everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1 Chapter 1-5 #นิยายวาย
Chapter 1-5
วันถัดมา แชยองเอาเปเปโรมาจริงๆ เธอยื่นมันให้ยูแจอย่างร่าเริงและมั่นใจต่อหน้าเพื่อนทุกคน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ทว่าภาพมันกลับติดอยู่ในสายตาของฮันจุน ประสาทสัมผัสทั้งร่างติดตรึงอยู่กับภาพตรงหน้านั้น
แชยองก้าวเดินทีละก้าวอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทีเอียงอายไปทางประตูหลังที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ เธอเดินไกวแขนสองข้างไปมาอย่างกับทหาร โดยมีกล่องเปเปโรกล่องใหญ่อยู่ในมือ เปเปโรนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายแฝงชัดเจนเกินกว่าจะบอกว่ามันเป็นเพียงแค่ขนมช็อกโกแลตธรรมดาๆ มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่เด็กผู้หญิงจะบรรจงผูกริบบิ้นที่กล่องเปเปโรแล้วมอบมันให้กับเด็กผู้ชาย เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ใครๆ ต่างก็รู้ดี
แม้ว่ากล่องเปเปโรนั้นจะไม่ได้ถูกห่อกระดาษของขวัญไว้เป็นอย่างดี แต่ก็มีริบบิ้นสีชมพูอันใหญ่ผูกเอาไว้ และด้วยความที่กล่องของมันไม่ได้ถูกห่อเอาไว้ เลยทำให้สามารถมองเห็นกล่องได้ทั้งกล่อง ซึ่งนั่นทำให้ริบบิ้นที่ผูกไว้บนกล่องอย่างบิดๆ เบี้ยวๆ นั้นดูน่ารักขึ้นมา ฮันจุนคิดว่าเปเปโรกล่องนั้นดูสมกับเป็นแชยองดี ก่อนจะหันไปมองทางยูแจ
ยูแจกำลังยิ้ม อีกฝ่ายรับเปเปโรไว้ซึ่งเป็นไปตามที่ฮันจุนคาดการณ์เอาไว้ ยูแจรับมันมาถือพลางก้มหน้าลงมองแชยองด้วยแววตาเป็นประกาย แพขนตาของเขากะพริบไหวอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ยูแจจะยกมุมปากขึ้นพลางยิ้มจนตาปิด ริมฝีปากที่เคยพูดคุยเล่นกันอยู่เมื่อครู่พลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอบใจ”
ทันทีที่ยูแจเอ่ยปากพูดคำขอบคุณ เด็กนักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ส่งเสียงร้องโห่แซวดัง ‘หูยยยยยย’ ระหว่างที่พวกเด็กผู้ชายแกล้งร้องขึ้นมา แชยองก็ยื่นมือออกไปโดยที่เธอไม่กะพริบตาเลยสักนิด ในกำมือเล็กๆ นั้นกำบางอย่างเอาไว้อยู่
ยูแจเลื่อนฝ่ามือใหญ่ที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่ามือของแชยองเกือบสองเท่าไปวางไว้เพื่อรอรับของใต้มือที่กำอยู่ข้างนั้นของเธอ แชยองวางของเล็กๆ บางอย่างลงบนฝ่ามือใหญ่นั้น ก่อนจะมีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น มันคือช็อกโกแลตเอบีซี*
“ไม่มีตัวโอนะ มีแต่ตัวเอ”
เธอกระซิบกระซาบเสียงแผ่วเบาก่อนจะหันหลังให้แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วต่างจากตอนแรกที่เดินเข้ามาอย่างชัดเจน หลังจากแชยองวิ่งหายลับไปได้แค่เพียงครู่เดียว ยูแจก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางมองดูฝ่ามือตัวเอง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
ฮันจุนชะงักไปราวกับว่ามีบางอย่างกระแทกเข้ามาที่หน้าอกของเขาอย่างจัง มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับเขา ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพแชยองซื้อขนมหอบมาแบ่งให้ยูแจ เพียงแต่ว่าครั้งนี้ในขณะที่เขากำลังรู้สึกสะเทือนใจกับภาพตรงหน้าอยู่นั้นกลับมีเสียงโห่ร้องแซวจากผู้คนรอบข้างดังถาโถมเข้ามาด้วย
“เฮ้ย อีกตั้งนานนี่กว่าจะถึงวันเปเปโร* นี่ให้ในโอกาสอะไรวะเนี่ย”
“จะมีแฟนแล้วไม่อ่านหนังสือหรือไงวะ”
“คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่อะ นี่พวกนายเรียนพิเศษที่เดียวกันด้วยใช่ไหม”
“นายมันแน่ โชยูแจ!”
