everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1 Chapter 1-3 #นิยายวาย
Chapter 1-3
หลังจากเรื่องในวันนั้นเกิดขึ้นได้ไม่นาน ฮันจุนก็ได้สารภาพรักกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน
เธอชื่อพัคดามี ดามีเป็นคนเงียบๆ และเหมาะกับคำว่าเรียบร้อยมากกว่าคำว่าเก็บตัว เธอมีนิสัยอ่อนโยน รับฟังคำพูดของเพื่อนๆ อย่างจริงใจ และก็มักจะยิ้มพร้อมกับแก้มยุ้ยที่เปื้อนสีแดงระเรื่อเสมอ ถึงเธอจะไม่ใช่คนที่สวยโดดเด่นอะไรขนาดนั้น ทว่าพอได้มองแล้วกลับละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย
ฮันจุนหลงเสน่ห์ความสบายๆ และความชิลของดามี
คำว่า ‘ความชิล’ นั้นไม่ได้หมายถึงท่าทางไม่เร่งรีบที่เห็นได้จากภายนอก แต่มันหมายถึงลักษณะนิสัยที่น่ารักและมองโลกในแง่บวก ซึ่งมันหล่อหลอมมาจากการที่เธอได้เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นและเพียบพร้อม จนความชิลนั้นได้กลายเป็นนิสัยที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิดไปโดยปริยาย ชีวิตเธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมานั่งคิดคำนวณทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองเพราะไม่เคยมีอะไรขาด สามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ใจต้องการในทุกๆ เรื่องและไม่เคยต้องอายใคร เพราะไม่มีคนมาคอยเวทนาและพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ฮันจุนรู้ดีว่าทุกสิ่งที่หล่อหลอมเธอมานั้นมันไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
เวลามีความคืบหน้าอะไรใหม่ๆ ฮันจุนก็มักจะเอามาบอกยูแจอยู่เสมอ ซึ่งยูแจก็แสดงท่าทียินดี และถามนู่นถามนี่เพื่อแหย่เขาเล่น
“สารภาพรักแล้วเธอบอกว่าไง”
“เธอบอกว่าตกใจเพราะไม่คิดว่าฉันจะสารภาพรักกับเธอน่ะ”
“แล้วพอเธอเห็นนายบอกชอบ เธอดูสนใจนายบ้างไหมล่ะ”
“ก็คงจะสนใจอยู่บ้างล่ะมั้ง”
ฮันจุนรู้ตัวดีว่าตัวเขาเองค่อนข้างเป็นที่นิยมในโรงเรียน แม้ว่าปกติแล้วจะไม่ได้คุยกับดามีบ่อยๆ แต่เขาก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ดามีจะรับรัก หากเขาสารภาพรักออกไป เพื่อนๆ ในห้องต่างก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขากับดามีคบกัน เพราะกลุ่มเพื่อนของพวกเขาก็อยู่กันคนละกลุ่ม นิสัยเองก็แตกต่างกันคนละขั้ว ระหว่างพวกเขาไม่มีจุดไหนที่พอจะมาบรรจบกันได้เลย ถึงอย่างนั้นสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคบกันได้อยู่ดี ทว่าฮันจุนเองก็มีเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่เคยแสดงออกว่าชอบเธอ
“เป็นคนแบบไหน”
“ก็เป็นคนเรียบร้อยแล้วก็ใจดี”
“นายชอบคนเรียบร้อย? ต่างจากตัวนายชะมัด”
“จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเป็นคนง่ายๆ สบายๆ จะดีกว่า”
“พวกบ้านมีฐานะล่ะสิ”
ฮันจุนขมวดคิ้วน้อยๆ กับคำถามที่คาดไม่ถึง เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบในจังหวะเดียวกันกับที่ยูแจพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“คนมีเงินมันก็ชิลได้อยู่แล้วสิ”
“ฉันไม่ได้คบกับเธอเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย”
“งั้นนายคบกับเธอเพราะอะไรกันล่ะ เธอทั้งรวย ทั้งนิสัยดี ฉันเองยังอยากคบด้วยเลย”
“…”
“ฉันไม่หาว่านายหน้าเงินหรอกน่า”
ยูแจพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเงียบไป ฮันจุนรู้สึกสับสนกับคำพูดของอีกฝ่าย จู่ๆ คำถามที่ว่า ‘ความรู้สึกดีที่มีให้เธอนั้นคงจะไม่ใช่ความปรารถนาเบื้องลึกที่อยากมีอยากได้แบบเธอหรอกนะ?’ ก็ผุดขึ้นมาในหัวและยังคงลอยวนเวียนอยู่อย่างนั้นยากที่จะสลัดออก
และแล้วหลังจากวันนั้นไม่นานฮันจุนก็ได้พบกับคำตอบของคำถามที่เขาสงสัย ในวันที่พ่อและแม่ของดามีชวนไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ฮันจุนแทบจะพลิกตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีที่สุดออกมาใส่ เขาไม่ได้บอกแม่เรื่องแฟนเลยไม่ได้รับเงินสำหรับซื้อของขวัญไปให้ครอบครัวของเธอ เขาคิดว่าพ่อแม่ของดามีเองก็คงจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากเขาที่เป็นเพียงแค่เด็กมัธยมต้นธรรมดาๆ เขาจึงเตรียมคำพูดทักทายตามมารยาทไปแทน
ดามีอาศัยอยู่ในย่านหมู่บ้านจัดสรรที่มีเนื้อที่กว้างขวางและมีต้นซากุระยืนต้นเรียงรายกันอยู่เป็นแถวเต็มทั้งสองข้างทาง บ้านทุกหลังต่างก็มีพื้นที่ใช้สอยมากพอที่ผู้อยู่อาศัยจะใช้จอดรถและยังมีพื้นที่สวนสำหรับปลูกต้นไม้อีกด้วย ฮันจุนเดินไปบนถนนลาดยางมะตอยสีดำที่ถูกถมไว้อย่างประณีตจนมาถึงหน้าบ้านของดามีในที่สุด
