ง ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีใครที่ฮันจุนสนิทใจได้แบบนี้ เมื่อก่อนเขาเคยไม่มั่นใจว่าฮันจุนเป็นเกย์หรือเปล่า แต่พอได้มาเห็นภาพที่ฮันจุนยิ้มพลางสบตากับผู้ชายคนอื่น ทั้งโอบกอดกันอย่างแนบแน่นแล้วยังทำตัวออดอ้อนออเซาะกับตาตัวเองเต็มสองตาแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันต่างไปจากที่ตัวเองเคยคิดอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่เคยคิดอะไรในแง่นี้เลยตอนที่ฮันจุนอยู่กับยูบินหรือจองยุน ในทางกลับกันเขากลับคิดว่าการที่ฮันจุนมีความรักกับผู้หญิง มันน่าจะช่วยทำให้ฮันจุนลืมเรื่องที่อกหักจากเขาไปได้ เขาเคยคิดแบบนั้นจนถึงขั้นที่เขารู้สึกราวกับว่ากำลังจะเสียฮันจุนไปให้กับพวกเธอ ทว่าครั้งนี้มันกลับไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น ภายในท้องของเขามันรู้สึกปวดมวนไปหมด
ทำไมกันนะ
เพราะว่าคราวนี้อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกันงั้นเหรอ
นี่เรามารู้สึกเอาตอนนี้เนี่ยนะ ทั้งที่สมัยก่อนตอนที่โดนสารภาพรักก็ยังไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรที่มันต่างไปจากเดิมกันล่ะ หรือเป็นเพราะว่าพอได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้วก็เลยรู้สึกเหมือนจะเสียฮันจุนไปจริงๆ ขึ้นมา?
ภาพความรักระหว่างผู้ชายผุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด ทั้งที่ตอนซอฮันจุนสารภาพว่าชอบเขา เขายังไม่เคยวาดภาพจินตนาการถึงมันเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้เลยสักครั้ง ภาพซอฮันจุนกับไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นที่เพลิดเพลินและเล่นสนุกด้วยกันในทุกๆ วันไปกับเรื่องที่ต่างคนต่างก็มีความสนใจร่วมกันอย่างการชกมวย ภาพที่ซอฮันจุนคอยทำตัวน่ารักออดอ้อนและแชตกับไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นอยู่ตลอดเวลา ภาพซอฮันจุนที่ส่งเสียงครางตอนที่ถูกไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นจับเอวเอาไว้อยู่
รวมไปถึงภาพซอฮันจุนที่ชอบผู้ชาย
“ยูแจยา ไปเอาเค้กมาให้หน่อยสิ”
พอถูกเรียกชื่อ ยูแจก็หลุดออกจากภวังค์ความคิดอันแสนเพ้อเจ้อในทันที เขาส่ายศีรษะแล้วหยิบเค้กวันเกิดของฮันจุนที่พวกชมรมไฟต์คลับเตรียมเอาไว้ออกมา ฮันจุนมองเค้กครีมสดก้อนโตแล้วยู่จมูกราวกับว่าขัดเขิน ก่อนจะเขยิบตัวเอาไหล่เข้าไปแนบชิดแล้วกระซิบกระซาบกับซึงมิน
“พี่ครับ นี่พี่คงไม่ได้เหมาร้านนี้ไว้หรอกใช่ไหม ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกเราเลย แถมยังติดลูกโป่งบนผนังอีก”
“อืม ฉันเหมา ดูท่าวันนี้น่าจะส่งเสียงดังกันมากๆ ก็เลยกลัวว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาไง ส่วนพวกลูกโป่งนั่นน่ะ พี่กับพวกเด็กๆ เพิ่งจะเอามาติดกันเมื่อกี้นี้เอง”
“ขอบคุณนะครับ”
“เนื้อนั่นก็กินเยอะๆ ล่ะ อยากกินอะไรก็สั่งเลย”
“ค่าอาหารนี่พี่ก็เป็นคนจ่ายเหรอครับ ผมว่าพี่เก็บค่าธรรมเนียมสมาชิกเถอะครับ”
“ฮันจุนอา นี่นายกล้าพูดเรื่องเงินต่อหน้าพี่เหรอ”
ซึงมินถามพลางยกยิ้มขึ้นอย่างอวดรวย ฮันจุนปิดปากสนิทโดยไม่ได้บ่นอะไรออกมาเหมือนอย่างเคย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทนความหน้าไม่อายของคนพูดอย่างซึงมินไม่ได้หรืออย่างไร
ยูแจที่มองอยู่ได้แต่แค่นหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ซึงมินใช้ในการจัดงานปาร์ตี้วันนี้ หรือจะเป็นเงินที่เขาใช้เพื่อซื้อโน้ตบุ๊ก มันก็ต่างเป็นเงินจำนวนหลายแสนวอนด้วยกันทั้งคู่ คนที่โมโหฉุนเฉียวและถามเขาว่า ‘นายเป็นคนในครอบครัวฉันหรือไง’ กลับนิ่งเงียบเมื่ออยู่ต่อหน้าการอวดรวยของซึงมิน
นี่ฉันต้องทำตัวอวดรวยโดยไม่ต้องแสร้งทำเป็นถ่อมตัวบอกว่าใช้คูปองลดราคาซื้อมา แถมยังต้องทำงานพาร์ตไทม์เก็บเงินมาตลอดหนึ่งเดือนกว่าจะได้เงินก้อนนั้นมางั้นสินะ?
