everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-1 ถึง 10-2 #นิยายวาย
Chapter 10-2
ลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย กลิ่นแชมพูหอมๆ ฟุ้งกระจายออกมาจากเส้นผมที่ยังหมาดอยู่ ยูแจเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่พักใหญ่ทั้งที่ยังยืนอยู่หน้าป้ายรถโดยสารประจำทาง
ยูแจหวนนึกถึงซอฮันจุนที่ยืนรอเขาอยู่หน้าสถาบันสอนพิเศษจนกระทั่งเรียนพิเศษเสร็จในช่วงมัธยมปลาย เจ้าคนที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ข้างหน้าสถาบันนั้นไม่ได้เปลี่ยนเสื้อและยังคงอยู่ในชุดนักเรียนจนดึกดื่น เจ้าคนที่โบกมือมาให้พลางยกยิ้มกว้างในทันทีที่สบสายตากัน ยูแจลองจินตนาการถึงภาพที่อยู่ในกรอบสายตาของหมอนั่นในตอนนั้น ตึกสถาบันสอนพิเศษที่มีร้านสะดวกซื้อกับร้านขายยาอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ตามถนน และป้ายรถโดยสารประจำทาง
รถโดยสารประจำทางจอดเทียบป้ายที่อยู่ด้านหน้า ในขณะที่กำลังมองดูใบหน้าของบรรดาผู้คนที่เดินลงจากรถมาอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของฮันจุน
“โชยูแจ!”
พอหันหน้าไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงก็เห็นซอฮันจุนกำลังโบกมือให้พลางเดินใกล้เข้ามา เขาเผลอหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติเพราะท่าทางของอีกฝ่ายที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่อย่างเดียว ยูแจหันตัวไปทางฮันจุนแล้วตะโกนถาม
“ทำไมถึงได้มาจากทางนั้น”
“ฉันเดินมาน่ะ นั่งรถมาก็แค่สามสี่ป้ายเอง แถมวันนี้ก็อากาศดีด้วย”
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวไปส่งห้อง”
ซอฮันจุนเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ
“หัวเราะอะไรของนาย”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่หัวเราะที่นายบอกว่าจะไปส่งทั้งที่เดินไปแค่ห้านาทีเอง”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ฉันรู้สึกดีจะตายที่ได้รู้สึกว่าเรากำลังคบกันอยู่จริงๆ”
ไหล่ของพวกเขาสัมผัสกัน ฮันจุนแกล้งใช้ไหล่ดันเข้ามาจนเขาเซไปถึงขอบทางเท้า ก่อนที่เขาจะใช้แรงดันกลับคืนไปบ้าง ในระหว่างที่กำลังหยอกล้อกันแบบนั้นอยู่สักพัก พวกเขาก็เดินมาถึงด้านหน้าประตูมหาวิทยาลัย ยูแจโอบไหล่ของฮันจุนแล้วดึงเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดพึมพำออกมา
“ไปเดินเล่นในมหา’ลัยกับฉันสักรอบแล้วค่อยกลับ”
“เอาสิ”
“นายเห็นข้อความพี่ซึงมินหรือยัง”
“อื้อ ว่าแต่นายรู้ได้ไง”
“วันนี้ฉันไปโรงยิมมา แล้วก็แวะไปทักพี่ซึงมินมาด้วย พี่เขาสงสัยว่านายสนใจสอนพิเศษไหม ฉันก็เลยตอบไปแบบนั้น”
“เงื่อนไขมันดีมากๆ เลย ไม่รู้ว่าเขาหาครูสอนพิเศษที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เยอะๆ หรือเปล่า แต่คิดว่าจะลองโทรไปดูก่อน”
“แล้วนายไม่ดียังไง ระดับนายนี่ก็เทพแล้ว นายนี่มันจริงๆ เลย”
ฮันจุนหัวเราะคิกคักพลางถกแขนเสื้อขึ้น บริเวณสนามของมหาวิทยาลัยที่มืดสนิทนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน
จับมือดีไหมนะ
ในระหว่างที่กำลังคิดหนักอยู่นั้น ฮันจุนก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ยังไงซะมันก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีเงื่อนไขว่าห้ามไม่ให้ฉันสมัครไปนี่เนอะ ถึงช่วงนี้จะรู้สึกเหนื่อย แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแฮะ”
ยูแจได้แต่พยักหน้าเงียบๆ
เงินสามแสนวอน
สิ่งที่ติดอยู่ในซอกมุมหนึ่งในหัวมาตลอดได้ถาโถมเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดเลยว่าซอฮันจุนน่าจะไม่รู้เรื่องที่แม่ของตัวเองติดต่อคนไปทั่วเพื่อขอยืมเงินสามแสนวอน
เราควรพูดมันออกไปไหมนะ เงินสามแสนวอนเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องร้ายแรงที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากถึงขั้นต้องแบ่งยืมทีละเล็กทีละน้อยจากหลายๆ ที่ล่ะ ถ้าหมอนี่มารู้ทีหลังคงจะรู้สึกปวดใจมากแน่ๆ
ทว่าเขาไม่อยากทำแบบนั้น ทั้งยังไม่อยากบอกข่าวร้ายก่อนวันครบรอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ และไม่อยากให้ฮันจุนต้องมารู้เรื่องราวมากมายที่ไม่ได้อยากรู้เหมือนกับตัวเขาเอง และสิ่งสุดท้ายคือ…
เขาไม่อยากทุกข์ใจยามจินตนาการถึงสิ่งที่ฮันจุนคงจะยอมแพ้และละทิ้งไปเป็นอย่างแรก
ยูแจฉีกความคิดที่แสนขี้ขลาดและน่าหวาดกลัวทั้งหมดนั้นทิ้งไป ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น
“แม่นายสบายดีไหม ช่วงนี้ได้ติดต่อไปหาบ้างหรือเปล่า”
“แม่? ตอนที่โทรคุยกันคราวก่อนก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนะ ทำไมเหรอ”
“ว่ากันว่าถ้าแยกกันอยู่แล้วความสัมพันธ์มักจะดีขึ้น ฉันเพิ่งโทรคุยกับแม่มา จู่ๆ แม่ก็พูดเรื่องที่ไม่เคยพูดแถมยังทำตัวน่าอายแปลกๆ อีก”
“งั้นเหรอ แม่นายเนี่ยนะ”
“อือ เห็นบอกว่าเป็นห่วง ยังไงก็เหอะ พอดีฉันได้ยินแบบนั้นแล้วก็นึกถึงนายขึ้นมาน่ะ ต่อให้แม่นายไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คงจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่แน่ๆ ไว้อีกสักแป๊บก่อนนอนก็ลองโทรไปหาดูสักครั้งสิ”
“เข้าใจแล้วล่ะ ว่าแต่ดีจังเลยแฮะ”
ฮันจุนที่กำลังก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเอาไหล่มากระแซะเขาเบาๆ พอเห็นแววตาเปล่งประกายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างกายที่เกร็งเครียดจากการพยายามสรรหาคำพูดก็พลันผ่อนคลายลง
“อะไรดี”
“ก็การที่แม่นายพูดอย่างอ่อนโยนแล้วบอกว่าเป็นห่วงนายไง”
“ห่วงใยครึ่งนึง รำคาญครึ่งนึงน่ะสิ”
ยูแจสวนกลับไปอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น
ทั้งสองเดินจับมือกันภายใต้ความมืด ก่อนจะปล่อยมือกันในตอนที่ใกล้จะถึงประตูด้านหลังของมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงและยืนอยู่หน้าโคชีเทล ยูแจก็บอกลาพร้อมกับเปิดปากพูดอีกครั้งก่อนแยกกัน
“ไว้พรุ่งนี้เราไปกินอะไรอร่อยๆ กัน เห็นว่าแถวๆ นั้นมีสวนสาธารณะด้วย”
“เห็นแล้วล่ะ คนที่ไปกินร้านนั้น หลังกินเสร็จก็พากันไปเดินเล่นที่นั่นกันหมด”
“งั้นเราก็มาลองทำทุกอย่างกัน แล้ววันนี้ก่อนนอนก็อย่าลืมโทรหาแม่สักครั้งด้วยล่ะ”
“รู้แล้วน่า นายกลับไปได้แล้ว”
หลังจากส่งฮันจุนเสร็จแล้ว ยูแจก็เดินลัดสนามในมหาวิทยาลัยที่แสนเปลี่ยวและเงียบสงัดไปตามลำพัง ท่ามกลางความเงียบสงบรอบตัวนั้น เสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายผสานไปกับเสียงหัวใจเต้นระรัวจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งกาย ก่อนที่เขาจะฮัมเพลงพลางเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซอฮันจุนไม่ได้มาเรียน