พ่อแม่ของดามีออกมาต้อนรับเขาด้วยความยินดี
“เข้ามาก่อนสิ คงจะหิวแล้วสิท่า”
“สวัสดีครับ ขอบคุณที่เชิญผมมานะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมมามือเปล่าแบบนี้”
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า”
พวกเขาเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้วขณะรอฮันจุนมาถึง บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหาร เป็ดผัดเห็ดหอม ริคอตต้าชีสสลัด รวมถึงเครื่องเคียงมากมายหลากหลายชนิด ฮันจุนถูกพาไปยังโต๊ะอาหารทันที ดามีอยู่ในชุดเดรสสีครามและคาดที่คาดผมสีเดียวกันให้ความรู้สึกแปลกตาไปจากตอนที่สวมเครื่องแบบนักเรียนอย่างสิ้นเชิง
ฮันจุนค่อยๆ กินข้าวอย่างเชื่องช้าเพื่อกะจังหวะให้เข้ากับทุกคน ในระหว่างนั้นบทสนทนาที่ดูราบรื่นก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
“ดามีของแม่น่ะทั้งขี้อายแถมยังเข้ากับคนยาก รู้ไหมว่าพวกเราตกใจมากขนาดไหนตอนดามีบอกว่ากำลังคบกับหนุ่มฮอตของโรงเรียน เห็นดามีบอกว่าเธอเป็นคนดัง พวกเราก็เลยสงสัยขึ้นมา ดูจากหน้าตาแล้วก็เห็นจะเป็นอย่างนั้น เนื้อตัวรึก็ดูสะอาดสะอ้าน”
“แม่ พูดเรื่องแบบนั้นทำไมเล่า”
“ทำไมล่ะ แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีสักหน่อย เห็นลูกยังเล่าให้แม่ฟังอยู่เลยว่าที่โรงเรียนมีแต่คนอิจฉา”
ใบหน้าของดามีขึ้นสีแดงระเรื่อ ฮันจุนไม่ได้สนใจเรื่องอะไรแบบนั้นสักเท่าไร ถึงมันจะเกินความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่เขาก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ
คำถามที่ถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่ทำงานอะไร สอบได้คะแนนเท่าไร เรียนพิเศษอยู่หรือเปล่า พ่อแม่ของดามีไม่เคยถามคำถามพวกนั้นที่เขามักจะได้รับทุกครั้งเวลาไปเล่นที่บ้านของเพื่อนคนอื่นเลยสักคำ ดูเหมือนพวกเขาจะพอรู้อยู่แล้วว่าเขารูปร่างหน้าตาดี ทั้งยังเรียนเก่ง มีเพียงฐานะเท่านั้นที่ยากจน เพราะอย่างนั้นมันเลยพอจะทำให้พวกเขามองข้ามคำถามพวกนั้นไปได้บ้าง แต่กระนั้นฮันจุนก็ยังรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาไม่ถามคำถามอะไรเลย แม้แต่คำถามทั่วไปที่ใครๆ ก็ถามกัน
ความมั่งคั่งและเพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ หากมีสิ่งเหล่านี้ก็คงจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากบรรทัดฐานทางสังคมนี้ได้อย่างนั้นสินะ ชีวิตที่ไม่ว่าจะช่วงวัยไหนก็ไม่เคยที่จะมีริ้วรอยแห่งความยากลำบากในชีวิตเลยแม้แต่สักนิด ชีวิตที่นอกจากปัญหาทางปัจจัยภายใน เช่น ความรัก ความเครียด และกำลังใจแล้วก็สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ด้วยเงิน
ถ้าได้มีชีวิตที่มีอิสรภาพแบบนั้นบ้าง มันจะรู้สึกอย่างไรกันนะ…
“ผมเพิ่งเห็นว่าข้างนอกมีต้นซากุระอยู่ด้วย ถ้าบานเมื่อไหร่คงจะสวยน่าดูเลยนะครับ”
ฮันจุนเอ่ยถึงภาพของต้นซากุระที่เขารู้สึกประทับใจ แม่ของดามีคลี่ยิ้มหวานก่อนตอบกลับ
“เห็นด้วยเหรอจ๊ะ นึกว่าเด็กสมัยนี้จะไม่สนใจต้นไม้ดอกไม้แล้วเสียอีก เวลาดอกซากุระบาน คนในหมู่บ้านแถวนี้ก็จะพากันมาจัดงานเทศกาลเล็กๆ สังสรรค์เฮฮากันที่นี่แหละจ้ะ”
“หมู่บ้านฝั่งนั้นเขากำลังมีแผนรื้อพื้นที่พัฒนาใหม่ไม่ใช่เหรอ พื้นที่ตรงนั้นถ้าถูกรื้อทำใหม่ก็คงจะกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่เลยล่ะ”
ฮันจุนตาโตขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อของดามีพูด
หมู่บ้านฝั่งนั้น…
ฮันจุนครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตระหนักได้ว่าที่พวกเขาไม่ถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหนนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สนใจหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาแค่รู้ดีอยู่แล้วก็เท่านั้น
“ขากลับเดี๋ยวแม่ห่อเป็ดผัดเห็ดหอมไปให้เอาไหมจ๊ะ ทานซะเยอะเชียว แล้วพวกเครื่องเคียงล่ะจ๊ะถูกปากไหม กิมจิหัวไช้เท้าที่แม่ทำไว้คราวนี้เหลือเยอะเลย ถ้าไม่ว่าอะไรพ่อหนุ่มก็แบ่งกลับบ้านไปสิจ๊ะ”
ในระหว่างที่เขากำลังลังเล ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี แม่ของดามีที่เฝ้ามองดูฮันจุนอย่างเอาใจใส่ก็แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้ออย่างเหลือล้น และในขณะที่เขากำลังจะบอกว่าขอบคุณแต่ไม่เป็นไร คิ้วของดามีก็พลันขมวดมุ่นเข้าหากันพร้อมกับตะเกียบในมือที่ชะงักนิ่ง
“แม่คะ จะห่อของแบบนั้นให้ฮันจุนเนี่ยนะคะ?”
