ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-5 ถึง 10-6 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-5 ถึง 10-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Chapter 10-5

 

วันนี้มองเห็นชัดจังนะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ยักเห็น

ยูแจฝืนหัวเราะออกมา

คืนวันศุกร์ สนามเด็กเล่นว่างเปล่าร้างผู้คนเพราะเวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะถึงเที่ยงคืนแล้ว ยูแจเอนตัวนอนลงบนสไลเดอร์โดยงอเข่าใช้เท้าเหยียบพื้น พอได้นอนแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เขามองเห็นท้องฟ้าได้ชัดเจนพอดี

เขารู้สึกราวกับสมองไม่แล่นถ้าหากยังเอาแต่จ้องมองมือถืออยู่ในห้องที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ทว่าพอมายังสนามเด็กเล่นที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกันกับซอฮันจุนในหลายๆ วันที่ผ่านมาแล้ว มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าอีกไม่นานหมอนั่นก็จะกลับมาหาเขา และนั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาคิดว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนกว่าจะจัดการกับความคิดของตัวเองได้แล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับห้อง เขาจะต้องรีบวางแผนรับมือ ก่อนที่อีกฝ่ายจะติดต่อกลับมา

ยูแจเริ่มจัดระเบียบความคิดภายในหัวโดยการไล่นับเหตุการณ์ทีละอย่าง

ซอฮันจุนที่ขาดการติดต่อไปตลอดทั้งวันในวันครบรอบ เจ้าตัวเดินทางออกจากโซลไปโดยบอกว่าจะไปเจอแม่แล้วเดี๋ยวจะกลับมา เมื่อไม่นานมานี้แม่ของฮันจุนจำเป็นต้องใช้เงิน จากข้อเท็จจริงสามอย่างนี้ทำให้สามารถสรุปได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่ของฮันจุนอย่างแน่นอน

ความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั้นเท่ากับศูนย์ ปกติแล้วฮันจุนไม่ใช่คนที่ไร้สติไร้ความรับผิดชอบถึงขั้นที่จะไม่โทรมาบอกว่ามาไม่ได้เลยสักครั้ง ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฮันจุนรู้สึกสะเทือนใจมากอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่แม่ของฮันจุนต้องการเงินนั้น…

พอนึกถึงเหตุการณ์มากมายหลายอย่างขึ้นมา หัวใจก็เริ่มเต้นแรงจนรู้สึกอึดอัด เขาจงใจทิ้งมือถือไว้อย่างนั้นแล้วออกมาเพื่อตั้งสติ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยูแจสะบัดศีรษะอย่างหงุดหงิดด้วยต้องการจะสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไป เพราะสิ่งสำคัญมันไม่ใช่เรื่องพวกนั้น

คงไม่คิดที่จะบอกเลิกกันหรอกนะ?

ต่อให้ไม่บอกเลิกกัน แต่ช่วงนี้ซอฮันจุนก็ดูเหนื่อยเอามากๆ ในขณะที่เหนื่อยล้ากับชีวิตปัจจุบันที่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ความรักก็ไม่ได้ช่วยปลอบโยนฮันจุนสักเท่าไร ไม่ว่าจะเดตหรือวันครบรอบ ดูเหมือนเจ้าตัวจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อฝืนทำตัวให้ดูเหมือนสบายดีต่อหน้าเขา และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกราวกับความรู้สึกที่มีให้แก่กันนั้นมันกำลังสึกหรอลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นกับแม่ในช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากพอที่จะทำให้กล่าวโทษตัวเองได้แล้วล่ะก็ ซอฮันจุนก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอที่จะมาใช้สิ้นเปลืองไปกับการมานั่งกังวลคิดว่าจะไปเดตที่ร้านอร่อยๆ ร้านไหน ไปโรงหนังดีไหม หรือไปสวนยออีโดดีหรือเปล่าหรอก

แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางยอมเลิกกับฮันจุนโดยเด็ดขาด เพราะหากตัดสินใจลงไปแล้ว มันก็จะไม่อาจย้อนคืนกลับไปเหมือนก่อนหน้านั้นได้อีก มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่จะยอมแพ้กันและกันได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น ถ้าหากยุติความสัมพันธ์ลงทั้งอย่างนี้ ไม่ว่าทางไหนก็จบไม่สวยทั้งนั้น เพราะพวกเขามาไกลเกินกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในฐานะเพื่อนสนิทได้อีกแล้ว แม้ว่าฮันจุนจะไม่ได้ต้องการหรือไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น แต่เจ้าตัวก็คงจะตีตัวออกหากจากเขาทันทีหากตัดสินใจว่าจะห่างกัน และมันก็คงจะเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเดียวในแบบที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว

หยิบเรื่องพ่อแม่หย่ากันขึ้นมาพูดก่อนก็เข้าท่าเหมือนกันแฮะ แล้วก็บอกไปด้วยว่าเดี๋ยวจะต้องย้ายออกจากห้องแล้ว ยังไงซะหมอนั่นก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นที่จะบอกเลิกกันถ้ารู้เรื่องนั้นหรอก ก่อนอื่นก็ยื้อเวลาเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องพยายามลองทำอะไรสักอย่างดู…

“โชยูแจ”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในสนามเด็กเล่นที่เงียบสงัดราวกับป่าช้า วินาทีเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็ได้หยุดชะงักลง

นี่เราคงหูฝาดไปสินะ?

ยูแจกลั้นหายใจพลางเงี่ยหูฟัง ก่อนจะได้ยินเสียงหอบหายใจถี่ดังอย่างชัดเจนจนไม่อาจคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดได้ น้ำเสียงครางเครือต่ำปะปนไปกับเสียงหอบหายใจ ยูแจพลันลุกพรวดขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ลุกขึ้นยืน เขาก็เห็นซอฮันจุนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง เส้นผมของอีกฝ่ายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั้งใบหน้าและดวงตาเห่อแดงไปหมด เชือกรองเท้าข้างขวาคลายหลุดออก กระเป๋าเป้ห้อยต่องแต่งอยู่แถวต้นขาด้านหลังเพราะสายสะพายกระเป๋าที่หลุดเลื่อนลงมาอยู่ใต้ระดับไหล่ สภาพของอีกฝ่ายดูเหมือนกับคนที่เพิ่งวิ่งมาราธอนมาตลอดทั้งวัน

“นายไม่อยู่ห้อง…ฉันก็เลยคิดว่านายน่าจะอยู่ที่นี่แล้วก็เจอนายจริงๆ”

โล่งอกไปที

ริมฝีปากของซอฮันจุนเบ้ไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้ม ดวงตาที่หยียิ้มอยู่นั้นมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเป็นประกาย เขารู้จักไอ้คนที่ชอบทำเป็นนิ่วหน้ายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แบบนี้ดี

ถึงแม้ว่าควรจะต้องถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าในชั่วขณะนั้นเขากลับพูดอะไรไม่ออก และแล้วซอฮันจุนก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน

“กินข้าวหรือยัง”

ยูแจส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย แถมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหิวข้าว

ฮันจุนหยิบคิมบับสองแถวที่อยู่ในถุงพลาสติกออกมาแล้วยื่นให้ สภาพซอฮันจุนที่มองเห็นจากระยะใกล้นั้นดูย่ำแย่มากๆ ไม่รู้ว่าวิ่งมานานขนาดไหนเส้นผมถึงได้ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงแนบติดไปกับผิวแก้มและหน้าผากแบบนั้น แถมริมฝีปากล่างก็แดงก่ำราวกับเจ้าตัวขบกัดมันอย่างแรง ดูท่าคงไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างหน้า บนแก้มถึงได้มีร่องรอยคราบน้ำตาติดอยู่ ทั้งขนตาเองก็มองไม่ค่อยเห็นเพราะเปลือกตาที่บวมเป่งจนปิดทับลงมา แม้กระทั่งมือที่ยื่นคิมบับมาให้ก็ยังมีรอยบาดแผลเล็กๆ คล้ายไปโดนอะไรขีดข่วนมา

ซอฮันจุนปรากฏตัวขึ้นมาในสภาพที่ดูไม่ได้เลย ยูแจพยายามเค้นเสียงพูดจากลำคอที่ตีบตัน

“คุณแม่ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“อื้อ แค่ผ่าตัดไส้ติ่งน่ะ ถ้าจะให้พูดเรื่องมันก็ยาว…พอดีแม่ฉันหายไปโดยไม่บอกก็เลยวิ่งตามหาทั้งวัน เพราะงั้นเลยไม่ได้ติดต่อไป ขอโทษนะ รอนานมากเลยใช่ไหม”

เขานึกอยากตอบไปตามความเป็นจริงว่ารอมานานมาก เพราะอยากให้ซอฮันจุนที่กำลังรู้สึกผิดนั้นได้หัดใส่ใจกับความเจ็บปวดของเขาบ้าง และอยากให้ใส่ใจมันมากกว่าความเจ็บปวดของตัวเอง แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อเห็นหมอนั่นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าด้วยสภาพที่ย่ำแย่แล้ว เขาก็พูดอะไรไม่ออกเลย