ในขณะที่กำลังข่มความหงุดหงิดในใจอยู่เงียบๆ นั้น ทุกคนก็ต่างเริ่มร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดกันอย่างสนุกสนาน
“…ซอฮันจุนที่รัก*…”
ยูแจจ้องมองริมฝีปากของซึงมินยามที่ร้องเพลงและเอื้อนเอ่ยชื่อของฮันจุน ซึ่งในตอนนั้นฮันจุนกำลังกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันแน่นพลางยิ้มกว้าง
เขาดูมีความสุข…
ความจริงแล้วยูแจคิดว่าบางทีมันอาจมีความเป็นไปได้สูงที่ฮันจุนจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาผิดไป เพราะว่ารอบตัวของพวกเขานั้นไม่เคยมีกรณีที่ผู้ชายดันมาชอบผู้ชายแบบนี้เกิดขึ้นเลย อาจเป็นเพราะในช่วงวัยแตกหนุ่มพวกเขาตัวติดกันตลอด บางทีฮันจุนเลยอาจจะเข้าใจผิดคิดไปว่าความผูกพันนั้นมันคือความรัก แม้จะเคยสงสัยว่าฮันจุนเป็นเกย์หรือเปล่า แต่ภายในใจลึกๆ นั้นเขากลับคิดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวฮันจุนก็คงจะมีแฟนสาว เพราะเห็นฮันจุนสนิทกับจองยุนและยูบินตั้งแต่ต้นเทอม เขาสามารถจินตนาการภาพที่ซอฮันจุนคบกับพวกเธอได้อย่างง่ายดาย และหากมันเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเท่าไรนัก
ทว่าสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้มันกลับผิดพลาดไปเสียหมด คนที่ฮันจุนมองด้วยแววตาอันหวานซึ้งนั้นกลับเป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่ชอบสวมเสื้อแขนกุดผ่าลึกจนน่าหมั่นไส้ ไม่ใช่จองยุนและยูบิน ตอนอยู่บนสังเวียนพวกเขาก็เข้าขากันได้ดีอย่างกับเตรียมกันมาแล้วล่วงหน้า แม้บางเวลาจะดูสนิทสนมกันเหมือนเพื่อนพ้องหรือพี่น้องทั่วไป แต่บางเวลาก็ดูสนิทกันอย่างแนบแน่น
…เหมือนกับพวกเราในวันวาน
ในตอนนั้นเองยูแจถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าความรู้สึกต่อต้านและไม่ยอมรับนี้นั้นไม่ได้มาจากความรังเกียจหรือความกลัว แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับจองยุนและยูบิน แต่เขากลับรู้สึกมันกับซึงมิน
“อ๊ะ! อย่านะครับ!”
ยูแจเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงร้องของฮันจุน ฮันจุนกำลังลนลานหนีพวกพี่ๆ ที่พยายามไล่ตามเพื่อเอาเค้กมาป้ายหน้า ก่อนจะถูกไล่ต้อนกระทั่งจนมุม หลังจากออกแรงขัดขืนพวกรุ่นพี่ตัวยักษ์ใหญ่ไปอย่างเหนื่อยเปล่า สุดท้ายแล้วฮันจุนก็โดนเค้กครีมสดโปะลงบนบริเวณแก้มและใบหูจนได้ยินเสียงดังเผละ
“โอ๊ย พวกพี่นี่มัน…”
ฮันจุนที่หน้าตาเปรอะเปื้อนไปด้วยครีมอย่างน่าสงสารกำหมัดแน่น เขาวิ่งไล่จับพวกรุ่นพี่ที่พยายามจะวิ่งหนีทีละคน แล้วเริ่มเช็ดหน้าด้วยการเอาแก้มตัวเองไปถูกับพวกรุ่นพี่ รุ่นพี่สามสี่คนถูกเขาเอาแก้มไปเช็ดจนเลอะครีม ซึงมินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โชยูแจได้แต่ทอดสายตามองภาพนั้นนิ่งๆ
ฮันจุนเอาแขนล็อกคอของซึงมินที่กำลังดิ้นไปมาก่อนจะยื่นแก้มเข้าไปใกล้ ซึงมินไม่ได้คิดที่จะหลบหนี เขาทำเพียงหัวเราะร่าแล้วส่งเสียงร้องแบบตลกๆ แปลกๆ ออกมาเท่านั้น จนกระทั่งครีมสดที่ละลายไปแล้วเพราะการเสียดสีเปื้อนลงบนผิวของเขา ฮันจุนถึงได้ยอมถอยออกมาพลางหายใจหอบถี่อย่างรุนแรงก่อนจะเงยหน้าขึ้น
ยูแจรู้สึกได้ถึงความซุกซนในดวงตาคู่นั้นที่มองมายังตัวเอง ในใจเขาแอบคาดหวังไว้ครึ่งหนึ่งว่าฮันจุนจะวิ่งเข้ามาหาเขา ทว่าฮันจุนกลับทำเพียงแค่เลียริมฝีปากอย่างเขินอายแล้วกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
“เพื่อวันเกิดของฮันจุน เพื่อยูแจ รุ่นน้องที่มาใหม่ของพวกเรา เพื่อไฟต์คลับ เอ้า ชน!”