หนึ่งในบรรดาเพื่อนพวกนั้นเดินมาดึงคอโชยูแจเข้าไปกอดพลางทำเป็นกระซิบกระซาบบางอย่างข้างๆ หู
“ไปถึงขั้นไหนกันแล้ววะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ไอ้พวกนี้หนิ ไปอ่านหนังสือไป”
ยูแจตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ก่อนจะลากฮันจุนเดินออกไปจากห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวก
“แค่เปเปโรกล่องเดียว ทำเอาวุ่นวายกันไปหมดเลยแฮะ”
ยูแจบ่นพึมพำทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบพื้นทางเดิน เขาแกะห่อขนมออกแล้วงับเอาช็อกโกแลตเอบีซีที่อยู่ในซองนั้นเข้าปาก พวกเขาเดินขึ้นบันไดไป ปกติแล้วตรงบันไดชั้นบนสุดนั้น ประตูดาดฟ้ามักจะล็อกเอาไว้จึงไม่มีใครมาแถวนี้ ซึ่งยูแจชอบใช้เวลาอยู่ที่นั่นในตอนที่พักเบรกสั้นๆ
กลิ่นหอมของช็อกโกแลตตลบอบอวลจากตัวยูแจที่กำลังฮัมเพลง
เมื่อนั่งลงบนขั้นบันได ยูแจก็แกะริบบิ้นออกจากกล่องเปเปโร ริบบิ้นที่ผูกเอาไว้อย่างเงอะงะคลายออกทันทีที่ถูกดึง เขาโยนมันลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะจิกเล็บลงไปที่กล่องจนเกิดเสียงกระดาษฉีกขาดออกจากกัน
“กินด้วยกันไหม”
“ไม่เอาอะ”
ฮันจุนตอบตัดบทไปอย่างห้วนๆ ยูแจเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบที่บอกว่า ‘ไม่เอา’ ไม่ใช่ ‘ไม่กิน’ แต่ถึงอย่างนั้นฮันจุนก็ไม่คิดที่จะแก้คำพูดนั้น
“มีแต่เอจริงๆ ด้วยแฮะ คงจะเอาแต่เอมาให้เพราะมันคือกรุ๊ปเลือดฉันสินะ”
ยูแจหัวเราะก่อนจะนั่งกินช็อกโกแลตจนหมด ต่อจากนั้นก็หยิบเปเปโรหลายแท่งยัดใส่ปากรวดเดียว
“เอาหน่อยน่า”
ยูแจยื่นเปเปโรในมือมาให้ ฮันจุนส่ายศีรษะปฏิเสธพลางเหยียดขาลงไปพาดตามแนวขั้นบันได เขามองลงไปยังปลายเท้า มีรองเท้าสลิปเปอร์เก่าๆ สองคู่วางเรียงอยู่เคียงกัน
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร ทว่าเขากลับไม่อาจมองข้ามมันไปอย่างไม่รู้สึกอะไรได้เลย เพียงเพราะคำคำเดียวที่ได้ยินเมื่อวาน ตลอดชีวิตที่ผ่านมายูแจแทบจะไม่รู้จักกับคำว่าเพศตรงข้ามเลยด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเริ่มสนใจเรื่องความรัก แถมฝ่ายตรงข้ามก็เป็นยุนแชยอง ผู้หญิงที่ฮันจุนเองรู้จักเป็นอย่างดี…เธอทั้งฉลาดและมีความมั่นใจ สามารถทำทุกอย่างตามหัวใจของตัวเองได้อย่างไม่อายใคร
ตั้งแต่ที่เขาอยู่เคียงข้างยูแจมาจนถึงทุกวันนี้ เขาไม่เคยรู้สึกหน่วงที่หัวใจแบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากคำว่าหึงแล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกที่ต่ำต้อยไร้ค่าแบบนี้ว่าอะไร
“นายจะคบกับเธอไหม” ฮันจุนเอ่ยปากถามพลางซ่อนความรู้สึกสับสนเอาไว้
ยูแจเงยหน้าขึ้นเพราะคำถามที่ตรงไปตรงมานี้ เขากลอกตาไปมาราวกับกำลังตั้งใจใช้ความคิด
“ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าอีกเดี๋ยวก็สอบซูนึงแล้ว”
ยูแจทอดสายตามองฮันจุนนิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แต่หลังสอบเสร็จแล้ว ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
หลังจากการสอบซูนึงเสร็จสิ้นลงแล้วก็มีเวลาว่างเหลือเฟือกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นช่วงเวลาที่จะสามารถหางานพิเศษทำเพื่อเก็บเงินไว้จ่ายค่าหน่วยกิต มีเวลาทำผมซื้อเสื้อผ้าใหม่ เตรียมตัวสำหรับเทอมใหม่ และโชยูแจก็คงจะใช้เวลาพวกนั้นร่วมกับแชยอง ฮันจุนเผลอนึกถึงใบหน้าอันอ่อนโยนยามก้มลงมองเธอตอนอยู่ในห้องเรียนเมื่อครู่
ยูแจดึงแขนเขาในขณะที่เขากำลังนั่งเหม่อพลางขมวดคิ้วมุ่น
“สีหน้านายไม่ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“สีหน้าฉันมันทำไม”
“ก็ตั้งแต่แชยองเดินเข้ามา นายก็ทำหน้าเครียด ไม่สมกับเป็นนายเลย”
“อ๋อ ฉันคงเครียดเพราะกำลังคิดอยู่ว่าวันนี้จะขอโทษจินฮวานยังไงดี”
พอยูแจพูดชื่อของยุนแชยองออกมาแล้ว หน้าอกของเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ก่อนที่ยูแจถอนหายใจกับคำพูดที่เขากุเรื่องขึ้นมา
“นายจะไปขอโทษจินฮวานทำไม”
“ก็หมอนั่นคงจะเสียใจอยู่ไม่ใช่หรือไง ป่านนี้คงจะคิดว่าฉันแอบเอาเรื่องของเขาไปคุยลับหลังกับนายอยู่แน่ๆ”
“แล้วจะไปขอโทษว่าอะไร”
“ก็บอกว่าขอโทษ ตอนนั้นนายอยู่ข้างๆ ฉันพอดี ฉันก็เลยถามกรุ๊ปเลือดของแชยองไปโดยไม่ได้คิดอะไร”
“มีเรื่องให้ขอโทษกันเยอะจังนะ”
ยูแจบ่นงึมงำก่อนจะเตะกล่องขนมที่วางนิ่งอยู่บนพื้น
“ยังไงๆ ฉันก็ไม่คิดจะมานั่งใส่ใจหมอนั่นแล้วสรรหาคำพูดดีๆ ไปพูดด้วยหรอกนะ ชอบเองก็เจ็บเองคนเดียว นายไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจอะไรเลย”
“โอเค งั้นฉันแชตส่วนตัวไปขอโทษเอาก็ได้”
“มะเอาง่ะ”
ยูแจกอดอกพลางแสร้งพูดด้วยเสียงน่ารัก ร่างกายที่แนบชิดกันอบอุ่นจนความรู้สึกที่ว้าวุ่นเมื่อครู่สงบลงมาเล็กน้อย ฮันจุนจ้องมองกล่องเปเปโรที่วางอยู่บนบันไดขั้นล่างสักพักด้วยความรู้สึกที่อยากกล้าพอที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ใครต่อใครได้ยิน
“แล้วรากโกโบล่ะ”
“หือ?”
