everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-7 #นิยายวาย
Chapter 10-7
ฮันจุนนอนหลับไปนานมาก กระทั่งสติเริ่มค่อยๆ กลับมายังร่างกายที่หลับลึกโดยไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย เขาปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ
เขาได้ยินเสียงของใครบางคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขามานอนที่ห้องของโชยูแจ ในขณะที่โชยูแจกำลังขยับตัววุ่นอยู่กับการทำอะไรบางอย่างตั้งแต่เช้า ฮันจุนก็กวาดตามองไปรอบๆ ทั้งที่ศีรษะยังติดอยู่กับหมอนและยังคงสะลึมสะลืออยู่ บนโต๊ะกินข้าวมีถุงพลาสติกใบใหญ่วางไว้อยู่ ส่วนที่พื้นก็มีผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มวางเอาไว้ หลังจากเห็นผ้าห่มนุ่มฟูที่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะเอาไปซักและปั่นแห้งจากข้างนอกมาเรียบร้อยแล้วนั้น ฮันจุนถึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนฟูกที่ถูกถอดผ้าปูที่นอนออกไปหมดแล้ว ส่วนบนกายเขาก็มีแค่เสื้อฮู้ดแบบมีซิปตัวใหญ่สองตัวของยูแจคลุมเอาไว้
หากตื่นขึ้นมาตัวคนเดียวในห้องที่เงียบสงัด เขาก็มักจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทันที แต่พอลืมตาขึ้นมา เขากลับเห็นโชยูแจกำลังขยับตัวทำโน่นทำนี่อย่างขยันขันแข็ง พอเห็นแบบนี้แล้วเขาก็นึกอยากจะนอนอยู่อย่างนี้ต่ออีกสักหน่อย ลมเย็นสบายพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ยูแจเปิดทิ้งเอาไว้ กลิ่นอันแสนคุ้นเคยหอมฟุ้งออกมาจากเสื้อฮู้ดที่ยูแจคลุมเอาไว้ให้ เขาชอบยามเช้าที่ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างสบายๆ แบบนี้ พอรู้สึกสบายใจมากขึ้นแล้ว เขาก็ยิ่งอยากนอนขี้เกียจต่อไปอีกสักหน่อยเพราะร่างกายยังคงรู้สึกอ่อนเพลีย ในระหว่างที่ฮันจุนนอนพักผ่อนอยู่นั้น ยูแจก็เริ่มหยิบภาชนะพลาสติกออกมาจากถุงพลาสติกทีละชิ้นๆ ดูท่าเจ้าตัวจะออกไปซื้อของกินมาเพราะเขาได้กลิ่นบางอย่างที่หอมน่ากิน และในตอนนั้นเองยูแจที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ก็เอ่ยถามขึ้น
“หลับสบายดีไหม”
มันเป็นการพูดที่ดูมั่นใจว่าเขาตื่นแล้ว ทั้งที่ยูแจยังไม่ทันได้หันมามองเขาเลยด้วยซ้ำ ฮันจุนหยัดตัวลุกขึ้นพลางพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าห่มที่ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นกลับมาปูไว้บนเตียงตามเดิมจนได้กลิ่นหอมของผงซักฟอกฟุ้งออกมาจากผืนผ้าห่ม
“ปลุกฉันด้วยสิ แล้วนั่นไปซักผ้ามาคนเดียวเหรอ”
“แค่เอาไปใส่เครื่องซักผ้าก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้ยากอะไรสักหน่อย แล้วร่างกายนายเป็นไงบ้าง”
“ฉันเหรอ ก็ไม่ได้เป็นไรนี่”