ฮันจุนนี่
ฉันจะลงไปหาแม่สักหน่อย เดี๋ยวกลับมา ไม่ต้องห่วง! ถึงจะไม่ได้ไปเรียน แต่เดี๋ยวก็กลับมา เพราะงั้นเจอกันที่ร้านอาหารที่จองไว้ตอนหนึ่งทุ่มนะ (5.24 AM)
ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ยูแจก็เปิดดูข้อความที่เคยเช็กดูไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง ฮันจุนยังคงไม่อ่านข้อความของเขาที่ส่งไปให้ต่อจากข้อความนั้น ดูท่าอีกฝ่ายจะลองติดต่อไปหาแม่ตามที่เขาเสนอไปและมีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าตัวคงจะกำลังว้าวุ่นและยุ่งอยู่กับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาใหม่ หากดูจากเวลาที่ส่งข้อความมาหา ดูเหมือนว่าฮันจุนจะนอนไม่หลับทั้งคืนและลงไปหาแม่ตั้งแต่เช้ามืด
หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ
ยูแจอ่านข้อความที่ตัวเองส่งไปหาฮันจุนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
ยูแจ
เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่หรือเปล่า
(11.21 AM) ถ้าเห็นข้อความแล้วรีบติดต่อกลับมาทันทีนะ
‘เดี๋ยวไว้ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน’
ยูแจที่กำลังพิมพ์ข้อความใหม่ลงไปจำต้องหยุดชะงัก ความรู้สึกของเขาที่พยายามจะส่งข้อความที่แสดงถึงความในใจโดยใช้คำพูดคำเดิมเหมือนกับที่พูดเมื่อคืนนี้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลงลืมตัวเองนั้นช่างน่าเวทนา
ยูแจลังเลอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจลบข้อความนั้นทิ้งไป
ยูแจพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่น เขาจึงเริ่มเขียนเลกเชอร์เนื้อหาในคาบเรียนที่ซอฮันจุนขาดเรียนไปอย่างละเอียดเอาไว้ให้อีกฝ่าย รวมถึงเก็บชีทเรียนในส่วนของฮันจุนเอาไว้ด้วย เขาซื้อข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อมากินเป็นมื้อเที่ยงแล้วใช้เวลาที่เหลือไปกับการอาบน้ำอีกครั้งรวมถึงวางแผนการเดินทาง
แถวร้านอาหารมีสวนสาธารณะและร้านกาแฟ ทั้งยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ด้วย หลังจากไปเดตกันที่สวนสาธารณะแล้วถ้าได้ไปเดินเล่นรอบห้างก็คงจะดีไม่น้อย การไปเดินเที่ยวห้างเล่นๆ มันก็สนุกไปอีกแบบ อีกทั้งในห้างยังมีพวกร้านเครื่องประดับอยู่เต็มไปหมด มันจึงน่าสนุกหากได้ไปดูแหวนด้วยกัน ทั้งซอฮันจุนและตัวเขาเองต่างก็ไม่เคยมีความสนใจเรื่องเครื่องประดับเลย เขาเลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าถ้าหากไปเลือกแหวนด้วยกันแล้วรสนิยมของพวกเราจะเข้ากันได้ดีหรือไม่
หลังจากเลือกเสื้อผ้าเอาไว้เสร็จสรรพ ยูแจก็เริ่มทำความสะอาดห้อง เขาปัดกวาดเช็ดฝุ่นทุกซอกทุกมุม จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ เปิดหน้าต่างทิ้งไว้พักหนึ่งเพื่อให้ผ้าห่มที่เอาไปสะบัดจนสะอาดไร้ฝุ่นนั้นหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นแดด อย่างไรเสียก็คงจะนอนฟัดกันเล่นอยู่บนเตียงอย่างเดียวอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากมาย หลังจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็ฝังจมูกลงไปในผ้าห่มพลางลองสูดดมกลิ่นแดดอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกอุ่นสบาย
ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ยูแจสะดุ้งลุกพรวดแล้วรีบเช็กข้อความ
แม่
วันนี้กลับมาบ้านหน่อย ตอนไหนก็ได้ พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย (4.06 PM)
ยูแจถอนหายใจขณะขึ้นลิฟต์
ปกติแล้วที่บ้านเขาไม่เคยติดต่อมาและบอกให้ไปหาภายในวันนั้น สิบในสิบมักจะเป็นการเรียกไปกินอาหารหรูที่ทำไปเพื่อยืนยันว่าพ่อกำลังทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะของผู้นำครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน ดังนั้นที่ผ่านมาเขาจึงเพิกเฉยและบอกว่ามีนัดแล้วมาโดยตลอด ทว่าข้อความที่ส่งมาในวันนี้มันต่างออกไปเล็กน้อย
มีเรื่องจะคุยด้วย
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็แค่ต้องการให้ยูแจพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน ไม่ได้ให้พูดอะไรที่มีความหมายขนาดนั้น ถึงจะบอกว่าพวกเขาต้องการอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคาดหวังอะไรไว้ใหญ่โต เหตุผลใหญ่ที่สุดที่ยูแจรีบออกมาก็เพียงเพราะเย็นนี้อยากจะไปถึงร้านอาหารตามเวลาที่จองเอาไว้ ถ้าหากไปยังสถานที่นัดทันทีหลังจากแวะเข้าบ้านไปฟังคำพูดจากพวกเขาสักครู่หนึ่งแล้ว เขาก็น่าจะไปถึงร้านอาหารได้ตามเวลาพอดี…
จะว่าไปแล้วสายโทรศัพท์จากแม่ที่โทรมาล่าสุดมันก็กวนใจเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน เขายังรู้สึกติดใจที่เธอเป็นห่วงเขา แถมยังถามไถ่เรื่องการวางแผนในอนาคตและชีวิตประจำวันของเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถามมาก่อน คงต้องบอกว่ามันเป็นความรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากกว่าที่จะเป็นความรู้สึกติดใจน่าจะถูกต้องกว่า เพราะมันเป็นการกระทำที่เธอไม่เคยทำมาก่อน ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะอารมณ์เสียเหมือนเดิม แต่บางทีแม่ของเขาอาจจะมีเรื่องสำคัญที่อยากพูดจริงๆ ก็ได้ หรือบางทีก็อาจจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ เพราะเขาแยกออกมาใช้ชีวิตอยู่ห่างหูห่างตาก็เป็นได้
ถึงจะมีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งหมดนั้นอาจเป็นเพียงแค่การพูดบ่นไร้สาระก็ตามที
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก ยูแจฝืนยิ้มพลางก้าวเท้าเดิน
ภายในห้องไม่ได้ยินแม้แต่เสียงโทรทัศน์หรือเสียงพูดคุยกัน อีกทั้งหน้าต่างยังเปิดทิ้งเอาไว้ ไม่รู้ว่าเปิดเพื่อระบายอากาศหรืออย่างไร ยูแจเดินเข้าไปข้างในห้องพลางจงใจส่งเสียงให้รู้ว่ามีคนเข้ามา
“ผมมาแล้ว”
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นพ่อนั่งอยู่ตรงโซฟา ตอนนั้นเองพ่อที่กำลังจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือก็ได้เงยหน้าขึ้นมา ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะถูกบ่นว่าท่าทางการทักทายนั่นมันอะไรกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ไม่สนใจมัน ตอนที่ยูแจกำลังพิจารณามองบรรยากาศที่แตกต่างไปจากปกติอย่างไรชอบกลอยู่นั้น แม่ก็เปิดประตูห้องปรากฏตัวออกมา
“มาแล้วเหรอ อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันไหม”
“ตอนเย็นผมมีนัด เรื่องที่ว่าจะคุยนี่เรื่องอะไรเหรอครับ”
