ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-3 ถึง 10-4 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-3 ถึง 10-4 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

Chapter 10-4

 

“คุณโกอึนฮา? ลาออกไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง”

เจ้าของร้านอาหารตอบกลับมา ฮันจุนเดินก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าวแล้วถามต่อเสียงดัง

“ลาออก? เพราะอะไรเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ เห็นมาบอกว่าลาออกแล้วก็ออกไปเลย นอกจากนั้นแล้วฉันจำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรือไง”

คำพูดที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นศัตรูจนออกนอกหน้านั้นดูแปลกๆ ชอบกล ฮันจุนเดินไปขวางเจ้าของร้านอาหารที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์

“ผมเป็นลูกชายเธอครับ ตอนนี้ผมหาแม่ไม่เจอ รบกวนช่วยบอกให้ละเอียดหน่อยได้ไหมครับ”

“ก็บอกว่าไม่รู้ไม่ได้ยินหรือไง ฉันเองก็ต้องค้าขาย เพราะงั้นรบกวนช่วยออกไปด้วย”

เจ้าของร้านอาหารตอบกลับมาอย่างเย็นชาแล้วผลักฮันจุนออกไปข้างนอกทันที พอเขากวาดตามองไปรอบๆ เพราะคำพูดที่บอกว่า ‘ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาขัดขวางการทำงานแบบนี้อีก จะให้ฉันทำยังไงกับเด็กอย่างเธอ’ แล้วก็เห็นสายตามากมายที่เหลือบมองมาที่ตัวเอง ในร้านเต็มไปด้วยลูกค้าที่กำลังกินเกี๊ยวกับก๋วยเตี๋ยวอยู่

เขามาถึงตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ แต่ตอนนี้เวลากลับล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร

ฮันจุนที่ถูกไล่ออกจากร้านมาเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวร้านอยู่พักใหญ่ๆ หลังจากนั้นก็ข้ามถนนเดินเข้าไปในร้านขายโทรศัพท์อย่างใจร้อน เขาถามไปว่าคนในครอบครัวหายตัวไปจะสามารถค้นหาหรือติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์ได้ไหม ก่อนจะเสียเที่ยวออกมาโดยที่ไม่ได้อะไรเลย

แม่ยังคงไม่รับสาย

เขาบุกเข้าไปในร้านอาหารอีกครั้งหนึ่งด้วยความคิดที่ว่าเจ้าของร้านอาหารที่แสดงออกถึงความไม่ชอบใจอย่างเปิดเผยน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ฮันจุนเลือกนั่งลงที่โต๊ะหนึ่งแล้วสั่งเกี๊ยวน้ำหนึ่งชามมากินแทนที่จะไปคุยกับเจ้าของร้านอาหารที่คุยไม่รู้เรื่อง เขาเรียกพนักงานสั่งอาหารมาแล้วในขณะที่กำลังอธิบายสถานการณ์อยู่นั้น เจ้าของร้านอาหารก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นสินะ เดี๋ยวฉันจะเรียกเพื่อนของแม่แกให้ เพราะงั้นออกไป ออกไปรอข้างนอก!”

ถึงจะกำหมัดเอาไว้แน่นแต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งทะเลาะด้วย ฮันจุนออกไปรออยู่ข้างนอกตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ไม่นานนักก็เห็นคุณป้าที่สวมถุงมือปรากฏตัวขึ้นมาจากทางประตูหลัง

“สวัสดีครับ ผมชื่อซอฮันจุนครับ”

“ฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว และฉันจะเล่าให้ฟังอย่างเร็วๆ นะคะเพราะอยู่ได้ไม่นาน”

“…”

“คุณอึนฮา เธอไม่ได้ลาออก แต่ถูกไล่ออกค่ะ มีลูกค้าคนหนึ่งบอกว่ามีเส้นผมอยู่ในอาหารทำให้ร้านวุ่นวายไปหมด มันเป็นเส้นผมยาวบางๆ สีน้ำตาลแล้วเจ้าของร้านก็มั่นใจว่านั่นเป็นผมของคุณอึนฮาก็เลยทะเลาะกันใหญ่โตค่ะ”

บางทีอาจจะไม่ได้หนีเพราะถูกเจ้าหนี้ไล่ล่าก็ได้

ฮันจุนตั้งใจฟังด้วยอารมณ์ที่ยังอ่อนไหว

“แต่ถึงแบบนั้นฉันก็คิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะคุณอึนฮาผมสีดำ แต่ป้าคนอื่นๆ เขาก็ผมสั้นกันหมด จริงๆ แล้วช่วงนี้มีคนที่เอาเส้นผมหรือแมลงใส่ลงไปในอาหารเพื่อกินฟรีอยู่เหมือนกัน คุณเจ้าของร้านที่นี่ช่างอ่อนต่อโลกซะจริง”

“ไม่มีทางรู้เลยจริงๆ เหรอครับว่าแม่ผมไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ผมเป็นห่วงมากๆ เลยเพราะติดต่อไม่ได้น่ะครับ”

“เธอไม่รับสายเหรอ รอเดี๋ยวนะ ที่ที่คุณอึนฮาย้ายไปใหม่…เหมือนจะเคยคุยกันทางข้อความอยู่ แป๊บนึงนะ”

หลังจากเธอเช็กดูมือถือสักพัก ในที่สุดเธอก็บอกชื่อร้านใหม่

‘พัคกาเน แฮจังกุก’