เราก็ไม่ได้ป่วยสักหน่อย ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้มาเป็นห่วงเรื่องร่างกายกันเนี่ย
ในขณะที่เหยียดหลังลุกขึ้นพลางตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไร อาการเจ็บปวดแปลบๆ ก็แล่นปราดขึ้นมาทันที
เจ็บจัง
ฮันจุนขมวดคิ้วมุ่นพลางนั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง พอเริ่มรู้สึกตัว เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งเคยมีเซ็กซ์แบบสอดใส่กันไปเพียงไม่กี่ครั้งหรือเปล่า เขาถึงได้ยังไม่ชินกับอาการเจ็บปวดและผลกระทบที่ตามมาแบบนี้ ตอนที่ทำกันครั้งแรกก็เช่นกัน ในตอนนั้นถึงแม้จะปวดหลังในวันถัดมา แต่ว่าวันนี้มันกลับไม่ปวดเพียงแค่ตรงช่องทางนั้น ทว่าเขารู้สึกปวดตั้งแต่ช่วงไหล่ลามไปจนถึงช่วงสะโพกทั้งหมด ต้นเหตุนั่นก็เพราะไอ้คนที่โถมกายทิ้งน้ำหนักลงมาอย่างไม่ออมแรงโดยที่ไม่ได้คิดถึงขนาดร่างกายของตัวเอง
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอารมณ์เสียกับความรู้สึกที่ยังไม่คุ้นเคยนี้ จู่ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ริมฝีปากเขาจึงพลันแห้งขึ้นมา
โชยูแจกำลังจ้องมองมา พอได้สบตากับดวงตาที่เปล่งประกายซุกซนราวกับรู้ทัน ใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ฮันจุนแสร้งกระแอมกระไอแล้วคลำไปทั่วเตียงเพื่อควานหามือถือ ก่อนจะเห็นว่าซึงมินตอบข้อความที่เขาส่งไปหาเมื่อคืนนี้กลับมาแล้ว
“เขาถามมาว่าสัมภาษณ์งานสอนวันนี้สองทุ่มโอเคไหม”
“นัดค่ำจัง นี่มันสุดสัปดาห์แท้ๆ”
“เขาแค่ให้ไปทดสอบสอนดูแค่ยี่สิบนาทีน่ะ”
“สถานีซูซอใช่ไหม งั้นวันนี้เราไปเยี่ยมคุณแม่ก่อนแล้วก็ไปกินข้าวกัน จากนั้นก็ค่อยกลับขึ้นมาแบบไม่ต้องรีบมาก น่าจะกลับมาทันเวลานัดพอดี รีบลุกมาเตรียมตัวเร็ว วันนี้มีเรื่องต้องทำเยอะเลย”
ฮันจุนถูกไล่ลงจากเตียงเพราะยูแจจะจัดผ้าห่มใหม่อีกครั้ง เขาจึงเปลี่ยนที่มานั่งแหมะอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เพราะแรงกดดันทางสายตา
มื้อเช้าเป็นอุด้งร้อนๆ เขาเติมเต็มท้องจนอิ่มด้วยน้ำซุปที่เต็มไปด้วยรสเนื้อวัวกับเส้นอุด้งที่อวบหนา ในระหว่างที่ฮันจุนอาบน้ำ ยูแจก็กดจองรถบัส ฮันจุนรู้สึกขอบคุณโชยูแจที่บอกว่าจะไปเยี่ยมแม่ด้วยกันทั้งที่เจ้าตัวเองก็น่าจะอยากพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์ แถมยังมีการบ้านที่ค้างเอาไว้ต้องทำอีก ฮันจุนรีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วตามที่ยูแจสั่ง เขานึกขำคนที่เร่งเร้าโดยบอกว่าตารางเวลาวันนี้มันผิดแผนไปหมดเพราะจู่ๆ ก็มีนัดสัมภาษณ์งานสอนพิเศษเพิ่มเข้ามา ยูแจสั่งให้เขาเร่งกินข้าวอาบน้ำและทำทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ยูแจทำลงไปนั้นทั้งหมดก็เพื่อให้ตารางชีวิตของพวกเขาตรงกัน