ยูแจส่ายศีรษะปฏิเสธคำชวนที่ถามมาอย่างอ่อนโยน เขาสังเกตเห็นว่าแม่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องของเขา ดูเหมือนว่าแม่จะใช้ห้องของเขาที่ปล่อยว่างเอาไว้เพราะไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยๆ และดูท่าแล้วน่าจะแยกห้องอยู่กับพ่อด้วย
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะเขาไม่เคยรู้สึกว่าที่ตรงนั้นมันเป็นที่ของเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แม่เดินมานั่งตรงโซฟาข้างพ่อ ก่อนจะถอนหายใจน้อยๆ ในขณะที่พ่อกระแอมพลางลอบส่งสายตากับแม่ ทั้งที่พวกเขาทำตัวเหมือนจะกินหัวกันตลอดเวลาทุกครั้งที่เจอหน้า ทว่าวันนี้กลับใจเย็นผิดปกติ…ถึงขนาดที่ว่าดูสงบสุขกันดี
ยูแจเอียงศีรษะมองพวกเขาสลับกันไปมาเงียบๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศมันช่างน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน
“มีอะไรกันแน่”
“ฉันกับแม่ของแกตกลงกันแล้วว่าจะหย่ากัน”
นั่นคือประเด็นหลักของวันนี้ ประโยคที่หมายความว่าชีวิตแต่งงานหลายสิบปีนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วหลุดลอดออกมาจากปากของพ่อ ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับท่าทางที่นิ่งสงบของพ่อ เขาจึงไม่อาจเข้าใจคำพูดนั้นได้ในครั้งเดียว
“ว่าไงนะ”
“ไม่ได้จบลงไม่ดี อย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวนี้มีคนหย่าร้างกันเยอะจะตาย”
มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะล่าสุดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก ยูแจเองก็เห็นด้วยว่าการแยกทางกันนั้นยังดีกว่าการอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจของเขาก็ยังรู้สึกสั่นคลอนเพราะความทรงจำมากมายหลั่งไหลถาโถมเข้ามาราวกับเกลียวคลื่นอย่างไร้ซึ่งหนทางแก้ไข
ทั้งรูปภาพมากมายที่อยู่ในกรอบรูปเก่าๆ
สายตาของพ่อที่หันมองไปทางแม่
‘รักสิ’
น้ำเสียงของแม่ยามนึกถึงความทรงจำในวันวาน
ทันใดนั้นยูแจก็เพิ่งจะตระหนักได้ถึงคำพูดแดกดันและเหตุผลที่ว่าทำไมวันนี้พวกเขาถึงได้ดูสงบกันเป็นพิเศษ
ในที่สุดพวกเขาต่างก็ยอมแพ้ในตัวของกันและกัน
“เข้าใจแล้ว คุยจบแล้วใช่ไหม”
“ยังคุยไม่จบ นั่งลงก่อน”
พ่อพูดขึ้นมาพลางเงยหน้ามองยูแจ คำพูดของพ่อฟังดูประนีประนอม ไม่ได้เป็นคำสั่งที่ฟังดูเด็ดขาด พอยูแจสังเกตเห็นว่าพ่อไม่ได้ต้องการความเคารพจากตัวเขาอีกต่อไป เขาถึงได้เข้าใจว่าอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อยอมแพ้ไปแล้วคืออะไร
พ่อพูดต่อโดยไม่มีติดขัดราวกับเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว
“พวกฉันปรึกษากันแล้วเลยตกลงว่าจะหย่าแล้วแยกจากกันด้วยดี ส่วนทรัพย์สินก็มีคอนโดฯ นี้กับรถหนึ่งคัน แต่ว่ารถมันก็เก่ามากแล้ว ต่อให้ขายไปก็คงได้แค่ค่าเพิกถอน เพราะงั้นจะถือว่าไม่มี ส่วนคอนโดฯ ก็ตัดสินใจว่าจะขายทิ้งแล้วเอามาแบ่งกับแม่ของแก”
“ต้องแบ่งคนละครึ่งสิถึงจะเรียกว่าแบ่ง นี่คุณกลับแบ่งให้ฉันแค่น้อยนิด”
แม่พูดแทรกขึ้นมาอย่างใจเย็น ขณะที่พ่อลดเสียงลงแล้วย้อนตอบกลับไป
“แต่ถึงอย่างนั้นเงินนั่นก็มากพอที่จะซื้อบ้านอยู่คนเดียวในจังหวัดคังวอน ยังไงก็ตาม…”
พ่อละสายตาจากแม่ที่กำลังยิ้มอย่างใจกว้างแล้วพูดต่อ
“เรื่องค่าเรียนฉันตกลงแล้วว่าจะส่งให้แม่แกจนกว่าแกจะเรียนจบ”
“ฉันเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้จ่ายทั้งหมดจนกว่าแกจะเรียนจบเองแหละ ค่ามัดจำออฟฟิศเทลแกก็สิบล้านวอนได้แล้ว แม่จะไม่เอาเงินค่ามัดจำนั้นคืนมาจนกว่าแกจะเรียนจบ เพราะงั้นแกก็อยู่ที่นั่นไป”
“ถึงตอนนี้แกจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เพราะแม่แกบอกว่าจะเอาแกไปอยู่ด้วย เพราะงั้นฉันจะให้เพิ่มอีกสามสิบล้านวอนเป็นค่าเลี้ยงดู”
พวกเขาเอาแต่พูดเรื่องการแลกเปลี่ยนธุรกิจกันไม่หยุด ตกลงกันว่าแบ่งรถกับบ้านกันอย่างไร ค่ามัดจำออฟฟิศเทลจะตกเป็นของใคร ใครจะเป็นคนเอายูแจไปปกครองและจะได้เงินทดแทนค่าเลี้ยงดูเท่าไร
ในระหว่างที่แบ่งทรัพย์สินกันนั้น ตัวเขาเองจึงถูกรวมไปด้วยโดยปริยาย ยูแจเหยียดยิ้มน้อยๆ พลางก้มหน้าลง ก่อนจะได้ยินเสียงของแม่ดังขึ้นเหนือศีรษะ
“คอนโดฯ ราคาตั้งเท่าไหร่ แต่จะให้แค่สามสิบล้านวอนเนี่ยนะ”
“ค่าเรียนฉันก็จ่ายเองทั้งหมด จ่ายจนเรียนจบเมื่อไหร่ฉันก็เงินหมดพอดี ตอนนี้ก็เหลือแค่เงินเดือนที่จะได้รับจากยูแจ แค่นี้ก็ถือว่าให้ไปเยอะแล้วนะ”
เงินเดือน?
รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากมุมปากของยูแจ
ท่ามกลางคำถามมากมายที่แม่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังก้องอยู่ในหัว น้ำเสียงเล็กแหลมของแม่เสียดแทงเข้ามาในใจของเขา
‘คิดว่าคนอื่นเขาจะทำดีกับแกโดยที่ไม่มีความหมายอย่างอื่นแฝงหรือไง’
สิ่งที่เธออยากรู้มันไม่ใช่เรื่องการวางแผนในอนาคตของเขา แต่เป็นความเป็นไปได้ที่จะได้เงินบำนาญแต่ละปีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวัยชรา
“ฮึ”
เสียงถอนหายใจเคล้าไปกับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน พอนึกถึงภาพที่พวกเขานั่งสุมหัวและตั้งหน้าตั้งตาเคาะเครื่องคิดเลขกันใหญ่แล้ว มันก็ช่างน่าตลกจนเขาแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว เห็นได้ชัดเลยว่าพ่อโน้มน้าวแม่ด้วยคำพูดแบบไหน
คอนโดมิเนียม รถ ค่ามัดจำออฟฟิศเทล เงินสด
…และลูกชาย
คณะบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัยฮันกุกที่เป็นที่รู้จัก การงานในบริษัทใหญ่ที่มั่นคงนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนเสียยิ่งกว่าอะไร ไหนจะเงินเดือนที่จะไหลเข้าบัญชีมาในทุกๆ เดือน
ยูแจลุกพรวดขึ้นแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“ผมจะย้ายออกจากห้องภายในหนึ่งอาทิตย์ เงินค่ามัดจำนั่นก็เอาไปจัดการกันเอาเอง”
“ว่าไงนะ”
“ผมหมายความว่าช่วยเอาผมออกจากข้อตกลงทางธุรกิจอุบาทว์ๆ นี่ซะ”
พ่อลุกพรวดขึ้นยืนตาม ยูแจก้มมองพ่อเงียบๆ เป็นการบอกว่าไม่อยากจะพูดอะไรต่ออีกแล้ว ใบหน้าเขาร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิด ยูแจเมินหน้าของพ่อที่เดือดดาลราวกับจะระเบิดในชั่วพริบตา ก่อนจะจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย
“แก ไอ้ลูกเวร ถ้าออกไปตอนนี้อย่าคิดว่าฉันจะอ้าแขนรับแกกลับมาอีกครั้งนะ ฉันไม่เคยมีลูกเนรคุณอย่างแก”
ยูแจเหยียดยิ้ม การขู่เตือนครั้งสุดท้ายที่เป็นการประกาศกร้าวว่าจะตัดสายสัมพันธ์นั้นมันไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
เขาออกมาจากตรงนั้น หันหลังให้พ่อกับแม่โดยไร้ซึ่งความลังเล ความโกรธที่ทำให้ภายในอกร้อนวูบวาบกลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…