everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-1 ถึง 10-2 #นิยายวาย
Chapter 10-1
ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่คืนดีเมื่อเจอหน้ากันในวันถัดมา เขากับซอฮันจุนมักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
สิบนาทีก่อนคลาสเรียนจะเริ่ม เขาจ้องมองไปทางประตูอยู่สักพัก ก่อนที่ซอฮันจุนจะโผล่หน้ามาในที่สุด ยูแจกะพริบตาที่แห้งมากซึ่งเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอพลางมองตามฮันจุน ฮันจุนกวาดตามองไปรอบๆ ห้องเรียน ก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาหาทันทีที่เห็นยูแจ
พอเห็นว่าฮันจุนกำลังเดินเข้ามาหา เขาก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้ฮันจุนจะเคยพยายามไปนั่งที่อื่น แต่เขาก็ดูออกว่าเจ้าตัวจะยังอยู่เคียงข้างกันเสมอ แม้ว่าจะยังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการทะเลาะกันก็ตามที
ยูแจพยายามนึกคำพูดอยู่ในหัว วันนี้เขาต้องคลายบรรยากาศที่อึมครึมระหว่างกันให้ได้ เพราะมะรืนนี้ก็จะถึงวันครบรอบแล้ว
ฮันจุนวางกระเป๋าลงตรงที่นั่งข้างๆ เขาแล้วเลื่อนเก้าอี้ออก พอเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ลองเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน
“ไง”
“อืม”
พอเอาเข้าจริงแล้วเขากลับไปไม่เป็นทำตัวไม่ถูกเมื่อฮันจุนตอบกลับมา ฮันจุนนั่งลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เปลือกตาที่ดูเหนื่อยอ่อนปรือขึ้นพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ ดูท่าอีกฝ่ายคงจะเหนื่อยเพราะเมื่อวานนี้ทะเลาะกันจนดึกดื่น แถมการบ้านที่ต้องทำก็ยังมีอีกเป็นกอง
เขาไม่อาจทนมองฮันจุนที่ดูเหนื่อยล้ามากขึ้นทั้งที่วันครบรอบก็ใกล้จะมาถึงได้อีกแล้ว จริงๆ มันต้องเป็นวันที่แสนสุขสำหรับพวกเขาทั้งคู่ แต่พอได้รู้ว่าฮันจุนอยากจะไปกินของอร่อยๆ และสร้างความทรงจำที่แสนพิเศษให้มากกว่าทุกวันแล้ว จะให้เขาแสร้งทำเป็นลืมเรื่องเมื่อวานแล้วมองข้ามมันไปก็คงไม่ได้
จะทำยังไงกับวันครบรอบร้อยวันดีนะ
ยูแจครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เพราะเขารู้สถานการณ์ทางการเงินของฮันจุนแล้ว ดังนั้นสิทธิ์ในการตัดสินใจก็จะตกอยู่ที่เขาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งมีปัญหาการเงินที่บานปลาย แถมยังทะเลาะกันอีก จึงไม่มีทางเลยที่ฮันจุนจะออกความเห็นได้อย่างกระตือรือร้น
อย่าว่าแต่วันครบรอบร้อยวันเลย ตอนนี้เราควรจะคืนดีกันให้ได้ก่อน
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่เขากลับรู้สึกปวดหัวไปหมด เพราะอีกไม่นานก็จะวันศุกร์แล้ว ในขณะที่เหม่อมองออกไปยังอากาศที่ว่างเปล่าและเฟ้นหาคำพูดอยู่นั้น ฮันจุนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น
“กินไหม พอดีหิวเลยหยิบติดมือมาด้วยน่ะ”
สิ่งที่ซอฮันจุนยื่นให้คือเอเนอร์จีบาร์ ตอนไปซื้อของเข้าห้องด้วยกันคราวก่อนก็ซื้อมาติดห้องเอาไว้หลายอันสำหรับกินแทนมื้อเช้า ถึงจะลังเลว่าควรปฏิเสธไปดีไหม เผื่อว่าฮันจุนอาจจะอยากแกะกินตอนที่หิวข้าว แต่พวกเขาเพิ่งทะเลาะกันไป เขาจึงอยากรับทุกอย่างที่หมอนี่ยื่นให้ไม่ว่าสิ่งของชิ้นนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ยูแจรับเอเนอร์จีบาร์เอาไว้ทั้งที่ไม่ได้นึกอยากกินมันสักเท่าไร