แม้ว่าดามีจะยังคงยิ้มอยู่ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา ใบหูของเธอแดงก่ำราวกับว่ากำลังรู้สึกอับอาย
ท่าทีของเธอนั้นดูไม่ชิลอย่างที่เคยเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แม่ของดามีฝืนยิ้มแหยๆ หวังช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ก่อนที่เธอจะพูดออกมาด้วยสีหน้าราวกับกำลังทำตัวไม่ถูก
“นั่นสิเนอะ แม่ก็ลืมไปว่าฮันจุนเขาคงจะได้กินเครื่องเคียงอร่อยๆ ทุกวันอยู่แล้ว แม่ของเธอคงจะทำเครื่องเคียงอร่อยใช่ไหมจ๊ะ”
ฮันจุนกะพริบตาปริบๆ พลางคิดว่าแม้แต่เรื่องที่แม่ของเขาขายเครื่องเคียงอยู่ที่ตลาด ดูท่าพ่อและแม่ของดามีก็คงจะรู้อยู่แล้วเหมือนกัน
เขาหลบสายตาของดามี ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
“ครับ แต่อาหารที่คุณน้าเตรียมไว้ให้วันนี้ก็อร่อยมากๆ เลยครับ ขอบคุณที่เชิญผมมานะครับ”
แม่ของดามีโบกมือปฏิเสธอย่างถ่อมตน ก่อนจะดันเครื่องเคียงทั้งหมดไปไว้ตรงหน้าฮันจุน พ่อของดามีเองก็ช่วยสร้างบรรยากาศด้วยการพูดจาหยอกเล่นว่าถ้าให้ของฝากเป็นเครื่องเคียงคงจะไม่ว่าอะไรกันหรอกใช่ไหม ไม่รู้ว่าพ่อของดามีกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ เขาก็ถามไซส์รองเท้าของฮันจุนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วก็ลุกพรวดเดินออกไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษ เขาบอกว่ามันเป็นรองเท้าผ้าใบที่ได้เป็นของขวัญมา แต่ไซส์มันเล็กไปหน่อยเลยใส่ไม่ได้ ทั้งยังบอกต่ออีกว่าถ้าเขามีลูกชายก็คงจะยกให้ลูกชายไปแล้ว
ฮันจุนยังคงฝืนตอบกลับไปอย่างมีมารยาท ในตอนที่กำลังจะขอตัวกลับบ้าน พอลองคิดถึงบทสนทนาของพวกเขาและดามียามที่เขาไม่อยู่ตรงนี้แล้ว หัวใจของเขาก็พลันรู้สึกเย็นยะเยียบขึ้นมา
“ผมลาแล้วนะครับ”
หลังจากมื้ออาหารสิ้นสุดลง เขาก็ไม่รีรออยู่ที่บ้านหลังนั้นนานนัก เขารู้สึกว่าถุงช็อปปิ้งที่เขายอมรับมันมาถือไว้ในมือนั้นช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน ในระหว่างที่เดินไปส่งฮันจุนที่หน้าประตูบ้านนั้น พ่อของดามีจ้องมองรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ของฮันจุนอยู่พักใหญ่ด้วยสายตาวูบไหวราวกับว่าไม่อาจทนดูสภาพของมันได้
“ฮัลโหล”
“ซอฮันจุน”
หลังจากที่ฮันจุนบอกเลิกดามี เขาต้องคอยปลอบใจเธอที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกลับมาถึงห้องด้วยสภาพที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง วินาทีที่เขาทิ้งตัวลงกับพื้น ยูแจก็โทรมาหาเขาทันทีราวกับมีตาทิพย์หูทิพย์ ฮันจุนครางเสียงแผ่วพลางยกมือถือขึ้นแนบหู
“โทรมาทำไม”
“อยากมาห้องฉันไหม วันนี้ไม่มีใครอยู่”
“เสาร์อาทิตย์แต่ไม่มีใครอยู่เนี่ยนะ”
“จะมาหรือไม่มา?”
ยูแจทำเป็นบ่นใส่เขา เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาไม่ได้ไปที่สนามเด็กเล่นตั้งสองวัน ถึงแม้ว่าเขาจะไปไม่ได้เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานค้างที่ต้องสะสาง แต่ยูแจกลับโทษว่าเป็นเพราะดามี ฮันจุนรู้สึกงงงวยเล็กน้อยเพราะในช่วงเวลาอันแสนสั้นที่เขาคบกับเธอนั้น นอกจากครั้งก่อนแล้ว ยูแจก็ไม่เคยพูดถึงชื่อดามีก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว บางครั้งที่เขาบ่นเกี่ยวกับพ่อแม่หรือบอกเล่าเรื่องต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้ฟัง ยูแจก็มักจะทำเป็นพูดจาติดตลกและแสร้งทำเป็นว่าไม่คิดอะไร และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นยูแจพูดแบบนั้นโดยที่ไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย
ฮันจุนลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา
“วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ”
“ไปเจอพัคดามีมาไม่ใช่หรือไง”
“ฉันเคยบอกนายว่าฉันไปหาเธอด้วยเหรอ”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แค่นี้แหละ”
ยูแจตัดสายทิ้งไปก่อนที่ฮันจุนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะงอนเขาไปแล้ว
พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน แถมบ้านตัวเองก็อยู่ไม่ไกล อยากมาเจอหน้ากันก็มาได้นี่
ฮันจุนลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นเดินออกจากห้องไปตัวเปล่าโดยที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเดินมาถึงซอยที่คุ้นเคย ก่อนจะหยุดยืนที่หน้าห้องห้องหนึ่ง เขาแอบมองลอดเข้าไปด้านในผ่านหน้าต่างบานเล็กที่อยู่บนกำแพงสีซีดเขรอะ ทว่าก็มองไม่ค่อยเห็นอะไร
“โชยูแจ!”
