everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-5 ถึง 7-6 #นิยายวาย
Chapter 7-6
ช่วงเย็นของวันเทศกาล ยูแจกลับมายังห้องของตัวเอง เขารู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากที่ต้องทำงานมาตลอดทั้งวัน แถมยังต้องเป็นคนคอยเก็บกวาดบูธเองด้วย ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่รู้สึกเหนื่อยล้า หัวใจของเขาเองก็เช่นกัน พอจิตใจที่เฝ้าจดจ่ออยู่กับฮันจุนมาตลอดทั้งวันเริ่มผ่อนคลายลง ความเหน็ดเหนื่อยก็ถาโถมสาดซัดเข้ามาราวกับเกลียวคลื่น
แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยคิดที่จะละความสนใจไปจากซอฮันจุนด้วยเหตุผลเพียงแค่เพราะรู้สึกเหนื่อยล้า วันนี้เขากะว่าจะไปเจอฮันจุนแล้วคุยกันสองคนทันทีที่ตารางงานทุกอย่างของวันนี้จบสิ้นลง ทว่ากว่าจะตั้งสติได้ ซอฮันจุนก็หนีหน้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ทำเอาเขานึกสงสัยว่าคนที่โดดเด่นสะดุดตาไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามอย่างฮันจุนนั้นหายตัวไปอย่างเงียบเชียบบ่อยๆ แบบนี้ได้อย่างไร
“นี่นายเห็นมือถือเป็นของประดับหรือไงกัน”
ซอฮันจุนไม่ตอบข้อความเขา แล้วก็ไม่ยอมรับสายเขาด้วย ยูแจปามือถือลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด
ความอดทนของเขามันหมดลงไปนานแล้ว สู้แก้ปัญหาด้วยการทะเลาะกันแรงๆ ไปเลยยังจะดีเสียกว่าปล่อยให้มันยืดเยื้อแบบนี้ เขาหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วโทรหาซึงมิน
หลังจากที่ได้ยินเสียงรอสายไม่นาน ซึงมินก็รับสายเขาทันที นี่คือข้อดีเพียงข้อเดียวของชีซึงมิน
“ว่าไง ยูแจน้องพี่! โทรมามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“พี่ครับ ตอนนี้พี่อยู่ที่โรงยิมหรือเปล่า”
“นี่ ไอ้หนู ต่อให้ฉันชอบชกมวยมากขนาดไหน แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกเข้าสังคมไม่เก่งถึงขนาดที่จะเอาแต่มุดหัวอยู่ในโรงยิมแม้กระทั่งวันเทศกาลหรอกนะ ตอนนี้ฉันกำลังรอดูโซยุนของฉันขึ้นสเตจอยู่ นี่ฉันอยู่แถวหน้าสุดเลยเนี่ย”
ยูแจได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากปลายสาย เขามองดูเวลาก่อนจะทำหน้าบึ้ง จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าการแสดงของไอดอลกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
“โทรมาเพื่อจะถามแค่นั้น?”
“พอดีผมติดต่อฮันจุนไม่ได้น่ะครับเลยคิดว่าเขาอาจจะกำลังออกกำลังกายอยู่หรือเปล่า”
“อ๋อ ฮันจุนน่ะเหรอ ตอนฉันออกมา เห็นเขาอยู่ที่โรงยิมคนเดียวนะ ฉันชวนมาดูคอนเสิร์ตด้วยแล้ว แต่เขาบอกว่าไม่เอา ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ด้วย”
“อย่างนั้นเหรอครับ โล่งอกไปทีที่ไม่ได้เป็นอะไร ถ้างั้นก็ขอให้สนุกกับคอนเสิร์ตนะครับ”
ยูแจตอบกลับไปเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วก็วางสาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นพรวดแล้วรีบมุ่งหน้าตรงไปยังโรงยิมทันที
มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่ามหาวิทยาลัยใช้เงินไปมากกับงานเทศกาลในครั้งนี้ ไลน์อัพของการแสดงเองก็เรียกได้ว่าจัดเต็มมาก ไม่ได้มีแค่คนละแวกนี้เท่านั้นที่มาชม แม้กระทั่งเด็กนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆ เองต่างก็พากันมาร่วมงานจนเนืองแน่นไปหมด
ในช่วงที่การแสดงเริ่มต้นขึ้น ยูแจกำลังเดินอยู่ในสนามของมหาวิทยาลัยที่มืดสนิท พวกเด็กนักเรียนที่สวมชุดยูนิฟอร์มกำลังวิ่งพลางร้องตะโกนพูดคุยกันเสียงดัง ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มบดบังพระอาทิตย์ที่เคยส่องแสงเจิดจ้าเมื่อกลางวันมิดจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ เสียงโห่ร้องของผู้ชมที่เบาลงไปแล้วกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เขาปลีกวิเวกเดินอยู่คนเดียวอย่างเหงาๆ ภายในหัวของเขากลับเอาแต่คิดถึงซอฮันจุนที่น่าจะยังอยู่ในโรงยิมคนเดียว
ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็ไปดูการแสดงกันหมดแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยู่ที่โรงยิมเลยสักคน ทันทีที่เข้าไปในโรงยิมแล้ว ยูแจก็รีบวิ่งตามหาฮันจุนไปทั่วทุกซอกทุกมุม ทว่ากลับไม่เห็นอีกฝ่ายเลย
หรือว่าจะไปดูการแสดง?