“ขอบใจ”
“เฮ้อ เหนื่อยจัง เมื่อวานกว่าจะกลับถึงห้องก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว” ฮันจุนเหยียดแขนทั้งสองข้างบิดขี้เกียจพลางบ่นพึมพำ
‘ทำการบ้านแล้วหรือยังน่ะ’
‘ทำแล้วสิ ถึงได้ง่วงจนไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังลืมตาหรือหลับตาอยู่แบบนี้ไง’
‘ไอ้นี่หนิ วันหลังต้องทำไว้ล่วงหน้าสิ’
‘จริงๆ ก็ทำไว้แล้วแหละ แต่พอถึงตอนจะอัพโหลดจริงๆ ก็ดันอยากแก้ขึ้นมา กว่าจะแก้เสร็จก็เลยเวลากำหนดส่งไปแล้ว’
บทสนทนาที่โต้ตอบกันไปมาราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องทั่วไปที่สามารถพูดคุยกับเพื่อนที่เรียนวิชาช่วงเช้าด้วยกันได้ และตลอดเวลาที่เจ้าตัวพูดคุยโต้ตอบเรื่องราวธรรมดาๆ กับเพื่อนร่วมคลาสอยู่นั้น ยูแจก็เอาแต่จ้องมองฮันจุนโดยไม่ละสายตา
นอกจากสีหน้าท่าทางที่ดูเหนื่อยอ่อนแล้ว เขาก็หาจุดที่แปลกไปไม่เจอ แม้จะไม่มีทางลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ทั้งหมดภายในวันเดียว แต่ซอฮันจุนกลับดูนิ่งเฉยมากหากดูจากภายนอก ฮันจุนเปิดโน้ตบุ๊กแล้วเริ่มอ่านตรวจทานการบ้านที่บอกว่าอัพโหลดไปเมื่อวานนี้อีกครั้งราวกับเป็นการทำไปเพื่อแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยูแจเลื่อนมือไปจับพนักเก้าอี้ของฮันจุนเบาๆ เพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย
“เรื่องเมื่อวาน ฉันขอโทษนะ”
ฮันจุนเงยหน้าขึ้นมาเพราะคำพูดนั้น หลายครั้งที่พวกเขาคืนดีกันในขณะที่พูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติและยิ้มให้กันโดยไม่จำเป็นต้องตอบรับคำขอโทษ ทว่าตอนนี้เขาเป็นแฟนกับซอฮันจุนแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีก แม้เขาจะคิดว่าสถานะตอนคบกันเป็นเพื่อนกับสถานะตอนนี้มันก็คล้ายๆ กัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ฝ่ามือที่เคยได้สัมผัสลากผ่านไปจนถึงจุดซ่อนเร้นมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น คำพูดเพียงหนึ่งคำนั้นกลับเสียดแทงหัวใจลึกเข้าไปเสียยิ่งกว่าแต่ก่อน บทสนทนาที่โต้ตอบกันเมื่อวานนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมองข้ามแล้วลืมเลือนมันไปได้อย่างง่ายดาย
แม้หัวใจของเขาที่คาดหวังว่าอยากให้ซอฮันจุนพึ่งพาเขาบ้างจะยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจคนที่พยายามรักษาเส้นคั่นอะไรบางอย่างเอาไว้ ยูแจเชื่อว่าเวลาจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน หากได้ร้องไห้ไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน และได้ปลอบประโลมซึ่งกันและกันไปอีกสักหลายสิบปีแล้วล่ะก็ สักวันฮันจุนก็คงจะเข้าใจและรู้ซึ้งเองว่า ‘เส้น’ ที่เคยมองว่ามันสำคัญในตอนนี้ ความเป็นจริงแล้วมันช่างไร้ค่าไร้ความหมายแค่ไหน
ยูแจอดทนไปเงียบๆ ถึงแม้จะอยากก้าวข้ามเส้นนั้นไปแล้วดึงตัวคนที่ยืนกัดฟันทนเอาไว้เข้ามากอด แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ฮันจุนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดออดพลางพูดขึ้น
“ช่างมันเถอะ นายเองก็คงจะเสียใจเหมือนกันนี่”
เสียใจ? ความรู้สึกที่ฉันรู้สึกเมื่อวานนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่จะสามารถสื่อออกไปได้ด้วยคำน่ารักๆ แบบนั้นหรอกนะ
