everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-3 ถึง 7-4 #นิยายวาย
Chapter 7-4
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น ‘กิจกรรมเอ็มทีของคนในเซก’ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว เอ็มทีในครั้งนี้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เรียนอยู่ต่างคณะก็มาลงชื่อเข้าร่วมกันโดยไม่สนว่าตัวเองจะอยู่เซกไหน พูดง่ายๆ ก็คือทุกคนที่ไปต่างก็รู้จักกันหมด
ทั้งที่ฮันจุนตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่คาดหวังอะไรกับการไปเอ็มทีครั้งนี้มากนัก แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว เมื่อถึงวันจริงเขากลับรู้สึกอารมณ์ดีมาก เพราะวันๆ ที่ผ่านมาเขาก็วนเวียนอยู่กับแค่ห้องเรียนและโรงยิมที่มีแต่กลิ่นเหงื่อ พอนึกถึงทะเลขึ้นมาก็พาให้เขารู้สึกตื่นเต้นทันที ฤดูใบไม้ผลิในช่วงเดือนพฤษภาคมนั้นค่อนข้างอบอุ่น ท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าและโปร่งโล่งไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว การได้พูดคุยเรื่องไร้สาระกับคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในบรรยากาศแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
ยูแจสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ท้องฟ้าที่อึลวังรี* นั้นแจ่มใสต่างไปจากความคิดในหัวของเขาที่ขุ่นมัวไปหมดเพราะซอฮันจุน สายลมเย็นสบายพัดหอบเอากลิ่นอายของทะเลโชยมา
ในทัศนวิสัยการมองเห็นของเขาที่เต็มไปด้วยภาพของท้องฟ้านั้นมีกระหม่อมของซอฮันจุนโผล่มาให้เห็นอยู่ที่ริมขอบของสายตา ฮันจุนกำลังถ่ายรูปท้องฟ้าพลางหยีตาลงจนเรียวเล็กเพราะแสงแดดที่ส่องลงมา
“ว้าว สวยจัง”
เจ้าตัวพูดคนเดียวไปพลางอุทานไปพลาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรูปไม่ถูกใจหรือเปล่า ฮันจุนถึงได้เปลี่ยนมุมถ่ายรูปไปหลายครั้งเพื่อเก็บภาพต่างๆ ของชายหาดเอาไว้ในมือถือ
จริงจังกับภาพถ่ายขนาดนั้นเลยหรือไง
ยูแจไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของฮันจุนมาก่อน อันที่จริงพวกเขาไม่เคยไปเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้งจนถึงตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ถ่ายรูปด้วยกันบ่อยนัก
ฮันจุนตั้งใจเลือกรูปภาพโดยค่อยๆ กดมือถือไล่ดูทีละรูปราวกับว่ากำลังเลือกรูปเพื่อที่จะส่งไปให้ใครสักคนอยู่ ยูแจจึงแอบเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามขึ้น
“จะส่งไปอวดหรือไงว่ามาทะเล”
“อื้อ พี่ซึงมินบอกว่าพวกพี่เขาเองก็จะมาด้วย”
ซึงมิน? นี่นายส่งรูปไปให้ชีซึงมินงั้นเหรอ นายควรดื่มด่ำกับทิวทัศน์อันสวยงามที่อยู่ตรงหน้านี้ก่อนไหม เอาแต่ยุ่งอยู่กับการถ่ายรูปส่งไปให้คนอื่นอยู่นั่นแหละ
เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าซึงมิน ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรวยมากแค่ไหน แต่ไอ้การแสดงความหวังดีทั้งที่ชาวบ้านชาวช่องไม่ได้ร้องขอตามใจตัวเอง และไอ้นิสัยที่ชอบโอ้อวดนั้นมันเหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด ซึงมินมักจะให้ของขวัญแก่คนในชมรมอยู่บ่อยๆ และมีคำพูดติดปากที่ว่า ‘สำหรับคนที่อยู่ในไฟต์คลับแล้ว ฉันไม่มีอะไรให้เสียดายหรอก’
สำหรับเด็กๆ ของชมรมเราแล้ว…มั่นใจได้น่า…เล็กๆ น้อยๆ น่า…ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกน่า…ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็บอกมาได้เลย พี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ บลาๆๆ