หลังจากที่ยูแจเช็กดูจนทั่วทุกที่แล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์
เมื่อผลักประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องล็อกเกอร์ให้เปิดออกกว้าง เขาก็เห็นซอฮันจุนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง แม้เขาจะคาดการณ์ไว้ แต่พอได้พบเจอจริงๆ เขาก็พลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ฮันจุนยังคงอยู่ในชุดออกกำลังกาย ดูท่าเจ้าตัวคงจะเพิ่งออกกำลังกายไปอีกรอบหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวัน ในจังหวะนั้นเองฮันจุนที่กำลังนั่งเหยียดขาอยู่ก็เงยหน้าขึ้น
แม้ว่าสายตาจะสอดประสานกัน ทว่าระหว่างพวกเขากลับเงียบกริบ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง และแล้วก็เป็นยูแจที่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อนในที่สุด
“ได้ข่าวว่ามีไอดอลมาด้วยนี่ แล้วนายมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย”
แม้จะเอ่ยปากพูดออกไปแล้ว แต่มันก็ช่างเป็นคำพูดที่ดูโง่เขลา นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เพิ่งจะทะเลาะกันไปใหญ่โตโดยไม่พูดไม่จากันมาเกือบค่อนวัน
แน่นอนว่าฮันจุนไม่ได้ตอบกลับมา เขาลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเดินไปเปิดล็อกเกอร์ เริ่มหยิบของของตัวเองออกมา โดยมียูแจยืนกอดอกพิงผนังอยู่
“พูดอะไรหน่อยสิ นายบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าถ้าโกรธกันก็บอกมาว่าโกรธกันเรื่องอะไร ไม่งั้นฉันจะแก้ไขอะไรได้ยังไง”
“…”
“พูดตรงๆ นะ ไอ้ที่โกรธกันขนาดนี้มัน…”
โครม!
เสียงกระเป๋าที่ถูกเขวี้ยงลงบนพื้นดังขึ้นตัดบทสนทนา กระเป๋าของฮันจุนที่เพิ่งจะเอาออกมาจากล็อกเกอร์กำลังกลิ้งไถลอยู่บนพื้น มือนั้นจับประตูล็อกเกอร์เอาไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือ ฮันจุนเอ่ยปากถามทั้งที่ยังคงไม่หันกลับมามองกัน
“สนุกไหม”
“สนุกอะไร”
“ก็ไอ้การที่ฉันชอบนายไง ตอนนี้นายเริ่มสนุกกับมันขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ”
ถึงจะมองไม่เห็นว่าซอฮันจุนกำลังทำสีหน้าแบบไหนเพราะเจ้าตัวหันหลังให้อยู่ แต่เขาก็รู้ว่าฮันจุนเจ็บปวด
ถามว่าสนุกไหมน่ะเหรอ…มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว
ยูแจถอนหายใจ
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้พูดแบบนั้นกับฉัน แค่เพราะฉันลูบหลังนายหน่อยเดียวเนี่ยนะ?”