หลังจากฮันจุนตะโกนเรียกได้ไม่นานนัก ยูแจก็เปิดประตูห้องพร้อมกับยื่นศีรษะออกมา เขาสวมเสื้อผ้าสบายๆ ที่เหมาะกับวันหยุด แม้เขาจะสวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น แต่เขาก็ยังดูดีด้วยโครงหน้าคมชัดและขาอันเรียวยาว เขาดูผอมลงและตัวสูงใหญ่ขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ยูแจแกล้งถามฮันจุนอย่างกวนประสาท
“นี่ใครเหรอครับ”
“นายจะสูงไปไหนเนี่ย”
“แต่งตัวมาซะดูดีเชียวนะ คนมีแฟนเขาก็คงแต่งตัวดีแบบนี้เป็นธรรมดาแหละเนอะ นายอยากไปทำอะไรที่ไหนกับยัยนั่นก็ไปเถอะ”
“ฉันเลิกกับดามีแล้ว”
ฮันจุนพูดออกไปอย่างไม่ลังเล เขาเดินผ่านตัวยูแจที่กำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยินแล้วเดินลงบันไดไปจนถึงทางเข้าตัวห้อง ยูแจที่เดินตามหลังมาอย่างรวดเร็วหรี่ตาลงพลางจ้องมองมาที่เขา ฮันจุนจึงชิงพูดตัดหน้า
“ฉันไม่รู้ แล้วก็ไม่ต้องมาถามด้วย”
“ไม่ได้สงสัยอะไรสักหน่อย ก็พอจะเห็นๆ กันอยู่”
“เห็นอะไรมิทราบ”
“พอไปบ้านยัยนั่นปุ๊บก็ได้เลิกกันเลย มันก็ชัดอยู่แล้วว่าเลิกกันเพราะครอบครัวยัยนั่นไม่ใช่หรือไง”
“…”
“มีตั้งหลายคู่ที่เลิกกันเพราะพ่อแม่ พวกผู้ใหญ่ที่ต้องถอนหมั้นเลิกรากันไปหลังจากได้ไปเจอครอบครัวก็มีถมเถไป”
“เฮ้อ…”
“ฉันเองยังอยากรีบโตแล้วแยกย้ายไปอยู่คนเดียวไวๆ เลย เพราะพวกเขาโคตรจะไม่ใช่พ่อแม่ในอุดมคติเลย”
ฮันจุนหลุดขำออกมากับคำพูดเหลวไหลนั่น ก่อนจะขมวดคิ้วหันมามองยูแจแล้วก็พากันหัวเราะ พวกเขาต่างหัวเราะกันจนน้ำตาไหลกับคำพูดอันไร้เดียงสาเพียงประโยคเดียวนั้น
หลังจากหัวเราะจนท้องแข็ง ร่างกายก็พลันหมดเรี่ยวหมดแรง ฮันจุนทิ้งตัวลงบนฟูกหลังเก่าของยูแจที่ปูอยู่มุมห้อง ก่อนที่ยูแจจะเอนตัวนอนลงข้างๆ ตามพลางบ่นพึมพำ
“นายนี่มันพวกมือไวใจไว ทำอะไรก่อนคิดจริงๆ เลย”
“แล้วมันไม่ดีหรือไง”
“แต่เรื่องการมีแฟนมันก็ต้องคิดให้ดีก่อนดิ มีอย่างที่ไหนพอรู้สึกดีด้วยหน่อยก็ไปบอกรักแล้วคบกันเลยน่ะ แถมยังเป็นเด็กห้องเดียวกันอีกเนี่ยนะ”
“อีกเดี๋ยวก็ขึ้นปีสามแล้วน่า”
“แล้วถ้าอยู่ห้องเดียวกันอีกจะทำยังไง เดี๋ยวก็ได้เป็นขี้ปากคนหรอก”
“ก็ไม่ได้เลิกกันไม่ดีสักหน่อย”
“นั่นมันเป็นแค่มุมมองของฝั่งนายต่างหาก”
ภาพของดามีที่ร้องไห้จนตาแดงก่อนจะเดินจากไปลอยขึ้นมาในหัว เธอพร่ำขอโทษเขาโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองผิดอะไร ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แน่นอนว่าพ่อแม่ของเธอเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันคงเป็นความผิดของเขาที่คิดเองเออเอง และสุดท้ายก็ผิดหวังเอง
จะรู้สึกดีขึ้นไหมนะ…หากได้สารภาพความผิดนี้ออกไป
โชยูแจเป็นคนที่คอยช่วยบรรเทาความทุกข์ใจให้เขาเสมอ ฮันจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายปริปากพูดขึ้นก่อน
“แม่ฉันบอกว่าช่วงนี้ขายไม่ค่อยดี ฉันก็เลยรู้สึกผิดแล้วก็รู้สึกแย่ แต่พอได้มองดามี ฉันก็ลืมทุกอย่างไปหมดเลย เพราะเธอดูไม่เคยเครียดกับเรื่องอะไรในชีวิต ราวกับว่าเธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจปัญหาอะไรพวกนั้น”
“มีนักเรียนคนไหนในเกาหลีใต้ไม่เครียดด้วยหรือไง โชคดีจังนะ นายพูดอย่างกับยัยนั่นไม่ต้องเรียนหนังสือเลย”