สายน้ำไหลลงมาบนตัวชะล้างความกังวลออกไปจนหมดสิ้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฮันจุนก็เดินไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจก ภาพเขาที่กำลังยิ้มสะท้อนอยู่บนกระจก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ตลอดทั้งวันจะต้องผ่านไปอย่างราบรื่นและสนุกมากแน่ๆ
แต่แล้วสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก็เกิดขึ้นเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จและกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ…ห้องของยูแจนั้นไม่มีเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน
“นี่ ฉันขอแวะกลับห้องก่อนนะ เสื้อที่ใส่เมื่อวานเลอะเหงื่อไปหมด ใส่ต่อไม่ได้แล้ว”
“ออกมาก่อนสิ”
โชยูแจตอบกลับมาราวกับกำลังรออยู่ ฮันจุนเอาผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวไว้ลวกๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ
พอออกมาแล้ว เขาก็เห็นเสื้อผ้าสองสามตัววางอยู่บนเตียง ยูแจกวาดสายตามองฮันจุนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดขึ้น
“พวกเราก็ใส่แต่เสื้อผ้าแบบสบายๆ กันทั้งคู่…เสื้อเชิ้ตที่ดูดีหน่อยตอนนี้ก็มีแต่ตัวนี้ ใส่ตัวนี้ไปก่อนละกัน”
“ให้ฉันใส่เสื้อนาย?”
“เราไม่มีเวลาแวะไปห้องนายแล้ว สะอาดน่า ใส่ๆ ไปก่อนเถอะ”
“ไม่เอาตัวที่นายหวงสิ เอาเสื้ออะไรก็ได้สักตัวพอ”
“เดี๋ยวนายต้องไปสัมภาษณ์งานไม่ใช่หรือไง แต่งตัวให้มันเรียบร้อยหน่อยสิ ไม่ต้องลำบากใจเรื่องนั้นหรอกน่า ไซส์น่าจะพอดีตัวอยู่”
ยูแจเดินเข้ามาใกล้แล้วเอาเสื้อเชิ้ตวางทาบตรงอก กลิ่นน้ำหอมที่เคยดมอยู่บ่อยครั้งลอยฟุ้งออกมาจากเสื้อเชิ้ต
พอเห็นยูแจกำลังพินิจมองมาราวกับกำลังกะคำนวณทางสายตาขณะที่ดึงเสื้อเชิ้ตทาบกับตรงไหล่และเอว ฮันจุนก็นึกถึงตอนสมัยมัธยมปลายที่พวกเขามักจะยืมชุดพละกันใส่ ชุดพละของยูแจมีขนาดพอดีกับตัวเขา แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเสื้อเชิ้ตตัวนี้เองคงจะพอดีกับตัวเขาเช่นกัน แต่ฮันจุนก็เอาแต่เฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ
มือใหญ่กดเสื้อเชิ้ตลงบนหน้าอก ก่อนที่ยูแจจะพูดพลางยกมุมปากขึ้นน้อยๆ
“ลองใส่ดูสิ”
ฮันจุนกำเสื้อเชิ้ตเอาไว้และลังเลอยู่พักหนึ่ง พอคิดว่าจะเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็รู้สึกว่ามันดูเว่อร์มากจนเกินไป แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนมันตรงนี้เลย เขาก็รู้สึกเหมือนว่าผ้าเช็ดตัวมันจะร่วงลงพื้นทันทีที่สอดแขนใส่เข้าไปในเสื้อเชิ้ต เขาจึงละล้าละลังอยู่สักพัก ก่อนจะหันหลังให้