“ก็นายชอบทำอะไรแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
“ทำอะไร”
“นายเองก็สนุกไม่ใช่เหรอ เวลาเห็นคนที่มาชอบนายประหม่า ทำตัวไม่ถูกเพราะสายตาและสัมผัสของนายน่ะ”
ในที่สุดฮันจุนก็ปิดประตูล็อกเกอร์ลง ก่อนใบหน้าที่เจ้าตัวเก็บซ่อนไว้เมื่อครู่จะปรากฏสู่สายตาเขา
ความรู้สึกทั้งหมดฉายชัดอยู่บนหน้าอย่างเปิดเผยโดยไม่คิดที่จะปกปิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความขุ่นเคือง ความรู้สึกราวกับถูกหักหลัง ความรู้สึกที่กำลังเดือดพล่านทั้งหมดทั้งมวลนั้นถาโถมเข้ามาพร้อมกันในทีเดียวจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
ยูแจค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ใช่ ฉันเป็นคนแบบนั้นแล้วมันทำไม”
“…”
“นี่นายคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นกับนายด้วยงั้นเหรอ”
“แล้วที่ทำอยู่นี่มันไม่ใช่หรือไง”
ยูแจกำหมัดแน่น เขารู้สึกโมโหกับคำคำนั้นที่พูดออกมาราวกับเป็นการยืนกรานว่าเขาทำแบบนั้นจริงๆ เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังถูกบีบรัดจนแน่นอก ในขณะเดียวกันกับที่ภายในลำคอนั้นพลันแห้งผาก
นับตั้งแต่วันที่ได้ยินคำสารภาพรักเป็นครั้งแรกมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าซอฮันจุนอาจจะมองไม่เห็นมัน แต่เขาก็พยายามมาโดยตลอดจริงๆ ทั้งรอคอย ทั้งอดทน ทั้งไล่ตาม แม้จะโดนเจ้าตัวผลักไสออกไปอยู่ข้างหลังหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงคอยเฝ้ามองอยู่เคียงข้างไม่เคยห่างไปไหน
ทั้งๆ ที่เขาให้ความสำคัญกับฮันจุนมากขนาดนั้น แต่ไอ้คนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีมากกว่าใครอย่างเจ้าตัวกลับคอยเอาแต่พูดพล่ามเรื่องไร้สาระที่เป็นไปไม่ได้อยู่นั่นไม่ยอมหยุด ยูแจคลายมือที่กอดอกอยู่ออกก่อนจะขยับมายืนตรง
“ถ้าหากได้โอบไหล่เวลาที่คุยกับนาย นายก็จะสนใจและโฟกัสมาที่ฉัน ที่ฉันทำไปมันก็เพราะแบบนั้น แต่ว่า…”
“…”
“…ทำไมการที่นายประหม่าเรื่องนั้น มันถึงเป็นความผิดของฉันไปได้ล่ะ”
ฮันจุนชะงักไปชั่วขณะ เขาหยุดยืนนิ่งไม่ขยับตัวเลยสักนิด ไม่หยิบกระเป๋าขึ้นมา ไม่เสยผมขึ้นหรือพูดจาอะไรต่อ ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น เมื่อเห็นดังนั้นยูแจจึงค่อยๆ พูดต่อโดยที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากดวงตาที่แดงระเรื่อของฮันจุน
“ถามว่าสนุกไหมงั้นเหรอ”
“…”
“มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว นายน่ะ…”
คำพูดที่พูดลอดไรฟันออกมาทำให้บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์ที่เงียบสงัดนั้นหนักอึ้งขึ้น ฮันจุนทำเพียงแค่กะพริบตาโดยไร้ซึ่งสีหน้าใด หลังจากนั้นสักพักเขาก็พยักหน้าแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมา ในวินาทีที่ฮันจุนก้มตัวลงไปนั้น ท้ายทอยที่แดงก่ำของเจ้าตัวก็ได้ปรากฏสู่สายตาของยูแจ ฮันจุนพาดกระเป๋าสะพายไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากบอกลา
“เข้าใจแล้วล่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“จะไปไหนน่ะ”
ยูแจรีบยื่นขาออกไปขวางข้างหน้า เขานึกว่าฮันจุนจะไม่สนใจแล้วเดินผ่านเขาไป ทว่าฮันจุนกลับหยุดชะงักยืนนิ่ง
“ถ้ามีอะไรจะพูดอีกก็พูดมา ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
“ไม่มีอะไรจะพูดได้ไง”
“ที่นายพูดมันถูกแล้วนี่ จะให้ฉันพูดอะไรได้อีกล่ะ ฉันต้องหัวเราะ ต้องร้องไห้ ต้องให้ความสำคัญกับทุกๆ คำพูดและการกระทำของนายเลยใช่ไหมนายถึงจะพอใจ นายต้องการแบบนั้นใช่ไหม สุดท้ายก็มีแค่ฉันที่ละเมอเพ้อพกอยู่คนเดียว…”
“…”
“เวลาชอบใครสักคน มันก็คงจะเป็นบ้าแบบนี้ล่ะมั้ง”
ในระหว่างที่ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกไปเรื่อยๆ ม่านน้ำตาก็ค่อยๆ เอ่อคลอขึ้นมาปกคลุมดวงตาใส ทว่าฮันจุนก็ดูโล่งใจขึ้นหลังจากที่ได้ระบายมันออกมาจนจบ ในดวงตาระยิบระยับพร่างพราวราวกับดวงดาวที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาดำสนิท ยูแจพ่นลมหายใจสั่นๆ ออกมา
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกสติแตกไม่ต่างกัน ยูแจพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับหัวคิ้วที่ยู่เข้าหากันเล็กน้อย
“แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องระหว่างเราก็ดีขึ้นเยอะแล้วนี่”
“ดีขึ้น?”
“นายจำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวนี้พวกเราก็กลับมาเข้ากันได้ดีแล้วนี่ ไม่นานมานี้ก็เพิ่งไปชกมวยด้วยกัน กินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แถมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ถ้าไม่ฉันไปห้องนาย นายก็จะมาเล่นห้องฉัน…”
“ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันนึกถึงนายตอนช่วยตัวเองไปด้วยเนี่ยนะ?”
ฮันจุนยกมุมปากยิ้มร้ายๆ อย่างประชด ริมฝีปากของเขาบิดเบี้ยวราวกับคนที่กำลังอดกลั้น มันเป็นใบหน้าที่ยูแจเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในวินาทีที่ได้ยิน ราวกับว่าเขาถูกของแข็งฟาดเข้าที่ท้องอย่างแรงจนรู้สึกจุก จู่ๆ ภาพลามกเร้าอารมณ์ก็ถาโถมเข้ามาในหัวไม่หยุด ทั้งที่ยังยืนสบตากับซอฮันจุนอยู่ตรงนี้ แต่เขากลับจินตนาการถึงภาพของซอฮันจุนที่กำลังร้องครางครวญเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยูแจที่สติหลุดไปชั่วขณะหนึ่งมองฮันจุนนิ่งราววิญญาณหลุดออกจากร่าง ในขณะเดียวกันฮันจุนก็เดินเข้ามาใกล้เขาอีกหนึ่งก้าว ก่อนจะยกยิ้มอย่างท้าทาย
“ไง ทีนี้ยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ไหม ยังโอบไหล่ ยังลูบหัว ยังถอดเสื้อแล้วเข้ามากอดกันเหมือนเดิมได้หรือเปล่าล่ะ”
“…”
“ขยะแขยงจนแทบอ้วกเลยดิ”
หลังจากขบกรามพูดด้วยน้ำเสียงที่อดกลั้นเสร็จ ฮันจุนก็เดินผ่านยูแจไป ฉับพลันนั้นยูแจเอื้อมมือออกไปเองโดยอัตโนมัติแล้วคว้าจับแขนของฮันจุนเอาไว้
“ปล่อย”
“…ไม่”
“ไม่ปล่อยใช่ไหม”
“ก็บอกว่าไม่ไง”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ ถึงแม้ว่าจะเคยทะเลาะกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ยูแจกลับรู้สึกสังหรณ์ในใจว่าวันนี้มันแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ เขารู้สึกเหมือนกับว่าถ้าหากปล่อยให้ซอฮันจุนออกไปตอนนี้ อีกฝ่ายก็จะหายไปในที่ที่เขาไม่อาจมองเห็นได้อีก
เหลือเวลาอีกไม่นานก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ถ้าหากนายหนีฉันไปทันทีหลังจากปิดเทอม ลาออกจากชมรมทั้งหมด และตัดขาดการติดต่อกับคนที่รู้จักทุกคนล่ะ?