“รากโกโบที่ให้ไปอะ อร่อยไหม”
เขาหลุดคำพูดโง่ๆ ออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคืนก่อนแยกจากกัน อีกฝ่ายก็พูดขอบคุณเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ยังจะถามอะไรแบบนี้ออกไปอีก แถมเครื่องเคียงพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของแม่เขาทั้งนั้น ไม่ใช่ฝีมือเขาสักหน่อย ช่างน่าขันนักที่เขากลับพูดจาราวกับว่านั่นเป็นฝีมือของตัวเอง
ฮันจุนสลัดความรู้สึกน่าอับอายนั้นทิ้งไปแล้วลุกขึ้น ยูแจกำลังจะพูดอะไรออกมา ทว่าโชคดีที่เสียงออดดังขึ้นพอดี
“ไปกันเถอะ”
“มากอดหน่อยมา”
ยูแจยิ้มกว้างพลางโอบกอดเขาจากทางด้านหลัง
“นายอยากได้ยินคำว่าขอบคุณสินะ”
สิ้นเสียงนั้นยูแจก็พร่ำพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ ซ้ำๆ มาจากทางด้านหลังของฮันจุนที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด
ฮันจุนใช้ศอกกระทุ้งท้องของยูแจ ก่อนจะหยิบกล่องเปเปโรและริบบิ้นที่ถูกทิ้งไว้อยู่ข้างกันขึ้นมาเล็งแล้วปาใส่หัวของยูแจที่กำลังกุมท้องงอตัวอยู่ กล่องเปล่ากระแทกเข้าที่หัวของอีกฝ่ายอย่างจังจนเกิดเสียงดังปั้ก
“ขยะเนี่ย เอามาทิ้งตรงนี้ได้ยังไงฮะ”
“โอ๊ย!”
“เป็นอะไรมากไหมน่ะ”
ถึงจะรู้ว่ามันเป็นการแสดง แต่เขาก็รู้สึกทึ่งจริงๆ ที่อีกฝ่ายยอมเล่นใหญ่ถึงขั้นลงไปนอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้นแบบนั้น เขาคว้าจับเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายพลางแสร้งทำเป็นพูดปลอบ ก่อนที่ยูแจจะกระโจนเข้าใส่ ฮันจุนถูกดันจนกระแทกกับผนังเสียงดังพลั่ก ก่อนจะลืมตาขึ้นมา ยูแจหัวเราะลั่นพลางกระโดดวิ่งหนีลงบันไดไปโดยก้าวขาข้ามไปทีละหลายๆ ขั้น
อยากตายหรือไงฮะ
ฮันจุนจำใจกลืนคำพูดนั้นก่อนจะวิ่งตามไล่หลังอีกฝ่ายไป เขาคว้าจับราวบันไดไว้ ยันตัวขึ้นแล้วกระโดดลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งไล่ตามหลังไปเรื่อยๆ จนเห็นแผ่นหลังของยูแจที่หยุดยืนเด่นอยู่ตรงทางเดิน
ทว่าเขากลับเบรกตัวเองไม่ทันจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของยูแจเต็มแรง ยูแจรีบคว้าจับเอวฮันจุนไว้ไม่ให้ล้ม ขณะที่เขากำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายหยุดทำไมนั้น เขาก็เห็นคุณครูหลายคนที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียนเข้าพอดี
พวกเขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเดินเคียงคู่กันตามทางเดินไปเรื่อยๆ ยูแจโยนกล่องเปเปโรใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ตรงทางเดิน ก่อนจะเอาริบบิ้นมาผูกไว้ที่คอของตัวเอง
ยูแจตีไหล่ของเขาแล้วเดินเข้าห้องเรียนของตัวเองไป ฮันจุนจ้องมองริบบิ้นตรงคอของยูแจ ก่อนจะละสายตาไปจากมันอย่างอ้อยอิ่งแล้ววิ่งกลับไปยังห้องเรียน
“ขอโทษนะ”
หลังจากแอบจ้องมองอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ๆ ฮันจุนก็เอ่ยปากขอโทษทันทีที่คาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์จบลง เขาจะต้องคุยให้เสร็จก่อนที่กลุ่มของพวกยูแจจะบุกเข้ามา เขาไม่ได้เตรียมคำพูดอะไรมามากมายนัก เพราะคิดว่าไม่น่ามีอะไรที่จะต้องอธิบายให้ยืดยาว ซึ่งจินฮวานก็เข้าใจคำพูดเพียงคำเดียวนั้นได้ในทันที
ทว่าจินฮวานกลับตกใจราวกับไม่คาดคิดว่าเขาจะมาขอโทษ คนตัวเล็กกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นพลางจับขอบหนังสือแบบฝึกหัดเปิดๆ ปิดๆ อยู่อย่างนั้น และในจังหวะที่เจ้าตัวกำลังจะเปิดปากพูด เสียงอันคุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้นมา
“ซอฮันจุน”
โชยูแจใช้แขนเรียวยาวยืนค้ำโต๊ะเรียน ทั้งที่เขาก็ส่งข้อความส่วนตัวไปบอกแล้วว่าอย่ามาหาตอนเวลาพักเบรก เพราะเขาจะเอ่ยปากขอโทษจินฮวาน แต่ดูเหมือนว่าหมอนี่ไม่คิดจะฟังกันเลยสักนิด
“ไง จินฮวาน”
ยูแจอมยิ้มน้อยๆ เอ่ยปากทักทายจินฮวาน
“หวัดดี”
จินฮวานทักกลับทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
“นี่!”