และมันก็เป็นไปอย่างที่คิด ทันทีที่เขาสวมแขนข้างหนึ่งเข้าไปในเสื้อเชิ้ต ผ้าเช็ดตัวก็หลุดร่วงลงไปทันที เขาจึงรีบยัดแขนอีกข้างที่เหลือใส่เข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับรีบติดกระดุม เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ อาจเป็นเพราะเดิมทีแล้วชุดพละเป็นเสื้อผ้าที่เอาไว้ใส่แบบหลวมๆ สบายๆ เลยเผลอคิดไปว่าไซส์ของพวกเขานั้นใกล้เคียงกัน ฮันจุนแอบชำเลืองมองไปด้านหลัง ก่อนจะเห็นว่าโชยูแจกำลังยืนกอดอกจ้องมองมาที่ตัวเขาอยู่
ทันทีที่สบตากัน ยูแจก็คลี่ยิ้มกว้าง ฮันจุนจึงตัดสินใจเปิดปากพูดทันทีทั้งที่ก่อนหน้านี้อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“ฉันไม่มีกางเกงในด้วย”
“มาเลือกไปสักตัวสิ นายชอบสีฟ้าใช่ไหม”
โชยูแจยู่ปากพลางเปิดลิ้นชักด้วยสีหน้าระรื่นดูมีชีวิตชีวา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสนุกที่ได้แกล้งกันหรืออย่างไร และในจังหวะที่เขาเดินเข้าไปใกล้ด้วยหวังจะแกล้งหยอกล้ออีกฝ่ายคืน โชยูแจที่กำลังหันหน้าไปทางลิ้นชักจู่ๆ ก็หันหลังขวับกลับมาโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วคว้าหมับเข้าที่เอวของเขาก่อนจะกระชากเข้าไปกอด
ปลายเท้าฮันจุนลอยขึ้นเล็กน้อยเพราะแรงที่กระชากรวบเอวเขาเข้าไปกอดอย่างแรง จากนั้นยูแจก็โน้มตัวเข้ามาบดเบียดริมฝีปากทันที ฮันจุนคลำไปทั่วกายแกร่งของอีกฝ่ายแล้วกอดเอาไว้แน่นพลางเอียงศีรษะรับจูบ ก่อนที่สองกายที่แนบชิดกันจะล้มลงบนเตียง
แม้ว่าผ้าห่มที่กางเอาไว้จนเรียบตึงจะเกิดรอยยับย่น แต่โชยูแจก็ไม่นึกใส่ใจ คลานเข่าขึ้นมาคร่อมบนตัวฮันจุนเอาไว้แล้วบดเบียดริมฝีปากเข้าหาทันที ฮันจุนสูดลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดลงมาเหนือริมฝีปากของตัวเอง พอเขาดึงต้นคอของยูแจลงมาจนแขนที่ค้ำยันของเจ้าตัวทรุดลง น้ำหนักตัวของอีกฝ่ายก็โถมทับลงมาทั้งหมด ก่อนที่ฮันจุนจะดึงยูแจเข้ามากอดเอาไว้แน่นเต็มอ้อมอกของตัวเอง
“อุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที ดันต้องรีบกลับเอาซะได้”
แม่รู้สึกเสียดายกับการที่พวกเขาลงมาเยี่ยมได้แค่แป๊บเดียว แม้ว่าฮันจุนเองจะรู้สึกเสียดายไม่ต่างกัน แต่ว่ามันก็เป็นช่วงเวลาที่แม่ควรจะต้องพักผ่อน เขาไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้นานเพราะแม่ยังเหนื่อยและเพลียได้ง่ายอยู่ ฮันจุนยิ้มพลางส่ายหน้า เขารู้สึกโล่งใจที่ได้มาคอยเฝ้าอยู่เคียงข้าง แม้จะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที
“ไหนๆ ก็มาแล้วผมเลยว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันแล้วก็กะว่าจะไปเที่ยวเล่นกันด้วยน่ะครับ จองรถบัสกลับไว้รอบห้าโมง”
“รู้งี้เมื่อวานก็น่าจะนอนห้องแม่ก่อนสักคืนแล้วค่อยกลับก็ได้นี่ลูก เมื่อวานตอนกลับขึ้นไปโซลก็มาขอยืมเงินบอกว่าไม่มีค่ารถแล้วก็ตาลีตาเหลือกรีบกลับไป แล้วพอมาวันนี้ก็โผล่มาเยี่ยมกันอีกเนี่ยนะ เสียดายเงินจริงเชียว”