พอลองรีบเสิร์ชหาดูแล้วก็พบว่าร้านนี้จะต้องนั่งรถโดยสารประจำทางไป ฮันจุนวิ่งไปที่ป้ายรถโดยสารประจำทางพลางคิดคำนวณเงินค่ารถที่จะต้องใช้ขึ้นกลับไปยังโซลกับยอดเงินคงเหลืออยู่ภายในหัว

ร้านอาหารแห่งที่สองที่ไปถึงคือร้านแฮจังกุก* ร้านนี้ค่อนข้างเล็กกว่าร้านแรกและตั้งอยู่ริมถนนทำให้มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด มีหลายคนยืนรออยู่ที่หน้าประตูร้าน เพราะเป็นช่วงท้ายๆ ของเวลาพักเที่ยง จึงยังคงเป็นช่วงที่คนแออัดอยู่

แม่จะกำลังทำงานอยู่หรือเปล่านะ

ความหวังอันแสนเลือนรางที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้าแม่หรือเปล่ากับความวิตกกังวลที่ยังคงไม่จางหายไปทำให้ภายในใจรู้สึกร้อนรุ่ม ฮันจุนพยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิดนั้นสงบลง ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในร้าน มันไม่ใช่เรื่องยากในการมองหาเจ้าของร้าน เธอยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์และกำลังยุ่งอยู่กับการคิดเงินบางอย่าง

หลังจากอธิบายสถานการณ์และถามความเป็นไปของแม่ เจ้าของร้านก็ตอบกลับมาโดยที่สายตายังไม่ละไปจากสมุดบันทึก

“ตอนนี้คุณอึนฮาลาพักร้อนไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ค่ะ เห็นเธอบอกว่าจะไปหาลูกชายที่อยู่ที่โซล”

พักร้อน?

ร่างกายที่เกร็งเครียดพลันผ่อนคลายลงในชั่วพริบตาด้วยความโล่งใจ

เฮ้อ โล่งอกไปที สงสัยจะสวนทางกัน งั้นตอนนี้แม่คงอยู่ที่โซลสินะ? ว่าแต่มาหาฉันเนี่ยนะ รู้งี้ไม่น่ารีบร้อนลงมาหาแม่เลย

จะว่าไปแล้วทำไมถึงได้ขอลาพักร้อนไปตั้งหนึ่งอาทิตย์กันนะ หรือว่าไหนๆ แล้วจะไปโซลทั้งทีก็เลยขอลายาวเพื่อไปเจอหน้าเพื่อนด้วย? จริงสิ ยังไงซะการอยู่ที่นี่คนเดียวมันก็คงจะต้องเหงาอยู่แล้วนี่เนอะ ถ้าติดต่อมาก่อนล่วงหน้าก็คงจะไม่สวนทางกันแบบนี้

แต่เดี๋ยวสิ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้หรอก

ไม่ใช่ว่าไม่ติดต่อมา แต่นี่มันติดต่อไม่ได้เลยต่างหาก แถมใช่ว่าจะมาเจอกันแค่วันเดียวแล้วก็กลับ แต่นี่ดันขอลาตั้งหนึ่งอาทิตย์ ดังนั้นถ้าหากวางแผนจะไปโซลทั้งทีก็ควรจะต้องติดต่อมาก่อนหน้านี้สิ ไม่รับสายกันตั้งแต่เมื่อวานเย็นมาจนถึงป่านนี้ อย่างน้อยๆ ก็ควรจะต้องโทรกลับมาหากันบ้าง

เพราะงั้นที่บอกว่าไปโซลเพราะเรามันก็เป็นแค่เพียงข้ออ้าง

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วแม่ทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ

ความกังวลเรื่องใหม่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ จนไม่มีแม้แต่เวลาให้รู้สึกผิดหวัง

สรุปแล้วขอลาหนึ่งอาทิตย์ไปเพื่อทำอะไรกันแน่

ฮันจุนถามออกไปโดยพยายามลืมดวงตาที่ร้อนผ่าวขึ้น

“ไม่ทราบว่าช่วยบอกที่อยู่ให้หน่อยได้ไหมครับ”

“คุณเป็นใครคะ”

ฮันจุนปิดปากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แม่บอกไปว่าจะไปโซลเพื่อไปเจอลูกชาย เขากังวลกลัวว่าแม่อาจจะเดือดร้อนเอาได้หากเจ้าของร้านรู้ว่าแม่โกหก แม้ว่าจะลองเค้นสมองคิดหาข้อแก้ตัวที่จะพูดเพิ่มเติม แต่เขากลับนึกอะไรไม่ออกเลย เจ้าของร้านจึงเอ่ยปากถามฮันจุนที่ไม่สามารถตอบกลับไปได้ในทันที

“คุณคงไม่ใช่คนแปลกๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าคุณอึนฮาไปยืมเงินใครมาหรอกนะคะ”

“ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมเป็นลูกชายของเธอเองครับ”

คำพูดคล้ายจะข่มขู่อย่างไม่ลังเลนั้นทำให้ความคับข้องใจล้นปรี่ขึ้นมาเต็มอกที่กำลังขมขื่น หลังจากเปิดเผยออกไปแล้วฮันจุนก็หารูปแม่ในมือถือเพื่อเปิดให้เจ้าของร้านดู พอเห็นรูปแม่ที่กำลังยิ้มกว้างอย่างสดใสแล้ว เขาก็เผลอร้องไห้ออกมาในที่สุด