ซ้ำร้ายยังมีแชยองที่วิ่งตามมา เธอยื่นใบหน้าออกมาจากทางด้านหลังของยูแจพร้อมกับมันฝรั่งทอด
“กินด้วยกันไหม”
หลังจากชวนเพื่อนรอบตัวแล้วแชยองก็ยื่นขนมไปทางจินฮวานด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่กล้าปฏิเสธหรืออย่างไร จินฮวานจึงหยิบมันฝรั่งทอดแผ่นเล็กๆ หนึ่งชิ้นเอาเข้าปาก แม้เขาจะยิ้มขอบคุณ แต่เขากลับไม่สบตาแชยองตรงๆ เลย
คงจะไม่ได้กำลังเข้าใจผิดอยู่หรอกนะ? ขอให้อย่าเข้าใจผิดว่าพวกเราเอาเรื่องนายไปคุยกันลับหลังเลย
ฮันจุนลอบสังเกตจินฮวานอย่างเอาใจใส่ แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูหงอยๆ ของจินฮวาน หัวใจเขาก็พลอยรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย
“นี่ก็ใกล้ถึงช่วงสอบแบ่งห้องเรียนใหม่แล้วนี่ เดี๋ยวครั้งนี้ฉันจะตั้งใจสอบ พวกเราจะได้ขึ้นมาอยู่ห้องเดียวกันสักที ฉันกับยูแจจะขึ้นมาหาให้ได้เลย ไม่นับอีอินกยูนะ”
แชยองวางขนมไว้บนโต๊ะพลางพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น ก่อนที่ฮันจุนจะสังเกตเห็นริบบิ้นสีชมพูที่ผูกอยู่บนข้อมือของเธอ
มันคือริบบิ้นที่ผูกติดอยู่บนกล่องเปเปโร แล้วก็เป็นริบบิ้นอันเดียวกันกับที่โชยูแจใช้ผูกไว้ที่คอของตัวเองก่อนหน้านี้
ยูแจเป็นคนให้งั้นเหรอ ผูกเองท่าจะยาก ยูแจคงเป็นคนผูกให้อย่างนั้นสินะ
ฮันจุนรู้สึกเวียนหัวกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว คำถามที่เขาไม่อยากนึกถึงพากันถาโถมเข้ามา ฮันจุนหันไปมองข้างๆ เห็นจินฮวานกำลังพยายามแกล้งทำเป็นแก้โจทย์คณิตอยู่ ภายในหัวของเขามันเต็มไปด้วยคำถามมากมายจนไม่อาจยืนอยู่นิ่งๆ ได้เลย
ฮันจุนลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะตบหลังจินฮวาน
“ไปคุยกันแป๊บนึงได้ไหม ส่วนพวกนาย เดี๋ยวไว้เจอกันนะ”
แชยองที่เหมือนจะเข้าใจคำพูดของเขาได้ในทันทียิ้มตอบกลับมาให้
“เราไปกันเถอะ”
ยูแจเดินตามแรงมือของเธอที่ดึงออกไปโดยไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด
ฮันจุนมองพวกเขาเดินออกไปด้วยกันจนลับสายตา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา เมื่อหันกลับมา เขาเห็นจินฮวานกำลังเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าประหม่า เขาจึงหันมองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งของตัวเองอีกครั้ง อย่างไรเสียต่อให้เดินออกจากห้องนี้ไปก็คงไม่มีสถานที่ไหนที่พอจะให้พวกเขาคุยกันได้อย่างเงียบๆ อยู่ดี
เขาดึงเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆ พลางพูดขึ้นเสียงเบา
“ยูแจอยู่ข้างๆ ฉันพอดีตอนที่นายส่งข้อความมา ฉันก็เลยถามเรื่องกรุ๊ปเลือดกับเขาโดยไม่ทันได้คิดอะไรน่ะ ขอโทษนะถ้าทำให้นายรู้สึกไม่ดี ฉันสาบานว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
จินฮวานพยักหน้าไม่พูดไม่จา เขาไม่ได้เตรียมคำตอบอะไรมาเลย หากจินฮวานถามเขาว่า ‘ยูแจเขารู้เรื่องที่เราชอบแชยองอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ทั้งๆ ที่นายรู้อย่างนั้นแล้วยังจะเอาเรื่องของเราไปถามยูแจอีกเนี่ยนะ?’ แต่ทว่าคำพูดที่จินฮวานตอบเขามานั้นกลับแตกต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้ว่ามันจะฟังดูแปลกไหม แต่ว่าเราน่ะ…ชอบความรู้สึกที่ได้แอบชอบอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้มากกว่า เพราะหัวใจของเราจะได้รักเธอได้อย่างอิสระ”
“…”
“เราก็จินตนาการไปเองคนเดียวบ้าง ฝันถึงบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เคยคิดเรื่องอะไรแปลกๆ กับเธอเลยนะ เราแค่ชอบเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจน่ะ ก็เธอน่ารักมากจริงๆ นี่นา เรามีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับเธอเยอะเลยล่ะ เรื่องกรุ๊ปเลือดนั่นก็เหมือนกัน ที่เราถามไปก็เพราะแค่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรไปนอกเหนือจากนั้นเลย เพราะงั้นต่อให้คนถามจะเป็นนายหรือยูแจ เราก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรถึงขั้นที่จะต้องมานั่งเปิดอกคุยกันเลย แล้วเราก็ไม่คิดจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาสองคนด้วย เฮ้อ…ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยแฮะ”
ทั้งที่จินฮวานพูดชื่อของยูแจออกมาได้อย่างเต็มปาก แต่เขากลับเรียกแชยองว่า ‘เธอ’ แทนการเรียกชื่อ เจ้าตัวคงกลัวว่าคนอื่นจะมาได้ยินเข้า ถึงได้พูดไปพลางมองรอบๆ ไปพลางไม่หยุด
“เราพอใจกับการได้ชอบเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้คาดหวังอะไรไปมากกว่านั้นเลย นี่เราพูดจริงๆ นะ เพราะงั้นนายไม่ต้องกังวลไปหรอก ว่ากันตามตรงแล้ว เราเองก็พอเดาได้ตั้งแต่อยู่ห้องเดียวกันแล้วว่าแชยองชอบยูแจ”
“นายชอบมานานแล้วเหรอ”
“อืม…อื้อ แชยองดีกับเรามากตอนที่เรามาเรียนที่นี่ครั้งแรกน่ะ เธอทั้งใจดี แถมยังสวยมากอีกต่างหาก”
แก้มของจินฮวานแดงก่ำราวกับว่ากำลังนึกถึงช่วงเวลาในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมเมื่อเห็นจินฮวานพูดได้เต็มปากโดยไร้ซึ่งความเขินอาย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าการรักใครข้างเดียวนั้นเป็น ‘ความรู้สึกในใจของตัวเองที่สามารถรักใครได้อย่างอิสระ’ แม้เขาจะเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเงียบและขี้อายมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนที่ใช้ได้มากกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรกเสียอีก
อยากฟังเรื่องของหมอนี่มากกว่านี้จังเลยแฮะ