ฮันจุนจับมือยูแจแล้วลากพาไปยังม้านั่ง ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งที่พวกเขามักจะนั่งหยอกล้ออยู่ด้วยกันเป็นประจำ

“ก่อนอื่นเรากินนี่กันก่อนเถอะ ฉันเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย เลยเที่ยงคืนไปแล้วมั้ง”

“ยัง”

“โล่งอกไปที”

ฮันจุนคลี่ยิ้มโดยไม่ยอมสบตาทั้งที่แค่นั่งแกะห่อคิมบับเท่านั้น และทั้งที่มันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรยุ่งยากวุ่นวายเลย ทว่าเจ้าตัวก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการแกะฟอยล์ออกแล้วก็แกะตะเกียบไม้ บริเวณปลายจมูกของคนที่กำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั้นขึ้นสีแดงก่ำ

“รออยู่ที่นั่นตั้งนานไม่ใช่เหรอ สั่งอะไรที่นั่นกินก่อนก็ได้นี่ จะอดข้าวทำไม แล้ววันนี้ทำอะไรบ้างเนี่ย นั่งอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ คงจะโกรธมากเลยสินะ?”

ฮันจุนพูดออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุดปากอย่างไม่สมกับนิสัยของเจ้าตัว ดูท่าเจ้าตัวคงไม่เคยรู้สึกผิดมากขนาดนี้ ภายใต้แสงไฟสีขาวจากเสาไฟยิ่งทำให้คราบน้ำตานั้นชัดขึ้น

หลังจากรอคำตอบอยู่พักหนึ่ง ฮันจุนก็พูดต่อ

“ฉันคิดว่าไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมาเลยไม่ได้เอาที่ชาร์จแบตฯ ไปด้วย แต่พอไปถึงจริงๆ แล้วแม่กลับย้ายห้องไปเมื่อสองเดือนก่อน”

ฮันจุนพูดถึงแค่นั้นแล้วก็ปิดปากเงียบ หากปราดมองเพียงแค่แวบแรกอาจดูเหมือนเขาสงบนิ่ง ทว่าเขากลับกำลังอยู่ไม่สุขโดยการหมุนข้อเท้าข้างหนึ่งบ้าง จิกเล็บลงไปบนรอยแผลบนฝ่ามือบ้าง พอเห็นคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อฝืนกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ ลมหายใจของยูแจก็พลันติดขัดขึ้นมา

“ไม่มีใครรู้ว่าแม่ไปไหน เพราะงั้นก็เลยลองแวะไปร้านอาหารที่แม่ทำงานอยู่ แต่ที่ร้านเขาก็บอกว่าแม่ย้ายไปทำร้านอื่นแล้ว ฉันก็เลยไปที่ร้านนั้นมา แล้วก็ได้แวะไปหาแม่ที่ห้องใหม่ที่ย้ายไปด้วย…คุณป้าเจ้าของที่นั่นบอกว่าแม่อยู่โรงพยาบาล ฉันเลยต้องไปหาแม่ที่โรงพยาบาล ที่แม่ไม่ได้รับสายฉันก็เพราะว่าปวดท้องผ่าตัดไส้ติ่งนี่แหละ”

ดูเหมือนว่าแม่ของฮันจุนจะยืมเงินไปเพราะค่าผ่าตัดกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งแล้วเพราะเรื่องราวจบลงด้วยการผ่าตัดไส้ติ่ง แต่เป็นเพราะแม่ที่จู่ๆ ก็หายตัวไป ซอฮันจุนก็เลยว้าวุ่นใจขึ้นมาจนสติแตก

เขาเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคำพูดที่เจ้าตัวเคยพูดทำนองว่า ‘ความเศร้าของนายล้วนเป็นเหมือนความเศร้าของฉัน’ ยูแจจึงพยายามรวบรวมสติแล้วปลอบฮันจุนอย่างอ่อนโยน

“แค่ไส้ติ่งเอง ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็หาย ไว้อาทิตย์หน้าเราค่อยลงไปเยี่ยมกันอีกครั้งก็ได้”

“อื้อ”

ฮันจุนพยักหน้าทั้งที่ยังทำหน้าบึ้ง ยูแจเลื่อนมือไปสัมผัสแก้มของฮันจุน จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้พลางเช็ดเปลือกตาให้อย่างแผ่วเบา พลันน้ำตาของเจ้าตัวก็ไหลลงมาตามฝ่ามือ