หลังจากฮันจุนได้ที่อยู่มาแล้ว เขาก็มายืนอยู่ตรงซอยข้างๆ ร้านอาหารแล้วลองเสิร์ชหาที่อยู่นั้น ถึงมันจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องเปลี่ยนสายรถโดยสารประจำทางอีกหนึ่งครั้ง แม้ว่าในใจจะอยากนั่งแท็กซี่ ทว่าถ้าทำอย่างนั้นก็อาจจะมีเงินไม่พอสำหรับค่ารถบัสในการกลับโซล เขาจึงจำต้องยอมแพ้ไป

เขาเดินไปตามทางอย่างไร้สติแล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางไป จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเปลี่ยนสายขึ้นรถโดยสารประจำทางไปอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่เดินทางไปนั้น ฮันจุนเอาแต่คิดถึงสถานที่ที่แม่ทิ้งร้างมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์

มันคงจะดีถ้าหากแม่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนสักแห่งแล้วใช้ช่วงเวลานั้นในการเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วย เขาจะไม่คาดหวังอะไรอีกเลยหากแม่ไม่รับสายกันเพราะมัวแต่ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อตัวเองโดยที่ไม่ต้องมาคิดมากเรื่องงานหรือเรื่องลูกชาย

ฮันจุนลงจากรถโดยสารประจำทางแล้วเดินไปตามถนน เขามองแผนที่พลางเดินเข้าไปในซอยแล้วเดินลัดเลาะเลี้ยวไปมาจนแทบเวียนศีรษะ เขาเจ็บแปลบๆ ตรงบริเวณฝ่าเท้า ลำคอเองก็แห้งผาก ฮันจุนกลืนน้ำลายหนืดลงลำคอที่แห้งผากหลายต่อหลายครั้งแล้วขยี้ตาอย่างแรงจนรู้สึกแสบบริเวณรอบดวงตา

หลังจากเดินไปตามถนนใหญ่ที่สะอาดสะอ้านได้ไม่นานก็ปรากฏซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปด้านในอีกหน่อยก็เห็นบ้านเก่าๆ ตั้งกระจุกกันอยู่เป็นหย่อมๆ หลังคามุงกระเบื้องและหลังคาสังกะสีที่อยู่ระหว่างบ้านเดี่ยวนั้นสะดุดตาเอามากๆ แม้ว่าฮันจุนจะไม่มีสติพอที่จะจับจ้องตรงไหนนานๆ แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะพลาดอะไรบางอย่างไป เขาจึงพยายามเบิกตากว้างแล้วพินิจมองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า

ป้ายบ้านเลขที่เก่าๆ บ้านที่มีพื้นด้านนอกเป็นสีดำ หน้าต่างที่อยู่ตรงระดับสายตาของฮันจุน มุ้งลวดที่แมลงมาวางไข่ไว้มากมายตามตามุ้งลวด

รอบทิศเงียบสงัดราวกับป่าช้า เนื่องจากเป็นเวลาที่ทุกคนน่าจะออกไปทำงานกันอยู่ จึงทำให้ไร้วี่แววคนอยู่อาศัยราวกับบ้านทุกหลังนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน

ในที่สุดฮันจุนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารพักอาศัยรวม

ตัวอาคารโทรมๆ หลังนั้นมีประตูหนึ่งบานที่เชื่อมต่อไปยังชั้นกึ่งใต้ดิน หากเดินขึ้นบันไดไปก็จะมีประตูอีกหนึ่งบานที่ตั้งอยู่ตรงกลาง และหากเดินขึ้นบันไดไปจนสุดทางก็จะเจอกับประตูอีกบานหนึ่ง รวมทั้งสิ้นมีทั้งหมดสามบาน ฮันจุนยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่อยู่ด้านล่างสุด เขากำมือยกขึ้นมาพลางกัดริมฝีปากแน่น

“แม่”

แม้จะเคาะประตูไปแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงใดดังตอบกลับมา ฮันจุนจึงใส่แรงเคาะประตูเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง

“แม่!”

แม้ว่าจะตะโกนจนคอแทบแตกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครออกมา อย่างน้อยถ้าหากไม่อยู่ห้อง เขาก็ยังอยากยืนยันว่าแม่อาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ ฮันจุนวิ่งขึ้นบันไดไปแล้วเริ่มเคาะประตูห้องคนอื่นที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครอาศัยอยู่หรือเปล่า ทว่าทั้งประตูบานที่สองและประตูบานที่สามกลับไม่มีประตูไหนเปิดออกมาเลย แม้จะกดกริ่ง เคาะแรงๆ หรือตะโกนเสียงดังขนาดไหนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฮันจุนหอบหายใจพลางหยิบมือถือขึ้นมา เพราะเขาเปิดแอพพลิเคชั่นแผนที่ขณะเดินมาตลอดทั้งวันทำให้แบตเตอรี่เหลือเพียงสี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เขาลดความสว่างของหน้าจอลงให้มืดที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกดโทรหาแม่อีกครั้ง

จนกระทั่งแบตเตอรี่หมดลง

ฮันจุนเก็บมือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้มีเพียงเสียงหอบหายใจดังของเขา เขายืนพิงผนังพลางเรียบเรียงความคิดอันยุ่งเหยิงวุ่นวายที่อยู่ภายในหัว