พอยูแจไม่สามารถสรรหาคำพูดมาตอบกลับไปได้แล้วจึงปิดปากเงียบ ฮันจุนเลยพูดต่อพลางแกะซองเอเนอร์จีบาร์
“เออใช่ พี่ซึงมินเขาเป็นห่วงที่ช่วงนี้นายไม่ได้ออกไปต่อยมวยเลย ถึงฉันจะไม่ได้แวะเข้าไป แต่นายเองก็แวะเข้าไปได้น่า”
“ทำไมล่ะ พี่ซึงมินพูดว่ายังไงบ้างเหรอ”
“พี่เขาแค่ส่งข้อความมาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะสิ”
“ไหนเอามาดูซิ”
“จะขอดูอะไรอีกล่ะ เรื่องที่คุยมันก็มีแค่นั้นแหละ”
ยูแจที่จู่ๆ ก็ฟึดฟัดขึ้นมาและตั้งท่าจะแย่งมือถือมานั้นพลันหยุดชะงักไป ก่อนจะเก็บมือตัวเองกลับมา เขานึกถึงรอยยิ้มเย็นเยียบของฮันจุนในตอนที่บอกว่าอย่ามาทำให้เหนื่อยกับการหึงหวงไร้สาระขึ้นมา สีหน้าของฮันจุนตอนที่พูดคำนั้นยังคงติดอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักคนที่อุตส่าห์พยายามฝืนเจียดเงินและเวลาที่แทบจะไม่มีเพื่อเขา และพอเขาได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนั้นได้ เขาก็พลอยรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจขึ้นมาอีกครั้ง
ยูแจแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านแล้วเอาแขนลงจากพนักเก้าอี้ ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
ยากจังแฮะ อย่าว่าแต่ร้อยปีเลย นี่ยังไม่ทันถึงร้อยวันด้วยซ้ำ
ถ้าหากซอฮันจุนทำหน้าเครียดแล้วมองกระดานอยู่ พวกเขาก็น่าจะพูดคุยเรื่องที่มันลึกซึ้งมากกว่านี้ได้ แต่การจะรื้อฟื้นบาดแผลต่อหน้าคนที่แกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรนั้น ต่อให้ทำไปก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น
ไว้คราวหน้าไปนั่งคุยที่ร้านเหล้า ดื่มไปพลางพูดคุยปรับความเข้าใจกันไปพลางคงน่าจะดีกว่าการมาพูดคุยกันในห้องเรียนตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้
ยูแจยกยิ้มพลางปรับโทนเสียงให้ฟังดูสบายๆ มากขึ้น
“วันศุกร์ไปร้านอร่อยๆ ที่นายเคยบอกว่าจองเอาไว้แล้วคราวก่อนกันไหม”
“เอาสิ ยังไงมันก็จองเป็นชื่อฉันไปแล้ว”
ฮันจุนตอบกลับมานิ่งๆ อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งท่าทีนั้นมันต่างไปจากที่เขากังวลเอาไว้ อีกฝ่ายถือโทรศัพท์แล้วเลื่อนนิ้วหาร้านอาหารไปมาอยู่สักพัก ในตอนที่กำลังตั้งอกตั้งใจพิจารณามองนิ้วแต่ละนิ้วที่จับโทรศัพท์เอาไว้อยู่นั้น ฮันจุนก็ยื่นรูปอาหารในโทรศัพท์มาให้ดู
“เป็นไง”
“เฮ้ย บรรยากาศดูดีเลยนี่”
พอร่างกายแนบชิดพลางแกล้งหยอกกันด้วยการใช้ศอกกระทุ้งที่สีข้าง ฮันจุนก็เริ่มคลี่ยิ้มให้ ถึงแม้ว่าริมฝีปากจะคลี่ยิ้มออกมา ทว่าดวงตากลับยังคงสงบนิ่ง มันเป็นสีหน้าเหมือนกับคนที่ปล่อยวางทุกอย่างแล้วหลังจากเหนื่อยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเรื่องเดิมๆ และเหนื่อยล้าจากเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับมันอย่างไรมากกว่าจะเป็นสีหน้าของคนที่กำลังวาดฝันคาดหวังกับวันครบรอบที่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน
ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ มีทั้งวันที่ดีและวันที่เหนื่อยล้า ถ้าได้ใช้เวลาทั้งวันศุกร์นี้ด้วยกันอย่างมีความสุขก็น่าจะพอทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้
ยูแจข่มความกังวลใจลงไป ก่อนจะฝืนยิ้มรับ