มันล้วนเป็นคำพูดที่มีแต่คนโง่เง่าเท่านั้นที่จะใช้กัน
ยูแจเข้าใจวาทศิลป์ที่แสนจำเจน่าเบื่อของซึงมินเป็นอย่างดี เพราะอย่างนั้นเวลาที่สมาชิกในชมรมไฟต์คลับตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจึงมักจะไปปรึกษากับซึงมินทุกครั้ง ทุกอย่างในชมรมล้วนโคจรอยู่รอบตัวเขา โดยที่มีเขาเป็นศูนย์กลางทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ใช่ประธานชมรม มันไม่ใช่เพราะว่าทุกคนเลื่อมใสและเคารพในตัวเขา แต่มันเป็นเพราะเขาใช้เงินซื้ออำนาจในชมรม และทำให้ชมรมเหมือนกลายเป็นอะไรสักอย่างไป
ซึงมินเป็นคนประเภทที่ปกติแล้วยูแจจะไม่คบค้าสมาคมด้วย
จู่ๆ ยูแจก็นึกถึงอีอินกยูขึ้นมา อีอินกยูเป็นคนที่เขาคิดว่าแย่ที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด และที่เขายังทนคบกับหมอนั่นอยู่ก็เป็นเพราะซอฮันจุนทั้งนั้น แต่หมอนั่นก็นับว่ายังอยู่ในระดับที่เขาสามารถอดรนทนได้เยอะกว่ามาก หากเทียบกับชีซึงมิน
พอเห็นฮันจุนกำลังส่งรูปทะเลไปให้คนแบบนั้น เขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยูแจพยายามข่มความรู้สึกหงุดหงิดนั้นเอาไว้พลางวางมือลงบนแผ่นหลังของฮันจุน
เพราะสัมผัสที่เผลอทำลงไปโดยไม่รู้ตัว เป็นผลให้สายตาของฮันจุนที่กำลังจดจ้องมือถืออยู่ละออกมาทันที ในวินาทีที่สบตากับฮันจุนที่ผงะเงยหน้าขึ้นมา ยูแจก็รู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของฮันจุนนั้นสะดุ้งเหยียดขึ้นตรง ยูแจเองจึงพลอยสะดุ้งยืดหลังตรงตามไปด้วย ก่อนจะสังเกตดูท่าทีของฮันจุน
ซอฮันจุนกำลังประหม่าด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าโดนเขาสัมผัสตัว
ทันทีที่ตระหนักได้ถึงความจริงในข้อนี้ จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกไม่คุ้นเคยกับร่างกายที่สัมผัสมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หมอนี่เป็นแบบนี้มาตลอดเลยหรือเปล่านะ
ยูแจเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะค่อยๆ ลองเลื่อนมือจากแผ่นหลังลงไปยังสะโพกช้าๆ ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางเสียงเฮฮาของเพื่อนคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกัน ทว่าร่างกายของฮันจุนที่ถูกมือขวาของเขาลูบไล้ลงไปด้านล่างเรื่อยๆ นั้นก็พลันไวต่อความรู้สึกขึ้นมา
ยูแจรู้สึกได้ว่าฮันจุนนั้นกำลังบิดตัวไปมา ฮันจุนรีบเอามือถือยัดใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง จากนั้นฮันจุนที่ดูเหมือนว่าจะหมดความสนใจในมือถือไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เหลือบมองมาที่เขา ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะกำลังลอบเม้มริมฝีปากทำเป็นเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ยูแจรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังนึกถึงสัมผัสนั้นอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่คิดเลยว่าการดึงดูดความสนใจจากฮันจุนมันจะเป็นเรื่องง่ายดายมากขนาดนี้ เพราะปกติแล้วฮันจุนเป็นคนที่หากมองอะไรผ่านๆ แล้วละความสนใจไปแล้วก็จะไม่หันกลับมาเก็บเอาไปใส่ใจอีก
ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจนั้นคือความพึงพอใจ ทันทีที่รู้สึกตัว ยูแจก็รีบละมือออกทันที
“เรามาแบ่งทีมเล่นเกมขี่ม้า* กันเถอะ”
จีฮุนที่ถูกเพื่อนจับโยนลงน้ำไปแล้วครั้งหนึ่งเดินมาพูดพร้อมกับทำท่าทำทางตื่นเต้น ยูแจซุกเท้าที่เหนียวเหนอะหนะเพราะเปียกน้ำทะเลลงไปในทรายอุ่นๆ พลางบ่นขึ้นมา
“นายจะยอมเป็นม้าให้คนอื่นขี่ไหมล่ะ คงไม่ได้จะมาสั่งให้ฉันเป็นม้าอีกหรอกนะ?”