พอได้ฟังประสบการณ์ของอีกฝ่าย เขาก็นึกอยากเดินออกไปจากความรู้สึกว้าวุ่นในใจพวกนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“วันนี้หลังเลิกเรียนนายว่างไหม ถ้าพอมีเวลา พวกเรามาคุยกันสักแป๊บนึงแล้วค่อยกลับได้หรือเปล่า” ฮันจุนเอ่ยปากถามขึ้นทันทีหลังจากที่คิดได้ดังนั้น
“อื้ม เอาสิ ถือซะว่าเดินกลับบ้านไปด้วยเลย”
จินฮวานดูประหลาดใจกับคำชวน แต่ก็พยักหน้าตอบรับ ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ฮันจุนก็หยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งทันที
“เราไปคุยกันที่สนามเด็กเล่นใกล้ๆ นี่กันเถอะ”
ฮันจุน
(7.59 PM) วันนี้ฉันกลับด้วยไม่ได้นะ
พอกดส่งข้อความหายูแจเสร็จ เขาก็ได้ยินเสียงปิดประตู อาจารย์เดินเข้ามาแล้ว ฮันจุนจึงเก็บมือถือลงไปในกระเป๋า
“อีกนิดก็ถึงแล้ว”
ฮันจุนพูดขึ้นหลังจากที่เช็กเวลาดูแล้ว แม้นี่จะเป็นเส้นทางที่เขากับยูแจมักจะเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบด้วยกันทุกวัน ทว่าวันนี้เขากลับรู้สึกราวกับว่ามันไกลกว่าทุกวัน นั่นเป็นเพราะจินฮวานชำเลืองมองนั่นมองนี่มาตลอดทาง ดูท่าจะกังวลกับการเดินทางลัดที่ต้องผ่านเข้าไปในซอยมืด แต่ก็นับว่าโชคดีเพราะเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะถึงถนนใหญ่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งที่เขากับจินฮวานพอจะรู้จักกันที่สถาบันสอนพิเศษมาพักใหญ่แล้ว ทว่าเจ้าตัวกลับดูระแวงอย่างเห็นได้ชัด
คิดว่าจะพาไปที่เปลี่ยวๆ แล้วข่มขู่หรือไงกันนะ
ฮันจุนเลื่อนมือขึ้นไปวางบนไหล่ของจินฮวานเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกอุ่นใจ แต่จินฮวานกลับสะดุ้งโหยงแล้วกะพริบตาปริบๆ เจ้าตัวนั้นเป็นคนซื่อๆ และไร้เดียงสา ดูท่าคงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังหน้าตาตื่นขนาดไหน
เอาไงดี ซอยที่เป็นทางออกไปสู่ถนนใหญ่มันทั้งมืดทั้งเงียบกว่านี้อีก
ฮันจุนลังเลสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“จริงๆ แล้วฉันเองก็มีคนที่ชอบอยู่เหมือนกันนะ เป็นรักข้างเดียวแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ”
จินฮวานพลันเงยหน้าขึ้นทันที เขารู้สึกโชคดีที่ไฟข้างทางมีไม่มากทำให้อีกฝ่ายมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด ในระหว่างที่เว้นช่วงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไป ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็เริ่มแผ่ซ่านจากลำคอขึ้นมาสู่แก้ม
มันเป็นความรักที่เขาเก็บเอาไว้ในใจมานานมากแล้ว เขาจึงนึกไปว่าตัวเองคงจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากนัก ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคำว่า ‘ชอบ’ และคำว่า ‘รักข้างเดียว’ ออกมาจากปากของตัวเอง พอได้ลองบอกความรู้สึกที่เก็บเอาไว้มานานแสนนาน มันกลับฟังดูธรรมดามากเสียจนเขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จินฮวานหยุดมองไปรอบๆ แล้วหันกลับมาจ้องมองที่ใบหน้าของเขา เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นว่าสีหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่ายนั้นเลือนหายไปแล้ว เขาจึงได้แต่ส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกประหม่า
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินไปถึงซอยแคบๆ จินฮวานเอ่ยปากถามขึ้นท่ามกลางความมืด
“ไม่ใช่ว่าที่นายยังได้แต่แอบรักเธอข้างเดียวอยู่แบบนี้เพราะนายไม่เคยลองไปสารภาพรักกับเธอเหรอ”
“ต่อให้ไม่ต้องสารภาพอะไรออกไป ฉันเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วแหละ”
“งั้นเหรอ นายเองก็ดูฮอตดีนี่นา หน้าตาแบบนายน่ะเป็นไทป์ที่พวกผู้หญิงชอบเลย”
“ไทป์ที่ผู้หญิงชอบอะไรกัน”
ในขณะที่หัวเราะและพูดออกไปแบบนั้น ฮันจุนก็เผลอนึกถึงยูแจที่อยู่เคียงข้างและเติบโตมาด้วยกัน เขารู้สึกสงสัยมาตลอดว่าไทป์ที่อีกคนชอบนั้นเป็นแบบไหน คนที่ทั้งชีวิตดูเหมือนไม่เคยรู้สึกดีกับเพศตรงข้ามมาก่อน ปีนี้กลับเริ่มมีคนคุยเป็นครั้งแรก และในอนาคตนั้นเขาก็คงจะได้เห็นภาพของอีกคนในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมากขึ้น
อย่าทำตัวหงอยนักเลยน่า
พวกเขาเดินมาจนถึงถนนใหญ่ ฮันจุนเดินมองไปด้านหน้าพลางพูดต่อ
“พอได้ฟังเรื่องของนายแล้ว ฉันเองก็อยากเล่าเรื่องของฉันบ้างเหมือนกันน่ะ ทั้งที่นายดูเหมือนจะรู้จักวิธีจัดการความรู้สึกของตัวเอง แต่ฉันกลับไม่รู้จักมันเลยนี่สิ”
“เราไม่ได้รู้จักวิธีจัดการความรู้สึกของตัวเองหรอก เราแค่ไม่ได้คาดหวังอะไรก็เท่านั้นเอง”
จินฮวานหัวเราะเก้อๆ พลางเปิดเผยทุกความรู้สึกออกมาบนใบหน้า ทำให้จู่ๆ ฮันจุนเผลอคิดเรื่องไร้สาระขึ้นมา
นี่ฉันทำหน้าแบบนี้ตอนอีอินกยูถามว่าทำยังไงให้ได้คะแนนสูงขึ้นด้วยหรือเปล่านะ
นอกจากผู้ใหญ่เพียงแค่ไม่กี่คนที่นั่งคุยกันอยู่แล้ว ที่สนามเด็กเล่นแห่งนี้ก็แทบจะไม่มีใครอยู่เลย เมื่อฮันจุนนั่งลงบนชิงช้าตัวที่ไม่มีใครจับจอง จินฮวานก็ละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงบนชิงช้าตัวที่อยู่ข้างๆ ตาม น้ำหนักที่กดลงไปทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกมาจากตัวชิงช้า ยูแจมักจะหลุดหัวเราะทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของมัน ยิ่งพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้ามากเท่าไร เสียงของมันก็จะยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้น