ทันทีที่ซึงมินตะโกนเสียงดังลั่น ทุกคนก็ยกแก้วขึ้นมากระดกราวกับว่ากำลังรอเวลานี้อยู่ เสียงดังเอะอะวุ่นวายและกลิ่นเนื้อย่างทำให้ประสาทสัมผัสของเขาด้านชา ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้ากำลังเลือนราง ภาพที่ไม่คุ้นเคยก็พลันหลั่งไหลประเดประดังเข้ามาไม่หยุด
ภาพซอฮันจุน…ภาพบรรดาพวกผู้ชาย…ภาพซอฮันจุนที่ชอบผู้ชาย…
ภาพจี้ใจดำพวกนั้นกำลังครอบงำสติสัมปชัญญะของเขา ยูแจหลับตาลงแน่น เขาไม่สามารถจดจ่อหรือแม้กระทั่งโฟกัสกับอะไรได้อีกแล้ว
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่าผมรู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย”
หลังจากเริ่มกินอาหารมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ยูแจก็เอ่ยปากขออนุญาตกับอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้น คำพูดที่บอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยดีนั้นไม่ใช่คำพูดที่อ้างไปเรื่อย เพราะตอนนี้ความคิดเพ้อเจ้อทั้งหมดในหัวนั้นมันกำลังทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะ
ถึงแม้ซึงมินจะรั้งเอาไว้พลางถามย้ำว่า ‘จะไปแล้วเหรอ’ ทว่ายูแจก็รีบปลีกตัวหนีออกมาทันทีหลังจากที่ได้บอกลาออกไป ความเหนื่อยล้าของเขามันพุ่งขึ้นมาจนถึงขีดสุดแล้ว เพียงเพราะแค่ได้มองเห็นใบหน้าของซึงมิน ภาพของฮันจุนก็ปรากฏซ้อนทับขึ้นมาทันที แถมปาร์ตี้นี้ก็ไม่ได้อยู่ในแผนของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ทันทีที่ออกมาจากร้านอาหารที่มีเสียงดังอึกทึก ยูแจก็ถอนหายใจออกมา
“นี่”
ทว่าตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไป เขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งเรียกขึ้นมา ยูแจหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเห็นซอฮันจุนที่ตามออกมากำลังยืนเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาไว้อย่างน่าอึดอัด
“จะกลับแล้วเหรอ”
“อือ ขอให้สนุกนะ”
ยูแจบอกลาสั้นๆ แล้วตั้งท่าจะหันหลังกลับ แต่ในวินาทีนั้นเองฮันจุนก็รีบวิ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เส้นผมนั้นยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยครีมสด ฮันจุนละล้าละลังคิดหาคำพูดอยู่สักพักก่อนที่จะขยับริมฝีปากเอ่ยมันออกมา
“ขอบคุณที่มาวันนี้นะ ในอนาคตก็ขอให้นายสนุกกับมวยนะ ถ้ามีอะไรไม่รู้ก็ถามมาได้เลย จะได้มาสนุกด้วยกัน”
“…”
“จะว่าไปแล้วพวกเรามาคุยกันหน่อยไหม ห้องนายอยู่แถวๆ นี้นี่ ขึ้นไปคุยกันสักแป๊บเถอะ”
จู่ๆ ฮันจุนที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นก็ยอมเปิดปากพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ออฟฟิศเทลของยูแจอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงห้านาที ยูแจไหวไหล่แล้วเอ่ยตอบ
“เอางั้นก็ได้ แต่นี่มันปาร์ตี้วันเกิดนายนะ หนีออกมาก่อนได้หรือไง”
“คุยกันสักแป๊บแล้วเดี๋ยวค่อยกลับเข้าไปใหม่ก็ได้”
“แล้วแต่”
ยูแจเดินนำหน้า ส่วนฮันจุนก็ทำได้เพียงแค่เดินตามหลังไปเงียบๆ โดยไม่ได้พยายามจะไล่ตามให้ทัน
เมื่อมาถึงออฟฟิศเทล ยูแจถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองโยนโน้ตบุ๊กทิ้งไว้แถวๆ โถงทางเข้าหน้าประตู
ช่างแม่ง…
ตอนนี้เขาหงุดหงิดมากจนไม่อยากจะคิดอะไรให้รกสมองแล้ว เขาจึงเปิดประตูเข้าไปทั้งอย่างนั้น
ฮันจุนก้มลงมองกล่องโน้ตบุ๊กที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะเหลือบมองมาทางยูแจ ยูแจจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขารู้สึกว่าใบหน้าของฮันจุนที่สะท้อนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นั้นมันน่าตลกดี ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะมานึกกังวลกับเส้นผมของตัวเองที่มีครีมสดเลอะเต็มไปหมด
เล่นเอาหมดแรงเลยแฮะ
ยูแจทรุดตัวนั่งลงบนเตียงพลางเหยียดขาออกไป ฮันจุนที่กำลังใช้หลังมือเช็ดถูแก้มตัวเองอยู่นั้นเดินตามเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ เขาใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันรู้ว่านายนึกถึงฉันก็เลยซื้อมาให้ เรื่องก่อนหน้านี้ฉันขอโทษนะ”
“อืม”
ยูแจไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับไปว่าอะไร แถมการได้รับคำขอโทษแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี เพราะจริงๆ แล้วเขาเองก็เผื่อใจเอาไว้ประมาณหนึ่งแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับโน้ตบุ๊กของเขา
ในขณะที่ยูแจกำลังจะหันหน้าหนีเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ฮันจุนก็โพล่งถามขึ้นมา
“นายจะโกรธหรือจะดุด่าฉันก็ได้นะ”
“ก็ไม่ได้โกรธหนิ”
“ถ้าเสียใจก็บอกมาสิว่าเสียใจ ถ้านายพูดมา ฉันก็จะได้อธิบายให้นายฟังได้ไง…แต่ถ้านายไม่พูดแบบนี้ ฉันจะแก้ไขอะไรได้ล่ะ”
“ช่างมันเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้วไปสระผมก่อนไป”