“ทำไมอะ นายไม่อยากเป็นม้าให้เพื่อนที่ตัวหนักขี่หรือไง นี่นายไม่หยอกยูบินแรงเกินไปหน่อยเหรอ”
“ชินจีฮุน นายอยากตายหรือไงยะ”
ทรายที่ยูบินกำขึ้นมาถูกปาไปติดอยู่บนเสื้อยืดที่เปียกชุ่มของจีฮุน การแหย่เล่นกันขำๆ นั้นช่วยเพิ่มบรรยากาศสนุกสนานให้กับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว ยูแจเองก็หัวเราะไปกับเพื่อนๆ ที่ส่งเสียงดังวุ่นวาย
“โชยูแจ นายกับซอฮันจุนต้องเป็นม้าให้เพื่อนขี่คอนะ ชินจีฮุนมันผอมเกิน แบกใครไม่น่าไหวอะ เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นหรอกน่า ดูแทยองสิ เท้าเธอแค่สองร้อยสี่สิบมิลเอง”
“งั้นให้แทยองกับมินฮีเป็นคนขี่หลังนะ พวกเธอสองคนน่าจะตัวเบาที่สุดแล้ว”
จีฮุนเผลอหลุดพูดชื่อของมินฮีออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ยูแจจึงตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“ฉันไม่ได้กลัวหนักสักหน่อย ที่กลัวน่ะกลัวจะกระชากกันจนคอหักต่างหากล่ะ”
ถ้าหากจะขี่หลังกัน ตามธรรมชาติแล้วก็จะต้องยึดจับที่ผม ถึงแม้ยูแจจะพูดออกไปโดยไม่มีความหมายอะไรแอบแฝง ทว่ามินฮีกลับเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ ก่อนที่ยูแจจะยิ้มให้เธอเสี้ยววินาทีหนึ่งในตอนที่สบตากัน ในระหว่างที่พวกเขาจ้องมองกันอยู่นั้น ความเงียบก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทุกคนก็สังเกตเห็นมัน จีฮุนจึงแกล้งกระแอมออกมา
“ไม่เอาละ ไม่เล่นขี่ม้าดีกว่า เราเปลี่ยนไปเล่น…”
“ทำไมล่ะ ฉันชอบนะ เล่นขี่ม้านี่แหละ”
มินฮีพูดตัดบทแทรกขึ้นมา ยูแจยักไหล่ให้เป็นเชิงว่าจะเล่นอะไรก็ได้ และในระหว่างที่ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไรขึ้นมา ฮันจุนจึงตัดสินใจทำลายความเงียบนั้นลง
“ถ้างั้นฉันกับยูแจจะเป็นม้าเอง เดี๋ยวฉันสองคนจะเป็นเป่ายิงฉุบเลือกทีม เล่นสนุกๆ กันสักตาแล้วค่อยไปหากินข้าวกันก็ได้”
ฮันจุนบอกแพลนง่ายๆ แล้วยื่นมือออกมา ทันทีที่ยูแจเห็นรอยยิ้มบางๆ นั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์นี้คือเดจาวู
สมัยอยู่มัธยมปลาย พวกเขาเคยแบ่งฝั่งเล่นดอดจ์บอลแบบนี้กันอยู่หลายครั้ง ในระหว่างที่เป่ายิงฉุบนั้น ไม่ว่าจะออกอะไร ไม่ว่าจะออกมาแล้วแพ้หรือชนะ ซอฮันจุนก็มักจะเลือกโดยต่อให้เขาเสมอ คราวนี้เองก็เช่นกัน เขามั่นใจว่าฮันจุนจะเลือกมินฮีไปอยู่ฝั่งตัวเองอย่างแน่นอน
แสงแดดสาดส่องลงมากระทบดวงตาที่แสนสดใสของฮันจุน เขาขบกัดริมฝีปากอย่างซุกซนแล้วเอามือข้างหนึ่งไปไพล่ไว้ข้างหลัง ยูแจเคยเป่ายิงฉุบกับฮันจุนมานับครั้งไม่ถ้วน เขาเริ่มตั้งท่าเป่ายิงฉุบตามฮันจุนพลางขมวดคิ้วมุ่นแสร้งทำเป็นเหมือนว่ากำลังเอาจริงเอาจังแบบสุดๆ
ถ้าไม่ใช่ค้อน ก็คงจะเป็นกระดาษ เพราะหมอนี่ไม่ค่อยออกกรรไกรในตาแรกที่เป่ายิงฉุบ
“เป่ายิงฉุบ!”
ยูแจยกยิ้มเมื่อเห็นมือที่ยื่นออกมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าฮันจุนออกค้อน จู่ๆ เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาที่อีกฝ่ายออกค้อนซึ่งไม่ต่างจากที่คาดเดาเอาไว้ เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาหลุดขำออกมา เขาก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังสนามกีฬาของโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย ยูแจหัวเราะคิกคักพร้อมกับเลื่อนมือที่ออกกระดาษของตัวเองไปคว้ากำปั้นที่ออกค้อนของฮันจุนเอาไว้แน่น
ฮันจุนเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นลูกกระเดือกที่ขยับไหวน้อยๆ ยูแจจะต้องเป็นฝ่ายเลือกสมาชิกในทีมก่อน เขาจึงต้องเลือกเผื่อไว้ให้ฮันจุนได้เลือกมินฮี เพราะเขารู้ว่าฮันจุนจะต้องเลือกมินฮีอย่างแน่นอน
“แทยอง”
ยูแจปล่อยมือออกแล้วพูดขึ้น จากนั้นฮันจุนก็หันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะเปิดปากพูดขึ้นตามโดยที่มือยังคงกำแน่นแนบอยู่ข้างลำตัว
“อีมินฮี”
ยูแจยิ้มกริ่ม เพราะคำตอบนั้นคือคำตอบที่เป็นไปตามคาด
“ปล่อยฉันลงนะยะ โชยูแจ!”
