everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-3 ถึง 10-4 #นิยายวาย
Chapter 10-3
ยูแจก้าวเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะชะงักแล้วหยุดยืนนิ่ง เขาจ้องมองสนามเด็กเล่นที่อยู่ในหมู่ตึกโดยที่ยังกำหมัดแน่น ท่ามกลางเด็กๆ ไม่กี่คนที่วิ่งเล่นกันอยู่นั้น ตรงชิงช้ากลับว่างเปล่า
เขาวิ่งพรวดเข้าไปจับจองชิงช้า
วันครบรอบร้อยวันแท้ๆ ทว่าเขาก็ไม่สามารถไปเจอฮันจุนด้วยสภาพที่กำลังโมโหขนาดนี้ได้
คงต้องลดความหัวร้อนลงก่อนแล้วค่อยไปหา
ยูแจโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่ง ก่อนจะเช็กดูโทรศัพท์
ยังคงไม่มีการติดต่อใดมาจากซอฮันจุน แม้ว่าจะลองโทรไปหาอีกครั้งแต่เจ้าตัวก็ไม่รับสาย
ดูท่าคงจะกำลังเดินทางมาอยู่ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ป่านนี้เจ้าตัวก็คงจะติดต่อมาหาแล้ว
ก็สัญญากันไว้แล้วนี่นา…
ต่อให้ใช้เวลาอยู่ที่นี่สิบนาที แต่ก็ยังสามารถไปถึงร้านอาหารได้ทันก่อนหนึ่งทุ่ม หลังจากยูแจคำนวณเวลาเสร็จเรียบร้อยก็ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วโยนทิ้งไป
เขาเริ่มใช้เท้าดันพื้นอย่างแรงเพื่อไกวชิงช้า ชิงช้าที่ทำขึ้นมาสำหรับเด็กนั้นค่อนข้างเล็กทำให้รู้สึกเจ็บสะโพกเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดียามที่ได้รับลมเย็นสบาย ในระหว่างที่ไกวชิงช้าอยู่นั้น ยูแจก็มองเห็นเด็กคนหนึ่งในระยะสายตา เด็กคนนั้นเอาแต่มองมาที่เขา ไม่แม้แต่จะมองชิงช้าที่ว่างเปล่าข้างๆ เขาเลย
ยูแจยังจำได้ว่าตอนสมัยมัธยมต้นเขากับฮันจุนไปนั่งชิงช้าข้างกัน และนั่นก็ทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้ แม้ซอฮันจุนจะเอ่ยขอโทษและปลอบเด็กชายคนนั้นที่ร้องไห้งอแงโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอทำอะไรแปลกๆ ออกไป แต่ว่ามันก็เป็นภาพความทรงจำที่ตลกมากๆ ยูแจใช้เท้ายันลงที่พื้นเพื่อหยุดยืน ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“หนูอยากมานั่งด้วยกันไหม”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ชายขอไกวต่ออีกแค่สิบทีนะ นับเลขเป็นไหม”
“เป็นค่ะ!”
หนึ่ง สอง สาม…
ยูแจไกวชิงช้าช้าๆ ให้พอดีกับเสียงของเด็กที่กำลังนับเลขอย่างเชื่องช้า เด็กคนนั้นนับถึงเลขห้าก่อนจะวนกลับมานับเลขหนึ่งใหม่อีกครั้ง ในขณะที่ตั้งใจฟังเสียงหัวเราะอันสดใส เขาก็มองไปยังชิงช้าข้างๆ ที่ว่างเปล่า
ยูแจจ้องมองชิงช้าอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา เขานั่งชิงช้าที่แกว่งไกวไปมาเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดพลางกดส่งข้อความ
ยูแจ
หิวข้าวแล้วอะ
(6.12 PM) เราไปกินของอร่อยๆ กันเถอะ
ร้านอาหารแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเพราะเป็นช่วงเย็นวันศุกร์ ลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เปลี่ยนหน้าไปแล้วสองครั้ง พวกเขาลุกออกจากที่นั่ง ก่อนที่พนักงานจะเดินมาเก็บกวาดเช็ดโต๊ะกระจกจนสะอาดสะอ้าน นี่นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่มีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามานั่งลงตรงนั้น