ทั้งภาพโชยูแจที่กำลังแย้มยิ้มจนดวงตาสีเข้มนั้นปิดลง ทั้งเรียวขาที่เหยียดตรงออกไปอย่างสบายๆ รวมถึงรองเท้าและเสียงหัวเราะลอยเด่นขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ก่อนที่ภาพใบหน้าอันอ่อนโยนของอีกฝ่ายยามทอดสายตามองไปทางแชยองจะปรากฏชัดขึ้นมาในความทรงจำ ทั้งภาพที่ยูแจและแชยองยืนสบสายตากันโดยมีเสียงโห่แซวของเพื่อนๆ ที่รายล้อมอยู่รอบข้าง หลังจากที่เขาได้เห็นภาพเหล่านั้นเป็นครั้งแรก เขาก็เอาแต่คิดถึงมันครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ไม่อาจเอามันออกไปจากความทรงจำได้เลย
เขานั่งนิ่งครุ่นคิดถึงภาพฉากนั้น ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“ถึงจะบอกว่าไม่ได้คาดหวัง แต่นายไม่รู้สึกเจ็บบ้างเหรอเวลาเห็นคนที่เราชอบไปชอบคนอื่นน่ะ”
“เจ็บสิ แต่อย่างน้อยมันก็คงเจ็บน้อยกว่าการถูกปฏิเสธ”
จินฮวานตอบกลับมาทันที ฮันจุนหยุดไกวชิงช้าเพื่อที่จะได้ฟังคำตอบของอีกคนชัดๆ จินฮวานพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ใช่ว่าเราจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้เพราะจิตใจเราเข้มแข็งหรอกนะ เราก็แค่ขี้ขลาดเท่านั้นเอง เราน่ะเกลียดการถูกปฏิเสธซะยิ่งกว่าการตายซะอีก เพราะงั้นเราเลยต้องเรียนรู้ที่จะพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี”
“แต่การเล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ของตัวเองให้คนอื่นฟังก็ถือว่าเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งนะ”
เท้าที่ใช้ดันพื้นเพื่อไกวชิงช้าพลันหยุดลงเพราะคำพูดของฮันจุน จินฮวานเงยหน้าขึ้นพลางนั่งเหม่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิกตากว้างจ้องมองมาทางเขาราวกับตกใจ ฮันจุนหัวเราะพลางจับเชือกชิงช้าของจินฮวานดึงเข้ามา
“ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้เราก็เพิ่งเคยบอกกับนายเป็นคนแรกนี่แหละ แล้วก็ไม่เคยมีใครถามเรามาก่อนด้วย”
“ฉันเองก็เหมือนกัน”
ฮันจุนหัวเราะเสียงดัง พอได้คุยกับเพื่อนที่กำลังอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยๆ
“ว่ากันตามตรงแล้ว การกลัวที่จะถูกปฏิเสธ มันก็ฟังดูน่าสมเพชหน่อยๆ แฮะ ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เราก็กลัวว่าใครจะมองเราแปลกเหมือนกัน” จินฮวานพึมพำออกมาด้วยความเขินอาย
“หือ? ฉันไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย”
คนที่ลากจินฮวานมาถึงที่นี่เพื่อระบายความอัดอั้นในใจที่มีคล้ายๆ กันก็คือเขา ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาพาจินฮวานมาเครียดไปด้วยกันเสียอย่างนั้น เมื่อฮันจุนเลื่อนมือไปตบหลังเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร จินฮวานก็เริ่มพูดในสิ่งที่เคยอัดอั้นเอาไว้ออกมา
“ถ้ามีเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ตลอด เราก็คงจะกลัวมากๆ กลัวว่าจะต้องแยกกัน เพราะอย่างนั้นตอนเรียนพิเศษเราเลยตั้งใจว่าจะไม่คบเพื่อนคนไหน อีกอย่างตอนนี้ก็อยู่ปีสามแล้วด้วย ช่วงนี้ไม่ว่าเราหรือคนอื่นๆ ต่างก็อ่อนไหวและเปราะบางกันทั้งนั้น เพราะเราเห็นหลายคนรอบตัวทะเลาะกันบ่อยๆ และสุดท้ายก็เลิกคบกันไป แต่ถึงอย่างนั้น เพราะนาย…”
“ค่อยๆ หายใจ”
“…เพราะนาย เราเลยได้สัมผัสกับความทรงจำดีๆ ขอบใจนะ”
จินฮวานพูดไปหอบหายใจไปจนจบ ทั้งที่ตอนแรกฮันจุนตั้งใจว่าจะมาคุยเพื่อขอโทษ ทว่าเขากลับได้รับคำขอบคุณมาเสียอย่างนั้น ฮันจุนเลียริมฝีปากก่อนจะยกยิ้มให้
โรงเรียนกวดวิชาที่เขาเคยอยากมาเรียนนักอยากมาเรียนหนา เมื่อลองได้มาเรียนจริงๆ แล้ว เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ได้สุดยอดอะไรขนาดนั้น แต่พอได้พบกับเพื่อนดีๆ แบบนี้ เขาเลยคิดว่าการได้ลองมาเรียนที่นี่ดูสักครั้งมันก็ไม่เลวเหมือนกัน
ฮันจุนเริ่มไกวชิงช้าอีกครั้งเพื่อทำลายบรรยากาศนี้ลง จินฮวานที่นั่งนิ่งมาจนถึงเมื่อครู่เริ่มไกวชิงช้าเช่นกัน ต่อจากนั้นเขาก็ยิงมุกตลกจนฮันจุนที่นั่งอยู่ข้างๆ หลุดอุทานออกมา
“ถ้าฉันดันไปสมัครมหา’ลัยที่คะแนนต่ำกว่าเพราะกลัวการถูกปฏิเสธขึ้นมาจะทำยังไงดีล่ะ”
“ฮ่าๆ อะไรของนายน่ะ”
“นายคงจะไปสมัครมหา’ลัยที่คะแนนสูงๆ สินะ”
“ฉันคิดแค่สอบซูนึงให้ได้คะแนนสูงๆ ก็พอแล้วล่ะ”
วินาทีที่ฮันจุนกำลังฟังเสียงหัวเราะของจินฮวานพลางเหยียดยืดขาออกไป
โชยูแจก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าเขา
ฮันจุนตกใจจนรีบใช้เท้าเหยียบพื้น เสียงรอบตัวพลันเงียบลงพร้อมกับชิงช้าที่หยุดนิ่ง เขาไม่ได้ตกใจกับเงาคนที่โผล่มาอย่างกะทันหัน แต่เขาตกใจเพราะยูแจกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าเรียบตึงแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากอีกฝ่ายมาก่อนเลยในชีวิต
ทว่าสีหน้านั้นก็คงอยู่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะยกยิ้มส่งมาให้อย่างเคย
“แหม นึกว่าได้ยินผิดไปซะอีก เป็นพวกนายจริงๆ ด้วยแฮะ”
ดวงตาของยูแจเหลือบไปมองทางจินฮวาน จินฮวานจับเชือกชิงช้าไว้แน่นก่อนลุกยืนขึ้น ดูเหมือนเขาจะกำลังกังวล กลัวว่ายูแจจะบังเอิญมาได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน ฮันจุนจึงเดินเอาตัวไปบังด้านหน้าจินฮวานที่กำลังสับสนทำตัวไม่ถูกอยู่
“นึกว่านายจะกลับบ้านไปแล้วซะอีก”
“ฉันมาที่นี่คนเดียวบ่อยจะตาย ว่าแต่พวกนายเถอะ มาทำอะไรกันถึงที่นี่”
“บังเอิญน่ะ นี่ก็ว่าจะกลับแล้วแหละ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วนะ น่าจะดึกแล้วมั้งเนี่ย”
ยูแจไม่คิดแม้แต่จะแกล้งทำเป็นดูเวลาให้สักนิด เขาเดินผ่านฮันจุนไปก่อนจะวางแขนพาดบนไหล่จินฮวาน
“นี่ พวกนาย ไหนๆ ฉันก็มาแล้ว อยู่ต่อกันอีกหน่อยแล้วค่อยกลับสิ สักสิบนาทีเป็นไง หืม?”