ยูแจหาเงินค่าขนมจากการสอนพิเศษมาได้ประมาณหนึ่ง แม้ว่าจะหามาได้ไม่เยอะเท่ากับซอฮันจุน แต่พอถึงวันที่มีสอนพิเศษ เขาก็มักจะรู้สึกสบายใจและรู้สึกมั่นคงที่สามารถรักษาสัญญาตามที่ให้ไว้กับฮันจุนว่าจะทำหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้
ทว่ามันก็แค่นั้น เพราะการสอนพิเศษด้วยตัวเองไม่ค่อยตรงกับความถนัดของเขาสักเท่าไร เด็กนักเรียนที่เขารับสอนมากกว่าครึ่งเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์และหัวดีมาตั้งแต่เกิด แต่มันก็ไม่สนุกเลยสักนิดกับการที่ปล่อยให้เด็กๆ ที่ไม่มีทั้งความพยายามและพรสวรรค์มาเสียเวลานั่งเรียนไปเปล่าๆ
“คุณครูคะ เดินทางกลับปลอดภัยนะคะ”
“ครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
พ่อแม่ของเด็กเดินออกมาส่งเขาถึงประตูหน้าบ้าน ก่อนที่ยูแจจะยิ้มกว้างแล้วบอกลาอย่างมีมารยาท
ในขณะที่เดินออกจากซอยแล้วมุ่งตรงไปตามถนนใหญ่ เขาก็เปิดเว็บไซต์ในมือถือที่หามาตลอดทาง เขาทั้งถามชินจีฮุนและลองเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตดูพวกเครื่องประดับหลายอย่าง ก่อนที่จะตัดสินใจได้
ถ้าสั่งแหวนเงินที่มีดีไซน์เรียบง่ายมา หมอนั่นจะว่าอะไรไหมนะ
เขารู้สึกว่ามันพิเศษตรงที่สามารถหาซื้อได้ในราคาย่อมเยา แถมยังสลักชื่อได้อีกต่างหาก มันน่าจะดูดี ไม่น้อยถ้าได้สลักชื่อของพวกเขาสองคนลงไปที่ด้านในตัวแหวน
การให้ของขวัญเป็นแหวนนั้นดีที่สุดในหลายๆ แง่ เขาชอบที่แหวนคู่มีความหมายโดยนัยทางสังคมและถือเป็นสัญลักษณ์อีกด้วย มันทั้งเป็นสัญลักษณ์ที่สามารถบอกกับทุกคนรอบตัวได้ว่าเขามีคนรักแล้ว เป็นสัญญาที่คอยย้ำเตือนว่าห้ามถอดมันออกจากนิ้วโดยเด็ดขาด ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักและการอุทิศตน
แน่นอนว่าเขายังไม่รู้ไซส์แหวนของซอฮันจุน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งทำแหวนแล้วได้ภายในวันศุกร์นี้ อันดับแรกก็ต้องโน้มน้าวฮันจุนให้ได้เสียก่อน วันศุกร์นี้เขาคิดว่าจะลองพยายามทำทุกวิถีทางอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะทำให้หมอนั่นหัวเราะออกมาจากใจจริงได้อีกครั้งหนึ่ง
ไม่จำเป็นที่จะต้องแต่งตัวให้ดูดีหรือดูโอเวอร์ แค่เลือกสวมชุดที่ดูสะอาดสะอ้านจากในบรรดาเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ตอนไปเจอซอฮันจุน ส่วนเรื่องร้านอาหาร ไม่ว่ารสชาติของอาหารจะเป็นอย่างไร หรือบรรยากาศร้านจะเป็นแบบไหน เขาก็คิดว่าจะชื่นชมความตาดีของซอฮันจุนในการเลือกร้าน และคอยดูแลป้อนของอร่อยที่นานๆ ทีจะได้กินให้กับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ พอกินข้าวเสร็จแล้วก็ตั้งใจว่าจะพาไปเดินเล่นจับมือกันที่สวนสาธารณะแถวๆ นั้นสักรอบ
สงสัยคงต้องหยิบเรื่องแหวนออกมาพูดตอนที่เดินทอดน่องอยู่ในสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยกลิ่นใบหญ้า คนที่คงจะไม่ได้เตรียมซื้อของขวัญมาให้จะได้ไม่ช้ำใจมาก ลองถามออกไปว่า ‘ครั้งนี้ฉันซื้อของขวัญให้นาย ครั้งหน้านายซื้อของขวัญคืนให้ฉันโอเคไหม’ ดีไหมนะ ถ้าหมอนั่นตอบตกลงก็จะได้ไปนั่งที่ม้านั่งแล้วเลือกดีไซน์แหวนด้วยกัน พอตกค่ำวันนั้นก็นอนเล่นบนเตียงเดียวกัน พูดคุยกันตลอดทั้งคืนจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะผล็อยหลับไปก่อน ไหนๆ ก็เป็นวันครบรอบแล้ว ถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยกันเก็บเอาไว้ก็น่าจะดี