ยูแจเช็กดูมือถือที่เงียบสนิทอีกครั้ง ก่อนจะหยิบรายการอาหารขึ้นมาดู ไม่รู้ว่าอาหารของร้านนี้เป็นอาหารฟิวชั่นหรืออย่างไร ตอนเห็นครั้งแรกมันถึงได้เต็มไปด้วยอาหารที่ดูแปลกตา แต่พอลองเสิร์ชหาทีละอย่างแล้วก็พอจะสามารถเลือกเมนูที่ซอฮันจุนน่าจะชอบได้อย่างคร่าวๆ เขากวาดสายตามองรายการอาหารที่อ่านวนซ้ำมาหลายครั้งจนจำได้อีกรอบพลางจิบไวน์ขาวที่สั่งมาก่อนล่วงหน้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นกับภาพวาดแขวนผนังที่แสนมีชีวิตชีวา เขาพอจะรู้แล้วว่าทำไมซอฮันจุนถึงได้เลือกร้านนี้ เพราะหมอนั่นมักจะสนุกกับสิ่งใหม่ๆ เสมอไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
“ไม่ทราบว่าพร้อมจะสั่งอาหารหรือยังคะ”
“ผมว่าจะสั่งตอนอีกคนมาถึงน่ะครับ”
ยูแจยกยิ้มให้พนักงาน จากนั้นพนักงานก็พยักหน้าแล้วหันหลังไป ทว่าไม่นานพนักงานก็หันกลับมาแล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เวลาตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว พอดีทางร้านปิดรับออเดอร์ตอนสามทุ่มครึ่งน่ะค่ะ หากจองโต๊ะเอาไว้ต้องสั่งเมนูก่อนออกจากร้านนะคะ”
“ครับ เดี๋ยวเขาก็มาแล้วครับ”
พนักงานเหลือบมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ก่อนจะถอยไปเพราะคำตอบที่มั่นอกมั่นใจนั้น
ตรงที่นั่งที่ว่างเปล่ามีไวน์ขาวแก้วหนึ่งวางเอาไว้อยู่
แม่ไม่รับสาย
ฮันจุนมองมือถือพลางขมวดคิ้วมุ่น แม่ไม่เคยติดต่อไม่ได้ในช่วงเวลาหลังเลิกงานมาก่อน เขารู้สึกเอะใจที่โชยูแจบอกให้ลองติดต่อไปหาแม่สักครั้งก่อนจะแยกจากกันเมื่อวาน เขาเลยลองโทรไปหาแม่ ทว่าแม่กลับไม่รับสาย เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา
วันนี้ทำงานเลต? หรือว่าแค่เก็บกวาดร้านเสร็จช้ากว่าปกติหน่อย? งานร้านอาหารจะค่อนข้างยุ่งในช่วงสุดสัปดาห์ แต่วันนี้เป็นวันธรรมดา เพราะงั้นบางทีแม่อาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ก็ได้ ไม่ก็อาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็รีบนอนไปตั้งแต่หัวค่ำก็เลยติดต่อไม่ได้ก็ได้
ฮันจุนอาบน้ำพลางพยายามคิดให้สบายใจ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วจัดที่นอนเรียบร้อย เขาก็ล้มตัวลงนอน แต่เขากลับนอนไม่หลับ
เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจโทรไปหาแม่อีกครั้งหนึ่ง สัญญาณรอสายดังขึ้นต่อเนื่อง จากนั้นก็ถูกโอนสายไปเป็นการฝากข้อความ ลางสังหรณ์ของเขาเลยเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน แม่แทบจะไม่เคยออกไปเที่ยวตอนกลางคืนเลย ต่อให้บอกว่าเก็บกวาดร้านเสร็จช้า แต่ก็ไม่มีร้านไหนที่จะสั่งให้ทำงานเกินเวลามาจนถึงป่านนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าแม่กำลังนอนอยู่หรือไม่ แต่แม่เป็นคนที่ค่อนข้างหูดีตอนหลับ ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่แม่จะไม่รับสายทั้งที่โทรไปหาตั้งหลายครั้งแบบนี้ ฮันจุนส่งข้อความไปขอให้แม่ติดต่อกลับมา ก่อนจะข่มตาบังคับให้ตัวเองนอน
หลังจากกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทั้งคืน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งสาง ฮันจุนก็รีบเช็กมือถือก่อนเป็นอันดับแรกทันที แม่ยังคงไม่ติดต่อกลับมาและยังไม่ได้อ่านข้อความ ทั้งที่จิตใจร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล แต่เขาก็ลองพยายามข่มตานอนอีกครั้ง ทว่ากลับรู้สึกกังวลและกลัวจนสันหลังเย็นวาบ และนั่นก็ทำให้เขาตื่นเต็มตาได้ในชั่วพริบตาเดียว