“แต่ว่าเวลาตอนนี้มัน…”
“นี่นายคงไม่คิดจะกลับทันทีที่เห็นฉันมาหรอกนะ? เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง”
เพื่อนกัน…
บางครั้งยูแจจะโน้มน้าวเขาด้วยคำคำนี้ซึ่งเป็นคำที่เขาไม่อาจปฏิเสธมันได้เลย ฮันจุนรู้สึกไม่สบายใจกับสีหน้าของยูแจอยู่พักหนึ่งแล้วตัดสินใจเดินตามเขาไปนั่งที่ม้านั่ง ก่อนที่ยูแจผู้ซึ่งเป็นคนเสนอให้อยู่ต่ออีกสิบนาทีจะพูดขึ้นอย่างไม่รีรอ
“พวกนายแยกออกมาคุยกันแค่สองคน ความจริงแล้วฉันเองก็อยากขอโทษนายเหมือนกันนะ”
จินฮวานที่กำลังก้มมองต้นขาตัวเองอยู่นั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ยูแจขมวดคิ้วน้อยๆ พลางสบสายตากับเขา
“เรื่องกรุ๊ปเลือดอะไรนั่นฮันจุนคงจะพูดไปหมดแล้วสินะ”
ฮันจุนรู้สึกราวกับหัวใจถูกกระชากออกจากร่าง ทว่าเขาทำได้แค่เพียงนั่งฟังบทสนทนาที่กำลังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อยู่ข้างๆ จินฮวานที่เอาแต่พูดคำว่าไม่เป็นไรและส่ายหน้าพัลวัน
“ปกติเวลาแชตฉันก็มักจะเผลอมือลั่นพิมพ์ผิดอยู่เรื่อยน่ะ ฉันเองก็มีกรุ๊ปแชตหลายห้อง แล้วฉันก็ไม่ทันได้คิดด้วยว่าแต่ละกรุ๊ปมีใครอยู่บ้างและสิ่งที่ฉันพิมพ์ไปจะมีใครเห็นบ้าง พอได้ลองทบทวนแต่ละเรื่องดูแล้ว ฉันก็ได้รู้ว่าฉันไม่น่าพูดมันออกไปเลย ฉันผิดเองนั่นแหละ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ต้องขอโทษเราก็ได้”
“ไม่หรอก ฉันไม่รอบคอบเอง เพราะงั้นเลยพลอยทำให้ฮันจุนลำบากใจไปด้วย ทำนายเข้าใจผิด แถมคำถามของฉันยังทำให้แชยองเข้าใจผิดไปไกลอีก”
“…”
“แต่ช่วยไม่ได้นี่เนอะ ปกติแล้วคนเราถ้าไม่ได้แอบชอบแล้วจะอยากรู้เรื่องกรุ๊ปเลือดไปทำไมกัน”
“เราไม่ได้ชอบแชยองนะ!”
เสียงตะโกนลั่นดังแทรกตัดบทสนทนา จินฮวานลุกขึ้นพรวดพลางหอบหายใจถี่รัว
‘เธอทั้งใจดี แถมยังสวยมากอีกต่างหาก’
ความในใจที่เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จินฮวานปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเคยพูดออกไปเสียงดังลั่นจนสะท้อนไปทั่วทั้งสนามเด็กเล่นที่เงียบสงัด
“เราถามเพราะจู่ๆ แค่นึกสงสัยขึ้นมาก็เท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย นอกจากแชยองแล้ว กับคนอื่นๆ เราก็ถามเหมือนกันนั่นแหละ เพราะงั้นได้โปรด…อย่าบอกแชยองเลยนะ เราขอร้องล่ะ”
ปลายน้ำเสียงที่เอ่ยคำขอร้องนั้นสั่นเครือ
จินฮวานจะเจ็บปวดแค่ไหนกันนะที่ต้องปฏิเสธหัวใจของตัวเองออกไปแบบนั้น…ปฏิเสธความรู้สึกที่เก็บซ่อนมันเอาไว้มาตลอดเพียงเพราะไม่อยากถูกปฏิเสธ
ฮันจุนรู้สึกลำบากใจเกินกว่าจะทนฟัง เขาไม่อาจทนมองใบหน้าของยูแจที่กำลังจ้องมองจินฮวานได้เลย ทั้งที่เป็นเรื่องของคนอื่น แต่เขากลับรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชากออกจากกันราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“ฉันไม่บอกหรอกน่า ยังไงก็ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดกันไปหมด”
ยูแจขมวดคิ้วราวกับกำลังสับสนกับท่าทีของจินฮวาน จินฮวานทำตัวไม่ถูก ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนที่ยูแจจะช่วยหาข้ออ้างให้จินฮวานที่กำลังยืนนิ่งตัวแข็งทื่อได้ออกไปจากที่ตรงนี้
“จินฮวาน เหมือนนายจะมีข้อความเข้านะ”
“…หืม?”