ฝืนไม่ให้ของแบบนี้มันไหลออกมาอยู่สินะ เก่งจริงๆ

แม้ในใจจะอยากพยายามพูดหยอกล้ออะไรออกไปสักคำ ทว่ายูแจกลับพูดอะไรไม่ออก น้ำตานั่นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจกำลังแตกสลาย

ยูแจเก็บคิมบับไปแล้วดึงฮันจุนเข้ามากอด ฮันจุนกอดรัดกายเขาไว้แน่นด้วยแขนทั้งสองข้างราวกับกำลังรอคอยอ้อมกอดนี้จากเขาอยู่

“วันครบรอบแท้ๆ…ขอโทษนะ”

“ช่างมันเถอะ เรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก”

ยูแจถอนหายใจที่เก็บกลั้นมานาน ก่อนจะพูดพึมพำออกมา ทั้งที่เขากำลังเอ่ยปลอบอีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังลังเลคิดหนักว่าควรจะต้องพูดอะไรแบบไหนเพื่อทำให้อีกคนรู้สึกสบายใจ

ฮันจุนหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองเหมือนมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดอีก และในวินาทีที่สบสายตากับหมอนั่นในอ้อมกอด ยูแจก็ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อปรับเปลี่ยนท่านั่ง แม้เจ้าตัวจะได้อิงแอบแนบกายกับอุณหภูมิร่างกายของคนที่รอคอยมาเนิ่นนานด้วยหัวใจที่เย็นยะเยียบ ทว่าภายในใจก็ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวล

ลางสังหรณ์เลวร้ายนั้นไม่เคยผิดพลาด

“สำคัญสิ”

ซอฮันจุนพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งหนักแน่นและชัดเจนพร้อมกับผละหน้าอกที่แนบชิดกันอยู่ออก

ยูแจพยายามเกร็งตัวเพื่อไม่ให้อีกคนผละออกห่าง เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะเลื่อนมือข้างหนึ่งไปโอบหลังฮันจุนและกอดรัดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหลุดปากพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ว่าจะพูดเมื่อได้เจอหน้าฮันจุนออกไปโดยไม่รู้ตัว

“วันนี้ฉัน…”

…ไปหาพ่อกับแม่มา พวกเขาหย่ากันแล้ว และคงจะไม่ได้เจอกันอีก แถมพวกเขายังบอกว่าไม่เคยมีลูกอย่างฉันอีกด้วย

“วันนี้ทำไม”

ฮันจุนถามกลับ ยูแจอ้าปากคล้ายจะพูด แต่สุดท้ายก็ปิดปากลงสนิทอีกครั้ง เขาไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดที่คิดเอาไว้ล่วงหน้านั้นออกไปได้

จะสงสารฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าทิ้งกันเลยนะ

เขาไม่อาจพูดในสิ่งที่ไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่แบบนั้นต่อหน้าซอฮันจุนที่บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาได้

“หืม?”

“เปล่า ไม่มีอะไร นายพูดสิ่งที่อยากพูดต่อเถอะ”

ยูแจส่ายศีรษะก่อนจะค่อยๆ เอนตัวไปทางด้านหลัง พอถอยห่างออกมา เขาก็ได้เห็นใบหน้าของฮันจุนเต็มตา สีหน้านั้นดูสงบเยือกเย็นราวกับจัดการเรียบเรียงความคิดมาเรียบร้อยดีแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะพูดอะไรออกมาก็ตาม มันคงจะไม่ใช่คำพูดที่พูดออกมาอย่างมักง่ายด้วยความโกรธเป็นแน่

หัวใจที่สงบนิ่งยามจ่ายเงินค่าอาหารที่ยังไม่ทันได้กินแล้วออกจากร้านมาเพียงลำพังในตอนนั้นกลับค่อยๆ สลายหายไปเมื่ออยู่ต่อหน้าซอฮันจุนที่กำลังจ้องมองมาที่ตัวเองอย่างไม่สั่นไหว ถึงอย่างนั้นยูแจก็ยังรอคอยอยู่เงียบๆ

ฮันจุนเป่าลมออกมาทางปากเสียงดังพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็รูดซิปเปิดกระเป๋าออกแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมายื่นให้

“นี่”

ยูแจลืมตัวรับกล่องเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือมา มันห่อด้วยกระดาษที่มีประกายคล้ายไข่มุก และมีริบบิ้นสีฟ้าผูกเอาไว้อย่างสวยงาม แม้ว่าจะมีการ์ดกระดาษใบเล็กๆ สอดเอาไว้อยู่ แต่ก็คาดเดาไม่ได้เลยว่ามันคืออะไร ทว่าต่อให้เขาจะไม่รู้ว่าของข้างในนั้นคืออะไร เขาก็พอจะดูออกว่ามันคือของขวัญ