ฮันจุนใช้ข้อศอกกระทุ้งใส่สีข้างของอีกฝ่าย ยูแจแสร้งทำเป็นโอดโอยกลิ้งตัวไปมา ก่อนจะค่อยๆ กระเถิบตัวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันนุ่มทุ้ม
“นี่คือสาเหตุที่ทำให้นายรู้สึกแย่สินะ”
“เพราะงั้นเวลาที่ได้อยู่กับเธอ ฉันถึงได้ลืมความเครียดเรื่องพวกนั้นไปจนหมด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ฉันลืมเรื่องพวกนั้นไปได้จริงๆ แต่แล้ววันหนึ่งฉันและเธอก็ได้รู้…ว่าเราต่างก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวต่อกันอีกแล้ว”
“แล้วบอกเธอไปว่าอะไรถึงได้เลิกกัน”
“อยากโฟกัสเรื่องเรียน”
“นายนี่มันซื่อบื้อชะมัด”
“งั้นเหรอ”
“คอยดูเลย วันจันทร์เปิดเรียนมา นายได้โดนชาวบ้านเขาตราหน้าว่าเป็นไอ้ผู้ชายเฮงซวยแน่”
ฮันจุนลอบเลียริมฝีปากด้วยความรู้สึกขมขื่น แม้เขาจะคิดว่าคงไม่มีใครพูดกันต่อๆ ไปถึงเรื่องของเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ถึงเขากับดามีจะไม่ได้มีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ทว่าสุดท้ายเพื่อนคนอื่นๆ ก็คงจะรู้เรื่องอยู่ดี อย่างไรเสียเพื่อนคนอื่นๆ รอบตัวก็เป็นพวกชอบพูดคุยกันเอะอะเสียงดังอยู่แล้ว และดามีเองก็คงจะเจ็บปวดไม่น้อย หากมีใครนินทาว่าคบกับแฟนได้ไม่นานก็เลิกกัน เพราะอย่างนั้นต่อให้พวกเพื่อนๆ ถามก็ไม่ควรตอบอะไรออกไป
ยูแจโพล่งพูดออกมาราวกับอ่านความคิดของฮันจุนที่กำลังสับสนอยู่ออก
“เพราะงั้นไงถึงคบใครมั่วซั่วไม่ได้ จำใส่ใจไว้ให้ดี ดูอย่างฉันสิ ถึงจะฮอตยังไงแต่ก็ยังไม่เห็นต้องมีแฟน”
“ที่นายยังไม่มีแฟนเพราะนายยังไม่เจอคนที่ชอบมากกว่า”
หลังจากที่ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก พอลองมาคิดดูดีๆ แล้วมันก็น่าแปลก ยูแจเองก็มีคนมาชอบเยอะแยะมากมาย เพราะเจ้าตัวทั้งหล่อ แถมยังนิสัยดี ถ้าอยากจะคบกับใครสักคนจริงๆ ก็คงจะหาแฟนได้ไม่ยาก แต่ถึงกระนั้นอย่าว่าแต่เรื่องคนรักเลย แม้แต่เรื่องเพศตรงข้าม เขาก็ยังแทบจะไม่เคยได้ยินจากปากของเจ้าตัวสักครั้ง
ยูแจเลื่อนตัวเข้ามาใกล้พลางกระซิบกระซาบ ทำท่าราวกับกำลังจะบอกความลับของตัวเอง
“ถ้าฉันเลือกคบกับใครสักคน งั้นคนอื่นๆ ก็เลิกรักฉันหมดน่ะสิ ถ้าเป็นงั้นไม่เอาด้วยหรอกนะ”
“เพ้อเจ้อ”
พอพูดจบยูแจก็พลิกตัวนอนคว่ำแล้วหันหน้ามา ฮันจุนจึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าแบบไหนยามที่พูดคำพูดพวกนั้นออกมา ยูแจเหม่อมองอากาศอย่างไร้จุดโฟกัสอยู่ครู่หนึ่ง แสงสลัวลอดผ่านหน้าต่างกึ่งชั้นใต้ดินเข้ามาตกกระทบบนใบหน้าของเขา ก่อนที่ริมฝีปากแดงระเรื่อนั้นจะเริ่มขยับ
“ถ้าคนทั้งโลกชอบฉันหมดก็คงจะดี”
เสี้ยววินาทีนั้นยูแจยกยิ้มแพรวพราวพลางย่นจมูก พร้อมกับดวงตาที่หยียิ้มอย่างซุกซน
ฮันจุนเผลอจ้องมองใบหน้าอันสมบูรณ์แบบนั้นอยู่พักใหญ่อย่างไม่รู้ตัว คำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระของยูแจนั้นราวกับมีมนตร์เสน่ห์ที่ทำให้คนหลงใหล มันเป็นมนตร์เสน่ห์ที่ล่อลวงให้คนลุ่มหลงได้คล้ายกับวาทศิลป์ที่พวกผู้นำลัทธิใช้เพื่อล่อลวงคนเข้าลัทธิ
ทันทีที่ได้สติ ฮันจุนก็ยกเท้าขึ้นยันแล้วถีบยูแจ ด้านยูแจจึงแกล้งกลิ้งตัวมาทับตัวเขาไว้พร้อมกับเริ่มจั๊กจี้สีข้างของเขา ก่อนจะเอ่ยถามซ้ำๆ แกมบังคับว่าวันนี้จะไปสนามเด็กเล่นด้วยกันหรือไม่ โดยที่ยังคงแกล้งจั๊กจี้เขาไม่เลิก
“ไปๆๆ ก็บอกว่าไปไง!”