แทยองระเบิดหัวเราะลั่น ยูแจแบกเธอไว้บนไหล่แล้ววิ่งลุยขึ้นจากน้ำมาด้วยความเร็วโดยไม่สนใจการดีดดิ้นขัดขืนของเธอเลยสักนิด มันเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะสำหรับแทยองที่อดทนยืนหยัดอยู่บนหลังยูแจได้จนถึงที่สุด แต่กระนั้นเธอกลับใช้สองมือขยุ้มทึ้งผมของยูแจแน่นพลางกรีดร้องเสียงดังลั่น
“โอ๊ย แทยอง มันเจ็บนะ ปล่อยผมฉันที”
“นายนั่นแหละที่ต้องปล่อยฉัน! ตัวสูงเป็นบ้าเลย มันน่ากลัวนะยะ!”
“เข้าใจแล้วน่า แต่เธอปล่อยผมฉันก่อนดิ เฮ้ จีฮุน”
จีฮุนวิ่งเข้ามาหาตามเสียงเรียกของยูแจก่อนจะช่วยจับมือของแทยองเอาไว้ หลังจากที่ยูแจค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงช้าๆ แล้วช่วยพาเธอลงมา ยูแจก็หันไปมองหาฮันจุนที่ยังอยู่ในทะเล
ดูท่าหมอนั่นเองก็น่าจะโดนดึงผมออกไปสักสองสามเส้นเหมือนกัน
ฮันจุนกำลังเดินขึ้นมาจากทะเลช้าๆ พร้อมกับมินฮี ผมของฮันจุนที่ถูกคว้าขยำอย่างไร้ความปรานีนั้นชี้โด่ชี้เด่ไม่รู้ทิศ ไม่รู้ว่ามินฮีรู้สึกผิดหรืออย่างไรถึงได้ช่วยเกลี่ยจัดทรงผมให้ฮันจุน ทว่าการจัดการผมที่เปียกน้ำทะเลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฮันจุนจึงเสยผมด้านหน้าที่ลู่ลงมาตามหน้าผากขึ้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“เฮ้ ทุกคน พวกเรามาถ่ายรูปกันเถอะ!”
ยูแจตะโกนเสียงดังเรียกเพื่อนๆ มารวมตัวกัน ฮันจุนรีบจ้ำอ้าววิ่งเข้ามาหา พอฮันจุนเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ยูแจถึงได้เห็นในสิ่งที่เขาไม่ทันได้เห็นตอนอยู่ในน้ำ เสื้อยืดตัวบางนั้นเปียกลู่จนแนบสนิทไปกับเรือนกาย เผยให้เห็นเค้าโครงร่างกายภายใต้ร่มผ้าได้อย่างชัดเจน
กล้ามเนื้อใต้ดวงตาของเขาพลันกระตุกไหว เขาเองก็เคยเห็นท่อนบนเปลือยเปล่าของฮันจุนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แม้ว่าหุ่นที่ดูแข็งแรงของฮันจุนนั้นจะเคยดึงดูดสายตาเขา แต่เขาก็ไม่เคยกวาดสายตามองร่างกายของฮันจุนไปทั่วทั้งร่างด้วยสายตาแปลกๆ แบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะชีซึงมิน หมอนั่นมักจะสวมเสื้อรัดรูปที่แนบสนิทพอดีกับร่างกาย ไม่เสื้อแนบเนื้อก็เสื้อแกนกุด ใส่แต่เสื้อแบบนี้อย่างกับคนที่ไม่มีเสื้อแบบอื่นให้ใส่ ซ้ำยังชอบมาสัมผัสตรงโน้นตรงนี้ตอนฮันจุนกำลังออกกำลังกาย และบางครั้งถ้าหากฮันจุนเล่นเวท หมอนั่นก็มักจะไปยืนซ้อนด้านหลัง ทำให้ลำตัวท่อนล่างแนบชิดกันยามย่อตัวลงนับจำนวนครั้งตอนยกเวท แถมเวลาพูดคุยก็มักจะพูดคุยกันอยู่ในท่านั้น ซ้ำร้ายคือเขารู้ความจริงที่ว่าซอฮันจุนชอบผู้ชาย เขาจึงไม่อาจมองภาพแบบนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจได้เลย
พอได้เห็นแบบนั้นแล้ว มันก็ทำให้เขาสังเกตเห็นว่าซอฮันจุนนั้นมีปฏิกิริยาแตกต่างออกไปเล็กน้อยยามถูกเขาสัมผัสกาย และตอนนี้ยูแจก็เพิ่งตระหนักได้ว่าทั้งเขาและฮันจุนต่างก็เปียกโชกไปทั้งตัวจนมองเห็นเรือนร่างของกันและกันได้อย่างชัดเจน ในขณะที่กำลังขยับตัวจัดตำแหน่งเพื่อถ่ายรูป เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าซอฮันจุนเขยิบตัวหนีห่างเขาไปไกล
เขารู้สึกปวดศีรษะจนแทบคลั่ง เพราะว่าเขาเอาแต่เล่นน้ำจนหมดเรี่ยวหมดแรงเข่าอ่อนปวกเปียกไปหมด แถมยังหิวข้าวอีก เขาอยากหยุดความคิดไม่รักดีแบบนี้ เขาต้องหยุดคิดเรื่องซอฮันจุนได้แล้ว
นี่มันไม่ปกติเอาซะเลย
“เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม!”