เขาแน่ใจว่าแม่อาศัยอยู่ที่นี่ เพราะนี่เป็นที่อยู่ที่ทางร้านอาหารที่แม่ทำงานในปัจจุบันเป็นคนแจ้งมา ดังนั้นมันจึงไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน อีกทั้งหากย้ายมาที่นี่เมื่อสองเดือนก่อนก็ไม่มีทางที่จะย้ายที่อยู่อีกครั้งภายในระยะเวลาเพียงเท่านั้นได้อย่างแน่นอน ถ้าหากใกล้เวลาเลิกงานแล้วก็คงจะมีใครสักคนปรากฏตัวขึ้นมา บางทีแม่เขาอาจจะมาก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนบ้านหรือเพื่อนของแม่

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเชื่อแบบนั้น

ฮันจุนทรุดตัวนั่งตรงหน้าประตูพลางพิงศีรษะ เขารู้สึกแสบตาอีกทั้งยังอ่อนล้าและหมดแรง โดยที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว เขารู้สึกเหมือนกรดไหลย้อนตีรวนขึ้นมาจากท้องที่ว่างเปล่า เพราะวันนี้เขาขยับร่างกายมาทั้งวันโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะพักตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ ทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปวดร้าวไปหมด ความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดถาโถมใส่ ฮันจุนจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น ก่อนจะหมดสติไป

 

“ว้ายตายแล้ว! ทำไมถึงได้มานอนหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้กันล่ะเนี่ย”

ยังหนุ่มยังแน่นทั้งยังดูปกติดีอยู่แท้ๆ แล้วทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย

ฮันจุนลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแหลมสูง ท่ามกลางสายตาที่พร่ามัว เขามองเห็นคุณป้าผมสั้นดัดลอนกำลังก้มมองเขาอยู่

พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทันทีที่รู้สึกตัวเขาก็ได้สติขึ้นมา ฮันจุนคลำพื้นแล้วรีบพยุงตัวลุกขึ้นจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเวียนศีรษะตาลายจึงยืนพิงผนังแล้วรอให้สายตากลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคุณป้าเป็นห่วงฮันจุนหรือเปล่าถึงได้ยืนรออยู่ข้างๆ จนกระทั่งฮันจุนยืนตัวตรงได้อีกครั้ง

“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ที่นี่คือบ้านของคุณโกอึนฮาใช่ไหมครับ”

“คุณป้าที่ยังดูสาวคนนั้นน่ะเหรอ ถ้าใช่ล่ะก็ นี่บ้านของหล่อนเอง ว่าแต่เธอเป็นใครล่ะเนี่ย”

“ผมเป็นลูกชายเธอเองครับ พอดีว่าผมติดต่อแม่ไม่ได้ แถมแม่ก็ไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหารที่ทำงานแล้วก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วย”

น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามกดน้ำเสียงที่โพล่งพูดออกไปเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ทว่ามันก็ไม่ง่ายเลย แม้จะเป็นเพียงแค่การบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างง่ายๆ แต่มันกลับรู้สึกเหมือนลำคอตีบตันราวกับได้รับแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจอีกครั้งหนึ่ง

คุณป้าจิ๊ปากราวกับกำลังรู้สึกสงสารเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นลูกชาย

“คือ…ฉันรู้แค่ว่าหล่อนไปโรงพยาบาล เห็นบอกว่ามีผ่าตัดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน”

ผ่าตัด

โรงพยาบาล

หัวใจของเขาพลันร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น ฮันจุนเปิดริมฝีปากพูดอย่างกระท่อนกระแท่น

“ผ่าตัดเหรอครับ ผ่าตัดอะไรเหรอครับ”

“เหมือนว่าจะไม่ได้ร้ายแรงอะไรนะ แค่ดูหน้าตาซีดเซียวหน่อยๆ แล้วก็ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่าตัดอะไร ดูเหมือนจะปวดท้อง”

“…”

“แม่ของเธอไม่ค่อยได้บอกอะไรฉันนักหรอก ฉันเองก็เลยไม่ได้ถามเพราะกลัวว่าจะทำให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่ายซะเปล่าๆ ก็เวลามาถามว่าเจ็บป่วยตรงไหน ผ่าตัดอะไร มันทำให้คนเรารู้สึกไม่ดีนี่นา”

“แล้วคุณป้าพอจะทราบไหมครับว่าอยู่โรงพยาบาลไหน”

ฮันจุนถามออกไปพลางพยายามฝืนกลั้นเสียงสะอื้นที่รังแต่จะเล็ดลอดออกมา ดวงตาเขามองแทบไม่เห็นใบหน้าของคุณป้าที่กำลังพยักหน้ารับเพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ

ทันทีที่ได้ยินชื่อโรงพยาบาล เขาก็รีบออกตัววิ่งจนกระทั่งมองเห็นถนนใหญ่ เขาโบกมือเรียกแท็กซี่เหมือนคนบ้า ก่อนจะขึ้นรถแล้วออกเดินทางไป แม้ว่าค่ารถบัสอาจจะไม่พอหากนั่งแท็กซี่ แต่เขาก็ไม่มีสติพอที่จะมานั่งคิดคำนวณอะไรอีกแล้ว

 

ฮันจุนวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วมองไปรอบทิศอย่างรีบร้อน ไม่รู้ว่ามาถึงช้าไปหรืออย่างไร ตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถึงได้ว่างเปล่าไร้ผู้คน พอเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนเตะตาอยู่ เขาก็รีบเข้าไปถามทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะช่วยแจ้งแผนกธุรการให้ เขาวิ่งไปยังแผนกธุรการตรงห้องฉุกเฉินที่อยู่ด้านหลังแล้วตะโกนใส่พนักงานที่สบตากันเป็นคนแรกสุด

“ครอบครัวผมผ่าตัดอยู่ที่นี่ พอจะบอกได้ไหมครับว่าเธออยู่ห้องไหน เธอชื่อโกอึนฮาครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”

“ลูกชายครับ”

“รบกวนขอดูบัตรประชาชนกับใบรับรองความสัมพันธ์ทางครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนหน่อยค่ะ”

“ครับ?”