“ของขวัญวันครบรอบร้อยวันไง ฉันนั่งเคทีเอ็กซ์มาเพราะไม่อยากให้เลยเที่ยงคืน”

“…”

“ลองเปิดดูสิ”

ฮันจุนแกล้งหยอกด้วยการกระทุ้งศอกใส่สีข้าง จากนั้นยูแจจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงมองกล่องที่อยู่ในมือแล้วกล้ำกลืนความรู้สึกที่ตีรวนขึ้นมาถึงลำคอลงไป ก่อนจะลองเปิดกล่องออกมา ข้างในนั้นมีลิปบาล์มสีขาวสองแท่ง

ลิปบาล์ม

วินาทีที่เห็นลิปบาล์มนั้น ภาพความทรงจำในวันนั้นก็ผุดขึ้นมา

‘อย่าไปไหนมาไหนด้วยสภาพแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะ แถวนี้มีร้านขายยาไหม ร้านขายยาน่าจะมีของแบบนั้นขายอยู่แหละ ไว้เดี๋ยวแม่ซื้อให้อันนึงก็แล้วกัน’

บางทีซอฮันจุนอาจจะยังจดจำช่วงเวลานั้นได้

“ถึงวันนี้จะไม่ได้ทำตามแพลนที่คิดไว้สักอย่าง แต่ไว้คราวหน้าเรามาสร้างความทรงจำที่สนุกๆ ด้วยกันเถอะ”

ซอฮันจุนเอาไหล่มากระแซะกันก่อนจะพิงลงมา แขนที่โอบรอบเอวกระชับกอดยูแจเอาไว้แน่น ยูแจเหม่อมองกล่องนั้นพลางกัดริมฝีปากแน่น แก้มทั้งสองข้าง รวมถึงบริเวณรอบดวงตาและจมูก ทุกอย่างมันร้อนผ่าวไปหมด

น้ำที่เอ่อคลอรอบดวงตาไหลหยดลงไปบนกล่องนั้น

แม่งเอ๊ย

ยูแจยกหลังมือขึ้นเช็ดถูรอบดวงตาอย่างแรง ซอฮันจุนรู้สึกใจเสียกับน้ำตาที่คลอหน่วยรอบดวงตาและไหลอาบลงมาอย่างน่าสงสารโดยที่เขาทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ

คราวนี้กลับกลายเป็นซอฮันจุนที่เป็นฝ่ายประคองจับคางของยูแจเอาไว้ ก่อนจะใช้ชายแขนเสื้อเช็ดแก้มที่เปียกชุ่มของยูแจอย่างที่ยูแจเคยทำกับเขา

“ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อมาหานะ”

ยูแจเกลียดไอ้คนที่ยิ้มแฉ่งได้ทั้งที่กำลังเป็นฝ่ายขอโทษ เขาเคยคิดว่าจะสั่งน้ำมูกใส่สักทีดีไหม แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะความคิดที่ว่าหากต้องการจะรักกันไปตลอดชีวิต มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเรื่องให้ผิดใจกันบ้าง ยูแจขบกรามพูดออกมาด้วยเสียงลอดไรฟัน

“หิว”

“ฉันเองก็หิวเหมือนกัน นี่น่ะมื้อแรกของฉันเลยนะ”

ทันใดนั้นเองฮันจุนก็มองไปรอบๆ เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะเอื้อมมือไปยังคิมบับที่ยูแจเก็บเอาไว้ ทว่ายูแจกลับคว้ามือนั้นเอาไว้แล้วดึงเข้ามาในอ้อมอก

ยูแจใช้มืออีกข้างหนึ่งประคองใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้แล้วลูบไล้ปลายคางกับหลังใบหูอย่างนุ่มนวล พอใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่บนผิวอุ่นๆ อย่างเลือนราง ฮันจุนก็ค่อยๆ หลับตาพริ้มลง ก่อนที่ยูแจจะประทับริมฝีปากลงไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ลังเล แก้มที่เปียกชื้นแนบชิดกัน จากนั้นก็ค่อยผละออกมา ตลอดช่วงเวลาที่ลมหายใจสอดประสานกันนั้น พวกเขาต่างก็ไม่ยอมปล่อยให้มือที่จับกันไว้คลายออกจากกันเลย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com