ถ้าวันนั้นซอฮันจุนสามารถลืมความเศร้าใจทั้งหมดแล้วกลับมายิ้มอย่างสดใสได้ก็คงจะดี…
ยูแจที่กำลังเดินคิดอะไรเหม่อๆ อยู่นั้นก้มลงมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมือ มันเป็นสายโทรศัพท์จากแม่ เขากดรับแล้วยกโทรศัพท์แนบหู
“ฮัลโหล”
“แม่โทรมาทำไม”
“ก็แค่โทรมาเฉยๆ จะโทรมาหาลูกชายแต่ละทีนี่แม่ต้องมีธุระด้วยหรือไง”
ยูแจแสร้งหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ ทั้งคู่ก็ไม่เคยติดต่อมาหาก่อนเลยสักครั้งหากไม่มีธุระ เมื่อเขาไม่เถียงกลับไปเธอจึงพูดต่อ
“แกเรียนอยู่คณะบริหารฯ มหา’ลัยฮันกุกก็พอจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจบจากที่นั่นมันค่อนข้างหางานได้ดี แล้วถ้าได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ๆ รายได้ต่อปีก็คงจะดี ไหนจะโบนัสของพวกบริษัทใหญ่ๆ อีก ได้ยินว่าได้ทีก็ได้เป็นก้อนเลยนี่”
“ของแบบนี้มันก็แล้วแต่บริษัทสิ ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆ แม่ถึงได้พูดเรื่องนี้ล่ะ”
“ตอนนี้แกเองก็คงจะออกไปเจอสังคมแล้ว ฉันก็แค่ลองถามดูเฉยๆ เพราะเห็นว่าแกใกล้จะถึงวัยที่ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว เพราะงั้นฉันก็เลยต้องยืนยันให้มั่นใจซะก่อนว่าแกจะสามารถยืนหยัดอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ฉันถึงจะวางใจ”
ทีตอนสอบเข้ามหา’ลัยได้ยังไม่เห็นจะใส่ใจดูดำดูดีเลยด้วยซ้ำ มันน่าสงสัยตรงที่จู่ๆ ก็มาถามคำถามที่ไม่เคยถามมาก่อน หรือว่าแค่โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบโดยที่ไม่ได้มีธุระอะไรเลยจริงๆ?
แม่ของเขาพูดพล่ามยาวยืดให้สมกับเป็นผู้ปกครองอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ส่วนยูแจก็ได้แต่เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ
“ตั้งใจเรียนแล้วเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ให้ได้ล่ะ ถ้าได้เข้าบริษัทใหญ่แล้วได้เลื่อนขั้น ชีวิตแกก็จะประสบความสำเร็จ”
“นี่ผมเพิ่งจะอยู่ปีหนึ่งเองนะ พูดเพื่อ?”
“จะเที่ยวเล่นก็เที่ยวซะตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ปีหนึ่ง ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปก็ตั้งใจสั่งสมประสบการณ์เพื่อเอาไปเขียนเรซูเม่ ส่วนเรื่องงานพาร์ตไทม์ก็เลิกทำให้หมดแล้วลงมือทุ่มเทกับอนาคตของแกซะ เออใช่ ตอนแรกพ่อเขาบอกว่าจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้คนที่ไม่รู้จักบุญคุณถึงแค่จบปีหนึ่งเท่านั้น แต่ฉันโน้มน้าวอยู่หลายวันเลยตกลงกันแล้วว่าจะจ่ายให้ทั้งหมดจนกว่าแกจะจบปีสี่”
“ถามจริงนะ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงได้ทำแบบนี้”
“ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงแก เพราะว่าแกเป็นอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของฉันแล้วไง แกรู้บ้างหรือเปล่าว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายแค่ไหน”
ถึงจะไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็คงจะมีแผนอยู่ในใจอย่างแน่นอน เขาไม่สามารถหาจังหวะตัดสายทิ้งได้เลย เพราะรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดอันแสนอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมานี้