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดว่ามันแปลก เขาเช็กยอดเงินคงเหลือในบัญชีกับรอบรถบัส ก่อนตัดสินใจว่าจะไปหาแม่ด้วยตัวเอง มันต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงในการเดินทาง เขาจึงคิดว่าอย่ามัวนั่งรอด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจแบบนี้อยู่อีกเลย ไปหาแม่ให้ได้เห็นหน้าสักเดี๋ยวแล้วค่อยกลับมาน่าจะดีกว่า
ทันทีที่ตัดสินใจได้แล้ว ฮันจุนก็ติดต่อไปหายูแจก่อนเป็นอันดับแรก เดตในวันครบรอบใกล้จะมาถึงอยู่ตรงหน้าแล้วและเขาก็ไม่อยากมานั่งเป็นกังวลด้วย แต่เขาก็ไม่ได้บอกไปว่าติดต่อแม่ไม่ได้ อย่างไรเสียเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่แม่จะต้องออกไปทำงานแล้ว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเธอจะโทรกลับมาในระหว่างที่เขากำลังเดินทางไปหา เธอคงจะไม่ได้รับสายเพราะกำลังนอนอยู่ และไหนๆ ก็ตัดสินใจไปหาแล้วจะได้ลองไปดูร้านอาหารที่แม่ทำงานอยู่สักหน่อย อีกทั้งแวะไปที่บ้านที่แม่อาศัยอยู่เพื่อไปเช็กดูให้แน่ใจว่าแม่สบายดีไหม เขาวางแผนว่าจะไปเจอหน้าแม่หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานก่อนแล้วจะได้สามารถนั่งรถกลับมาได้อย่างสบายใจ จากนั้นจะได้ตรงไปหายูแจ ฮันจุนเตรียมอุปกรณ์ล้างและทำความสะอาดใบหน้าอย่างง่ายๆ รามยอนคัพหนึ่งถ้วย และลิปบาล์มที่ห่อของขวัญไว้อย่างสวยงามใส่ลงไปในกระเป๋า
ฮันจุนออกเดินทางทันทีแล้วตรงไปขึ้นรถบัสเที่ยวเช้าสุดเท่าที่จะสามารถไปได้ ตลอดสองชั่วโมงที่นั่งรถมา เขาเมารถมาตลอดทางเนื่องจากท้องว่างเพราะมัวแต่รีบออกเดินทาง พออยากจะนอนก็ดันข่มตานอนไม่หลับอีก
แม่ยังคงไม่ติดต่อมาทั้งที่เลยเวลาตื่นนอนตามปกติมาแล้ว
ทันทีที่ไปถึงฮันจุนก็แวะซื้อเครื่องดื่มจากร้านสะดวกซื้อมาดื่ม ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังบ้านที่แม่อาศัยอยู่ พอลองเสิร์ชหาดูแล้วก็พบว่าระยะทางมันค่อนข้างไกลจากสถานีเดินรถมากกว่าที่คิด ภายนอกหน้าต่างที่เหม่อมองออกไปจากในรถโดยสารประจำทางที่กำลังวิ่งไปอยู่นั้น แสงแดดกำลังสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่น เขาตัวพิงกับหน้าต่างพลางพยายามทำจิตใจที่ร้อนรุ่มให้สงบลง
กว่าจะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปก็ตอนที่ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
หลังจากเดินเข้าไปในซอยที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าๆ ในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านเดี่ยวที่สร้างด้วยอิฐสีแดงหลังหนึ่ง ทันทีที่ชะเง้อศีรษะเข้าไปในประตูหน้าบ้านที่เปิดเอาไว้อยู่ ด้านข้างบันไดที่มุ่งหน้าไปยังทางเข้ามีประตูอยู่บานหนึ่ง เขาก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเคาะประตู
ข้างในนั้นเงียบสงัด แม้จะลองเงี่ยหูฟังดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่บ่งบอกว่ามีคนอยู่เลย
ไปทำงานแล้วหรือเปล่านะ