ยูแจพูดตอบกลับไปอย่างไม่สนใจก่อนจะเอนตัวนอนลง ถึงแม้ว่าจะแกล้งทำเป็นเล่นกาเกาทอล์กรอ แต่ฮันจุนก็ยังไม่คิดที่จะขยับเขยื้อนไปไหน พอสายตาของเขาเลื่อนมองผ่านเหนือโทรศัพท์ขึ้นไปก็เห็นว่าฮันจุนกำลังนั่งเกาศีรษะอยู่
“นี่”
“มีอะไร”
“วันนี้นายเพิ่งเคยดูมวยครั้งแรกนี่ นายว่าฉันเป็นไงบ้าง”
เขาได้แต่เม้มริมฝีปากแล้วเกาศีรษะพลางครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรออกไปดี ถึงจะเพิ่งเคยเห็นฮันจุนอยู่บนสังเวียนเป็นครั้งแรก แต่เขากลับจำไม่ได้เลยว่าฟอร์มของฮันจุนเป็นอย่างไร หรือมีเทคนิคแบบไหน สิ่งเดียวที่เขาประทับใจและจำติดตาได้ก็คือภาพตอนที่ฮันจุนถูกต่อยเข้ากลางศีรษะจนได้ยินเสียงดังพลั่ก
“ไอคิวหายไปหมดแล้วมั้ง”
ฮันจุนหัวเราะแห้งๆ กับคำตอบที่แสนตรงไปตรงมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคาดไม่ถึงกับคำตอบนั้นหรือเปล่า เขาถึงได้นิ่งไปแล้วเหม่ออยู่สักพัก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะออกมา
พอได้เห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนคนโง่นั้นของฮันจุน ยูแจก็เผลอหลุดยิ้มตามออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ นี่คือซอฮันจุนคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาชอบฮันจุนที่เป็นแบบนี้จนอยากที่จะหยุดเวลาเอาไว้อย่างนั้น ยูแจโยนโทรศัพท์ออกไปก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
หลังจากที่เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง ฮันจุนก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้าพลางถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบโน้ตบุ๊กมา
“ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว เรามาลองเปิดดูกันสักครั้งเถอะ”
ยูแจนิ่งเฉยปล่อยให้ฮันจุนแกะกล่อง ข้างในนั้นมีโน้ตบุ๊กขนาดเล็กสเป็กไม่สูงอยู่ เขาเลือกซื้อสีดำที่ดูเข้ากับฮันจุนมาให้ เดิมทีโน้ตบุ๊กมันก็เล็กอยู่แล้ว ยิ่งพอฮันจุนถือขึ้นมา มันก็ยิ่งดูเล็กขึ้นไปอีก
“โคตรเบาเลยอะ”
ฮันจุนพึมพำพลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้โน้ตบุ๊กอย่างทะนุถนอม เขาลูบสัมผัสฟิล์มที่ยังไม่ได้ลอกออก จากนั้นเปิดฝาพับโน้ตบุ๊กขึ้นแล้วจ้องมองด้านใน ดวงตาที่ลากไล้มองทุกส่วนอย่างพินิจส่องประกายแวววับ ถึงแม้ว่าฮันจุนจะไม่สามารถแสดงท่าทีดีใจออกมาได้อย่างสบายใจแบบเต็มที่ แต่สายตานั้นมันก็ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
ที่เขาซื้อมันมาก็เพราะอยากเห็นใบหน้านั้น
“ถึงสเป็กจะต่ำและหน้าจอค่อนข้างเล็ก แต่มันก็พอแล้วสำหรับใช้ในการทำงาน”
ยูแจอธิบายออกไปสั้นๆ ทางด้านฮันจุนเองก็พยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ก่อนจะลองวางมือลงบนคีย์บอร์ด เขารู้สึกเขินอยู่หน่อยๆ เพราะตัวเครื่องมันเล็กขนาดที่ว่าถ้าวางมือทั้งสองข้างลงไปแล้วก็แทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลย หากจะบอกว่ามันเป็นโน้ตบุ๊กที่มีขนาดเล็กกว่าของเขาเกือบครึ่งหนึ่งก็นับว่าไม่เกินจริงเลยสักนิด ทว่ายูแจก็จำใจต้องซื้อรุ่นนี้มาอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเขาต้องคอยรักษาขอบเขตเพื่อไม่ให้ฮันจุนรู้สึกลำบากใจจนเกินไป
ฮันจุนจับโน้ตบุ๊กพลิกไปมาดูทุกซอกทุกมุม เมื่อโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กๆ นี้น่าจะไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว เขาก็ใช้ปลายเล็บครูดลงบนสติ๊กเกอร์ที่แปะอยู่ด้านหลังเบาๆ พลางขยับนิ้วเท้าไปมาอย่างคนที่กำลังดีใจ
“ขอบคุณนะ”
ฮันจุนพูดคำนั้นออกมาในขณะที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง อีกทั้งน้ำเสียงท้ายประโยคนั้นสั่นเครือก่อนที่ตัดจบลง
คงจะเมาแล้วสิท่า ใครยื่นแก้วมา ก็เล่นรับมาดื่มซะหมด
ยูแจจงใจแกล้งทำเป็นเกรี้ยวกราดตอบกลับไป
“อะไรของนาย ฉันจะเอาไปรีฟันด์”
ฮันจุนหัวเราะออกมาจนตัวงอกระทั่งศีรษะทิ่มไปด้านหน้า เลือดไหลย้อนลงไปที่ใบหน้าจนขึ้นสีแดงก่ำ ความร้อนที่มารวมกันอยู่บนใบหน้าเป็นจุดๆ นั้นเหมือนกับใบหน้าที่เห็นแวบๆ บนสังเวียนไม่มีผิด ใบหน้ายามที่ถูกซึงมินกอดจมอกจนแทบหายใจไม่ออก
ยูแจหุบยิ้มลงอย่างเชื่องช้าก่อนจะยื่นมือออกไป
มือเขาค่อยๆ ลูบไล้แผ่นหลังของฮันจุนอย่างช้าๆ ก่อนจะเลื่อนผ่านไปยังต้นคอ ผิวบริเวณที่ฝ่ามือลูบผ่านนั้นร้อนผะผ่าวและขึ้นสีระเรื่อ เขาสอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมที่เปรอะเปื้อนครีมสดแล้วลองเริ่มขยับมือลูบเบาๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของฮันจุน เริ่มไล่พินิจมองตั้งแต่เปลือกตา ริมฝีปาก ไปจนถึงการขยับเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้านั้น