ในขณะที่หาข้ออ้างแล้วกำลังจะเปิดปากพูดนั้น จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา
“จริงสิ ทำไมแกไม่ยอมบอกว่าเรียนมหา’ลัยเดียวกันกับฮันจุน”
ชื่อของฮันจุนถูกพูดถึงขึ้นมาอย่างกะทันหันในช่วงเวลาที่เขาคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ยูแจหยุดชะงักยืนนิ่งไปทันที
“ใครบอกแม่มา”
“ก็แม่ของเด็กนั่นไง เห็นหล่อนบอกว่าเด็กนั่นเข้ามหา’ลัยเดียวกันกับแกแล้วก็ใช้ชีวิตสุขสบายดี ได้ข่าวว่าแกไปขอข้าวแม่ของฮันจุนกินฟรีด้วยนี่”
“อืม ซื้ออะไรอร่อยๆ ให้กินด้วย”
“ไอ้ที่แกไปขอเขากินฟรีข้างนอกนั่นน่ะ หนี้ฉันทั้งนั้นแหละ คิดว่าคนอื่นเขาจะทำดีกับแกโดยที่ไม่มีความหมายอย่างอื่นแฝงหรือไง”
“คุณแม่ของฮันจุนท่านเป็นคนดี”
ยูแจเถียงกลับด้วยความหงุดหงิด เขาอยากจะโต้แย้งคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีใครที่จะมาทำดีด้วยโดยไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง’ มากเสียยิ่งกว่าหาทางแก้ต่างแทนแม่ของฮันจุน แม่จิ๊ปากราวกับกำลังเย้ยหยันความคิดที่แสนโง่เขลานั้นของเขา
“แล้วแกคิดว่าฉันน่าจะได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้มาจากใครกันล่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าหล่อนรู้เบอร์โทรศัพท์ฉันได้ยังไงถึงได้โทรมาเล่าเรื่องนู่นนี่นั่นของแกให้ฟังแล้วก็ตบท้ายด้วยการขอยืมเงินสามแสนวอนเนี่ย”
“…”
“เอาแต่โทรหาคนนู้นคนนี้ไปทั่วเพราะจนปัญญากับอีแค่เงินสามแสนวอน โทรมาหาแม้กระทั่งฉัน ที่ฉันให้เงินไปก็เพราะคิดว่าชีวิตหล่อนมันน่าเศร้า แล้วนี่หล่อนเอาเงินที่ยืมฉันไปซื้อเนื้อย่างเลี้ยงแกเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
พอได้ฟังแบบนี้ เขาก็นึกย้อนไปถึงวันที่ได้ไปเจอแม่ของฮันจุน วันที่ไปพบเธอทั้งที่ปากแตกเพราะโดนซอฮันจุนต่อย ความรู้สึกสบายใจในชั่วขณะหนึ่งยามอยู่ข้างๆ เธอที่คอยถามไถ่ถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างอ่อนโยนและคอยช่วยคีบโพซัมให้ ทั้งยังเป็นห่วงริมฝีปากที่แตกของเขา ไหนจะคำพูดนั้นอีก…
‘อย่าไปไหนมาไหนด้วยสภาพแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะ’
“เรื่องเลี้ยงข้าว คุณแม่ของฮันจุนท่านก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ตอนที่พวกเรายังยากจน เขาก็ยังหอบของกินมาให้พวกเราทุกครั้ง”
ยูแจลบคำหนึ่งคำที่ยังคงตรึงติดอยู่ในใจอย่างชัดเจนแล้วพูดตัดบทไป ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดออกมาจากปลายสาย แม่ปิดปากเงียบไปสักพักก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาในที่สุด
“ตอนแรกก็คงจะเป็นความหวังดีจริงๆ นั่นแหละ แต่พอใช้ชีวิตหากินลำบากแล้วก็มาทำเป็นพูดจาลำเลิกบุญคุณ พอถึงตอนนั้นสุดท้ายแล้วความหวังดีมันก็จะกลายเป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ เงินน่ะมันให้ยืมได้ แต่จะอดทนต่อความน่าละอายใจพวกนั้นได้ยังไงกัน แกเองก็เหมือนกัน ในอนาคตพอแกได้ไปใช้ชีวิตในสังคมแล้วก็คงจะเข้าใจเอง เรื่องราวที่พบเจอในชีวิตคนเรามันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พวกที่มีรายได้ใกล้เคียงกันก็จะคบกันเอง ใช้ชีวิตแต่ละวันโดยวางท่าทำเป็นมีศักดิ์ศรี ไม่ได้นึกมองสภาพที่น่าสมเพชของกันและกันเลย”