ฮันจุนกดโทรออกแล้วแนบหูลงตรงประตู นอกจากเสียงรอสายที่ดังไปเรื่อยๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าหรือเสียงของใครเลย
ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากด้านบน
“ใครน่ะ”
ฮันจุนสะดุ้งโหยงตกใจพลางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นชายชราคนหนึ่งก้มมองลงมาจากบนบันได
“สวัสดีครับ ผมเป็นลูกชายของคุณโกอึนฮาที่อาศัยอยู่ที่นี่ พอดีผมแวะมาหาแม่น่ะครับ”
“หล่อนย้ายออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนั้นหรอกนะ”
ชายชราพูดพึมพำพลางเบ้หน้า คำตอบที่คาดไม่ถึงนั้นทำเอาเขาพูดไม่ออก ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเขาไปชั่วขณะ ในขณะที่ตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออกเพราะความตกใจ ชายชราคนนั้นก็เริ่มเดินขึ้นบันไดกลับไปอีกครั้ง ฮันจุนยื่นมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าพลางรีบเปิดปากพูดขึ้นอย่างร้อนรน
“เอ่อคือ ไม่น่า…จะเป็นแบบนั้นได้นะครับ”
“มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่ก็จริง แต่ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าหล่อนย้ายออกไปแล้ว”
“ย้ายไปเมื่อไหร่เหรอครับ”
“ประมาณสองเดือนได้แล้ว”
สองเดือน?
ไม่ใช่แค่สองวัน แต่เป็นสองเดือนเนี่ยนะ
ทันทีที่รับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่แม่หายตัวไปที่อื่นโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วยังไม่สามารถติดต่อได้ เขาก็รู้สึกราวกับหัวใจร่วงลงมาจนถึงจุดที่ลึกที่สุดในท้อง ในขณะที่หัวใจเต้นระรัวจนเจ็บแปลบ เขาก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ฮันจุนคว้าจับราวบันไดแล้วเอ่ยปากถามชายชรา
“พอจะทราบไหมครับว่าเธอย้ายไปที่ไหน”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกมืดแปดด้าน
ต้องไปแจ้งความคนหายหรือเปล่านะ
เขารู้สึกพะอืดพะอมทันทีที่เกิดความคิดที่ว่าตัวเองคงไร้หนทางที่จะตามหาแม่
มีเหตุผลอะไรถึงได้ย้ายที่อยู่ไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกัน หรือจะย้ายไปเพราะจ่ายค่าเช่าไม่ไหว? หรือว่าไปกู้เงินนอกระบบมาแล้วกำลังหนีหนี้อยู่? แล้วถ้าหากถูกพวกคนเลวจับตัวไปล่ะ
แล้วถ้าหากไม่ใช่เหตุผลพวกนั้น ทำไมถึงยังติดต่อไม่ได้จนถึงตอนนี้
ชายชราพูดกับฮันจุนที่สติหลุดไปอย่างสมบูรณ์แล้วอีกครั้งหนึ่ง
“ฉันเองก็ไม่รู้อะไรหรอกนะ ป้าแกก็กำลังออกไปเดินเล่นสักแป๊บ ลองรอป้าแกดูละกัน ป้าแกเขาคุยกับแม่ของเธอบ่อย”
“คุณป้าเหรอครับ อ๋า หมายถึงภรรยาของคุณลุงใช่ไหมครับ คือว่าขออนุญาตโทรไปหาตอนนี้เลยได้ไหมครับ”
“ไปเดินเล่นแค่ตรงข้างหน้านี้เอง เธอคิดว่าป้าแกจะเอาโทรศัพท์ไปด้วยหรือไง รอไปก่อนละกัน”
ชายชราพูดคำนั้นเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังขึ้นบันไดหายไป ฮันจุนทรุดตัวนั่งอยู่หน้าประตู จากนั้นก็เริ่มไล่อ่านข้อความที่เคยคุยกับแม่มาจนถึงตอนนี้อย่างละเอียดทุกตัวอักษร
‘มหา’ลัยเป็นไงบ้าง
พอจะสอนพิเศษไหวไหมลูก
หาเงินมันเหนื่อยล่ะสิ
กลับถึงห้องปลอดภัยใช่ไหม
วันนี้ลูกกินอะไรไป ของแม่วันนี้เป็นบิบิมบับล่ะ
การใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ลูกแม่
ตอนนี้แม่กำลังออกไปแล้ว
ฝนตกแฮะ’