ยูแจทำได้เพียงปล่อยสมองให้โล่งแล้วหันไปฉีกยิ้มให้กล้อง
พวกเขาทุกคนตกลงกันว่ามื้อเที่ยงนี้จะไปกินโจแกจิม* ด้วยกันที่ร้านอาหาร ดังนั้นทุกคนจึงต้องกลับไปยังที่พักแล้วอาบน้ำก่อนที่จะออกไปกินข้าว พวกเขามีทั้งหมดสิบห้าคน โดยแบ่งเป็นห้องใหญ่หนึ่งห้องและห้องเล็กสามห้อง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่การอาบน้ำห้าคนจะใช้เวลานาน ยูแจได้อยู่ห้องที่ใหญ่ที่สุด และเขาก็รอต่อคิวอาบน้ำมากว่ายี่สิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อาบน้ำสักที
เสียงโครกครากดังออกมาจากท้อง ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยน้ำทะเลเหนียวเหนอะหนะไปหมด เขาที่ไม่สามารถนั่งลงบนเตียงได้เลยต้องยืนรอทั้งอย่างนั้นด้วยความไม่สบายตัว ในขณะที่ชินจีฮุนซึ่งตั้งใจเข้าไปอาบน้ำก่อนเป็นคนแรกยังคงอาบน้ำอย่างสบายใจเฉิบอยู่คนเดียว เขากระโดดแทงเข่าใส่จีฮุนทันทีที่อีกฝ่ายโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำด้วยผิวกายนุ่มลื่น ก่อนที่แรวอนจะพูดกับฮันจุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นี่ จะใช้เวลานานเกินไปไม่ได้นะ พวกเราเข้าไปอาบทีละสองคนกันเถอะ ฮันจุนอา คัมมอน”
เข้าไปอาบน้ำทีละสองคน?
ยูแจขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“ห้องอาบน้ำมันไม่แคบไปหน่อยเหรอ”
“ไอ้แคบมันก็แคบแหละ แต่ให้ทำไงได้อะ ขืนอาบน้ำทีละคน กว่าจะอาบครบก็คงสองชั่วโมง”
“นายจะให้ฉันอาบกับชเวแจอีเหรอ”
“อ้าว นี่นายไม่อยากอาบกับแจอีงั้นเหรอ งั้นนายมาอาบกับฉันไหมล่ะ”
จะแรวอนหรือแจอีก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยสักนิด เขาไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะอาบน้ำกับสองคนนั้นไม่ได้ ยูแจเมินชเวแจอีที่โวยวายถามเขาขึ้นมาว่าทำไมถึงไม่อยากอาบด้วยกัน ก่อนจะถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งแล้วหันไปมองฮันจุน เจ้าตัวที่นั่งกอดเข่านิ่งอยู่บนพื้นจึงเอ่ยปากขึ้น
“นายจะอาบก่อนก็ไปอาบสิ”
“ไม่อะ นายอาบก่อนเลย”
พอยูแจเสียสละให้ ฮันจุนก็ลุกพรวดขึ้นแล้วถอดเสื้อยืดออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะห้องอาบน้ำคับแคบเลยถอดเสื้อผ้าลำบากหรือเปล่า ฮันจุนกับแรวอนถึงได้เริ่มถอดเสื้อผ้าออกพร้อมกันต่อหน้าต่อตาตรงนั้นเลย ถึงแม้ว่าฮันจุนจะถอดเสื้อออกโดยยังคงเหลือกางเกงไว้ติดกาย แต่แรวอนกลับถอดทั้งเสื้อและกางเกงอย่างไม่ลังเล พวกเขาทั้งสองที่ตัวเกือบจะเปล่าเปลือยเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินเข้าไปในพื้นที่คับแคบด้วยกัน
ยูแจละความสนใจแล้วหันมาเล่นเกมในมือถือ เขาเลือกเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ซึ่งเป็นเกมที่เบาสมอง สามารถเล่นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่กลับแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในบันทึกคะแนนมีแต่คะแนนต่ำๆ ถึงแม้จะหงุดหงิดที่ได้คะแนนน้อย ทว่าเขาก็ยังไม่คิดที่จะเลิกเล่น จนกระทั่งเสียงน้ำหยุดลงก่อนที่ฮันจุนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าสองคนก่อนหน้าอาบน้ำด้วยน้ำร้อนทั้งที่อากาศวันนี้ก็อบอุ่นหรือเปล่า ในห้องอาบน้ำถึงได้เต็มไปด้วยไอชื้นที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้ ยูแจแสร้งทำเป็นไม่เห็นฮันจุนที่ตัวแดงระเรื่อแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที โดยมีชเวแจอีที่เดินล่อนจ้อนตามเข้ามา แจอีถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างผอมมาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าห้องน้ำมันคับแคบจนถ้าหากเผลอขยับตัวผิดไปนิดก็อาจจะทำให้ร่างกายเปลือยเปล่าสัมผัสโดนกัน เพราะอย่างนั้นยูแจจึงรีบยึดพื้นที่ตรงอ่างอาบน้ำในทันที