เรื่องที่แม่หยิบยกขึ้นมาพูดอย่างกะทันหันทำเอาฮันจุนต้องเหลือบมองยูแจทันที เรื่องที่ยืมกระทั่งค่ารถแล้วรีบกลับขึ้นโซลไปนั้น ถึงยูแจจะรู้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่อะไร เพียงแค่เขารู้สึกกระดากอายก็เท่านั้นเอง ส่วนทางด้านยูแจก็กำลังยิ้มหน้าระรื่นอยู่ข้างกายเขาที่รู้สึกเขินอาย
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าเด็กนี่น่ะเพิ่งมาหากันเมื่อคืนนี้เอง ป้าบอกแล้วว่าให้นอนที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับไปเพราะมันดึกมากแล้ว แต่เจ้าเด็กนี่บอกว่าจะต้องกลับไปให้ได้เดี๋ยวนี้ ป้าก็เลยนึกว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะมีเรื่องยุ่งอะไรซะอีก แล้วจะมาๆ ไปๆ แบบนี้ให้มันเสียเวลาเปล่าทำไมกันเนี่ย”
“ไม่ได้เสียเวลาเปล่าสักหน่อย”
ฮันจุนบ่นพึมพำเบาๆ ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาไม่ได้กลับขึ้นโซลไปล่ะก็มีหวังโชยูแจคงได้ใช้เวลาอยู่ที่สนามเด็กเล่นคนเดียวจนกระทั่งหมดวันครบรอบเป็นแน่ เขารู้สึกโชคดีที่ได้อยู่เคียงข้างกันในช่วงเวลาที่ยูแจน่าจะกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวมากที่สุด
ฮันจุนนึกว่าโชยูแจจะพูดอะไรออกมาสักคำ แต่กลับกลายเป็นว่ายูแจเปลี่ยนเรื่องคุยไปทันทีโดยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเป็นพิเศษ เจ้าตัวทำเพียงแค่ยกยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องที่สามารถโต้ตอบกันได้อย่างสบายใจ
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นประมาณสามสิบนาที ในที่สุดพวกเขาก็ลุกยืนขึ้น พวกเขาหลีกทางให้แม่กลับเข้าไปพักผ่อนเพราะสีหน้าเธอเริ่มดูเหนื่อยล้า ก่อนจะให้สัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีกคราวหน้า ซึ่งตอนนั้นเวลาก็ปาไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
“เดี๋ยวคุณแม่ก็หายแล้วล่ะ”
ทันทีที่ออกมานอกโรงพยาบาล ยูแจก็เลื่อนมือขึ้นโอบไหล่เขาอย่างแนบแน่น อากาศยังคงแจ่มใสและยังคงได้กลิ่นหอมจากเสื้อเชิ้ต คำพูดที่แสนอ่อนโยนนั้นทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา ฮันจุนเลื่อนแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบเอวยูแจพลางมองดูเจ้าตัวที่กำลังเสิร์ชหาร้านอาหารแถวนี้ ยูแจเลื่อนหาโน่นหานี่อยู่สักพักพลางขมวดคิ้วมุ่น
“จะบอกว่านี่เป็นมื้อเที่ยงมันก็ยังไงๆ อยู่แฮะ”
“ยังไม่ค่อยหิวใช่ไหมล่ะ เมื่อเช้าก็กินอุด้งไป แถมเมื่อกี้ยังซื้อน้ำแก้วใหญ่ตรงสถานีกินคนละแก้วอีก”
“งั้นตอนนี้เราตรงไปที่จุดขึ้นรถบัสกันก่อน ไปเดินเล่นแถวนั้นแล้วค่อยหาอะไรกินเล่นกันดีกว่า เมื่อกี้ฉันลองหาดูแล้ว แถวนั้นมีของขายเยอะมาก น่าจะมีพวกร้านจิวเวลรี่ด้วย”
“ร้านจิวเวลรี่?”