“แค่นี้ก่อนนะครับ”
ยูแจวางสายทันทีโดยไม่แม้แต่จะแก้ตัว พอบทสนทนาถูกตัดไป หัวใจของเขาก็สั่นระรัวเสียงดังท่ามกลางความเงียบที่หวนกลับคืนมา เขากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะรีบออกตัวเดิน ในระหว่างที่ก้าวเท้าไปเรื่อยๆ นั้นก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด
เงินสามแสนวอน จำเป็นต้องเอาไปใช้ทำอะไรกันนะ
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คงจะไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ต้องใช้เงินด่วนหรอกนะ
…แล้วหมอนั่นจะรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง
ยูแจสูดอากาศยามค่ำคืนที่แสนสดชื่นเข้าไปเต็มปอด ในขณะที่ใจกลางหัวใจของเขารู้สึกวูบโหวงราวกับถูกเจาะจนเป็นรู
ยูแจจ้องไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊กพลางถอนหายใจออกมา
เขาใช้เวลาสามชั่วโมงในการทำการบ้านแต่กลับพิมพ์ไปได้แค่สามพันคำเท่านั้น ทั้งที่การบ้านก็ไม่ได้ยากอะไร แต่ทุกครั้งที่พิมพ์ลงไปแต่ละคำ ความคิดมากมายก็ถาโถมเข้ามาในหัว ทั้งคำพูดที่ซอฮันจุนพูดตอนทะเลาะกัน ทั้งคำพูดที่ควรจะพูดยามเจอกันพรุ่งนี้ในวันครบรอบ ทั้งเงินสามแสนวอนที่แม่ของอีกฝ่ายยืมไป ทั้งวิธีที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างฉลาดหลักแหลม มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกินกับการที่จะโฟกัสการบ้านที่อยู่อันดับหลังสุดในบรรดาเรื่องพวกนั้น
สิบนาทีที่เขาเอาแต่นั่งเหม่อใช้เวลาไปอย่างสิ้นเปลือง จากนั้นยูแจจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปยังโรงยิมของชมรมไฟต์คลับ เขาคิดว่าจะเข้าไปทักทายซึงมินแล้วออกกำลังกายให้เหงื่อออกเสียหน่อยหลังจากที่ไม่ได้ไปมานาน เขายังจำได้ไม่ลืมที่ซอฮันจุนบอกว่าซึงมินเป็นห่วงเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันก็ไม่แย่เท่าไรนัก หากไปเจอหน้าแล้วถือโอกาสออกกำลังกายไปด้วยกันเลย
ทันทีที่เดินเข้าไปในโรงยิม ซึงมินที่เห็นยูแจก็รีบวิ่งแจ้นมาแต่ไกล เขาโถมตัวใส่แล้วยกแขนขึ้นมาล็อกคอในท่าเฮดล็อกพลางตะโกนดังลั่น
“ไง ไอ้หนู! จะเจอหน้านายแต่ละทีนี่ทำไมมันยากเย็นนักวะฮะ”
“อั้ก! ขอโทษครับพี่”
“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ มาออกกำลังหน่อยสิ ถ้ากำลังเหนื่อยก็ออกเบาๆ เอาก็ได้”
พอได้ยินเสียงของซึงมินที่พูดจาเสียงดังลั่น พวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่กำลังออกกำลังกายอยู่ไกลๆ ก็เริ่มวิ่งเข้ามารวมตัวกันทีละคนสองคน ในระหว่างที่กำลังยิ้มให้กับบรรดาคนที่ยืนล้อมรอบตัวเองอยู่นั้น ซึงมินก็ถามคำถามที่เขารอคอยอยู่ออกมา
“แล้วฮันจุนล่ะ”
“อ๋า พอดีช่วงนี้ฮันจุนเขากำลังยุ่งมากเพราะสอนพิเศษน่ะครับ”
“ถึงขนาดไม่มีเวลาออกกำลังเลยเนี่ยนะ ไม่ได้เงินค่าขนมจากที่บ้านหรือไง”
“บ้านหมอนั่นไม่ได้ส่งเสียอะไรแบบนั้นให้หรอกครับ”
“ถ้าออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียวแบบนี้ ค่าใช้จ่ายก็คงจะสูงเอาเรื่อง แล้วงี้เรื่องค่าเทอมล่ะ”
“ฮันจุนเป็นคนจ่ายเองครับ”
ถึงจะตอบไปเพราะไม่ได้คิดว่าการพึ่งพาตัวเองทางด้านการเงินนั้นเป็นเรื่องที่แย่อะไร แต่เขาก็ไม่ได้พอใจกับคำถามที่ตรงไปตรงมาแบบนั้นเท่าไรนัก ซึงมินเปิดปากพูดทันทีที่เขาพูดจบราวกับกำลังรออยู่