ยูแจกลืนน้ำลายดังเอื๊อกจนพาให้ลูกกระเดือกขยับไหวขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเห็นดวงตาบนใบหน้าด้านข้างนั้นกะพริบตาอยู่สองสามครั้งพลางหายใจเข้าออกอย่างไร้สุ้มเสียง เขาไล้มือลงมาผ่านต้นคอนั้นอีกครั้งพลางแอบเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจที่สั่นไปชั่วขณะหนึ่ง ยูแจลอบสังเกตอยู่เงียบๆ โดยไม่ปล่อยให้ทุกการเคลื่อนไหวบนใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปในทุกวินาทีนั้นหลุดลอดไปจากสายตา
ดวงตาของฮันจุนที่ก่อนหน้านี้กำลังจ้องมองอากาศอันว่างเปล่าค่อยๆ เลื่อนมามองทางยูแจอย่างช้าๆ ก่อนจะจ้องหน้ายูแจด้วยแววตาที่วูบไหวด้วยความสับสน
“นายจะทำอะไรน่ะ”
ยังไม่ทันที่ยูแจจะได้ชักมือกลับไป ฮันจุนก็ลุกพรวดขึ้น เขาใช้มือสางผมจัดทรงให้เข้าที่เข้าทางอย่างลวกๆ แล้วทำเป็นกระแอมออกมา
“ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“โอเค”
ยูแจเอนหลังนอนลงบนเตียงพลางฟังเสียงยามที่กายของฮันจุนเคลื่อนไหว เสียงสวบสาบของเสื้อผ้าที่เสียดสีกันขณะที่ฮันจุนเดินไปยังประตูทางเข้าแล้วหารองเท้า เสียงประตูห้องที่เปิดและปิดลงหลังจากที่มีเสียงดังโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง
ยูแจจ้องเพดานพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดบรรยากาศอันเงียบสงบก็กลับมา ทว่าภายในใจเขากลับไม่ได้รู้สึกสงบลงตามเลยแม้แต่นิดเดียว
“นี่ นายก็ดูหน้าจอของนายดิ อึดอัดจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
ฮันจุนที่รู้สึกทนไม่ไหวแล้วเอาศอกถองเข้าสีข้างของยูแจ เมื่อโดนศอกกระแทกไปทีหนึ่ง โชยูแจที่ก่อนหน้านี้ทำเป็นตีหน้าซื่อจึงยอมล่าถอยออกมา
โต๊ะที่มีให้ในโคชีเทลนั้นมีขนาดพอดีสำหรับนั่งกินข้าวได้แค่คนเดียว พอวางโน้ตบุ๊กสองเครื่องและไก่ทอดลงบนโต๊ะ พื้นที่จึงแคบลงทันตา ซ้ำร้ายโชยูแจก็ยังเอาแต่วอแวก่อกวนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาพลางขำคิกคักที่คีย์บอร์ดมันเล็กมากเมื่อเทียบกับมือของเขา อีกฝ่ายก่อกวนจนเขาหาข้อมูลสำหรับทำรายงานไม่ได้เลยแม้แต่หน้าเดียว
จู่ๆ ยูแจก็ยื่นหน้าเข้ามาถามในขณะที่ฮันจุนกำลังกวาดสายตาอ่านข่าวที่เสิร์ชเจอคร่าวๆ อยู่
“นายตั้งพาสเวิร์ดโน้ตบุ๊กไว้ว่าอะไรเหรอ”
“นายจะอยากรู้รหัสฉันไปทำอะไร”
“เปล่า พอมาคิดดูแล้วก็แค่อยากลองทายดูเฉยๆ น่ะ วันเกิดนายก็วันเกิดเจ้าโน้ตบุ๊กนี่เหมือนกัน นายเกิดวันที่ 7 พฤษภา เพราะงั้นถ้าเอามารวมกันก็จะเป็น 0507 เอามาตั้งเป็นพาสเวิร์ดก็เท่ดีออกไม่ใช่หรือไง”
ยูแจทำทีเป็นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน่ารัก ฮันจุนพลันรีบเม้มริมฝีปากที่เผลอหลุดยิ้มเข้าหากันแน่น แล้วโบกมือไล่ยูแจ
“นี่ ถ้าไม่มีอะไรจะทำก็ไปนอนซะไป”
“ไม่เอาอะ ฉันไม่กวนแล้วก็ได้”
ยูแจพูดจบก็เอาส้อมจิ้มไก่ไม่มีกระดูกที่เหลือเป็นชิ้นสุดท้ายแล้วเอาเข้าปาก เขาเคี้ยวไก่เต็มปากเต็มคำพลางถือโน้ตบุ๊กไปด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะไปนั่งลงบนเตียงของเจ้าของห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต พอฮันจุนรีบหันขวับกลับไปค้อนสายตามอง ยูแจก็ตอบกลับมาอย่างหน้าไม่อาย
“ก็นายบอกเองนี่ว่าอึดอัด เพราะงั้นเดี๋ยวฉันนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”
ฮันจุนหันกลับมาเงียบๆ แล้วเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการหาข้อมูลอีกครั้ง เขาจะต้องเลือกเฉพาะเนื้อหาสำคัญจากข้อมูลที่ไปคัดลอกเอามาวางไว้แล้วเรียบเรียงใหม่ให้เรียบร้อย เขาจ้องไปที่บรรทัดแรกของบทความที่น่าจะอ่านมาเป็นรอบที่ร้อยแล้ว ในระหว่างที่กวาดสายตามองบทความที่ยังไม่เคยได้อ่าน หลายสิ่งหลายอย่างในหัวเขามันก็ยิ่งตีรวนชวนให้สับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่โชยูแจสมัครเข้าชมรมไฟต์คลับมา พวกเขาก็มีเวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น อีกทั้งคลาสเรียนก็ทับซ้อนกันเกือบจะทั้งหมด เพราะอย่างนั้นจึงเรียกได้ว่าตอนนี้เขากับยูแจเจอหน้ากันบ่อยเสียยิ่งกว่าตอนสมัยอยู่มัธยมปลายอีก ต่อให้จะไม่ได้ชกมวยด้วยกันตลอดทั้งวันก็ตาม
ตำแหน่งของยูแจกับฮันจุนในชมรมไฟต์คลับนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับในสโมสรนักศึกษาที่พวกเขามีจุดยืนอยู่ในจุดเดียวกัน อันดับแรก ในชมรมไฟต์คลับนั้นแทบจะไม่มีนักศึกษาปีหนึ่ง และบรรดาพวกนักศึกษาปีหนึ่งไม่กี่คนเหล่านั้นก็ไม่มีใครที่เป็นมือใหม่เหมือนโชยูแจ ถึงแม้ที่โรงยิมจะมีพวกรุ่นพี่คอยตั้งใจช่วยสอน แต่ยูแจกลับวิ่งโร่ไปหาฮันจุนที่ด้านนอกโรงยิมอยู่เสมอ
และเป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน
แม้จะเป็นเพื่อนกันมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้ ตอนเรียนก็ได้คะแนนใกล้เคียงกัน หรืออย่างตอนที่สนุกสนานกับการเล่นบาสหรือฟุตบอลเป็นงานอดิเรก ความสามารถก็สูสีกันเลยทำให้เข้าขากันได้เป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ฮันจุนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องคอยสอนยูแจอยู่ฝ่ายเดียว โชยูแจเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปหมดเสียทุกเรื่องและมีสิ่งที่สงสัยมากมาย เจ้าตัวมักจะส่งข้อความมาถามโน่นถามนี่กับเขาเสมอเมื่อมีโอกาส ทุกคาบว่างตลอดทั้งสัปดาห์พวกเขาก็มักจะออกมาเจอกันแล้วพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของการชกมวย บางครั้งก็สั่งไก่ทอดมากินกันแบบนี้ระหว่างที่คุยกันไป