พอฮันจุนหอบหายใจถี่พลางถามกลับไป พนักงานได้แต่ทำหน้าสับสนงงงวย ฮันจุนรื้อกระเป๋าที่สะพายเอาไว้แล้วหยิบเอามือถือกับกระเป๋าเงินออกมา หยาดน้ำตาไหลอาบลงมาถึงปลายคางยามเขาก้มหน้าลง

“ผมไม่มีใบรับรอง มีแค่บัตรประชาชนครับ…มีรูปที่ถ่ายด้วยกันแล้วก็รู้เบอร์โทรด้วยครับ”

มือถืออยู่ในสภาพแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง “ขอผมชาร์จแบตฯ ที่นี่…” จู่ๆ น้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะลำคอที่ตีบตันก็หยุดชะงักไป ฮันจุนกลั้นน้ำตาแล้วขอร้องอ้อนวอน

“ผมต้องไปทำใบรับรองที่ไหนเหรอครับ ทำที่นี่ตอนนี้เลยไม่ได้เหรอครับ”

“ใบรับรองรบกวนไปทำที่เครื่องออกเอกสารโดยลายนิ้วมือค่ะ”

“ก่อนอื่นผมขอทราบก่อนได้ไหมครับว่าแม่ผมผ่าตัดอะไร”

“เรื่องนั้นทางเราเองก็ไม่ทราบเช่นกันค่ะ”

“ขอผมเข้าไปข้างในเถอะนะครับ แค่ห้านาทีก็ยังดี…นะครับ ผมขอร้อง ได้โปรดเถอะ แค่เห็นว่าแม่ไม่เป็นไรแล้วผมจะออกมาทันทีเลยครับ”

เมื่อเห็นเขาขอร้องอ้อนวอนเรื่อยๆ ไม่ยอมถอย พนักงานจึงโทรไปที่ไหนสักที่ด้วยความลำบากใจ

“ถ้าขึ้นไปตอนนี้สามารถเข้าเยี่ยมได้ไหมคะ ค่ะ…อ๋า ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากที่คุยโทรศัพท์เพียงสั้นๆ เสร็จแล้ว เธอก็มองมาที่ฮันจุนพลางส่ายศีรษะ

“ทางนั้นแจ้งมาว่าตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”

“เดี๋ยวผมจะไปทำใบรับรองมาให้ครับ ผมแค่อยากจะยืนยันเฉยๆ ว่าแม่ปลอดภัยดี”

“ขอโทษนะคะ แต่ว่า…”

“ตอนเช้าเข้าเยี่ยมได้เร็วที่สุดกี่โมงเหรอครับ ยังไงเดี๋ยวผมจะรออยู่ที่นี่จนถึงตอนนั้นก็ได้ครับ”

ฮันจุนกอบเศษหัวใจที่แตกสลายขึ้นมาแล้วถามออกไป หากต้องรอทั้งคืน เขาก็ยอมอดรนทนรอได้ พนักงานมองฮันจุนที่กำลังใช้หลังมือเช็ดถูแก้มอย่างลวกๆ พลางถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ

ฮันจุนเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปออกใบรับรองความสัมพันธ์ทางครอบครัวที่เครื่องออกเอกสารโดยลายนิ้วมือ ก่อนจะทรุดนั่งลงตรงพื้นด้านหน้าห้องธุรการพลางเหม่อมองอากาศที่ว่างเปล่าอย่างไร้จุดหมาย เขาคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่างในระหว่างที่นั่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ มันรู้สึกราวกับความเจ็บปวด ความว้าวุ่น ความร้อนใจ และความรู้สึกสับสนวุ่นวายที่เขาประสบมาทั้งวันตลอดทางที่มาถึงที่แห่งนี้กำลังทำให้เป็นอัมพาตไปชั่วขณะหนึ่ง

ตอนนั้นเองพนักงานก็เดินออกมาเรียกเขา

“ทางเราอนุญาตให้คุณสามารถเข้าพบญาติที่ห้องรับรองได้ครู่หนึ่งค่ะ แต่ว่าคราวหน้าคงไม่ได้แล้วนะคะ”

สมองของเขาพลันว่างเปล่า แม้แต่ตอนที่กำลังนั่งเหม่อลอยรออยู่ตรงโต๊ะในห้องรับรอง เขาก็ยังรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ที่กำลังนั่งรอแม่อยู่ที่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

แม่มาเข้ารับการผ่าตัดอะไรคนเดียวในเขตอื่นกันแน่

สมองที่อ่อนล้านึกอะไรไม่ออกนอกจากคำถามนั้น

ฝ่ามือเขาแสบร้อนไปหมด พอก้มลงดูแล้วเขาก็เพิ่งจะเห็นบาดแผลถลอกเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไปบาดเจ็บมาจากที่ไหนและเมื่อไหร่ ในตอนที่กำลังกะพริบตาพลางคิดว่าตัวเองช่างเหมือนคนโง่อยู่นั้น