ยูแจไม่อาจทนรออีกฝ่ายได้อีกต่อไปแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะสามารถฝืนทนรับมือกับความเจ็บปวดทรมานแบบนั้นได้อีกครั้งหรอก
“คิดว่าฉันจะยอมให้นายทิ้งฉันไปอีกรอบงั้นเหรอ”
จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายที่เขาพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อที่จะหยัดยืนพลันเริ่มเสียสมดุลไปพร้อมกับน้ำเสียงที่แตกพร่าสั่นเครือ และนั่นก็เป็นวินาทีเดียวกันกับที่กระเป๋าหล่นลงสู่พื้น
คอเสื้อของยูแจถูกคว้ากำเอาไว้ ก่อนที่เขาจะถูกลากไปจนหลังกระแทกเข้ากับล็อกเกอร์อย่างแรง
ถ้ายอมโดนชกสักครั้งแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้ มันจะดีแค่ไหนกันนะ
ในขณะที่คิดเพ้อฝันและก้มหน้าลงมา เขาก็สบสายตาเข้ากับดวงตาที่ระยิบระยับไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่บนขอบเปลือกตา
ยูแจหลับตาลงอย่างเตรียมใจรอรับหมัดที่จะซัดเข้ามา ภาพตรงหน้าค่อยๆ มืดลงสนิท ก่อนที่ร่างกายเขาจะถูกกระชากไปข้างหน้า และในเสี้ยววินาทีที่หลังกระแทกลงกับประตูล็อกเกอร์จนเกิดเสียงดังโครมอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอันหนักแน่นที่ทาบทับลงมาบนริมฝีปาก
กว่าจะรู้สึกตัวว่านั่นคือการจูบก็ตอนที่ศีรษะทั้งด้านซ้ายด้านขวาถูกจับล็อกเอาไว้แน่น ลมหายใจกระเส่ารินรดลงบนแก้มจนเขารู้สึกอุ่นวาบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกระแทกจูบเข้ามาอย่างเงอะงะ ก่อนจะผละออกไปแล้วบดเบียดเข้ามาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้สึกได้ถึงรสฝาดคาวจากริมฝีปากที่ทั้งแห้งและขาดความนุ่มหยุ่นนั้น
ฮันจุนใช้สองมือกุมแก้มของเขาเอาไว้มั่นแล้วลูบไล้มันก่อนจะเลื่อนลงมาคว้ารอบลำคอของเขาไว้แน่นทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ละจากกัน จากนั้นบดเบียดร่างกายเข้ามาอย่างรุนแรงจนสองกายแนบชิดไร้ซึ่งช่องว่าง ลมหายใจหอบถี่รุนแรงขึ้น มือที่คว้าคอของเขาเอาไว้เองก็ออกแรงบีบแน่นขึ้นเช่นกัน มวลความรู้สึกอันหนักแน่นของฮันจุนถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการกระทำทั้งหมดนั่น
ภาพตรงหน้าขาวโพลนไปหมด
ยูแจลืมตาขึ้นมาพร้อมเสียงดังโครม ทว่าคราวนี้คนที่ถูกผลักไปกระแทกกับประตูล็อกเกอร์นั้นกลับเป็นฮันจุน ยูแจปล่อยมือออกจากไหล่ที่ถูกกดแนบเอาไว้กับประตูล็อกเกอร์ ก่อนจะเลื่อนมือไปจับคางของฮันจุนไว้มั่นด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ฮึก! อื้อ”
ฮันจุนกำลังหอบหายใจเข้าแล้วพรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างไร้สติภายใต้เงื้อมมือของเขา ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความตื่นเต้นหรือความโกรธเกรี้ยวที่คละเคล้าผสมกันกำลังแล่นพล่านไปทั่วกาย พร้อมกับเสียงครางเครือที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เห่อบวมของฮันจุน
ยูแจหยุดความคิดทั้งหมดลง ก่อนจะเผยอริมฝีปากแล้วกลืนกินเสียงครางเครือที่ฮันจุนร้องครางออกมาไปจนหมดสิ้น
* เทอร์เรซคาเฟ่ เป็นคาเฟ่กลางแจ้งรูปแบบหนึ่ง ลักษณะเด่นคือผู้คนที่เข้ามาในคาเฟ่จะสามารถทานอาหารพลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของทิวทัศน์ได้
** พุน คือหน่วยเงินซึ่งมีค่าน้อยที่สุดของเกาหลี เป็นคำเก่าที่ใช้สำหรับนับเหรียญกษาปณ์
* ลอตเต้เวิลด์ คือสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN