everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1 Chapter 2-3 #นิยายวาย
Chapter 2-3
“ย้าก! สายตาพิฆาต คิมอึนฮเย!”
“ไว้ชีวิตฉันด้วย!”
แม้ว่าดอดจ์บอลจะเป็นแค่เกมวิ่งหลบลูกบอล แต่ทันทีที่เริ่มต้นขึ้น ทั่วทั้งสนามก็วุ่นวายไปหมดเพราะเสียงของพวกเพื่อนๆ ที่ต่างก็หัวเราะร่วน สบถคำหยาบ และอ้อนวอนร้องขอชีวิตกัน ทุกครั้งที่เล่นดอดจ์บอล เพียงแค่อึนฮเยทำหน้าเคร่งขรึมใส่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนได้แล้ว เสียงกรี๊ดมักจะดังไปทั่วทั้งสนามทันทีที่เขาจับลูกบอล อึนฮเยก้าวถอยไปไกลแล้ววิ่งพุ่งตรงเข้าไปอย่างน่ากลัว ก่อนจะปาลูกบอลออกไปอย่างแรง
ยูแจกำลังชดใช้กรรมที่ไม่ได้เลือกอึนฮเยเข้ามาอยู่ในฝั่งเดียวกัน แม้แต่ตอนที่เขาก้มตัวลง เอียงศีรษะ และขยับตัวไปมาอย่างวุ่นวายเพื่อหลบลูกบอลนั้น เขาก็ยังไม่วายหันไปหยอกล้อกับแชยองอยู่ตลอด แชยองบอกว่าจะปกป้องโชยูแจ ก่อนจะก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาพลางขยับโยกร่างกายเล็กนั้นไปมา ยูแจจึงแกล้งทำเป็นย่อตัวลงไปซ่อนอยู่ข้างหลังเธอด้วยร่างกายใหญ่โตที่ร่างกายเล็กๆ ของแชยองไม่มีทางบังได้มิด
แสงแดดส่องสว่างจ้าจนตาพร่าไปหมด วิ่งเล่นไม่ทันไร แผ่นหลังเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฮันจุนวิ่งไปหัวเราะไปกับเพื่อนๆ พลางเหลือบตามองตามยูแจอยู่บ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยูแจหลบลูกบอลแล้วถอยหลังมาอยู่ใกล้ๆ ส่วนท้ายทอยของเขาที่ตัดผมสั้นอย่างเรียบร้อยก็มักจะโดดเข้ามาอยู่ในสายตาของฮันจุน บริเวณต้นคอที่มีไรผมเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ต้องแสงเป็นประกายพร่างพราว ซึ่งไหลลงมาเป็นสายจากกลุ่มผมสั้นเกรียน อาบไปจนถึงผิวบริเวณต้นคอที่ดูแข็งแกร่งและอุ่นร้อน
ร้อนชะมัด รู้สึกว่าหน้าร้อนปีนี้มันร้อนขึ้นแปลกๆ แฮะ
“ซอฮันจุน! รับ!”
อึนฮเยปาบอลพลางตะโกนเรียกชื่อฮันจุน ฮันจุนจับลูกบอลที่ลอยมาก่อนจะหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าร่างกายของเขาที่เคยเคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติก็พลันหยุดชะงักกึกทันทีที่เห็นโชยูแจยืนอยู่ตรงหน้า
ยูแจหัวเราะออกมาในวินาทีที่สบตากัน แม้เท้าของเขาจะถอยหลังไป แต่ท่าทีของเขานั้นดูไม่มีความหวั่นเกรงเลยสักนิด
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นซุกซน ริมฝีปากที่ยกยิ้มอย่างท้าทาย เส้นผมที่เปียกเหงื่อลู่ลงจนแนบติดกับหน้าผาก และหน้าอกที่ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่เจ้าตัวหอบหายใจถี่รัว ฮันจุนสติหลุดเผลอจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เจออีกฝ่ายที่นั่น ภาพทุกอย่างในวันนั้นยังคงแจ่มชัด ภาพของยูแจทำให้เขารู้สึกว่าแสงแดดวันนี้มันแสบตายิ่งกว่าเมื่อวาน แม้แต่เสียงโห่เชียร์ของเพื่อนรอบข้าง หูเขาก็ยังได้ยินเป็นเสียงอื้ออึง
ทั้งๆ ที่ใบหน้านั่นเราก็เห็นมันอยู่ทุกวันแท้ๆ แต่ความรู้สึกของเรามันเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ได้ยังไงกัน
ไอ้คนที่เพิ่งเดินกลับบ้านด้วยกันเมื่อคืน ทำไมมันถึงหล่อได้มากขนาดนี้นะ
แล้วทำไมเราต้องจ้องไอ้หมอนี่ไม่วางตาเลยล่ะ
ปัญหามันคืออะไรกันแน่นะ
“ซอฮันจุน!”
ฮันจุนตั้งสติได้ในชั่วพริบตาเดียว ก่อนจะยกแขนที่ถือลูกบอลขึ้น ทันทีที่สบสายตากับยูแจตรงๆ ในอกเขาก็พลันรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาชั่วขณะ เขาอยากลบความรู้สึกที่เขาไม่อาจนิยามได้ว่ามันคืออะไรออกไปจากใจให้หมด เขาง้างแขนไปด้านหลังโดยไม่ทันได้ดูก่อนเลยว่ามีใครอยู่ข้างหลังไหม ก่อนที่เสียงลูกบอลแหวกฝ่าลมจะดังขึ้น
พลั่ก!
ดวงตาของฮันจุนเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหนักดังขึ้น ยูแจโดนลูกบอลกระแทกเข้ากลางใบหน้าจนศีรษะหงายไปทางด้านหลัง เขายืนโซเซพยายามทรงตัว ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมจมูก
มือของเขาอาบไปด้วยสีแดง
เลือด
ร่างกายฮันจุนพลันหยุดชะงักชาวูบไปทั้งร่าง เขาได้ยินเสียงมากมายหลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาทขณะที่เขานิ่งค้างไปไม่ไหวติงเลยแม้แต่ปลายนิ้ว
“ทำไงดีวะเนี่ย โชยูแจ! ไหวเปล่าวะ”
“อ่า เลือดกำเดาไหล”
“ไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ”
“เงยหน้าขึ้นดิ เงยหน้าไปข้างหลัง”
“ใช่ที่ไหนเล่า อย่าเพิ่งเงยหน้านะ”
เพื่อนคนอื่นๆ พากันพูดเสริมขึ้นด้วยความเป็นห่วงกันคนละประโยค ในขณะที่ยูแจยืนยกมือกุมจมูกนิ่งค้างไว้อย่างนั้นจนเลือดกำเดาเริ่มหยุดไหล
ฮันจุนยืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้สติแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหา เขาเดินแทรกเพื่อนคนอื่นๆ เข้าไปใกล้ ใช้สองมือกุมใบหน้าของยูแจ
“นายโอเคไหม ฉันไม่นึกว่ามันจะโดน ไหนดูหน่อยสิ”
“ซอฮันจุน นี่”
พอได้เห็นใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าเลือดออกเยอะมาก ฮันจุนไม่เคยเห็นยูแจเลือดกำเดาไหลมาก่อนเลยสักครั้ง เพราะยูแจเป็นคนที่แข็งแรงมาโดยตลอด เขารู้สึกกระวนกระวายเพราะเขาไม่อาจมองเห็นบาดแผลได้เนื่องจากบนใบหน้าของยูแจนั้นเปื้อนเลือดเต็มไปหมด
“ไม่มีแผลตรงไหนใช่ไหม”
“เจ็บ เดี๋ยวๆๆ”
พอยูแจยู่หน้าพลางรั้งข้อมือของฮันจุนเอาไว้ ฮันจุนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ากุมแก้มของอีกฝ่ายแน่นเกินไปจึงสะดุ้งตกใจก่อนจะปล่อยมือ ยูแจก้มหน้างุดพลางครางโอดโอยด้วยเสียงที่ทั้งต่ำและแผ่วเบามาก มีเพียงฮันจุนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเจ้าตัวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงครางนี้
“ขอทิชชูหน่อย”
ยูแจบีบไหล่ของฮันจุนก่อนจะพูดขึ้น
ทิชชู? กลางสนามแบบนี้จะมีของแบบนั้นได้ยังไงกัน
ฮันจุนเลิกชายเสื้อชุดพละของตัวเองขึ้นหวังจะใช้มันเช็ดเลือดให้ ทว่าโชยูแจนั้นตัวสูงเกินไป ฮันจุนจึงถอดเสื้อออกอย่างไม่ลังเล
“นี่ นาย-”
ฮันจุนกำเสื้อพละไว้โดยใช้ส่วนแขนเสื้อที่ไม่เลอะเหงื่อเช็ดเลือดกำเดาออกให้ ถึงแม้ยูแจจะต่อต้าน แต่ฮันจุนก็ไม่สนใจ เขาพยายามเช็ดเลือดออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะพินิจมองดูรอบๆ จมูกอย่างละเอียด ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่ไม่มีบาดแผล
นี่เราเอาแต่จ้องหน้าหมอนี่จนไม่มีสติแล้วเผลอปาลูกบอลเล็งไปที่หน้าโดยไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย
ฮันจุนแค่นหัวเราะออกมาพลางคิดว่านี่เขาทำบ้าอะไรลงไป ความรู้สึกกังวลพลันหายไปหลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าบนใบหน้านั้นไม่มีบาดแผล ยูแจปาชุดพละใส่อกเปลือยของฮันจุนที่กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่
“นายเอาเสื้อมาเช็ดได้ยังไง เลือดมันน่าจะซักไม่ออกนะ”
“แล้วไงอะ เช็ดแก้มข้างนี้ด้วย”
“ไม่ต้องแล้ว ใส่เสื้อซะ”
ยูแจส่ายศีรษะพลางเอ่ยปฏิเสธอย่างจริงจัง
นี่ก็ใกล้จะปิดเทอมภาคฤดูร้อนแล้ว อีกอย่างพอพ้นช่วงปิดเทอมไป ยังไงก็คงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องใส่อยู่ดี…
“ยังไงซะก็คงไม่ได้ใส่เสื้อพละอีกแล้วแหละน่า”
“ใส่เถอะ”
ยูแจขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดย้ำอีกครั้ง ฮันจุนจึงพาดเสื้อพละไว้บนไหล่อย่างไม่เต็มใจเท่าไร ทว่าพอได้สติขึ้นมา เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าสายตาของทุกคนที่อยู่รอบๆ ตอนนี้กำลังจับจ้องมาที่เขา
“ขอตัวไปห้องพยาบาลก่อนนะ ไม่ต้องห่วง!”
ยูแจโบกมือให้เพื่อนๆ แล้วเอื้อมมือมาโอบหลังของฮันจุน ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“นี่ ทำไมทำหน้าอย่างกับจะเป็นจะตายอย่างนั้นล่ะ เวลาเด็กผู้ชายเล่นกันมันก็ต้องมีเลือดตกยางออกบ้างสิ”
แชยองพูดปลอบใจ ก่อนฮันจุนที่กำลังยืนเหม่อลอยรอยูแจอยู่ตรงโถงทางเดินจะเงยหน้าขึ้น
‘อุบัติเหตุที่เด็กผู้ชายเล่นด้วยกันแล้วได้เลือด’ ดูท่าแชยองจะสรุปเหตุการณ์ได้อย่างนั้น แต่ถ้าบอกว่าเป็น ‘อุบัติเหตุที่เกิดจากการเอาแต่เหม่อมองใบหน้าของผู้ชายที่ชอบแล้วดันเผลอไปปาลูกบอลอัดใส่หน้าเขาจนเลือดกำเดาไหลในระหว่างเล่นดอดจ์บอล’ นั้นน่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงเสียมากกว่า
มิหนำซ้ำระหว่างที่กำลังเดินไปห้องพยาบาล เลือดกำเดาที่เขาคิดว่าหยุดไปแล้วกลับไหลทะลักออกมาอีกครั้ง ถึงยูแจจะบอกว่าไม่ต้องใส่ใจแล้วเดินกุมจมูกเข้าห้องพยาบาลไป แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“เลือดกำเดาหมอนั่นไหลอีกแล้ว”
“ก็โดนอัดเข้าซะเต็มแรงเลยไม่ใช่หรือไง เสียงดังพลั่กเลยนี่”
แชยองหัวเราะพลางพูดล้อ ก่อนจะหันไปชมฮันจุน
“ซอฮันจุน บอกตามตรงเลย นายรู้ไหมว่าตอนนายถอดเสื้อเมื่อกี้น่ะ ฉันตกใจมาก”
“ทำไมอะ เพื่อนผู้ชายคนอื่นที่เล่นน้ำแล้วถอดเสื้อวิ่งไปวิ่งมาก็มีตั้งเยอะแยะ”
“เจ้าพวกนั้นมันมีแต่กระดูก ไม่เหมือนนายสักหน่อย”
ฮันจุนย่นจมูกหน่อยๆ พลางยิ้มด้วยความเขินอาย จากนั้นเธอก็เอ่ยปากชมเสียจนโอเวอร์ ทำเอาฮันจุนรู้สึกเขินจนหน้าแดง
“หลังจากที่พวกนายไปห้องพยาบาล เพื่อนทุกคนต่างก็บอกว่าหุ่นนายน่ะโคตรสุดยอดเลย แต่พูดแบบนั้นทั้งๆ ที่ยูแจเลือดกำเดาไหลอาบเนี่ยนะ ตลกชะมัด”
“นี่ พอได้แล้วน่า”
“แต่จะว่าไปแล้วยูแจเนี่ยเล่นดอดจ์บอลสู้นายไม่เคยได้เลยจริงๆ ทั้งที่โดนนายปาบอลอัดอยู่ทุกวัน แต่ทำไมถึงยังมาท้านายอยู่เรื่อยเลยนะ คนทึ่มนี่มันก็ทึ่มจริงๆ เลย”
“หมอนี่มันไม่ได้สนใจเรื่องแพ้เรื่องชนะหรอก ก็แค่เล่นสนุกๆ เท่านั้นแหละ”
แชยองจ้องฮันจุนนิ่งเพราะคำพูดที่โพล่งออกมาเมื่อครู่ เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
“ทั้งที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ชอบเอาชนะขนาดนั้นแท้ๆ คิดไม่ถึงเลยแฮะว่าจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉันล่ะชอบจริงๆ พอดีฉันไม่ชอบคนที่ชอบทำตัววุ่นวายและยึดติดกับคำว่าแพ้ชนะน่ะ”
“…งั้นสินะ”
“ความรักเนี่ยมันคงบังตาสินะ”
ฮันจุนตอบกลับไปแบบลอยๆ ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกเก้อเขินหรืออย่างไร เธอถึงได้แกล้งกระแอมในลำคอพลางยืนเอาหลังพิงกำแพง
“จะยังไงก็เหอะ! นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ช่วงนี้หมอนั่นอารมณ์ดี คงไม่ถือโทษโกรธนายหรอก”
“มีเรื่องอะไรดีๆ งั้นเหรอ”
แชยองทำหน้าแปลกๆ กับคำถามของฮันจุนที่ย้อนกลับมาถามเธออย่างไม่คิดอะไร เธออ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้นราวกับว่ากำลังลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“นายไม่รู้เรื่องเลยเหรอ มันเป็นข่าวที่ดีมากๆ เลยนะ”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ”
“นายไม่รู้ได้ยังไงกัน เรื่องมันตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนะ ฉันนึกว่านายจะรู้อยู่แล้วซะอีก”
แชยองลังเลพลางเหลือบมองไปทางห้องน้ำก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นเสียงเบา
“ฉันได้ยินมาว่าพ่อยูแจน่ะ…ได้เงินก้อนใหญ่มาจากการเล่นหุ้น”
“นายบอกฉันมาตรงๆ เถอะน่า ฉันทำอะไรให้นายงอนงั้นเหรอ”
ยูแจยิ้มกว้างพลางยื่นหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ ฮันจุนที่อดรู้สึกสงสารไม่ได้กับการที่เห็นอีกฝ่ายเอาทิชชูยัดจมูกไว้ เขาเลยยอมถือกระเป๋าให้ แต่เจ้าตัวกลับเดินตัวปลิวเข้ามาเบียดเขาซ้ายทีขวาที แถมยังแกล้งหยอกเขามาตลอดทาง
“อย่ามาพูดนะว่าแค่อยากหยอกกันเล่นโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ”
“เข้าใจแล้วคร้าบ ทำหน้าทำตาซีเรียสไปได้”
“เดี๋ยวฉันไปส่งที่ห้อง”
“หืม? จริงจังปะเนี่ย”
ไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้มันสนุกตรงไหนยูแจถึงได้มีความสุขจนยิ้มตาปิดแบบนั้น ฮันจุนจับแขนยูแจแล้วดึงเข้ามาให้อยู่นิ่งๆ ก่อนที่รถจักรยานจะขี่ผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
ยูแจที่ถูกดึงตัวมาอย่างง่ายดายเนียนเอื้อมมือไปคว้าแย่งกระเป๋าที่ฮันจุนสะพายไว้หน้าด้านมา หลังจากที่แย่งกระเป๋าของตัวเองมาสะพายสำเร็จแล้ว เขาก็ดึงทิชชูที่ยัดอยู่ในจมูกออก
“ยิ้มหน่อยสิ ฉันไม่เป็นไรแล้วน่า แต่ไอ้เรื่องที่นายบอกว่าจะไปส่งอะ ฉันไม่ห้ามหรอกนะ”
ยูแจพูดพลางลูบจมูกที่แดงระเรื่อของตัวเอง
นี่เราดูอารมณ์ไม่ดีอยู่เหรอ ก็ไม่ได้ทำหน้าหงิกสักหน่อยนี่
ฮันจุนแอบเหลือบตาพินิจมองยูแจ
‘ได้เงินก้อนใหญ่จากการเล่นหุ้น’
คำพูดที่แชยองทำเป็นกระซิบกระซาบพูดออกมาอย่างระมัดระวังนั้นยังคงลอยวนอยู่ในสมอง ยูแจเป็นคนประเภทที่ไม่ว่าจะเจอดีหรือร้ายอย่างไร บนใบหน้าเขาก็จะประดับไปด้วยรอยยิ้มเสมอ ความคิดนี้มันอาจจะฟังดูไร้เหตุผลไปสักหน่อย แต่โชยูแจในตอนนี้นั้นก็ยังคงดูร่าเริงอย่างเห็นได้ชัดจนเขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
แก้มเขาชาวูบไปหมดราวกับว่าเขากำลังฝืนยิ้มอยู่ พอเริ่มรู้สึกตัว เขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการที่จะต้องปั้นหน้าฝืนยิ้มต่อไป ก่อนจะเดินมองไปทางด้านหน้า
เรื่องมันเกิดขึ้นเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ทำไมถึงไม่เคยเล่าให้ฟังบ้างเลยล่ะ
ทั้งๆ ที่ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็เล่าให้กันฟังตลอด แต่กับเรื่องที่น่ายินดีของครอบครัวแบบนี้ ทำไมถึงไม่บอกกัน
ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องที่แม้แต่แชยองก็ยังรู้
แล้วกับฉันล่ะ…ทำไมนายถึงไม่บอกกันบ้าง
ตั้งใจที่จะปิดบังฉันไว้เพราะรู้สึกผิดที่จะต้องพูดอย่างนั้นสินะ
หรือเป็นเพราะว่าฉันมันจนกันล่ะ…?
ฮันจุนมองไปยังรถยนต์ที่จอดเรียงกันเป็นแถวในซอยทีละคัน
สีดำ สีแดง สีขาว…
ทั้งๆ ที่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปยังที่อื่นแล้ว แต่หัวใจเขากลับรู้สึกราวกับกำลังถูกบีบรัด
ฮันจุนเกลียดที่ต้องฝืนคิดว่ามันเป็นข่าวดีที่เขาควรจะพูดคำยินดีออกไปก่อน และเกลียดที่ตัวเองรู้สึกเจ็บปวดใจกับเรื่องที่ควรจะต้องยินดีแบบนี้
ถ้าต่อจากนี้ยูแจจะสามารถซื้อทุกอย่างที่อยากกินได้ แค่นั้นมันก็ดีพอแล้วล่ะ มันต้องดีอยู่แล้วสิ
ยังไงซะเราก็ต้องเป็นฝ่ายพูดแสดงความยินดีออกไปก่อน หมอนี่จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด เราก็แค่ใส่ใจหมอนี่ ไม่เห็นจะต้องมีอะไรให้รู้สึกเจ็บปวดเลย
ในจังหวะที่ฮันจุนกำลังลังเลว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี ยูแจก็เอาตัวเข้ามากระแซะไหล่เขาพลางกระซิบ
“เหมือนยุนแชยองจะมาสารภาพรักกับฉันเลย พอดีว่าเธอมาชวนฉันแยกออกไปน่ะ”
“อ๋อ งั้นเหรอ”
“อื้อ ใจร้อนจริงๆ เลยแฮะ เธอบอกว่าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเพราะฉัน พูดมาขนาดนี้แล้วมันก็เท่ากับสารภาพรักแล้วไม่ใช่หรือไง”
ยูแจหัวเราะพลางบอกว่าเธอน่ารัก ฮันจุนจ้องมองไปยังกำแพงที่มีฝุ่นเกาะหนาก่อนจะถามกลับ
“แล้วนายตั้งใจจะตอบเธอว่าไง”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่คบกับเธออยู่แล้วแหละ แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธเธอเลยแฮะ”
“ยังไงซะนายก็ต้องเลือกสักทาง”
ยูแจพยักหน้าไปส่งๆ ฮันจุนจึงปิดปากเงียบสนิทเพราะไม่อยากพูดอะไรเพิ่มเติม และในจังหวะที่เขาคิดจะตีเนียนเปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องหุ้น ยูแจก็เอ่ยปากถามสวนขึ้นมาเสียก่อน
“แม่นายเป็นไงบ้าง งานขายประกันนั่นน่ะไปได้สวยไหม”
ไม่รู้ว่าความซุกซนขี้เล่นบนใบหน้าของยูแจหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทันทีที่ฮันจุนได้สบกับสายตาจริงจังที่มองมา เขาก็หลงลืมทุกคำที่จะพูดไปเสียสนิท
“ก็ไม่อะ ตอนที่ฉันได้ยินครั้งแรก ฉันก็คิดไว้อยู่แล้วแหละว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับแม่เท่าไหร่”
“ถ้ามันไปได้สวยก็คงจะดีสิเนอะ”
เสียงที่พูดพึมพำนั้นฟังดูหนักอึ้ง ฮันจุนชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของยูแจสักพักก่อนจะหันหน้ากลับมา
ได้ยินมาจากแชยองว่านายมีข่าวดี
ได้ข่าวว่าหุ้นที่พ่อนายเล่นกำลังไปได้ดีนี่ นี่ ฉันดีใจด้วยนะ
นี่ ฉันได้ยินข่าวแล้วนะ ทำไมนายไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังบ้างเลยล่ะว่ามีเรื่องอะไรดีๆ น่ะ
ฮันจุนสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะเปล่งเสียงพูดออกไป แต่ท้ายที่สุดแล้วคำพูดที่พูดออกมานั้นกลับต่างออกไปจากคำพูดที่อยู่ภายในใจอย่างสิ้นเชิง
“ช่วงนี้บ้านนายไม่มีเรื่องอะไรบ้างเหรอ”
“ก็ไม่มีนี่?”
ยูแจตอบกลับมาทันทีโดยไร้ซึ่งท่าทีลังเล ในระหว่างที่มองรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่าย คำพูดมากมายที่ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ภายในหัวเขาก็สลายหายไป จนสุดท้ายก็ไม่เหลือคำพูดใดเลยแม้แต่คำเดียว
“งั้นสินะ”
ฮันจุนยิ้มตอบกลับไปโดยที่แก้มของเขานั้นชาไปหมด
เมื่อฮันจุนไปส่งยูแจแล้วกลับมาถึงห้อง แม่ของเขาก็กำลังผัดปลาแอนโชวี่อยู่ในห้องครัว ทันทีที่เดินผ่านประตูห้องเข้ามา ฮันจุนก็ได้กลิ่นปลาแอนโชวี่ผัดหอมฟุ้ง ก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง วันนี้แม่เขาเลิกงานเร็วกว่าทุกๆ วัน
“วันนี้แม่รีบกลับเหรอครับ”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ”
“ในตู้เย็นมีกับข้าวเหลือตั้งเยอะ ทำไมแม่ถึงผัดปลาแอนโชวี่อีกล่ะครับ”
ฮันจุนวางกระเป๋าลงแล้วเดินไปยืนข้างแม่ เพียงมองด้านข้างแค่ปราดเดียวฮันจุนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่หนักอึ้งของเธอในทันที เขาเอาไหล่กระแซะแม่พร้อมกับยิ้มให้ ก่อนที่แม่จะหลับตาลงเบาๆ
“แค่ทำทิ้งไว้เฉยๆ ก็ลูกแม่คนนี้กินเก่งนี่นา”
เขารู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากน้ำเสียงพึมพำแผ่วเบานั่น หางตาที่หย่อนคล้อยก็ดูจะหนักขึ้นทุกครั้งยามกะพริบตาช้าๆ
“เดี๋ยวผมทำเอง ใกล้จะเสร็จแล้ว แม่ไปพักเถอะ”
ฮันจุนพูดขึ้นพลางแย่งตะเกียบออกจากมือของเธอ
“แม่ทำจนเสร็จหมดแล้ว จะมาทำองทำเองอะไรกัน”
“น่าอร่อยจัง กลิ่นหอมมาก”
“ถ้าหิวก็กินสักหน่อยสิ ข้าวอยู่ในตู้เย็น เอาไปอุ่นในไมโครเวฟเอา”
“ผมกินได้เลยเหรอครับ”
ถึงจะเป็นแค่ปลาแอนโชวี่ผัดที่กินอยู่บ่อยๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ว่าฮันจุนก็ตั้งใจเอ่ยปากชม เขารู้ดีว่าจิตใจของแม่กำลังอยู่ในสภาวะที่ความมั่นใจในตัวเองลดลงไปเยอะมากเพราะงานขายประกันนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ถึงแม่จะไม่ได้บ่นต่อหน้า แต่เขาก็เคยแอบได้ยินโดยบังเอิญเวลาแม่คุยโทรศัพท์แล้วเขาเดินผ่าน เขาจึงรู้ดีว่าเธอกำลังทุกข์ใจมากแค่ไหนกับความภาคภูมิใจที่ค่อยๆ พังทลายลงในแต่ละวัน
ฮันจุนเงี่ยหูแอบฟังเสียงจากด้านนอกท่ามกลางความรู้สึกสับสนภายในใจ เจ้าของห้องที่อาศัยอยู่ชั้นบนมักจะลงมาทวงค่าเช่าห้องตอนเย็น หรือไม่ก็ตอนดึกๆ ที่ปกติแล้วจะเป็นเวลาที่แม่กำลังทำงานอยู่ เดิมทีแม่ก็เป็นคนปากหนักไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่อยากเผชิญหน้ากับแม่ที่กำลังเหนื่อยล้า
ก่อนอื่นต้องแก้ไขปัญหาเรื่องค่าเช่าสองเดือนที่ต้องรีบจ่ายก่อน เขาคิดว่าจะหยุดเรียนพิเศษเร็วกว่าที่วางแผนเอาไว้สักหนึ่งเดือน แล้วนำเงินที่เหลือนั้นไปช่วยแม่จ่ายค่าเช่า แม้ว่ามันจะไม่ใช่เงินจำนวนมากเท่าไรก็ตาม ฮันจุนสูดจมูกพลางลอบสังเกตแม่ มันยากที่จะพูดต่อหน้าแม่ที่กำลังรู้สึกอ่อนล้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงออกไปว่าจะเอาเงินค่าเรียนพิเศษที่เก็บสะสมมานานไปช่วยจ่ายค่าเช่าห้อง
“เออใช่ เรื่องที่ผมเรียนพิเศษอยู่”
ฮันจุนตักปลาแอนโชวี่ผัดใส่ในกล่องเครื่องเคียงแล้วเนียนชวนคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พอลองไปเรียนแล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย อุตส่าห์คาดหวังเอาไว้เยอะ แต่มันก็งั้นๆ อะ ผมเลยกะว่าจะเรียนแค่ถึงเดือนหน้าพอ”
“ไหนตอนแรกบอกว่าจะเรียนสามเดือนไง ไหนๆ ก็ลงเรียนไปแล้ว ก็เรียนให้ครบสามเดือนสิลูก”
“ก็มันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลยนี่แม่ ถ้าเรียนแล้วมันได้ผลลัพธ์ที่ดีจริงๆ ผมเองก็อยากจะเรียนต่ออยู่หรอก…เอ๊ะ แต่จริงๆ แล้วมันก็มีดีอย่างตรงที่ได้เพื่อนใหม่นี่แหละ”
ถึงแม้มันจะเป็นคำพูดที่พูดเพื่อแม่ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่สถาบันสอนพิเศษไม่ได้ช่วยอะไรมากขนาดนั้น ดังนั้นใจจริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากนัก หากว่ามีหนึ่งสิ่งที่จะต้องเสียดาย นั่นก็คงเป็นการที่จะไม่ได้เจอเพื่อนๆ ในสถาบันสอนพิเศษที่มักจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานทุกวันในกรุ๊ปแชต
“อีกอย่างตอนปิดเทอมอ่านหนังสือที่ห้องก็สบายกว่าด้วย แถมอีกไม่นานก็จะสอบซูนึงแล้ว ถึงค่าเรียนพิเศษหนึ่งเดือนมันอาจจะไม่เยอะมาก แต่แม่เอามันไปจ่ายค่าเช่าห้องก่อนเถอะ คุณป้าเขาเองก็กำลังลำบากอยู่เหมือนกัน”
แม่หันหน้าไปเงียบๆ กับคำพูดของฮันจุนที่พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร ซึ่งท่าทีนั้นมันทำให้เขารู้สึกแย่เพราะความรู้สึกเจ็บปวดที่สาดซัดเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและกลัวที่จะพูดปลอบใจออกไปอย่างเปิดเผย ฮันจุนถือกล่องเครื่องเคียงมาวางบนโต๊ะ ก่อนที่แม่ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะเงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นดวงตาอันหม่นหมอง
ในขณะที่ฮันจุนกำลังคิดหาเรื่องอื่นมาเบี่ยงประเด็นสนทนาอยู่นั้น จู่ๆ เรื่องของโชยูแจก็ผุดแวบเข้ามาในหัว แม่ของเขาสนิทกับแม่ของยูแจ และแม่เองก็เอ็นดูยูแจเอามากๆ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าบางทีแม่อาจจะรู้สึกยินดีกับข่าวดีนี้ก็ได้ สิ่งที่ยูแจพูดเมื่อเย็นนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าตัวกำลังเป็นห่วงในเรื่องที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ชีวิตของตัวเองในตอนนี้ก็ไปได้ดีแล้ว ไม่เห็นจะต้องมาเป็นห่วงแม่เขาเลยสักนิด
ฮันจุนคลี่ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “แม่ วันนี้ผมได้ยินข่าวดีมาด้วยล่ะ ได้ข่าวว่าบ้านของยูแจได้เงินจากหุ้นมาเยอะเลย”
“เฮอะ!”
ทันทีที่พูดจบแม่ก็แค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่ว่าจะฟังอย่างไรมันก็ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่มีความหมายในแง่ดี ฮันจุนพลันปิดปากเงียบสนิท ก่อนที่แม่จะจัดการเก็บของไม่กี่อย่างบนโต๊ะกินข้าวไปพลางบ่นไป
“ต่อให้ลูกไม่บอก แม่เองก็ได้ยินมาก่อนบ้างแล้วล่ะ นึกไว้แล้วแหละ พอได้ดิบได้ดีแล้วก็ไม่ยอมรับสายกันเลย เมื่อก่อนทีตอนมาขอกิมจิยังโทรมาหา ทำเป็นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่ออกบ่อย”
“…”
“มนุษย์ก็แบบนี้แหละ ใช้ชีวิตแบบนั้นคงจะเจริญหรอก ซอฮันจุน ลูกเองก็ฟังไว้ให้ดีๆ คนเราน่ะนะ ยามจะมีหรือไม่มีก็ห้ามทิ้งกันเด็ดขาด ไอ้พวกคนที่พอได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วก็เชิดหน้าหนีน่ะ ลูกเองก็ดูเอาเถอะ ชีวิตของคนพวกนั้นมันจะดีไปได้สักกี่น้ำ”
ดวงตาของแม่แดงก่ำในเวลาเพียงชั่วครู่ที่พูดออกมาได้ไม่กี่คำ แม่ยกชาข้าวบาร์เล่ย์ขึ้นดื่มหมดแก้ว ก่อนจะถอนหายใจ
“จู่ๆ ก็ตัดการติดต่อไปแบบนั้น คงกลัวใครแถวนี้จะโทรไปยืมเงินเข้าล่ะมั้ง ทั้งที่ปกติถ้าเป็นเมื่อก่อน คนเป็นเมียก็ด่าผัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่พอได้ดีเข้าหน่อย…พูดไม่ออกเลยจริงๆ พวกเศรษฐีใหม่มันก็เป็นแบบนี้กันหมดสินะ ถ้าเป็นแม่ อย่างน้อยๆ แม่ก็คงจะช่วยทำประกันให้กันสักเล่ม”
ประกัน…
จู่ๆ ฮันจุนก็นึกถึงคำถามที่ยูแจถามขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน มันเป็นคำพูดที่เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความใส่ใจ
‘แม่นายเป็นไงบ้าง งานขายประกันนั่นน่ะไปได้สวยไหม’
“แม่บอกเรื่องงานขายประกันกับบ้านยูแจด้วยเหรอ”
เพราะความใคร่รู้ ฮันจุนจึงไม่ทันได้คิดว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังคำพูดของตน แม่ลูบแก้วพลางจ้องมาที่ฮันจุนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย ตาขาวของเธอแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง
“ใช่ ทำไม ขายหน้าหรือไง”
เธอถามเสียงแข็ง ฮันจุนตกใจจนไม่อาจตอบกลับไปได้ แม่มองเขาอยู่ครู่หนึ่งพลางกัดริมฝีปากแน่นจนขึ้นสีขาวซีด แก้มที่หย่อนคล้อยของเธอสั่นไหวเล็กน้อย
แม่เดินเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งฮันจุนไว้ที่ห้องครัวคนเดียวพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลงดังปัง
ฮันจุนได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ อยู่สักพักก่อนจะลุกยืนขึ้น ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะเข้าใจถึงความหมายของคำพูดที่แม่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ กลิ่นปลาแอนโชวี่ผัดยังคงหอมอบอวลอยู่ไม่จาง ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงจินตนาการที่เกิดขึ้นอยู่ภายในหัว
เขาเอากล่องเครื่องเคียงใส่ไว้ในตู้เย็นแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าห้อง รอให้ความรู้สึกเจ็บแปลบภายในใจทุเลาลง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
แม่กำลังนอนตะแคงหันหลังให้ แม้ว่าเขาจะส่งเสียงเรียก แม่ก็ไม่หันหลังกลับมามอง ฮันจุนลอบเดินเข้าไปนอนอยู่ข้างๆ ด้านหลังของแม่ ตรงหน้าเขาคือเส้นผมที่มีสีดอกเลาแซมอยู่ทั่ว เขาวางมือลงบนแผ่นหลังอันบอบบางที่ราวกับจะหลอมละลายหายไปใต้ฝ่ามือเขา หากสัมผัสโดนความร้อนจากฝ่ามือเพียงเสี้ยววินาที เขารู้สึกได้ว่าแผ่นหลังผอมแห้งสั่นไหวยามที่เขาค่อยๆ ลูบไปมาอย่างเบามือ ก่อนเสียงหายใจของเธอจะเริ่มสั่น
“แม่”
“…”
“แม่ ผมขอโทษ ที่ผมพูดไป ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมรักแม่นะ”
ฮันจุนเค้นคำพูดที่ปกติไม่ค่อยได้พูดบ่อยๆ ออกมา หัวใจของเขาแตกสลาย เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำตาของแม่ เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นโอบกอดร่างกายเล็กๆ ของแม่จากทางด้านหลัง รอคอยอย่างเงียบๆ จนกว่าความโกรธจะจางหายและความสั่นไหวนี้จะหยุดลง
ยุนแชยอง
[รูปภาพ]
555555 มีคนถ่ายซอฮันจุนตอนถอดเสื้อวันนี้ไว้ด้วย ถึงจะเห็นแค่หลังเพราะถ่ายจากข้างหลังก็เหอะ แต่หุ่นนายนี่มันสุดยอดเลย (9.22 PM)
อีอินกยู
ยุนแชยอง เธอเป็นพวกโรคจิตหรือไง อ่านหนังสือซะบ้างเถอะ (9.23 PM)
ยุนแชยอง
ก็กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่นี่ไง ^^ คิกๆ (9.25 PM)
พัคจินฮวาน
ว้าว โคตรเท่เลย ฮันจุนอา นี่นายออกกำลังกายมานานหรือยังเนี่ย (9.25 PM)
โชยูแจ☆
นี่มันรูปแอบถ่ายไม่ใช่หรือไง (9.26 PM)
เมื่อมาถึงสนามเด็กเล่นแล้วเปิดมือถือดู ฮันจุนก็เห็นแชตของทุกคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับรูปของเขาในกรุ๊ปแชต เขาเลิกคิ้วดูรูปนั้นซึ่งถูกถ่ายไว้ตอนที่เขาไม่รู้ตัว
เขาไม่รู้เลยว่านี่เป็นแผ่นหลังของเขา เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นแผ่นหลังของตัวเองมาก่อน แต่ภาพมันก็ออกมาดูดีมาก ฮันจุนถูกใจภาพนั้นจึงกดเซฟเอาไว้ก่อนจะเห็นข้อความที่เด้งเข้ามาเรื่อยๆ
ยุนแชยอง
แอบถ่ายงั้นเหรอㅠㅠแต่ฉันก็ส่งแค่ในแชตนี้นะ…ฮันจุนอา ไม่โกรธฉันใช่ไหม (9.30 PM)
อีอินกยู
ถามจริงนะยุนแชยอง เธอเมินคำพูดฉันแต่ดันใส่อีโมติค่อน ‘ㅠㅠ’ กับโชยูแจเนี่ยนะ (9.32 PM)
ยุนแชยอง
แล้วไงอะ ก็ฉันไม่ได้พูดกับนายนี่ (9.32 PM)
ฮันจุน
(9.35 PM) 55555555 ไม่เป็นไรหรอกน่า รูปสวยดีออก
ฮันจุนพิมพ์คำว่าไม่เป็นไรแล้วกดส่งไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากมือถือมองท้องฟ้าวันนี้ที่มืดสนิท
เด็กคนหนึ่งกำลังขี่สกู๊ตเตอร์ในขณะที่หัวเราะไปด้วยพลางตะโกนเรียกน้อง ก่อนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ถักเปียสวยจะวิ่งตามหลังเด็กคนนั้นไป ทุกๆ ครั้งที่เท้าเล็กนั้นเหยียบลงพื้น รองเท้าก็จะมีแสงสีฟ้ากับสีแดงเรืองวิบวับสลับกัน
ฮันจุนฮัมเพลงพลางฟังเสียงหัวเราะของเด็กๆ พวกนั้น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ตัวคนเดียวแบบนี้
ในจังหวะเดียวกันกับที่เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ตัวคนเดียว โทรศัพท์ที่กำอยู่ในมือก็สั่น โดยสายที่โทรเข้ามานั้นก็คือยูแจ
จะยังไงก็เหอะ หมอนี่รู้ได้ยังไงกันว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่
ฮันจุนยกมือขึ้นมาขยี้ดวงตาที่ตอนนี้แห้งมากของตัวเอง ก่อนจะรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
“ทำอะไรอยู่”
“ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก แค่มานั่งชิงช้าอยู่ที่สนามเด็กเล่น”
“เห็นอ่านข้อความแล้วเงียบไปเลยนึกว่าทำอะไรอยู่ ให้ไปหาตอนนี้ไหม”
ถึงมันจะไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่อีกฝ่ายโทรมาแล้วออกมาหากันอย่างกะทันหันแบบนี้ ทว่าวันนี้เขากลับไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายเลย เขาไม่อยากเล่าเรื่องแม่ให้ยูแจฟัง และเขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะปั้นหน้าแสร้งยิ้มทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่หัวใจยังคงรู้สึกเจ็บแปลบอยู่แบบนี้
“ไม่ต้องหรอก ยุงเยอะ อีกเดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว”
“เดี๋ยวฉันเอาสมุดจดศัพท์ออกไปด้วยแล้วเรามาทายศัพท์กัน รอก่อนนะ ถ้าวิ่งไปก็สักสิบนาทีได้แหละ”
“แล้วระหว่างนั้นล่ะ นายกะจะให้ฉันโดนยุงหามหรือไง เอาไว้ก่อนเถอะน่า ไว้เจอกันพรุ่งนี้ดีกว่า”
“…ช่วยรอเจอหน้ากันหน่อยนะ ตอนนี้ฉันไม่อยากอยู่ห้องน่ะ”
น้ำเสียงของยูแจค่อยๆ แผ่วลง พอได้ยินคำว่าไม่อยากอยู่ห้อง เขาก็เผลอนึกถึงคำพูดของแม่ที่พูดออกมาด้วยความโมโหนั่น…รวมถึงเรื่องประกันด้วย
พ่อแม่ของยูแจเป็นพวกปากเปราะที่ไม่ว่าเรื่องนั้นจะควรพูดหรือไม่ก็มักจะพูดมันออกมาให้ยูแจฟังเสมอ
บางที…พวกเขาคงไม่ได้เล่าเรื่องแม่ของเราให้ยูแจฟังหรอกนะ
เขาไม่ชอบเวลาที่มีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมาในหัวเลย ฮันจุนรีบตอบกลับไปทันทีก่อนที่จะเปลี่ยนใจ
“อืม ถ้างั้นก็รีบมา”
“โอเค! รอแป๊บ”
เสียงกระหืดกระหอบราวกับเจ้าตัวกำลังวิ่งดังขึ้นก่อนที่สายจะถูกตัดไป ฮันจุนยกยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงภาพยูแจกำลังวิ่งออกมา
ฮันจุนนั่งเหม่อมองดูกรุ๊ปแชตระหว่างรอยูแจมาถึง แชยองกำลังส่งอีโมติคอนน่ารักๆ มาทีละอัน เขาเลื่อนมือไปกดดูรูปโพรไฟล์ของแชยอง มันเป็นรูปข้อมือที่ผูกริบบิ้นเอาไว้ ริบบิ้นสีชมพูที่โชยูแจเอามาผูกให้หลังจากกินเปเปโรหมดแล้ว
‘นายไม่รู้ได้ยังไงกัน ฉันนึกว่านายจะรู้อยู่แล้วซะอีก’
เสียงของแชยองดังขึ้นมาในหัว ฮันจุนครุ่นคิดหาคำตอบของคำถามนั้น และแล้วหลังจากที่เรียบเรียงทุกอย่างในหัวได้ คำตอบนั้นมันก็กระจ่างชัดขึ้นมา
เหตุผลที่ไม่ยอมบอกในสิ่งที่อย่างไรเสียสักวันก็ต้องได้รู้อยู่แล้วนั้น…บางทีโชยูแจอาจจะมีความสุขและรู้สึกวางใจเมื่อได้อยู่ต่อหน้าแชยอง แต่กับเขาแล้วมันคงไม่ใช่แบบนั้น
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาจะสามารถเอื้อนเอ่ยคำยินดีนั้นออกไปจากใจจริงได้หรือไม่ ช่วงเวลาที่แม่ของพวกเขาไปเจอกัน เที่ยวในช่วงเทศกาลด้วยกัน แบ่งปันกิมจิให้กัน ไปเล่นที่ด้านหลังภูเขาด้วยกัน ภาพพวกนั้นพลันสลายหายไปในพริบตา หลังจากที่ผู้ใหญ่แตกหักกันไปง่ายๆ แบบนั้น มันก็คงแน่นอนอยู่แล้วที่ยูแจจะทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
เขาเข้าใจยูแจ จะว่าเข้าใจมันก็เข้าใจในระดับหนึ่ง แต่อีกใจมันก็ยังคงรู้สึกค้างคา ถึงแม้ว่าเขาจะปรารถนาให้ยูแจมีชีวิตที่ดีและมีความสุขกับโชคลาภนั่น แต่เขาก็เกิดรู้สึกขึ้นมาว่าไม่อยากเอาเรื่องแม่หรือเรื่องสถานการณ์ภายในบ้านที่ยากลำบากไปแบ่งปันให้ยูแจฟังอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูดเพราะมันทำให้เขารู้สึกมีปมด้อย แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้ยูแจมารับฟังเรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกผิด การที่ยูแจไม่ยอมปริปากพูดเรื่องนั้นกับเขา บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเหตุผลเดียวกัน
ฮันจุนตัดสินใจที่จะรอจนกว่ายูแจจะเป็นฝ่ายพูดเรื่องนั้นออกมาในตอนที่เจ้าตัวรู้สึกสบายใจมากกว่านี้ มันคงจะดีกว่าการที่เขาพูดมันออกไปก่อนเอง นอกจากวิธีนั้นแล้วเขาก็นึกวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกเลย
“เฮ้อ…”
สายชิงช้าถูกดึงอย่างแรง ฮันจุนตกใจเลยเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัววิ่งมาโดยไม่ได้หยุดพักฝีเท้าเลยหรืออย่างไร ถึงได้หอบหายใจถี่โดยมีเหงื่อไหลอาบเต็มใบหน้าแบบนี้
ทันทีที่เห็นหน้าเขา ฮันจุนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ยูแจวิ่งไปมาอยู่กับที่เพื่อไล่ยุงที่บินมาตอมดมกลิ่นกาย ก่อนฮันจุนจะลุกพรวดขึ้นไล่ยุงที่อยู่บนกายตัวเองบ้าง
“บอกแล้วไงว่ายุงมันเยอะ”
“เออ เยอะชะมัดเลย”
“กินข้าวมาหรือยัง”
“กินรองท้องไปบ้างแล้วล่ะ ว่าแต่นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ตาดูแดงๆ นะ”
“แดงเพราะไฟล่ะมั้ง”
ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดภายในใจของเขามันจะแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด ในขณะที่ฮันจุนกำลังคิดว่าจะแสร้งทำเป็นหันมองไปรอบๆ เพื่อหลบหน้า คางของเขาก็ถูกอีกคนจับไว้มั่น
“ไฟแถวนี้ไม่ได้มีสีแดงสักหน่อย”
ยูแจคลี่ยิ้มพลางสบสายตาเขาตรงๆ แสงไฟสีขาวของไฟข้างถนนสาดส่องลงมาบนศีรษะ ฮันจุนรู้สึกว่าแก้มที่ถูกจับไว้นั้นกำลังเห่อร้อนขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้แสงไฟสว่างที่ไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้ ฮันจุนตีมือของยูแจอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเพียะ ก่อนจะแย่งสมุดคำศัพท์มา
“มา เดี๋ยวฉันจะบอกคำศัพท์ให้นายทาย เริ่มจากตรงไหนก่อนดี”
“เริ่มตั้งแต่คำศัพท์ Day 1 ถึง Day 5 พอ เอาแค่ตรงที่ฉันมาร์กไว้นะ”
พวกเขานั่งกันตรงม้านั่งแถวนั้น ฮันจุนมองหารูปดาวที่ยูแจทำเป็นเครื่องหมายเอาไว้ ดวงดาวที่วาดเอาไว้ลวกๆ นั้นมันช่างดูน่ารัก ยิ่งคำศัพท์คำไหนที่จำไม่ค่อยได้ เจ้าตัวก็จะวาดดาวเอาไว้สามดวง
“เฮ้ นี่นายยังสับสนกับคำนี้อยู่อีกเหรอ ‘intuition’ เนี่ยนะ คำนี้เราทายกันมาหลายรอบแล้วนะ”
“ใช่ ฉันสับสน ก็มันน่าสับสนนี่หว่า ไม่รู้ว่าจะออกข้อสอบพาร์ตคำศัพท์ด้วยหรือเปล่า”
“นายสับสนกับคำไหน คำว่า ‘tuition’ เนี่ยเหรอ”
“อื้อ ฉันสับสนคำนั้นแล้วก็คำว่า ‘institution’ ด้วย”
“อันนั้นมันไม่ได้คล้ายกันเลยนะ”
“แหม รู้ดีจังน้า”
ไม่รู้ว่ายูแจเกิดไม่พอใจขึ้นมาหรือเปล่า เจ้าตัวถึงได้ยกมือขึ้นมาจั๊กจี้สีข้างเขา
“คำว่า ‘intuition’ หมายถึงสัญชาตญาณ”
“อ๊ะ อย่า! มันจั๊กจี้นะเว้ย”
“ประโยคตัวอย่าง เช่น สัญชาตญาณที่บอกว่าซอฮันจุนกำลังแกล้งทำตัวอวดเก่งนั้นถูกต้อง”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ฮันจุนถือสมุดคำศัพท์หนีมือที่คอยวอแวตรงสีข้าง เขาวิ่งขึ้นไปบนสไลเดอร์แล้วกระโดดสไลด์ลงมาก่อนจะวิ่งเป็นวงกลมไปรอบๆ เครื่องเล่นนั้นพลางวิ่งหนีอีกฝ่ายอุตลุด แต่กระนั้นยูแจผู้ไม่ยอมแพ้ก็วิ่งตามมาจนถึงตัวในที่สุด และจับฮันจุนเอาไว้ได้ พวกเขาอ้าปากหอบหายใจจนพูดแทบไม่เป็นคำ พลางพากันหัวเราะจนท้องแข็ง
ระหว่างทางกลับห้อง พวกเขาก็ยังคงช่วยกันเสิร์ชหา ‘คำศัพท์ที่สับสนได้ง่ายในข้อสอบซูนึง’ ทางอินเตอร์เน็ตแล้วเอามาผลัดกันทาย คนที่หาศัพท์มาได้ก่อนจะเป็นคนถาม หากตอบไม่ได้ก็จะโดนจั๊กจี้อย่างไร้ความปรานี ถึงขนาดที่ทำให้หัวเราะออกมาจนน้ำตาไหล
“เข้าห้องได้แล้ว ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”
ยูแจเอ่ยลาเมื่อมาถึงหน้าห้อง ฮันจุนเองก็บอกลาตอบพลางโบกมือให้
พอเปิดประตูห้องแล้วเข้าไปข้างใน ฮันจุนก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ายูแจมาส่งเขาถึงห้องโดยไม่พูดถึงเรื่องนั้นเลย ฮันจุนค่อยๆ ถอดรองเท้าผ้าใบออกอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไปดู ทว่ายูแจนั้นได้เดินกลับห้องไปเสียแล้ว
หลังจากปิดหน้าต่างลง ฮันจุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพรูมันออกมา เขาได้ยินเสียงแม่กำลังล้างจานดังออกมาจากนอกประตูห้อง ในระหว่างที่เขากำลังยืนลังเลอยู่หน้าประตูนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นซองกระดาษที่แม่เอามาวางไว้ที่เดิม มันคือค่าเรียนพิเศษหนึ่งเดือนที่เขาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว
ฮันจุนทอดสายตามองซองนั้นนิ่ง ซองกระดาษที่เขาไม่เคยแม้แต่จะพับมันมาก่อนนั้นตรงปากซองกลับมีรอยกรีดพับปรากฏอยู่อย่างชัดเจนราวกับว่ามันถูกพับและกรีดด้วยเล็บอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ความรู้สึกร้อนรุ่มภายในอกพลันพลุ่งพล่านไปทั่วกาย ฮันจุนควักมือถือออกมา เขาเปิดอินเตอร์เน็ตดูไปเรื่อย ก่อนจะเปิดหน้าแชตที่เคยตอบกลับข้อความกับยูแจ ในวินาทีเดียวกันนั้น ข้อความใหม่จากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมาพอดี
โชยูแจ☆
attribute / contribute / distribute
อ่านแล้วตอบกลับภายใน 10 วิ (10.55 PM)
เขาหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้อ่านข้อความนั้น ดูเหมือนยูแจจะไปหาคำศัพท์เพิ่มแล้วส่งมาในระหว่างที่กำลังกลับห้อง ฮันจุนจับโทรศัพท์ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วรีบพิมพ์ตอบกลับไป ช่วงเวลานั้นมันทำให้เขาหลงลืมความกังวลใจทั้งหมดที่มีไปชั่วขณะราวกับไม่เคยมีเรื่องกังวลมาก่อน
โปรดติดตามตอนต่อไป…