“นี่ลูกมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

ในที่สุด…แม่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าเขา

ฮันจุนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จนหน้าอกพองโต แม่หายตัวไปแล้วปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งราวกับมันเป็นเรื่องโกหก หน้าเธอซูบตอบราวกับผี แก้มทั้งสองข้างซีดเผือด ข้อมือที่โผล่พ้นออกมาจากชุดคนไข้นั้นผอมแห้งแลดูน่าสงสาร ฮันจุนไม่ได้เอ่ยเรียกเธอในทันที ทำได้เพียงอ้าปากค้างพะงาบๆ พอได้เห็นแม่ที่ดูแก่ลงไปมากทั้งที่ไม่ได้เจอกันเพียงแค่ไม่กี่เดือนแล้ว กล้ามเนื้อแก้มที่แข็งเกร็งก็พลันกระตุกน้อยๆ

“แม่เจ็บตรงไหน”

เขาเค้นเสียงถามออกไปอย่างยากลำบาก หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงไหลอาบแก้มโดยที่ไม่อาจฝืนกลั้นเอาไว้ได้อีก แม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะกำลังร้องไห้ แต่เขาก็พอดูออกว่าหน้าของแม่ที่เห็นเพียงเลือนรางนั้นต้องกำลังเหยเกบิดเบี้ยวอยู่อย่างแน่นอน เพราะเขาได้ยินเสียงกล้ำกลืนลมหายใจที่สั่นรัว แม่กำลังร้องไห้โดยไม่มีเสียง

ฮันจุนลุกขึ้นเดินโซเซไปหาแม่ กางแขนทั้งสองข้างแล้วสวมกอดเธอไว้แน่น ร่างกายที่ถูกดึงเข้ามากอดอย่างแรงตกอยู่ในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย อุณหภูมิในร่างกายอันแสนอบอุ่นของเธอทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที แม้ว่าจะผอมแห้งไปสักหน่อย แต่แม่ก็ยังมีลมหายใจอยู่และยังคงอบอุ่นเหมือนเคย

“แค่ผ่าตัดไส้ติ่งมา ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตดั้นด้นถ่อมาถึงที่นี่ไปได้”

เขาได้กลิ่นยาขมๆ ปะปนมากับลมหายใจของแม่

เพราะก่อนหน้านี้เอาแต่คิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อได้ยินว่าเป็นแค่การผ่าตัดไส้ติ่ง ความเครียดของเขาก็พลันมลายหายไป ฮันจุนฝังใบหน้าซุกลงตรงไหล่ของเธอ

พวกเขานั่งอยู่เคียงข้างกัน จัดเสื้อผ้าหน้าผมพลางถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ตลอดระยะเวลาที่ถามตอบอยู่นั้น เธอก็คอยลูบปลอบที่แก้มของฮันจุน หากเป็นช่วงเวลาปกติแล้วเขาก็คงจะรู้สึกเขินอาย ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยแม้แต่น้อย

“พอดีแม่ปวดท้องมากจนไม่มีสมาธิดูมือถือเลยปิดเสียงไว้ก่อนเข้าไปผ่าตัด แม่เองก็ลืมไปซะสนิทเลย”

“แม่ก็ควรบอกผมก่อนสิ”

“ก็ตั้งใจไว้ว่าจะบอกหลังผ่า มันก็ไม่ใช่เรื่องรุนแรงอะไร จำเป็นต้องทำให้ลูกเป็นห่วงด้วยหรือไงล่ะ ยังไงลูกก็คงจะมาไม่ได้เพราะต้องไปมหา’ลัยอยู่แล้ว บอกไปก็มีแต่จะทำให้ลูกไม่สบายใจเอาเสียเปล่าๆ ว่าแต่คาบเรียนวันนี้ล่ะ”

“อย่างน้อยเรื่องย้ายห้องก็ควรต้องบอกกันหน่อยสิ!”

“จะที่เก่าที่ใหม่ยังไงก็แค่ย้ายไปที่ที่ใกล้กว่าเดิมเฉยๆ จะต้องให้บอกอะไรด้วยหรือไงล่ะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พอย้ายที่ทำงาน แม่ก็แค่ย้ายตามไปใกล้ๆ เฉยๆ ก็เท่านั้นเอง แล้วทำไมลูกต้องติดต่อมาหาในช่วงเวลาแบบนี้ด้วยนะ”

แม่เค้นเสียงพูดราวกับกำลังรู้สึกเสียใจเอามากๆ ถึงเขาจะเข้าใจว่าเธอพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ว่าเขาเองก็อับจนหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกชอกช้ำใจเช่นกัน ฮันจุนสะอึกสะอื้นพลางพูดออกไปเสียงดัง

“แล้วคำว่าครอบครัวล่ะ เราต้องรู้จักพึ่งพากันในตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้าสิ…”

เสียงฮันจุนขาดห้วงไป มันเป็นคำพูดที่เขารู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เขาลองนึกย้อนกลับไปมองหาสาเหตุของความรู้สึกขัดแย้งในใจตอนนี้ ก่อนจะเบิกตากว้าง