หลังจากอาบน้ำเปล่าล้างตัวโดยพยายามอาบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาก็เตรียมตัวจะเดินออกไปก่อน โดยทิ้งชเวแจอีที่กำลังสระผมอยู่ไว้อย่างนั้น และในตอนนั้นเองยูแจที่กำลังหาผ้าเช็ดตัวอยู่ถึงได้พบว่าบนชั้นวางติดผนังมีผ้าเช็ดตัวแห้งๆ เหลืออยู่เพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น
“แจอี มีผ้าเช็ดตัวเหลือแค่ผืนเดียวเอง”
“จริงดิ? ลองถามพวกนั้นดูสิ”
ยูแจโผล่ศีรษะออกไปนอกประตูห้องน้ำแล้วตะโกนเรียก
“นี่! พวกนายเอาผ้าเช็ดตัวออกไปหมดเลยหรือไง แล้งน้ำใจกันจังเลยนะ”
“ฮะ? ข้างในนั้นไม่มีเหรอ ฉันใช้ไปแค่ผืนเดียวเองนะ เฮ้ ซอฮันจุน!”
“ช่างเถอะ เอาผืนที่ใช้แล้วมาก็ได้”
ชินจีฮุนเรียกฮันจุน ซึ่งฮันจุนเองก็ได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันทั้งหมด
“ฮันจุนอา นายใช้ผ้าเช็ดตัวเสร็จยัง”
“เสร็จแล้ว ทำไมอะ นายไม่มีผ้าเช็ดตัวเหรอ”
“ในห้องน้ำเหลือผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว นายเอาผืนนั้นไปให้ยูแจ”
“ผืนนี้? แต่ฉันใช้เช็ดตัวไปแล้วนะ”
“แล้วไงอะ ฉันใช้ของฉันเช็ดเท้าไปแล้วอะ จะเอาไปให้มันก็ยังไงๆ อยู่ เฮ้! โชยูแจ! ผ้าเช็ดตัวผืนนั้นเป็นผืนที่ฮันจุนใช้แล้วนะ ถ้าไม่สะดวกใจก็เอาไปซักแล้วค่อยเอามาใช้ก็ได้!”
“นี่! ฉันใช้สะอาดหรอกน่า!”
ยูแจได้ยินเสียงที่ฮันจุนตะโกนลั่น จากนั้นฮันจุนก็สะบัดผ้าเช็ดตัวในอากาศแล้วเดินเอามาให้
“มันชื้นหน่อยนะ นายก็เช็ดๆ ไปเถอะ”
ฮันจุนยู่จมูกแล้วหันหลังเดินกลับไปทันทีราวกับว่ารู้สึกอาย ผ้าขนหนูที่เขารับมาจากฮันจุนนั้นเปียกชื้นเล็กน้อย
ยูแจเหลือบสายตามองผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่ผ่านการใช้งานในห้องน้ำ
ผมของชเวแจอีค่อนข้างยาว เพราะงั้นคงจำเป็นต้องใช้ผ้าแห้งเช็ดสินะ
ยูแจเริ่มซุกหน้าลงกับผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้นเพื่อเช็ดใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราว และนั่นมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ตลอดเวลาที่ใช้มันเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่บนแก้มและจมูก
เหี้ยเอ๊ย นี่มัน…
“เฮ้ย นี่นายเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้ฉันเลยเหรอ โห…ประทับใจจนพูดไม่ออกเลยแฮะ”
ชเวแจอีพูดพึมพำอยู่ทางด้านหลัง ในขณะที่ยูแจเช็ดตัวลวกๆ ก่อนจะเอาเสื้อสวมศีรษะทันที
เมื่อไปถึงร้านอาหารทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพที่หิวโซ ในขณะที่ฟังเสียงถอนหายใจของแต่ละคนที่บ่นว่าหิวจนจะตายอยู่แล้วไปผ่านๆ ยูแจก็ลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง
เขาหิวข้าวจนรู้สึกแสบท้อง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วเพราะวันนี้เขาเคลื่อนไหวและใช้พลังงานไปเยอะมากเมื่อเทียบกับอาหารเบาๆ ที่กินรองท้องไปตอนที่อยู่บนรถไฟ นอกจากนี้เขายังคิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าการที่วันนี้เขาเอาแต่คิดอะไรแปลกๆ อยู่บ่อยๆ นั้นมันก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้สมองทำงานหนักมากขึ้นและทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น แม้ว่าความอยากอาหารจะเป็นความต้องการของร่างกายอย่างหนึ่ง แต่ในตอนที่เขาใช้ผ้าเช็ดตัวที่ซอฮันจุนเอาไปเช็ดร่างกายแล้วนั้น มันก็มีเสี้ยววินาทีหนึ่งเหมือนกันที่เขารู้สึกสับสนว่านี่มันก็คือความต้องการของร่างกายเช่นกันหรือเปล่า