ในที่สุดฮันจุนก็จำต้องยอมแพ้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำเป็นพิเศษอยู่แล้ว และวินาทีเดียวกันนั้นยูแจก็ยอมปล่อยตัวเขาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
มัธยมต้นปีสอง
ความรักที่ไม่อาจรักษามันไว้ได้จบสิ้นลงภายในเวลาเพียงสองเดือน
ทว่าวันนั้นเขากับยูแจก็ยังคงไปนั่งดูดาวด้วยกันเช่นเคย
ห้องอ่านหนังสือส่วนตัวในสถาบันสอนพิเศษนั้นขอเพียงแค่กรอกชื่อกับเลขห้องแล้วไม่ส่งเสียงดังรบกวน ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถเข้ามาใช้งานได้ตลอดยี่สิบชั่วโมง ที่นั่นจะมีอาจารย์ผู้ช่วยท่านหนึ่งที่คอยสอดส่องเผื่อมีเด็กๆ คนไหนส่งเสียงดังรบกวน หากเดินออกจากตัวห้องอ่านหนังสือมา และเดินเลียบไปตามทางเดินก็จะพบกับห้องพักรับรอง นักเรียนทุกคนมักจะมาพูดคุยปรึกษากันและเอาของกินมากินที่นี่ก็ได้
แค่มีโต๊ะเก้าอี้ที่สามารถปรับระดับความสูงต่ำได้ มันก็รู้สึกสบายได้ขนาดนี้เลยสินะ
ฮันจุนรู้สึกอิ่มเอมใจ เพราะเขารู้สึกว่าการติวหนังสือที่นี่นั้นสะดวกสบายกว่าที่ห้องของเขาเป็นไหนๆ บรรดาเด็กนักเรียนต่างก็มาใช้ห้องอ่านหนังสือนี่เพื่อติวหนังสือ ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น ทำให้ที่นี่นั้นอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งการเรียนรู้
ไม่ได้มีแค่อินกยู ยูแจ และแชยองเท่านั้นที่มาอ่านหนังสือที่นี่ แม้แต่จินฮวานเองก็ยังมาใช้บริการด้วยเช่นกัน หลังจากใช้เวลาร่วมกันหลายชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์ ฮันจุนก็ได้ค้นพบว่าแต่ละคนต่างก็มีสไตล์ในการเรียนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แชยองชอบไปอ่านหนังสือแก้โจทย์ด้วยกันกับเพื่อนๆ ที่ห้องพักรับรองมากกว่าการอ่านหนังสือคนเดียว อินกยูเองก็ใช้เวลากว่าครึ่งไปกับการนั่งเล่นมือถือ ขณะที่จินฮวานนั้นปกติจะนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ คนเดียวหรือไม่ก็ฟุบหลับ
ส่วนยูแจนั้น เขาจะกำหนดเอาไว้เลยว่าในแต่ละวันตัวเองจะอ่านแค่ไหนซึ่งเขาก็จะอ่านเพียงเท่านั้น และหากทำทุกอย่างได้ตามเป้าแล้ว ตัวเขาก็จะหายไปจากโต๊ะอ่านหนังสือทันที ฮันจุนเองก็เช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็ติวหนังสือด้วยกันมานาน นานเสียจนฮันจุนเผลอติดนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายมาด้วย
ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่ช่วงพักเที่ยงก็จะมากินข้าวพร้อมกันอยู่ดี ฮันจุน ยูแจ อินกยู และแชยองมาจากโรงเรียนเดียวกัน พวกเขาจึงสนิทใจกันได้ไว ที่ตรงนี้มีเพียงแค่จินฮวานเท่านั้นที่อยู่ต่างโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้นฮันจุนก็จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนจินฮวานมากินข้าวด้วยกันเสมอ
พวกเขากินมื้อกลางวันกันที่ร้านข้าวกล่องที่ตั้งอยู่ชั้นหนึ่งของสถาบันสอนพิเศษ แม้ว่าปริมาณอาหารจะไม่มากเท่าไร แต่ก็เป็นร้านที่เด็กนักเรียนมักจะมากินกัน เพราะใครๆ ต่างก็ติดใจรสชาติติดเค็มติดหวานของร้านนี้ ทั้งร้านตอนนี้เหลือเพียงโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งตรงมุมร้านที่ยังว่างอยู่ ก๊วนพวกเขาสามในห้าคนจึงต้องกินอาหารกลางวันโดยถือกล่องข้าวกิน
“ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ฉันจะต้องทำคะแนนให้สูงขึ้นให้ได้เลย ฉันล่ะอยากจะบ้ากับไอ้วิชาภาษาเกาหลีนี่”
อินกยูบ่นทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปากพลางปรายตามองจินฮวานด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการจะสืบเสาะเคล็ดลับในการทำคะแนนสอบให้สูงขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นจากเขา
ยูแจเนียนเตะเท้าฮันจุนใต้โต๊ะ ฮันจุนจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับโชยูแจที่กำลังส่งสายตามา สายตานั้นกำลังต่อว่าเขาที่ชวนจินฮวานมาอ่านหนังสือด้วยกัน เขาอ่านมันได้ว่า ‘นายไม่รู้หรือไงว่าไอ้อินกยูมันจะเป็นบ้าแล้วพูดจาเลอะเทอะน่ะ’
แชยองที่เป็นคนกินเสร็จเร็วแกล้งทำเป็นใช้ช้อนพลาสติกเขี่ยข้าวที่เหลืออยู่ในกล่องไปมาสักพักแล้ว เธอทำแบบนั้นเพื่อประวิงเวลาไว้เพราะไม่อยากวางช้อนก่อนเป็นคนแรก สายตาของจินฮวานที่มองการกระทำนั้นของแชยองช่างเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ฮันจุนหันไปมองจินฮวานที่นั่งอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กนั่งมองข้าวกล่องในมือตัวเองสลับกับแชยองในขณะที่อินกยูกำลังโหวกเหวกเสียงดังอยู่คนเดียว