ใบหน้าของใครคนนั้นที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ขนกายเขาลุกชันตั้งแต่แนวกระดูกสันหลังลามไปจนถึงท้ายทอย ฮันจุนเลื่อนมือทั้งสองข้างไปจับไหล่แม่เอาไว้แน่น

“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”

“ตอนนี้? อีกหน่อยก็สามทุ่มแล้วมั้ง”

“แม่ ผมขอยืมมือถือหน่อย มือถือแม่อยู่ไหน”

แม่หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าถือใบเล็กที่ถือออกมาด้วยแล้วยื่นให้ ฮันจุนรีบกดเบอร์โทรหายูแจทันที เพียงชั่วขณะหนึ่งเหงื่อกาฬที่ซึมผุดขึ้นมาก็ทำเอาฝ่ามือเขาเปียกชื้นลื่นไปหมด

ยูแจไม่รับสาย บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รับสายเพราะเป็นเบอร์โทรของแม่เขา ฮันจุนจึงส่งข้อความไปหา ทว่าแม้จะส่งข้อความไปแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาเลยเสิร์ชหาเบอร์โทรของร้านอาหารที่จองเอาไว้แล้วโทรไป กลับไม่มีใครรับสายเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะป่านนี้เลยเวลาปิดร้านไปแล้วหรือเปล่า แม่ที่เฝ้ามองอยู่จึงคอยลูบหลังของฮันจุนที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

“ลูกโอเคไหม ทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“ผมนัดกับยูแจเอาไว้ แต่ผมมัวแต่วุ่นไม่มีสติจนลืมไปซะสนิทเลย”

“ไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็ได้นี่ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยล่ะ เป็นเพื่อนกันนี่ ตอนนี้แม่ต้องกลับเข้าไปแล้ว เดี๋ยวแม่เอากุญแจห้องให้แล้วลูกกลับไปนอนที่ห้องนะ พื้นมันค่อนข้างเย็นหน่อยเพราะงั้นก็เปิดเสื่อไฟฟ้าเอา”

พื้นห้องเย็น

จู่ๆ ก็นึกถึงข้อความที่แม่ส่งมาให้และรับรู้ได้ถึงหัวใจของแม่ที่เป็นห่วงเรื่องการนอนของเขาทั้งที่ตัวเองต้องทนนอนพื้นเย็นเฉียบนั่น

หัวใจของโชยูแจที่คอยถามเรื่องการกินข้าวในแต่ละมื้อของเขาในทุกๆ วันเองก็คงไม่ต่างอะไรไปจากหัวใจของแม่ เขายังจำคำพูดที่ตัวเองตะคอกกลับไปเหมือนกับระเบิดเอาความโกรธออกมาหลังจากอดทนอดกลั้นกับความหงุดหงิดโมโหนั้นได้ดี เขาเพิ่งจะได้ประสบกับความรู้สึกที่ยูแจเคยรู้สึกกับตัวก็หลังจากที่พูดคำว่าให้พึ่งพากันตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้าออกมาจากปากของตัวเอง

จะยังรออยู่ไหมนะในร้านอาหารที่ป่านนี้คงไม่มีใครเข้ามาแล้ว

นายจะรอคนอย่างฉันอยู่ไหม

พอคิดถึงยูแจขึ้นมาได้ ความวิตกกังวลที่ทำให้ทุกข์ทรมานมาตลอดทั้งวันก็ค่อยๆ สลายหายไป เขาเริ่มกลับมาเหม่อลอยเพราะความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะรีบกลับไปเจอหน้าอีกฝ่าย ขณะที่ตั้งใจจะกลับขึ้นไปโซลในทันที สติเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ฮันจุนรีบเสิร์ชหารอบรถบัส มีรถบัสเวลาสามทุ่มครึ่งตรงสถานีเดินรถใกล้ๆ แถวนี้พอดี ในขณะเดียวกันถ้าหากจะนั่งเคทีเอ็กซ์* ไปก็ยังมีรอบสองทุ่มห้าสิบเหลืออยู่ รถบัสใช้เวลาสองชั่วโมง ส่วนเคทีเอ็กซ์ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าจะไปถึงโซล

ถ้าหากนั่งเคทีเอ็กซ์ไปก็จะสามารถกลับไปหายูแจได้ทันในวันครบรอบ

ดูเหมือนว่าเงินที่เหลืออยู่ในบัตรน่าจะพอจ่ายค่ารถบัสได้ ทว่าค่าเคทีเอ็กซ์นั้นแพงกว่ารถบัสถึงสองเท่า

หากจะนั่งเคทีเอ็กซ์ก็ต้องยืมเงินหลายหมื่นวอน ฮันจุนก้มมองรองเท้าผ้าใบของตัวเองพลางกัดริมฝีปากแน่น เขาคิดหนักอยู่สักพัก ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาในที่สุด

“เอ่อ…แม่ครับ”

“หืม?”