ข้อความที่มักจะส่งคุยกันหนึ่งครั้งต่อวันสองวันตอนที่เริ่มใช้ชีวิตแยกกันค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้เขาเองก็ยุ่งเอาเสียมากๆ ฮันจุนพยายามเลื่อนหาข้อความที่คุยกันในช่วงนี้ที่แม่บอกว่าจะย้ายห้อง
‘ห้องลูกตอนกลางคืนคงไม่หนาวใช่ไหม อากาศมันชื้นนะ ทำความสะอาดห้องน้ำบ่อยๆ ด้วยล่ะ’
ริมฝีปากเขาค่อยๆ บิดเบี้ยว พอพยายามเกร็งแล้วอดทนเอาไว้ เขาก็เริ่มแสบและร้อนวูบวาบที่จมูกขึ้นมา รอบดวงตาเปียกชุ่มขึ้นทุกครั้งที่เขากะพริบตา ฮันจุนครางเสียงต่ำคล้ายเสียงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
ช่วงฝนชุกสั้นๆ ในช่วงฤดูร้อน แม้อากาศจะชื้นเพราะฝน แต่มันก็ไม่ได้ร้อนมากนัก
สรุปแล้วแม่ส่งข้อความนี้มาจากที่ไหนกันนะ
ฮันจุนหลับตาลงแน่นพร้อมกับหัวใจที่พังทลาย
ฮันจุนเคยได้ยินมาว่าจำนวนผู้คนที่ใช้ชีวิตตามปกติอยู่ดีๆ แล้วล้มหายตายจากไปในโลกใบนี้มีมากกว่าที่คิด
ถ้าหาแม่ไม่เจออยู่แบบนี้ต่อไป เราจะทำยังไงดี เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่บ้าง และก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าการเป็นเจ้าภาพงานศพนั้นต้องจัดการยังไง
ฮันจุนสะบัดศีรษะพยายามตั้งสติ เขาทรุดตัวนั่งอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ดูเหมือนความคิดบ้าๆ จะผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เขาเขยิบตัวนั่งหลังตรง ก่อนจะตบแก้มตัวเองเบาๆ ตอนนั้นเองเขาถึงได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม
หัวใจของเขาพลันเริ่มสั่นไหวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนมา ฮันจุนลุกพรวดขึ้นยืนหน้าประตูห้อง พอคุณป้าที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาเห็นฮันจุนเข้า เธอก็สะดุ้งโหยงตกใจจนผงะถอยหลังไป
“ว้าย!”
“สวัสดีครับ ผมเป็นลูกชายของคุณโกอึนฮาที่อาศัยอยู่ที่นี่ครับ”
ฮันจุนรีบแนะนำตัวเพื่อทำให้เธอไว้ใจ เขาก้มตัวโค้งทักทายพลางบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ ก่อนที่เธอจะลูบหน้าอกปลอบขวัญตัวเองน้อยๆ
“ตายจริง ลูกชายของคุณอึนฮาเองเหรอเนี่ย”
“ครับ ผมซอฮันจุนครับ พอดีเห็นบอกว่าแม่ย้ายออกไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ที่อยู่ใหม่ของแม่เลยน่ะครับ”
“อ๋า แต่ฉันเองก็ไม่รู้ที่อยู่ใหม่ของหล่อนเหมือนกัน เธอลองโทรไปถามมาหรือยังล่ะ”
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เชือกแห่งความหวังเส้นสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ขาดสะบั้นลง กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายนั้นเครียดเกร็งจนรู้สึกเจ็บไปหมด คุณป้าเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดกับเขาที่กำลังกัดริมฝีปากแน่นเพราะรู้สึกคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน
“เธอลองไปร้านอาหารมาหรือยัง”
“จริงสิ ร้านอาหาร คุณป้าพอจะทราบไหมครับว่าร้านอยู่ที่ไหน”
“รู้สิ ร้านโคฮยัง ซนมันดู”
ทำไมถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้กันนะ
ฮันจุนรีบเดินตรงออกมายังหน้าถนนแล้วเสิร์ชหาชื่อร้าน ถ้าเดินออกไปอีกสักสิบนาทีก็จะเจอกับร้านอาหาร เขาไม่รอช้า เริ่มออกตัววิ่งไปทันที