อิ่มแล้วเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้นแหละ พอดีขึ้นแล้วเดี๋ยวก็คงจะหยุดจินตนาการอะไรไร้สาระนั่นได้เอง
ยูแจเริ่มโฟกัสกับความคิดเรื่องโจแกจิมที่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน
ถึงจะไม่ค่อยชอบกินอาหารทะเลสักเท่าไร แต่เขาก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าโจแกจิมที่ทำจากหอยสดๆ ซึ่งมากินถึงที่ทะเลนั้นมันจะมีรสชาติอย่างไร จะว่าไปแล้วซอฮันจุนเองก็น่าจะชอบพวกเนื้อมากกว่าอาหารทะเลเหมือนกัน
หยุดคิดถึงหมอนั่นเดี๋ยวนี้นะ
ยูแจพยายามลบซอฮันจุนที่โผล่เข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติออกไป ขณะที่เขากำลังนั่งฟังเพื่อนคนอื่นๆ พูดคุยกันเสียงดังพลางจัดแจงเอาชีสใส่ลงในตัวหอยซองพลูและหอยเชลล์ จู่ๆ มินฮีก็ถามขึ้น
“จริงสิ ยูแจยา ได้ยินว่านายไปเข้าชมรมไฟต์คลับเหรอ”
ยูแจรู้สึกได้ว่าทุกคนต่างก็กำลังโฟกัสมาที่ตัวเอง เขาหันหน้าไปมองมินฮี ในขณะที่ฮันจุนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นก็หันมามองพวกเขาสลับกันไปมา คำถามที่เธอถามออกมาอย่างกะทันหันนั้นมันดูน่าสงสัยแปลกๆ ทว่ายูแจก็พยักหน้าตอบกลับไป
“อืม อยากลองเรียนมวยดูน่ะ”
“อ๋อเหรอ น่าแปลกจัง ไหนนายบอกว่าอยากให้ฮันจุนรีบๆ ถอนตัวออกมาจากชมรมไง”
“แล้วไง เธอคิดว่าฉันพูดจริงจังหรือไง”
ยูแจหัวเราะพลางตอบกลับไป พอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว เขาคิดว่าเธออาจจะถามออกมาเพราะแค่สงสัยจริงๆ ก็ได้ เพราะว่าเขาเองก็เคยโน้มน้าวให้ฮันจุนออกจากชมรมไฟต์คลับอยู่หลายต่อหลายครั้งต่อหน้ามินฮี
คิดได้ดังนั้นเขาจึงตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่มินฮีก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไป เธอยกแก้วขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
“งั้นก็แสดงว่านายสนใจชกมวยอยู่แล้วสินะ? มันมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ”
“พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันไม่เคยเห็นฮันจุนชกมวยเลยสักครั้ง เพราะงั้นก็เลยคิดว่าอยากจะลองไปดูสักหน่อย แต่พอได้ไปเห็นแล้วก็…”
สายตาของเขาค่อยๆ เลื่อนไปมองฮันจุนโดยอัตโนมัติ ยูแจนิ่งเพื่อเฟ้นหาคำพูดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกไปโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากฮันจุน
“…รู้สึกว่ามันเท่มาก”
ฉับพลันนั้นฮันจุนอ้าปากค้างทันที ยูแจค่อยๆ หรี่ตาลงมองลำคอของฮันจุนที่เริ่มขึ้นสีแดงก่ำ ก่อนที่ฮันจุนจะเบือนหน้าหนีไปมองที่ป้ายเมนู แล้วหลังจากนั้นมินฮีก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“พวกนายดูสนิทกันจริงๆ เลยนะ ถ้าถึงขั้นสมัครเข้าชมรมไฟต์คลับด้วยกัน งี้พวกนายสองคนก็ต้องเข้าชมรมแล้วก็เรียนด้วยกันหมดเลยน่ะสิ? แหม ดูเหมือนจะไม่มีเวลาให้แยกกันเลยเนอะ”
“จะว่าไปแล้วมันก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆ ด้วยแฮะ”
“พอพูดแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องบังเอิญเลยเนอะ นี่ ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่ตามติดฮันจุนเขาไปทุกที่น่ะ”
มินฮีจี้จุดเขาเข้าอย่างจัง
นี่ฉันทำแบบนั้นเหรอ
ยูแจยิ้มให้เธอพลางนั่งนึกโดยลองนับดูทีละอย่างอยู่ในใจ ตั้งแต่สโมสรนักศึกษา ไฟต์คลับ หรือแม้กระทั่งวิชาเลือกในสาขา พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าอันไหนที่เขาสามารถทำได้ เขาก็ตามฮันจุนไปลงเรียนด้วยทุกตัวจริงๆ