แทนที่จะรู้สึกรำคาญ ฮันจุนกลับรู้สึกอารมณ์ดีเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกสนุกที่ได้แสดงภาพลักษณ์ที่ดูดีให้ยูแจได้เห็น รวมถึงรู้สึกสนุกที่ยูแจชอบในสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วย แม้ว่าเขามักจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาบ่อยครั้งยามอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีอยู่ดี ยกเว้นเสียก็แต่เรื่องอาการประหม่าของเขายามอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่าย
ร่างกายของเขามักจะร้อนผ่าวทุกครั้งยามที่ถูกสัมผัสด้วยมือของยูแจ ร้อนผ่าวทุกครั้งยามที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา แม้กระทั่งในตอนนี้ ฮันจุนก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมาจากทางด้านหลังของเขา จนมีบ้างบางครั้งที่เขาเกิดเข้าใจผิดคิดว่ายูแจอาจจะกำลังลอบมองใบหน้าของเขาอยู่
โคตรเพ้อเจ้อ
แต่ไหนแต่ไรมายูแจก็มักจะชอบสบตายามพูดคุยกันอยู่แล้ว เพียงแค่เพราะชอบ เขาก็เลยยิ่งรู้สึกมากขึ้นก็เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ยูแจมองออกว่าเขาแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังปล่อยผ่านแล้วทำตัวเหมือนสมัยก่อนโดยไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆ อีกทั้งสัมผัสและสายตาที่จ้องมองมานั้น มันไม่ต่างไปจากการทรมานเขาเลยสักนิด
“นี่”
ฮันจุนได้ยินเสียงของโชยูแจอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่นึกว่าอีกฝ่ายนั้นนั่งอยู่บนเตียงที่อยู่ห่างออกไป ฮันจุนสะดุ้งโหยงแล้วหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นโชยูแจกำลังยืนจับพนักพิงเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ ยูแจหัวเราะพลางขมวดคิ้วมองเป็นเชิงถามว่าจะตกใจอะไรขนาดนั้น
“อีกเดี๋ยวก็จะออกไปโรงยิมแล้วสินะ?”
“ไม่อะ วันนี้สอนพิเศษเสร็จแล้วน่าจะเหนื่อยน่ะ”
“โอเค ถ้างั้นฉันพักด้วยดีกว่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเซกนายต้องไปเอ็มที* กัน เพราะงั้นเรามาพักผ่อนทำตัวชิลๆ สบายๆ จนกว่าจะถึงวันนั้นกันเถอะ”
“เอ็มทีเซกฉันนายยังจะตามมาอีกเหรอ”
“ทำไมอะ ทีเพื่อนเซกอื่นเขายังมาร่วมแจมกันได้เลย”
ยูแจเบ้ปากพลางทำเป็นเชิดหน้างอนอย่างซุกซน ฮันจุนอ่านบทความไปได้อีกสองบรรทัด ยูแจก็ยัดโน้ตบุ๊กใส่กระเป๋าและยกขึ้นสะพายไหล่แล้ว
ยูแจที่เตรียมตัวจะกลับเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่ฮันจุนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างเหนื่อยใจแล้วเงยหน้าขึ้น ยูแจกำลังส่งยิ้มมาให้ทั้งที่ยังคงวางกำปั้นไว้กลางกระหม่อมของฮันจุนอยู่
“ฉันไปก่อนนะ”
“อื้อ”
มือที่ก่อนหน้านี้วางอยู่บนศีรษะราวกับการแหย่กันเล่นของเด็กๆ ค่อยๆ เลื่อนลงมาเฉียดผ่านใบหู บริเวณที่ถูกมือของอีกฝ่ายสัมผัสนั้นร้อนผะผ่าว ฮันจุนเอาแต่จ้องมองไปที่ขอบของโน้ตบุ๊ก โดยกะว่าจะรอจนกว่ายูแจจะเป็นฝ่ายถอยออกไปก่อน ทว่ายูแจกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
ความรู้สึกนี้อีกแล้ว
นับเป็นอีกครั้งที่ฮันจุนรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ฮันจุนพลันรู้สึกเสียววูบวาบจนขนอ่อนลุกชันตั้งแต่ขมับลามไปจนถึงแก้ม ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อยจนเผลอเชิดคางขึ้น
ทันทีที่สายตาสอดประสานกัน ยูแจก็หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะตบไหล่ฮันจุนดังปุๆ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไป
“เฮ้อ…”
ทันทีที่ประตูปิดลงฮันจุนก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
เกือบตายแล้วเรา
ฮันจุนพยายามที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันก็เพราะว่าดันเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เขารู้สึกเหนื่อยมากจนเกินไป ฮันจุนพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจาย ควบคุมจิตใจที่ฟุ้งซ่านแล้วกลับมาจดจ่อกับโน้ตบุ๊กตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากที่อ่านบทความอย่างละเอียดไปหนึ่งย่อหน้า เขาก็คัดเลือกแค่ข้อมูลที่จำเป็นเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็มองมือของตัวเองที่วางอยู่บนคีย์บอร์ด
‘อย่างนายน่ะ ใช้มือแค่ข้างเดียวก็คงปิดมิดหมดแล้ว’