“ไม่ใช่ว่าที่บ้านส่งมาหรอกเหรอ นี่มันก็ดึกมากแล้ว ดูท่าที่บ้านคงจะกำลังเป็นห่วง”
ยูแจแสร้งพูดเหมือนกับว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ยินอะไร ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นและข้ออ้างที่พอจะถูไถได้ จินฮวานจึงถือโอกาสใช้ข้ออ้างนี้เอ่ยคำลา
“อ้อ เอ่อ…จริงด้วย ถ้างั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ บาย”
ยูแจพยักหน้าพลางโบกมือลา ในขณะที่จินฮวานนั้นวิ่งออกไปโดยไม่คิดที่จะหันกลับมาสบสายตา
ฮันจุนยืนเหม่อลอยพลางจัดการความรู้สึกของตัวเอง เขารู้สึกโกรธ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าความรู้สึกโกรธที่เกิดขึ้นนี้มันสมควรแล้วหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่ทำให้เขากำลังรู้สึกโกรธนั้นเป็นเพราะจินฮวานที่ถูกทำร้ายความรู้สึก หรือเป็นเพราะภาพของจินฮวานมันกำลังสะท้อนให้เขาเห็นถึงจุดยืนของตัวเองกันแน่ แต่อย่างไรเสียต่อให้มันจะเป็นเพราะเหตุผลอย่างหลัง สุดท้ายแล้วเขาก็คงทำได้เพียงกล้ำกลืนความรู้สึกนี้เอาไว้และเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปก็เท่านั้น
“ถ้าจะมาที่นี่ ทำไมไม่บอกกันก่อน”
ยูแจพูดขึ้นมาจากทางด้านหลัง ฮันจุนหลับตาแน่นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ได้สักพักแล้วหันกลับไป ยูแจก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและยังคงจ้องมองมาที่เขาด้วยใบหน้าสดใสอย่างที่เคยเป็น
ยูแจทอดสายตามองฮันจุนที่ไม่ยอมตอบก่อนจะเอ่ยต่อ
“ระหว่างทางจากที่เรียนพิเศษมาถึงที่นี่ก็มีสนามเด็กเล่นอีกที่นึง ที่ที่จะคุยกันก็มีเยอะแยะ ทำไมถึงต้องพากันมาไกลถึงที่นี่ด้วย”
“นายไม่พอใจอะไรก็บอกมาตรงๆ สิ”
ทั้งที่ตอบกลับไปห้วนๆ แบบนั้น ยูแจกลับไม่โกรธเลยสักนิด
“ฮันจุนอา…”
น้ำเสียงอ่อนโยนของอีกฝ่ายยามเรียกชื่อเขานั้นบาดลึกลงมาในใจเขา
“ก่อนอื่นเลย…ฉันน่ะชอบที่นี่มากเพราะมันโคตรจะสว่าง ในขณะที่ซอยแถวห้องเรา ถ้าอยากจะคุยกันตอนกลางคืนก็คงต้องคุยไปมองหาหน้ากันไป”
“…”
“ฉันชอบที่ได้มองเห็นคอนโดฯ ตรงนั้น ชอบเวลาที่ได้เห็นคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นยิ้มและนั่งคุยกันในสถานที่ที่มีแต่ความเงียบสงบและปลอดภัยแบบนั้น ต่างจากเสียงนอกหน้าต่างห้องกึ่งชั้นใต้ดินนั่นที่มีแต่เสียงของพวกไอ้แก่เสียสติข้างห้องกับเสียงครางของแมวที่กำลังติดสัด แถมวันดีคืนดีไม่รู้ว่าจะมีไอ้โรคจิตที่ไหนมาแอบถ้ำมองหรือเปล่าด้วย”
“ฉันรู้แล้ว พอเถอะ”
“ฉันชอบที่ถนนแถวนี้ทั้งเรียบแล้วก็กว้าง ชอบที่มีต้นไม้เยอะเต็มไปหมด แค่ได้เดินก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้แล้ว”
ยูแจพูดไปพลางเหม่อมองฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบสายตามามองฮันจุน มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับเขากำลังถามว่า…
นายเองก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม
“ทุกครั้งที่พวกเรามาที่นี่และใช้เวลาร่วมกัน มันมีความหมายสำหรับฉันมากเลยนะ”
“…”
“เพราะงั้นถ้าพวกนายอยากจะคุยกันก็ไปคุยกันที่อื่นก็ได้นี่ จะสวนสาธารณะแถวๆ ที่สถาบันสอนพิเศษ หรือจะสนามเด็กเล่นตรงโรงเรียนประถมก็ได้ ไม่ใช่พากันเดินเถลไถลมาจนถึงที่นี่ ทั้งๆ ที่ที่ตรงนี้มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับไอ้หมอนั่นเลยสักนิด เฮ้อ…”
ยูแจพ่นลมออกมาจากริมฝีปาก ฮันจุนก้าวเท้าอันหนักอึ้งไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ายูแจที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งพลางยื่นมือออกมา ฮันจุนทำเพียงจ้องมองมือนั้นโดยที่ไม่ได้ยื่นมือไปจับตอบ
“ฉันกับจินฮวานมีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่นายคิด เดินเถลไถลมาจนถึงที่นี่? นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่นายจะมาตัดสินได้หรอกนะ”
“งั้นเหรอ สงสัยจังเลยแฮะว่านายกับมันมีจุดที่เหมือนกันตรงไหน แต่ฉันไม่นับเรื่องที่เรียนพิเศษที่เดียวกันให้หรอกนะ”
ยูแจหัวเราะพลางกระทืบเท้ากับพื้นจนเกิดเสียง
ตอบไม่ได้…เขาไม่อาจปฏิเสธเรื่องนั้นออกไปได้เหมือนกับจินฮวาน ฮันจุนหัวเราะแห้งๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงก่อนหันหลังให้ยูแจ
“ฉันกลับก่อนนะ บาย”
“เฮ้ย กลับด้วยกันดิ”
ฮันจุนได้ยินเสียงของยูแจที่กำลังวิ่งตามหลังมา เขาจึงเริ่มออกตัววิ่งหนี
“นี่! ซอฮันจุน!”
ยูแจตะโกนไล่หลังมาแต่ไกล ถึงจะเริ่มหอบจนแทบหายใจไม่ทัน แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดฝีเท้า วินาทีเดียวกันนั้นภาพด้านหลังของจินฮวานที่กำลังวิ่งออกไปจากสนามเด็กเล่นก็พลันลอยเข้ามาในหัว
* ขนมช็อกโกแลตยี่ห้อเอบีซี ตัวขนมทำจากช็อกโกแลตเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม โดยมีตัวอักษรเอ บี และซีสลักอยู่ด้านบน
* วันเปเปโร (Pepero Day) ตรงกับวันที่ 11 เดือน 11 เป็นวันที่คนเกาหลีมักจะให้ขนมเปเปโรเป็นการสารภาพรัก
โปรดติดตามตอนต่อไป…