แม้ว่าผลสรุปมันจะเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะตามไปทุกที่อย่างที่เธอเข้าใจ ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะลงเรียนวิชาเดียวกันก็เท่านั้น แต่เป็นเพราะซอฮันจุนนั่นแหละที่ทำตัวไม่ได้ดั่งใจเขา เขาเลยตามไปสมัครด้วยแม้กระทั่งชมรม เขาไม่เคยคิดว่ามันแปลกมาก่อน เพราะฮันจุนก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายนั้นตัวติดกันกับเขาแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว
การอยู่ด้วยกันกับซอฮันจุน มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนจะคุ้นชินไปแล้ว
ในตอนนั้นเองฮันจุนที่กำลังเฝ้าดูอยู่เงียบๆ ก็ได้พูดเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ตอนอยู่ ม.ปลาย พวกเราก็อยู่ด้วยกันทุกวัน”
“เพราะงั้นไง มันถึงได้สุดยอดมาก เอ หรือเป็นเพราะฉันไม่เคยมีเพื่อนแบบนั้นหรือเปล่านะ ถ้าเจอกันทุกวันขนาดนั้นก็คงจะน่าเบื่อแย่ ลำพังแค่เรียนซ้ำกันหลายวิชาก็น่าเบื่อมากพอแล้ว”
คำพูดที่บอกว่าเรียนซ้ำกันหลายวิชาแล้วน่าเบื่อนั้น เจ้าตัวคงจะพูดถึงเขาอย่างแน่นอน ยูแจยกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่ามินฮีจะยังโกรธเขาอยู่เล็กน้อย
ฉันล่ะทึ่งยัยนี่จริงๆ ยึดติดกับฉันอะไรขนาดนั้น ปกติแล้วคนเราผิดใจกันครั้งหนึ่งก็หันหลังให้กันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่มานั่งสงสัยจับผิดชีวิตชาวบ้านเขาแบบนี้หรอก
เพื่อนในสโมสรนักศึกษาที่เป็นเพื่อนของมินฮี รวมไปถึงฮันจุน ทุกคนล้วนแต่กำลังจับตามองเขาอยู่
ช่างเป็นตำแหน่งการนั่งที่สมบูรณ์แบบดีจริงๆ
ยูแจยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเปิดปากพูดขึ้น
“ฉันไม่เห็นจะเบื่อเลย”
“…”
“ทั้งซอฮันจุน ทั้งเธอ”
รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปจากริมฝีปากของมินฮี เธอกลอกตามองบนด้วยสีหน้าที่ดูหัวเสียเอามากๆ ยูแจหันไปมองฮันจุนหมายจะขอความเห็นด้วยอย่างขี้เล่น ทว่าฮันจุนกลับหันหน้าหนี
* โฮโมโฟเบีย คืออาการรังเกียจหรือกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ
* ประโยคนี้เป็นหนึ่งในท่อนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดของเกาหลี โดยเนื้อร้องท่อนนี้จะมีการเติมชื่อเจ้าของวันเกิดเข้ามา ซึ่งมีความหมายว่าบุคคลนั้น (ชื่อเจ้าของวันเกิด) ผู้เป็นที่รัก
* เอ็มที (Membership Training) หมายถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในทุกเทอมของมหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการรวมตัวกันของรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำความรู้จักกัน โดยอาจจะจัดที่มหาวิทยาลัยหรือจัดเป็นทริปนอกสถานที่ ทั้งนี้จะเน้นกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์
* อึลวังรี เป็นอ่าวริมหาดขนาดเล็กและมีชื่อเสียงมากๆ ในเมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้
* เกมขี่ม้า เป็นเกมที่ต้องเล่นเป็นทีม โดยในแต่ละทีมจะประกอบไปด้วยม้าและคนขี่ม้า หน้าที่ของม้าคือการแบกคนขี่ไว้บนหลังแล้วป้องกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้คนขี่ตกลงมา ส่วนคนขี่นั้นมีหน้าที่ต่อสู้กับคนขี่ของทีมอื่น ซึ่งกติกานั้นก็ตามแต่จะตกลง บ้างก็ให้คนขี่โพกผ้าสีและแย่งผ้าสีของทีมอื่นมา บ้างก็ให้คนขี่ล้มคนขี่ทีมตรงข้ามให้ตกจากหลังม้าให้ได้
* โจแกจิม คืออาหารประเภทซุปน้ำใสอย่างหนึ่ง โดยมีวัตถุดิบหลักคือหอยทะเล
โปรดติดตามตอนต่อไป…