พัคจินฮวาน อีอินกยู ยุนแชยอง โชยูแจ
ฮันจุนกวาดสายตามองไล่ไปทีละคนก่อนจะวางช้อนและกล่องข้าวที่ว่างเปล่าลง จากนั้นแชยองก็คลี่ยิ้มออกมาแล้ววางช้อนในมือลงตาม
“พวกเรามาอ่านหนังสือด้วยกันแบบนี้ทุกอาทิตย์กันเถอะ ฉันว่าอ่านที่นี่แล้วเข้าหัวกว่าอ่านที่ห้องเยอะเลยว่าไหม”
“อื้ม เราก็ว่างั้น”
จินฮวานรับคำก่อนเป็นคนแรก ถึงแชยองจะกำลังรอคอยคำตอบจากยูแจอยู่ ทว่ายูแจกลับนั่งจ้องกล่องข้าวที่กินหมดแล้วนิ่งไม่หือไม่อือ
ยังไม่อิ่มสินะ แต่ก็นะ ข้าวกล่องแค่นี้คนตัวใหญ่อย่างหมอนั่นจะไปอิ่มได้ยังไงกัน
ฮันจุนคิดพลางเกร็งท้องที่ว่างเปล่าของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากยูแจ
แชยองยังคงไม่ยอมแพ้และพูดขึ้นต่อ
“หลังสอบซูนึงเสร็จแล้ว พวกนายวางแผนจะทำอะไรกันบ้างเหรอ อย่างแรกเลยฉันว่าจะไปทำผม”
“เธอจะทำทรงอะไรเหรอ”
ในตอนนั้นเองยูแจก็หันไปมองแชยองที่นั่งอยู่ข้างๆ และถามเธอกลับพลางใช้ไหล่กระแซะเข้าหาเธออย่างเร่งเร้าเอาคำตอบ ทันทีที่ร่างกายสัมผัสกัน แชยองพลันยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“นายว่าทรงผมผู้หญิงทรงไหนสวยที่สุดเหรอ”
ยุนแชยองช่างเป็นคนตรงไปตรงมา คงมีเพียงไม่กี่คนที่จะเกลียดนิสัยซื่อตรงและมีชีวิตชีวาที่แสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาอย่างเปิดเผยแบบเธอ ยูแจไล่สายตามองเส้นผมที่ตรงสลวยยาวของแชยอง แววตาของแชยองสั่นไหวราวกับกำลังประหม่าอยู่ทุกวินาทีที่สายตาคมนั้นไล่มองผ่าน
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ นึกไม่ออกอะ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นเธอทำผมทรงอื่นซะด้วยสิ”
ถึงแม้แชยองจะถามถึง ‘ทรงผมของผู้หญิงทั่วไป’ ทว่ายูแจกลับเจาะจงที่จะเติมคำว่า ‘เธอ’ เข้าไปเป็นประธาน ในวินาทีที่สายตาสบประสานกัน แม้คำตอบนั้นจะดูทื่อๆ แต่มันก็ทำเอาแชยองหลุดเข้าไปในภวังค์ได้พักใหญ่
ไอ้บ้านี่มันจริงๆ เลย รู้ทั้งรู้ว่าแชยองชอบ แต่ก็ยังจะพูดออกไปแบบนั้นอีกเนี่ยนะ
ฮันจุนเบนความสนใจไปยังป้ายเมนูที่เต็มไปด้วยภาพกล่องอาหารด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจกินข้าวเช้ามาเพื่อที่มื้อเที่ยงจะได้ประหยัดเงิน แต่เขาก็ยังคงหิวอยู่
สงสัยคงต้องชวนยูแจไปกินมื้อเย็นให้ไวกว่าเดิมหน่อยซะแล้วสิ ถ้าได้กลับไปต้มรามยอนกินกันที่ห้อง หมอนั่นคงต้องทำหน้าดีใจแน่ๆ อีกอย่างในตู้เย็นก็มีต๊อกอยู่พอดีด้วย น่าจะพออิ่มท้องอยู่ พอตกเย็นก็จะได้ไปสนามเด็กเล่นพร้อมกัน
เพียงแค่ได้นึกถึงชีวิตประจำวันในแต่ละวันที่แสนจะจำเจ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฮันจุนละสายตาจากภาพเมนูที่ความละเอียดต่ำจนภาพแตก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจินฮวานที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
จินฮวานก้มหน้างุดมองด้านในกล่องที่เหลือเพียงแค่คราบมันสีแดงสด ฮันจุนตกใจกับรอยยิ้มอันฝืดเฝื่อนและดวงตาที่หมองหม่นลง ใบหน้าของจินฮวานที่เขามองเห็นจากมุมข้างนั้นเปิดเผยความรู้สึกที่มีออกมาจนหมด
และสาเหตุนั้นก็คือยุนแชยองที่แสดงท่าทีว่าชอบยูแจออกมาอย่างเปิดเผย
รีบพาออกไปดีไหมนะ…
ฮันจุนรู้สึกไม่สบายใจพลางคิดว่าจะรีบพาจินฮวานออกไปจากตรงนี้ดีหรือไม่ สีหน้าของจินฮวานนั้นกำลังหม่นหมองลงเรื่อยๆ ต่างจากเขาที่ชินชาด้วยความที่รักข้างเดียวมานานโดยไม่หวังอะไร
รีบพาออกไปน่าจะดีกว่า
ฮันจุนยิ้มก่อนจะเนียนพาดแขนลงไปบนไหล่ของจินฮวาน
“เข้าห้องอ่านหนังสือกันเถอะ”
“เราว่าเราจะซื้อเครื่องดื่มก่อนน่ะ เดี๋ยวเราตามไป ฮันจุนไปก่อนเลย”
“อ๊ะ ฉันไปด้วย”
ทันทีที่ออกจากร้านฮันจุนก็คว้าจับแขนของจินฮวานที่ตั้งท่าจะเดินหนีไว้แน่น เขาอยากจะขอโทษอีกฝ่าย หากว่าเขาเผลอทำอะไรที่มันทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ
ยูแจที่เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงและเดินนำออกมาจากร้านพลันหันกลับมามองคนทั้งคู่ที่เดินตามหลังออกมาจากร้านเพราะคำพูดนั้น ฮันจุนจึงรีบวิ่งตามหลังจินฮวานไปอย่างรวดเร็วเพื่อหลบสายตาของยูแจที่มองมาราวกับกำลังข้องใจ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงหัวเราะของแชยองดังไกลมาจากทางด้านหลัง
จินฮวานเดินเข้ามาในร้านสะดวกซื้อแล้วไปหยุดยืนอยู่หน้าตู้เย็นที่มีกระป๋องเครื่องดื่มเรียงรายอัดแน่นกันอยู่เต็มตู้ ฮันจุนลอบเดินเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ถ้านายรู้สึกอึดอัด คราวหน้าไม่ต้องมากินข้าวด้วยกันก็ได้นะ”
“หืม? ไม่มีอะไรหรอก อย่าใส่ใจเลย กินด้วยกันก็สนุกดี”