คำพูดที่ยูแจเคยพูดขณะเดินร่อนไปร่อนมาอยู่รอบๆ ตัวดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ฮันจุนกางฝ่ามือออก ก่อนจะลองวางลงบนคีย์บอร์ดดู ความร้อนวูบวาบที่ชวนจั๊กจี้ไล่ลามตั้งแต่ท้ายทอยขึ้นมาจนถึงกระหม่อมราวกับว่ามีใครบางคนเอาริมฝีปากมาแนบชิดใบหูแล้วหัวเราะเบาๆ มันเป็นเสียงที่ราวกับเสียงหัวเราะของยูแจ
“…อ้า ให้ตายเหอะ”
ฮันจุนหลับตาลงแน่นพยายามข่มความรู้สึกหงุดหงิดลงไป ความรู้สึกวาบหวามเอ่อล้นทะลักออกมาจนเต็มไปทั่วภายในท้อง แม้ว่ามันจะไม่ใช่การกระทำที่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เขาก็แค่ถอดกางเกงออกแล้วรูดรั้งชักขึ้นชักลงเพื่อรีดเค้นเอาความรู้สึกนั้นออกไปก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกทรมานใจทุกครั้งที่ทำมัน
เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าความต้องการที่แสนเลือนรางของเขามันกำลังค่อยๆ ก่อตัวและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
จูบของยูแจจะเป็นยังไงกันนะ
การที่เขาจินตนาการถึงสีหน้าของตัวเองยามที่กำปั้นของยูแจซึ่งวางอยู่บนเหนือศีรษะนั้นเลื่อนลงมาผ่านแก้มและใบหู มันยังทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เขานึกสงสัยว่ายูแจจะทำหน้าอย่างไรยามที่ช่วยตัวเองเสียอีก จะว่าไปแล้วในกรณีหลังนั้น ดูเหมือนฮันจุนจะจินตนาการภาพนั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังรู้สึกละอายแก่ใจมากไปกว่าเดิมอีกด้วย
เขายังจำมือของยูแจที่ลูบไล้ต้นคอเขาโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้คิดอะไรได้อยู่เลย
ถ้าหากมือนั้นมันล้วงเข้าไปในกางเกงล่ะ มันจะเป็นยังไงนะ
หลังจากจินตนาการไปเรื่อยๆ ได้สักพัก กางเกงชั้นในของเขาก็เริ่มเปียกชื้น พอก้มลงมองดูส่วนนั้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาซึ่งกำลังขยายตัวขึ้นมา เขาก็พลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาในทันที…
ทั้งๆ ที่เราแข็งจนปวดหนึบขนาดนี้ ยังมีหน้าไปทำเป็นอวดดีสอนมวยให้หมอนั่นอีก
เขาไม่ได้อยากมีอารมณ์เลยสักนิด ฮันจุนพยายามอดกลั้นทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะวางมือลงบนคีย์บอร์ดอีกครั้ง หน้าจอนั้นดับมืดลงไปแล้วหลังจากที่ละทิ้งไปพักหนึ่ง มือที่กำลังจะพิมพ์พาสเวิร์ดลงไปกลับหยุดชะงักค้างกลางอากาศ
gkswns0507
พอนึกถึงพาสเวิร์ดที่นำวันเกิดมาใช้ในการตั้ง ภาพยูแจที่ยิ้มแก้มปริจนตาปิดก็ผุดขึ้นมาในหัว
ฮันจุนจ้องมองหน้าจอโน้ตบุ๊กที่มืดสนิทอยู่พักหนึ่ง ภายในห้องที่ไร้ผู้คน จู่ๆ เขาก็นึกถึงสายตาชวนวาบหวิวที่ไล้มองแก้มและใบหูอีกครั้งหนึ่ง สายตาที่ไล่พินิจมองอย่างเชื่องช้า และมือที่กุมต้นคอของเขา
ฮันจุนขบริมฝีปากล่างเบาๆ พลางควบคุมลมหายใจ เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แผ่นอกเขาก็ดันเสื้อยืดตัวบางขึ้นมา ทันทีที่เห็นยอดอกเล็กแข็งเป็นไตค่อยๆ นูนขึ้นและดันเสื้อยืดออกมา เขาก็รีบพับจอปิดโน้ตบุ๊กลงอย่างรวดเร็วในทันที เพราะภาพของตัวเองที่กำลังสะท้อนอยู่บนหน้าจอ ในขณะเดียวกันนั้นขนทั่วกายเขาพลันลุกเกรียวไปตามแนวกระดูกสันหลัง
ทั้งที่พยายามจะลบเลือนภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ ทว่าเขากลับเผลอก้มศีรษะลงมองส่วนนั้นที่อยู่ข้างล่างบ่อยๆ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองนั้นเหมือนคนโง่ แต่เขาก็ไม่สามารถอดทนเอาไว้ได้เลย ยิ่งรู้สึกดีกับมันมากเท่าไร ความรู้สึกของเขาที่มีต่อยูแจมันก็ยิ่งลึกซึ้งและอ่อนไหวมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามอดกลั้นมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
สายตาของเขา เสื้อยืดตัวบาง และยอดอกที่แข็งเป็นไตนูนออกมา
ฮันจุนวางมือลงบนโต๊ะทั้งที่ยังคงกัดริมฝีปากเอาไว้ เขากำหมัดแน่นแล้วลองต่อต้านกับความรู้สึกนี้ดู ทว่าภาพใบหน้าของโชยูแจยามจ้องมองมาที่ตัวเองนั้นกลับผุดขึ้นมาเต็มไปหมด สายตาที่คอยเฝ้ามองใบหน้าของเขายังคงตราตรึงอยู่ในใจ ฮันจุนเริ่มลูบคลำส่วนนั้นที่อยู่ตรงหว่างขาด้วยฝ่ามืออีกข้างที่ก่อนหน้านี้วางพาดอยู่บนตัก
อวัยวะส่วนนั้นอยู่ในสภาพที่แข็งตัวชูชันจนเห็นเป็นรอยนูนเด่นชัดขึ้นมาราวกับว่าไม่มีความคิดที่จะเก็บซ่อนความกระสันนั้นเอาไว้เลย เมื่อเขาเอามือกอบกุมส่วนบนแล้วนวดคลึงมันซ้ำไปซ้ำมาช้าๆ ท่อนลำที่ถูกจับเอาไว้ก็แข็งตัวขึ้นเต็มที่ ฮันจุนเอามือล้วงเข้าไปในกางเกง โดยที่ฝืนใจไม่ก้มลงไปมอง
“ฮึก”
กางเกงชั้นในเปียกชื้นแนบสนิทกับหลังมือ กลิ่นคาวความเป็นชายคลุ้งกระจายไปทั่ว เพียงแค่เขาบดคลึงหยอกล้อส่วนนั้นไปเรื่อยๆ จนถึงใต้ถุงกลมกลึง น้ำลายก็พลันเอ่อไหลออกมาเต็มโพรงปาก ฮันจุนพยายามสกัดกั้นกลืนชื่อที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากเอาไว้
เขาไม่อยากเรียกชื่อ ไม่อยากจินตนาการให้มันละเอียดไปมากกว่านี้ เขาเพียงแค่อยากรีบๆ ปลดปล่อยความต้องการออกมาแล้วใช้เวลาที่เหลือทำการบ้านให้เสร็จ…
ถ้ามือที่เคยลูบท้ายทอยนั่นเปลี่ยนมาบดขยี้ยอดอกที่แข็งเป็นไตสู้มือนี่ล่ะ…?
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่สติล่องลอยไป ลมหายใจของเขาก็พลันหอบกระเส่าขึ้น กว่าจะรู้สึกตัวอีกที มืออีกข้างของเขาก็เลื่อนมาบดขยี้ตุ่มไตนั่นผ่านเสื้อตัวบางที่สวมใส่อยู่แล้ว มือของเขาขยับมารังแกบีบดึงยอดอกที่กำลังแข็งขืนเต็มที่นั้นอย่างรุนแรง ราวกับว่ามือของเขากำลังขยับไปตามความต้องการของคนอื่นที่ไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง มือใหญ่ของโชยูแจที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน ฮันจุนนึกถึงภาพมือแกร่งที่กำลังบีบลูกบาสจนแทบจะแตกพลางใช้มือกอบกุมกล้ามหน้าอกของตัวเอง ก่อนจะบีบขยำฟอนเฟ้นมันอย่างรุนแรง
“ฮึก!…อึก ฟู่…”
มือข้างที่สอดอยู่ในกางเกงกำลังรูดรั้งแกนกายขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ส่วนแข็งขืนที่โดนมือสัมผัสอยู่นั้นทั้งแข็ง ทั้งร้อนผ่าวและเปียกชื้น กล้ามเนื้อบริเวณน่องแข็งตึงเนื่องจากเขาเกร็งเท้าจิกพื้นสุดแรง
หน้าอกฝั่งซ้ายถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจนชาวาบไร้ความรู้สึก ฮันจุนดึงมือที่กำลังช่วยตัวเองออกแล้วล้วงเข้าไปในเสื้อ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกฝั่งขวาที่แข็งเป็นไตอย่างนุ่มนวล มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเสียดสีกับมันจนแข็งตั้งเป็นไต เมื่อแกนกายและยอดอกทั้งสองข้างถูกกระตุ้นเร้าจนเห่อร้อน ฮันจุนก็จินตนาการถึงแววตาอันดิบเถื่อนของโชยูแจขึ้นมา
หยาดน้ำหล่อลื่นเอ่อไหลออกมาจากส่วนปลายแกนกายจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะเคล้าไปกับเสียงครางที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ ทำเอาโสตประสาทของเขาอ่อนไหวมากยิ่งขึ้นไปอีก พอประสาทการรับเสียงเริ่มทำงาน ฮันจุนก็ก้มลงไปมองที่หว่างขาที่ตนพยายามเมินเฉยมันมาจนถึงตอนนี้ แกนกายที่ถูกควักออกมานอกกางเกงนั้นขยายตัวจนปวดคัดเต็มที่ สีของมันไม่ต่างไปจากยอดอกที่ปรากฏให้เห็นวับแวมผ่านคอเสื้อ ความรู้สึกทั่วสรรพางค์กายพลุ่งพล่านพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมา
ทว่ามันยังไม่พอ
แต่ต่อให้มันจะยังไม่พอก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียมันก็ควรที่จะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ริมฝีปาก…เขานึกถึงภาพมุมปากของยูแจยามที่ขบเม้มบดเบียดเข้าหากันอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะเผลออ้าออกอย่างช้าๆ ฮันจุนหลับตาลงพลางส่งเสียงครวญครางเพื่อที่จะได้เห็นภาพโชยูแจยามลิ้มเลียยอดอกและแกนกายของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“อ๊ะ…!”
ฮันจุนหอบหายใจถี่กระเส่าพลางเอาหน้าผากแนบลงกับต้นแขน เพราะหลับตาแน่นเกินไป ยามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งภาพตรงหน้าจึงได้พร่าเลือนไปหมด เขารู้สึกว่าลมหายใจที่สั่นสะท้านกำลังค่อยๆ สงบลง ก่อนจะก้มลงมองดูกางเกงชั้นในที่เปียกเลอะของตัวเอง
นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย
ฮันจุนค่อยๆ ยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาจินตนาการภาพของโชยูแจยามทำเรื่องอะไรพวกนี้
สุดท้ายแล้วฮันจุนก็เผลอจินตนาการภาพพวกนั้นขึ้นมาจนได้ ภาพท่าทีของโชยูแจที่ไม่สมกับเป็นเจ้าตัว และสายตาที่ชอบจ้องมองมาที่เขาอย่างโจ่งแจ้งในช่วงนี้
ฮันจุนเหม่อลอย ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง ในขณะที่กวาดสายตามองภายในห้องอันว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งร่องรอยของยูแจ อัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ผ่อนคลายจนกระทั่งสงบลง เขาก้มมองมือที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยน้ำรักแล้วอ้าปากค้าง ริมฝีปากแห้งผากเห่อร้อนไปหมด หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วแค่นหัวเราะออกมา
ทั้งที่เราก็ไม่ได้ทำแบบนี้แค่ครั้งสองครั้ง…แต่ทำไมถึงได้เศร้าขนาดนี้กันนะ
ฮันจุนลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ ใบหน้าของตัวเองที่เขาเห็นทันทีที่เดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกนั้นยังคงแดงระเรื่อ เขาละสายตาจากกระจกแล้วถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็ไปยืนอยู่ใต้ฝักบัวแล้วเริ่มชำระล้างสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้จนสะอาด
สายน้ำที่ไหลลงมาไม่ขาดสายได้ชะล้างความรู้สึกผิดในใจนี้ออกไปได้อีกครั้งหนึ่ง