“คือผม…”

ฮันจุนกลืนน้ำลายหนืดดังเอื๊อก ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูด แต่เขากลับพูดมันไม่ออก

“ผมมีค่ารถกลับโซลไม่พออะครับ แต่ว่าเดี๋ยวผมก็ใกล้จะได้ค่าสอนพิเศษแล้ว เพราะงั้นผมขอยืมหน่อยสิ”

“โธ่ถัง เงินก็ไม่มีแต่ยังจะวิ่งหน้าตั้งมาถึงนี่เนี่ยนะ”

แม้จะเป็นการตำหนิ แต่น้ำเสียงนั้นกลับอ่อนโยนนุ่มนวล แม่บอกว่ามีเงินสดติดตัวอยู่พอดี ก่อนจะหยิบแบงก์ห้าหมื่นวอนที่ยับยู่ยี่ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วยื่นให้ ทีแรกเขาคิดจะปฏิเสธแล้วบอกว่ามันเยอะเกินไป แต่พอนึกถึงยูแจที่ดูท่าคงจะยังไม่ได้กินข้าวเย็นแน่ๆ แล้ว เขาจึงตัดสินใจรับเงินนั้นมา ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ไว้ได้เงินค่าสอนพิเศษก็ค่อยคืนไปหลายเท่าเอาก็ได้

ฮันจุนรับเงินมาแล้วสบตากับเธอ

“แม่เองถ้าเหนื่อยก็บอกผมนะ ยังไงซะเรื่องแบบนี้บอกกันไว้ก่อนล่วงหน้ามันก็น่าจะดีกว่า”

“รู้แล้วน่า”

หลังจากเห็นรอยยิ้มของแม่แล้ว เขาก็วิ่งออกมาจากโรงพยาบาลทันที

เขาซื้อแบตเตอรี่สำรองจากร้านสะดวกซื้อแล้วขึ้นแท็กซี่ไป ในขณะที่เดินทางไปเพื่อขึ้นเคทีเอ็กซ์ เขาก็ชาร์จแบตเตอรี่มือถือไปพลางเช็กข้อความของยูแจย้อนหลังไปพลาง ชั่วขณะที่เห็นข้อความที่ถูกส่งมาเป็นข้อความสุดท้าย ลมหายใจเขาก็สะดุดขึ้นมา

 

เราไปกินของอร่อยๆ กันเถอะ’

 

หลังจากส่งข้อความนั้นมาตอนประมาณหกโมงเย็นเป็นข้อความสุดท้าย ยูแจก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีกเลย แม้ว่าจะลองโทรไปหาหลายต่อหลายครั้ง แต่ยูแจก็ไม่รับสาย

นายคงต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ โดนเบี้ยวนัดโดยขาดการติดต่อในวันครบรอบ คงจะโกรธมากอยู่แน่ๆ เลย ใครมันจะไปคิดล่ะว่าลงมาแล้วจะเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้

พอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว วันนี้มันมีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด ฮันจุนปิดเปลือกตาที่เห่อบวมลง เขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ หัวเราะจนขนาดที่ว่าช่วงท้ายของเสียงหัวเราะนั้นเริ่มกลายเป็นเสียงหอบเพราะหายใจไม่ทัน

ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ รู้งี้น่าจะบอกไว้ตั้งแต่ตอนที่ออกเดินทางมา จะทำยังไงดีนะถ้าหมอนั่นรออยู่ที่ร้านอาหารคนเดียว

ฮันจุนมองออกไปนอกหน้าต่างมืดสนิทที่สะท้อนใบหน้าของตัวเองพลางย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความรู้สึกตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องเดี่ยวไร้วี่แววของผู้คน ก่อนจะได้ยินเรื่องเหนือความคาดหมายที่บอกว่าแม่ย้ายห้องออกไปแล้วตั้งแต่สองเดือนก่อนซึ่งยังคงตกค้างอยู่ในใจ แต่เหตุผลที่เกิดความรู้สึกตามที่กล่าวมาด้านบนทั้งหมด มันไม่ใช่เพียงเพราะความรู้สึกตกใจราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างเพียงเท่านั้น

ประตูที่ไม่เปิดออก ห้องว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน ข่าวย้ายบ้านที่ไม่คาดฝัน เรื่องราวที่สะเทือนใจ ความกังวล ความไม่สบายใจ ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และความอัดอั้น

มันเป็นเพราะโชยูแจเองก็คงจะเคยประสบกับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นมาแล้วเหมือนกันต่างหาก

เรื่องที่อีกฝ่ายเก็บเอาเรื่องที่เขาย้ายห้องไปโดยไม่บอกกล่าวมาคิดมากในใจนั้น ฮันจุนก็เพิ่งจะได้ยินและรับรู้มันกับตัวก็ตอนที่พวกเขามีปากเสียงกัน เรื่องราวต่างๆ ที่เขาไม่คิดใส่ใจเพราะมัวแต่สนใจแค่ความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้น มันกำลังย้อนคืนกลับมาและทิ่มแทงเข้าที่ส่วนลึกของหัวใจ ดูเหมือนเขาจะทำตัวแย่ๆ กับยูแจไว้เยอะมากจริงๆ

ฮันจุนย้อนกลับไปมองความทรงจำในอดีตซ้ำอีกรอบพลางกำหมัดแน่น

โชยูแจเคยพูดแบบนั้นอยู่ครั้งหนึ่ง

‘ถ้านายชอบฉันจริงๆ นายจะทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอเหรอ’

คำพูดที่เหมือนการกล่าวโทษกันในตอนนั้น มาถึงตอนนี้แล้วมันกลับฟังดูเหมือนเป็นการคร่ำครวญเสียมากกว่า

ฮันจุนหลับตาลง

คิดถึงยูแจจัง

 

*แฮจังกุก หรือซุปแก้อาการเมาค้าง เป็นซุปที่ประกอบด้วยผักและเนื้อสัตว์ในน้ำซุป

* เคทีเอ็กซ์ (Korea Express Train) คือชื่อบริการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของประเทศเกาหลีใต้

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com