จินฮวานส่ายหน้าพลางยิ้มตอบ เขายกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วลูบกระจกของตู้เย็นไปมา ก่อนจะใช้สายตากวาดมองของที่อยู่ด้านใน วินาทีเดียวกันนั้นจู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ฮันจุนพลันหลบสายตาทันทีที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของจินฮวานที่เขาเองก็รู้สึกคุ้นชินกับมัน
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฮันจุนได้เห็นใบหน้าของจินฮวานที่แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ขนาดนี้ มันช่างแตกต่างกับสีหน้าที่ดูพ่ายแพ้ยามที่ได้เห็นแชยองมองยูแจ บนใบหน้าของเขานั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความรู้สึกรักใคร่เท่านั้นที่แสดงออกมา เพราะว่ามันเจือไปด้วยความรู้สึกขมขื่นและน้อยเนื้อต่ำใจ
“เราก็คงได้แค่แอบชอบแชยองเงียบๆ แบบนี้อยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละ เราไม่เคยคิดจะทำอะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ไหนจะต้องวุ่นเรื่องการสอบซูนึงอีก”
จินฮวานระบายมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ฮันจุนไม่นึกเลยว่าจินฮวานเองก็มีความคิดแบบเดียวกันกับเขา
“ยังไงแชยองก็ดูเหมาะสมกับคนแบบยูแจอยู่แล้ว ไม่แน่บางทีหลังสอบซูนึงเสร็จ พวกเขาอาจจะคบกันก็ได้”
เว้นเสียก็แต่ประโยคนี้…
ฮันจุนทำได้เพียงพยักหน้าไปอย่างนั้น พัคจินฮวานน่ะยังไม่รู้จักโชยูแจดีพอ แต่ไหนแต่ไรยูแจได้รับคำสารภาพรักมามากมายจนนับไม่ถ้วน ทว่าเขากลับไม่เคยตอบรับรักใครเลยแม้แต่คนเดียว แถมหลังจากที่หักอกผู้หญิงพวกนั้นไปแล้วก็จะมานั่งเสียใจที่ไปหักอกชาวบ้านเขาเองเสียอย่างนั้น แต่ฮันจุนเองก็ไม่คิดที่จะสาธยายให้จินฮวานฟังหรอกว่าโชยูแจเป็นคนแบบไหน
ในทางกลับกัน ฮันจุนเลือกที่จะเลื่อนมือไปตบหลังจินฮวานเบาๆ หนึ่งครั้งเป็นการให้กำลังใจ จินฮวานยู่จมูกเล็กน้อยก่อนจะดันแว่นให้เข้าที่
“ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”
“อื้อ แค่นายไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ”
“นะ…นายดูเป็นคนละเอียดอ่อนผิดจากที่เห็นเลยแฮะ”
มันเป็นคำพูดที่เขาแสนจะคุ้นเคย ฮันจุนหลุดขำออกมา ก่อนจะแกล้งยืนพักขาข้างหนึ่งอย่างเอาเรื่อง พอเห็นดังนั้นจินฮวานพลันรีบส่ายหน้าไปมาด้วยความรวดเร็ว
“เราไม่ได้จะหมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ เราหมายถึงว่าฮันจุนหล่อมากต่างหากเล่า ตอนเราเห็นนายครั้งแรก ทำเราตกใจเลยนะ”
“ตกใจ?”
“หมายถึงตกใจในเชิงบวกไง ตกใจที่นายหล่ออะ”
“จะไปไหนก็ไปเลยไป”
ดูจากการที่จินฮวานพูดจาอ้อมแอ้มแล้ว ดูท่าความประทับใจแรกของอีกฝ่ายที่มีต่อเขาคงจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หากลองมองข้ามคำพูดติดตลกของจินฮวานไป ฮันจุนก็ดูออกว่าอีกฝ่ายยังคงรู้สึกแย่อยู่ไม่คลาย
จินฮวานลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะเปิดประตูตู้เย็น
“ฮันจุนอา เลือกน้ำมาสักกระป๋องสิ ฉันเลี้ยงเอง”
“แหม เห็นฉันเกิดมาหน้าตาหาเรื่องแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่เคยไถเงินใครนะเว้ย”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ! เราแค่อยากจะขอบคุณนายจริงๆ ที่เข้ามาคุยกับเราก่อน แล้วก็ขอบคุณที่นายอุตส่าห์เดินตามมาถามว่าเราโอเคไหม และความจริงแล้วเราก็ต้องขอบคุณนายอีกเช่นกันที่ทำให้เราได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนของนาย”
ดวงตาของฮันจุนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยกับคำพูดที่พรั่งพรูออกมานั้น มันยากที่จะปฏิเสธออกไปเมื่ออีกฝ่ายพูดมาเสียขนาดนั้น เขาจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เข้าใจแล้ว”
“เลือกเครื่องดื่มได้เลย เรามีป็อปการ์ด*”
จินฮวานยื่นมือที่ขึ้นสีเลือดฝาดด้วยความเคอะเขินเพื่อโชว์การ์ดในมือ ฮันจุนที่ไม่มีทางเลือกจึงหันไปกวาดตามองตู้เย็น ก่อนจะเห็นน้ำอัดลมแบรนด์หนึ่งที่กำลังมีโปรโมชั่นอยู่พอดี
“นายชอบยี่ห้อเวลช์ไหม”
“อื้ม”
“ตอนนี้มันมีโปรซื้อสองแถมหนึ่ง”
“โอ๊ะ จริงด้วย งั้นเอาอันนี้เลยไหม”
“เอาสิ อีกหนึ่งกระป๋อง นายก็เอาไปฝากแชยองเขาสิ”
จินฮวานที่กอดเครื่องดื่มสามกระป๋องอยู่แนบอกชะงักไปเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองฮันจุนเพราะคำพูดนั้น ก่อนที่ฮันจุนจะแย่งกระป๋องหนึ่งไปถือไว้แล้วบอกขอบคุณ
“ขอบใจนะ จะกินให้อร่อยเลย”
* ป็อปการ์ด (pop card) คือบัตรชนิดหนึ่งในเกาหลี สามารถนำไปใช้จ่ายในร้านสะดวกซื้อ หรือใช้ในการจ่ายค่าโดยสารได้
โปรดติดตามตอนต่อไป…