ร้านจิวเวลรี่มันเกี่ยวอะไรด้วย
พอถามออกไปแล้ว เขาก็เพิ่งจะนึกถึงบทสนทนาที่คุยกันไว้เมื่อคืนขึ้นมาได้ เมื่อคืนนี้เขาตอบตกลงเรื่องที่อีกคนชวนทำแหวนคู่ใส่ด้วยกันไป ทีแรกเขานึกว่ามันเป็นคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาเพราะอารมณ์ชั่ววูบหลังจากมีเซ็กซ์กัน แต่ดูท่าอีกฝ่ายน่าจะคิดจริงจัง ยูแจเบิกตากว้างแล้วท้วงถามขึ้นมาทันที
“นี่นายลืมเหรอ พวกเราตกลงกันไม่ใช่หรือไงว่าจะสั่งทำแหวนใส่ด้วยกันอะ”
“ถ้าต้องย้ายออกจากห้อง นายจำเป็นต้องใช้เงินไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องค่ามัดจำน่ะ ฉันได้ค่าขนมทุกเดือน เงินสอนพิเศษเด็กสองคนก็มีเข้ามาตลอด ถึงรวมกันแล้วมันจะยังขาดไปอีกหน่อย แต่เดี๋ยวหารับงานสอนพิเศษเพิ่มเอาก็ได้ ส่วนเรื่องแหวนก็ไม่ได้จำเป็นต้องซื้อของแพง แค่หาแหวนเงินสวยๆ ใส่คู่กันสักคู่ก็พอ ไว้คราวหน้าถ้ามีเงินเหลือค่อยหาซื้อแหวนที่ดีกว่านี้มาใส่ทีหลังก็ได้”
ช่างเป็นการพูดที่วางแผนมาดีเสียจริง ในขณะที่โชยูแจกำลังพูดรัวเร็วก็กดเรียกแท็กซี่ทางมือถือไปด้วย ฮันจุนจึงเขยิบไปกระแซะไหล่ของอีกฝ่ายแล้วถามขึ้น
“เก็บเงินได้เยอะขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็เทอมที่แล้วแทบจะไม่ได้จ่ายค่าข้าวเลยนี่ ค่าห้องฉันก็ไม่ได้เป็นคนจ่าย แถมคราวก่อนที่ฉันโดนพ่อตบมาฉาดหนึ่งตอนนั้น ฉันก็ได้เงินก้อนหนึ่งมาเป็นโบนัสด้วย”
เงินโบนัส? ดูท่าคงจะตบแล้วให้เงินปลอบใจมาสินะ? รู้สึกผิดจนให้เงินมาแบบนี้ จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ
ฮันจุนถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะคว้าจับมือของยูแจเอาไว้
“แล้วนายจะย้ายออกทันทีเลยไหม แล้วนี่ต้องย้ายออกมาเมื่อไหร่”
“ก็ยังไม่ได้กำหนดเอาไว้แน่นอนหรอก ฉันย้ายเข้ามาตอนต้นเดือน เพราะงั้นจะออกก็น่าจะต้องย้ายออกก่อนถึงเดือนหน้านั้นล่ะมั้ง”
“งั้นก็คงต้องรีบหาห้องแล้วอะดิ เดี๋ยวฉันช่วยนายย้ายห้องเอง”
“ว่าจะดูแถวๆ ประตูหลังมออะ ย่านตึกเก่าแถวนี้มันมีตึกที่สะอาดและค่าเช่าไม่แพงเยอะอยู่ ลองเดินไปดูมาแล้วเหมือนว่าจะมีห้องที่กว้างกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย หรือว่าจะย้ายไปอยู่แถวๆ ที่นายอยู่ดีนะ?”