“เพื่อนฉันกำลังหาคนสอนเด็กที่เคยสอนมานานน่ะ ฮันจุนจะสนใจไหมนะ”
“ครับ”
ยูแจรีบตอบกลับไป ฮันจุนคงจะกำลังหาสอนพิเศษเด็กนักเรียนคนใหม่อยู่แน่ๆ เพราะล่าสุดเห็นบอกว่าเลิกสอนไปคนหนึ่ง
“หมอนั่นน่าจะสนใจนะครับ สถานที่สอนอยู่แถวไหนเหรอครับ”
“อยู่แถวสถานีซูซอน่ะ ถ้าไปจากมหา’ลัยเราก็ถือว่าเดินทางลำบากหน่อย แต่เขาก็ให้ค่าสอนไม่น้อยเลย เพราะงั้นถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางไปกลับ แต่มันก็คุ้มค่าพอที่จะทำอยู่ ตามปกติก็จะให้แปดแสนวอนต่อแปดครั้ง แล้วช่วงสอบก็จะให้เพิ่มเยอะกว่าปกติ แต่ว่าถ้าแคนเซิลตารางบ่อยๆ หรือสอนไปแล้วเกรดตกลงเรื่อยๆ ก็อาจจะโดนยกเลิก”
เงินจำนวนนั้นนับว่าเป็นเงินสองเท่าของค่าสอนพิเศษโดยเฉลี่ย ยูแจยื่นมือถือออกไปทันที
“ฮันจุนไม่เคยแคนเซิลตารางสอนแล้วก็เรียนเก่งมากด้วยครับ ขอเบอร์หน่อยสิพี่ เดี๋ยวผมเอาไปบอกฮันจุนให้”
“ฉันเองก็มีเบอร์ฮันจุน เดี๋ยวฉันบอกเองก็ได้น่า ไม่เห็นต้องถึงมือนายเลย”
“…พี่อาจจะลืมก็ได้นี่ครับ”
เขาได้แต่ยิ้มเก้อ ท่าทางเขาจะวู่วามมากเกินไปหน่อย ซึงมินมองยูแจที่กำลังเม้มริมฝีปากทำตัวไม่ถูก ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
“เดี๋ยวบอกให้ตอนนี้เลยก็ได้ อะ พอใจยัง”
ซึงมินพิมพ์ข้อความให้ยูแจเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อยูแจเช็กดูว่าข้อความส่งไปถึงฮันจุนเรียบร้อยแล้ว ก็พยักหน้าหงึกๆ ซอฮันจุนเป็นคนฉลาด เพราะอย่างนั้นคงจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้โดยไม่ปล่อยให้พลาดไปเป็นอันขาด
พอคิดถึงซอฮันจุนที่ตอนนี้น่าจะกำลังสอนพิเศษอยู่ เขาก็นึกถึงตอนที่เจ้าตัวก้มหน้าลงพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ เมื่อนึกถึงมันความรู้สึกภายในใจเขาก็พลันเดือดพล่านขึ้นมาอย่างเงียบๆ เงินคือสิ่งที่มีอยู่แล้วก็หมดไป ซอฮันจุนควรจะต้องรู้ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าต่อให้ตอนนี้ไม่มีเงินสักพุนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำสีหน้าแบบนั้น เขาควรจะรู้ว่าต่อให้มีเงินไม่มากพอ แต่แค่เรามีความสุขด้วยกันได้มันก็เพียงพอแล้ว
ยูแจโค้งคำนับให้แล้วยกมุมปากขึ้น
“ขอบคุณนะครับพี่ ถ้างั้นผมขอตัวไปออกกำลังกายก่อนนะครับ”
“นายโอเคนะ?”
จู่ๆ ซึงมินที่กำลังยิ้มให้ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันอาจเป็นคำถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพราะว่าเขากับฮันจุนไม่ได้โผล่หน้ามาที่โรงยิมกันพักใหญ่แล้ว และมันก็อาจจะมีความหมายว่านายเองก็อยากได้งานพาร์ตไทม์ด้วยใช่ไหมก็ได้ คำถามที่เขาไม่สามารถมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ นั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบอยู่ภายในใจยามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้แวบเข้ามาในหัว ยูแจแสร้งทำเป็นไม่เป็นอะไรแล้วตอบกลับไป
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ”
“งั้นก็โล่งอกไปที”
ซึงมินพึมพำพลางตบบ่าเขาเสียงดังปุๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเมื่อดูจากสีหน้าขณะยกยิ้มทั้งที่คิ้วยังคงขมวดเข้าหากันอยู่น้อยๆ ยูแจปรับความรู้สึกภายในใจที่ว้าวุ่นให้สงบลงแล้วยกยิ้มกลับไป