“ถ้าจะทำแบบนั้นก็อยู่ด้วยกันไปเลยเถอะ”
อย่างไรเสียปกติแล้วนอกจากตอนที่ออกไปสอนพิเศษ วันธรรมดาพวกเขาก็ตัวติดกันตลอดและวันสุดสัปดาห์เองก็แวะไปเล่นอยู่ห้องของยูแจบ้างเป็นบางครั้ง เพราะฉะนั้นต่อให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ชีวิตประจำวันก็คงจะไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากเดิมมากนัก ฮันจุนเก็บเอาคำพูดที่พูดออกไปอย่างไม่คิดอะไรมาครุ่นคิดโดยละเอียดดูอีกครั้ง
ถ้าลองเอาค่าเช่าห้องที่แต่ละคนจ่ายมารวมกันแล้ว ดีไม่ดีก็อาจจะเอาไปเช่าห้องแบบสองคนอยู่ด้วยกันได้ มันทั้งน่าสนุกแล้วก็ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
ฮันจุนกระทุ้งสีข้างของยูแจพลางเลิกคิ้วขึ้น
“อยากมาอยู่ด้วยกันไหม”
แววตาของโชยูแจวูบไหวไปชั่วขณะ ฮันจุนหรี่ตามองพลางยกยิ้ม เขารู้สึกอยากจะแกล้งแหย่เจ้าคนที่ทำท่าอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบกลับมา
“หรือว่านายลำบากใจที่ฉันชวนมาอยู่กินด้วยกันทั้งที่เพิ่งจะคบกันมาได้แค่ร้อยวัน?”
“การจะอยู่กินด้วยกันมันต้องคบกันไปสักสามปีก่อนสิถึงจะทำแบบนั้นได้ ไว้ในอนาคตพอเราได้งานทำแล้วค่อยหาบ้านอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี”
“แล้วทำไมตอนนี้เราถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้”
“เพราะมันยังเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องทำความรู้จักซึ่งกันและกันอยู่ไง”
พูดเพ้อเจ้อไร้สาระแบบนั้นอีกแล้ว
ฮันจุนยังไม่มั่นใจเลยว่าคำพูดพวกนั้นเป็นคำพูดที่พูดออกมาเพื่อให้เขาขำหรือเป็นคำพูดที่พูดมาจากใจจริงกันแน่ ฮันจุนจึงหัวเราะขำขันออกมา
“พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้วเหอะ”
“นั่นมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ นี่ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าการรักษาระยะห่างระหว่างกันให้พอเหมาะ มันคือเคล็ดลับของความสัมพันธ์ที่ยืนยาว”
“แต่ตอนนี้ฉันใส่กางเกงในของนายอยู่นะ รักษาระยะห่างประเภทไหนของนายกัน”
พอเขาเชิดหน้าขึ้นพลางเอียงศีรษะจ้องมองกลับไป ยูแจก็ปิดปากเงียบสนิท ฮันจุนจึงหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลง
การล้อเล่นก็คือการล้อเล่น เขารู้ดีว่ายูแจพูดเรื่องนั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน คนที่เอาใจใส่และคอยระมัดระวังในเรื่องแปลกประหลาดแบบนั้นมันช่างน่ารัก ระหว่างนั้นแท็กซี่ก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วและขับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฮันจุนจึงพูดกระซิบเบาๆ ขณะที่บีบมือที่จับเอาไว้อยู่
“การได้นอนด้วยกัน ตื่นเช้าขึ้นมาก็กินข้าวด้วยกัน มันดีมากๆ เลยนะ”
“…นี่นายพูดจริงจังใช่ไหม เรื่องที่จะมาอยู่กับฉันน่ะ”
“แล้วนายไม่คิดว่ามันน่าสนุกเหรอ”
ยูแจมองอากาศที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย ก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดประตูหลังของรถแท็กซี่ที่จอดเทียบอยู่ตรงหน้า ยูแจพูดออกมาหลังจากคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว และเดินขึ้นรถไป
“ถ้างั้นก่อนอื่นไว้จะลองหาห้องที่มีสองห้องนอนก็แล้วกัน”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN