everY
ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1 Chapter 2-4 #นิยายวาย
Chapter 2-4
ทำได้ ทำได้ ฉันต้องทำได้!
แชยองสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมา
เย็นวันเสาร์ที่แสนสดใส เธอแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปอ่านหนังสือที่สถาบันสอนพิเศษ เธอสวมกางเกงยีนที่เข้ากับเสื้อตัวโปรด และคาดผมด้วยที่คาดผมน่ารักๆ ที่เลือกกับเพื่อนมาเมื่อวานนี้ อีกทั้งเมื่อคืนเธอเองก็นอนมาสก์หน้ากับน้องสาว ส่วนเมื่อเช้าก็ได้แม่ช่วยเป่าผมให้
ทั้งที่เตรียมตัวทุกอย่างมาพร้อมแล้ว ทว่าจิตใจเธอกลับไม่สงบลงเลย แชยองกำหมัดแน่นแล้วชูขึ้นต่อหน้าฮันจุนและจินฮวานที่เธอตั้งใจเรียกให้ออกมาไวกว่าปกติ
“พวกนายเป็นกำลังใจให้ฉันด้วยนะ”
“สู้ๆ”
จินฮวานพูดออกมาพลางยกกำปั้นชูขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ แชยองเลื่อนมือไปชนหมัดกับจินฮวานพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างประหม่า
“วันนี้ฉันดูเป็นไงบ้าง สวยปะ ที่คาดผมเข้ากับฉันไหม”
“สวยจ้า สวย”
ฮันจุนยิ้มน้อยๆ พลางตอบกลับไป แชยองใช้หางตามองเขาราวกับคิดว่าเขานั้นไม่ได้ชมออกมาจากใจจริง เขาจึงยื่นมือไปช่วยจัดริบบิ้นที่ติดอยู่ตรงที่คาดผมให้เธอ แชยองเช็กหน้าตัวเองในกล้องมือถืออีกที ถึงจะเปล่งประกายขนาดนั้น แต่หัวใจกลับเต้นระส่ำด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ
“ให้ตายสิ ทำไงดี สารภาพรักไปแล้วยูแจจะตอบว่ายังไงกันนะ เขาคงต้องตกใจมากแน่ๆ เลย”
“เราว่ายูแจอาจจะไม่ได้ตกใจขนาดนั้นก็ได้นะ เพราะเขาก็เป็นคนที่ฮอตมากอยู่แล้วนี่นา”
“นั่นสินะ ก็จริงแฮะ”
คำพูดของจินฮวานนั้นมีเหตุผล ยูแจได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะจากผู้หญิงหรือผู้ชาย ขนาดจินฮวานที่เป็นคนประเภทอินโทรเวิร์ต ไม่ค่อยสุงสิงกับใครยังสามารถเป็นเพื่อนกับยูแจได้ แชยองเลยรู้สึกว่าการมีใครสักคนมาสารภาพรักนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับคนอย่างยูแจก็ได้
แต่จนถึงป่านนี้ทำไมยูแจถึงยังไม่เคยคบใครกันนะ…
ถึงเธอจะรู้สึกดีที่ยูแจยังไม่เคยคบกับใครมาก่อน แต่เธอก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี
“นี่ ซอฮันจุน นายเคยบอกว่าจนถึงตอนนี้แล้ว ยูแจเขาก็ยังไม่เคยคบกับใครสินะ? เป็นเพราะตั้งสเป็กไว้สูงหรือเปล่านะ”
“ไม่รู้สิ”
ฮันจุนตอบกลับไปนิ่งๆ เปลือกตาของเขาบวมแดงเล็กน้อย คงเป็นเพราะนอนน้อย เนื่องจากโดนเรียกออกมาไวกว่าปกติครึ่งชั่วโมงเพื่อมาช่วยแชยองในการสารภาพรัก แชยองจึงทำทีเป็นนวดไหล่ให้เขาด้วยความรู้สึกผิด
“ดารงดาราอะไรยูแจเขาก็ไม่ได้ชอบ เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ”
“ต่อให้มีฉันก็ไม่รู้ เพราะหมอนั่นไม่ค่อยพูดเรื่องแบบนั้นหรอก”
“เรื่องแบบนี้ถ้าพวกผู้ชายไม่พูดด้วยกันเองแล้วจะเอาไปพูดกับใครกันล่ะ”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า นอกจากหยอกฉันไปวันๆ ในหัวหมอนั่นก็มีแต่เรื่องเรียนเท่านั้นแหละ”
แชยองมองฮันจุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ เธอคิดว่าซอฮันจุนก็แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ต่อให้ไม่เคยได้ยิน แต่เธอก็รู้ว่าพวกผู้ชายจะคุยเรื่องอะไรเวลารวมตัวกัน มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผู้ชายหน้าตาดีขนาดนั้นอย่างโชยูแจหรือซอฮันจุนจะไม่สนใจเรื่องเพศตรงข้าม พอเห็นแชยองเบะปาก จินฮวานจึงพูดแทรกขึ้นมาเสียงค่อย
“เราว่ารอจนกว่าจะสอบซูนึงเสร็จไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ว่ายูแจจะให้คำตอบออกมาแบบไหน แต่มันก็คงจะส่งผลกระทบต่อจิตใจและสมาธิอยู่ดี เพราะงั้นมันอาจจะรบกวนการเรียนก็ได้นะ”
“ไม่อะ สำหรับฉันแล้วมันกลับตรงกันข้ามเลย ฉันอยากรีบเคลียร์ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าชอบก็คบ ไม่ชอบก็จะได้ไม่ไปต่อ ถ้าได้ยินคำตอบแล้วก็จะได้หันกลับมาตั้งใจเรียนได้อย่างเต็มที่”
แชยองตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว เธอต้องรีบเผด็จศึกในขณะที่เธอยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังมีความรู้สึกดีๆ ให้เธออยู่ หากรอจนสอบซูนึงเสร็จอาจจะสายเกินไป ถ้าหากคนอย่างยูแจไปทำงานพิเศษ ไปฟิตเนส หรือไปในสถานที่ที่มีผู้คนมากมายแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่ผู้คนรอบกายจะปล่อยคนอย่างเขาไปหรอก
“ยังไงก็เหอะ วันนี้พวกนายช่วยฉันหน่อยนะ อีกสักพักก็จะถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว พวกนายแค่ช่วยปลีกตัวออกไปให้ฉันกับยูแจได้ไปกินข้าวกันแค่สองคนก็พอ”
เมื่อแชยองยกสองมือขึ้นกุมกันพลางเอ่ยปากขอร้อง จินฮวานก็หันไปสบสายตากับฮันจุน ก่อนที่จินฮวานจะเป็นฝ่ายตอบก่อน ตามด้วยฮันจุนที่พูดขึ้นตามมา
“วันนี้ฉันว่าจะอ่านหนังสือถึงเที่ยงแล้วก็กลับห้องน่ะ”
“วันนี้ฉันขอแยกไปกินคนเดียวนะ พอดีวันนี้ห่อข้าวมาน่ะ”
“ขอบคุณนะ”
พวกเขายิ้มขึ้นมาพร้อมๆ กันกับคำขอบคุณที่เป็นคำบอกลา แชยองรู้สึกดีใจมากพลางคิดว่าสองคนนี้นั้นเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ
ทันทีที่ถึงเวลาบ่ายโมง หลังจากเสียงออดบอกเวลาอาหารกลางวันดังขึ้นได้ไม่นาน แชยองก็รีบเดินรี่นำหน้ามาหาคนอื่นๆ ก่อนจะเห็นยูแจยืนสูงเด่นอยู่ท่ามกลางเพื่อนคนอื่นๆ ที่เดินสวนกันไปมา เขากำลังยืดแขนยาวๆ ของเขาบิดขี้เกียจอยู่ เธอเผลอยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นไหล่กว้างของเขา
“ปะ พวกเรา ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะ”
แชยองหัวเราะพลางคว้าจับไหล่ของยูแจเอาไว้ ยูแจหันหลังกลับมาเห็นแชยอง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก สายตาที่ทอดมองลงมามันช่างอ่อนโยนชวนให้ใจเธอหวั่นไหว แชยองข่มความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นระรัว จากนั้นถึงเอ่ยปากถามขึ้น
“วันนี้ฉันว่าจะกินพิซซ่าน่ะ นายสนใจไหม”
“พิซซ่า?”
ยูแจขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ วันนี้ไม่ใช่วันที่สอบเสร็จหรือเป็นวันที่นัดออกไปเที่ยวไหนกัน
เมนูมันจะไม่หนักไปหน่อยเหรอ แต่เธอดูอยากไปกินด้วยกันจริงๆ แฮะ แถมยังดูเหมือนมีร้านในใจเอาไว้แล้วด้วย
จินฮวานแกล้งกระแอมออกมาเสียงดัง เขาดึงความสนใจของทุกคนด้วยการกระแอมที่แสนจะดูไม่เป็นธรรมชาตินั้นก่อนจะเริ่มพูดขึ้น
“วันนี้ฉันมีนัดกินข้าวเที่ยงกับครอบครัวที่บ้านน่ะ ไว้เจอกันอาทิตย์หน้านะทุกคน”
สิ้นเสียงนั้น ฮันจุนก็พูดต่อ
“ฉันกระเพาะไม่ค่อยดีน่ะ”
ยูแจกลอกตาไปมาช้าๆ ก่อนจะมองคนทั้งสอง
เจ้าพวกทึ่มเอ๊ย แสดงได้ห่วยแตกชะมัด
แชยองจำต้องกัดฟันอดทนกับความรู้สึกที่อยากจะยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง หลังจากที่จินฮวานลุกไปจากที่นั่ง ยูแจก็หันมามองแชยอง
“ถ้างั้นก็เหลือแค่เราสองคนแล้วเนอะ”
เธอรู้สึกเขินอายยามสบสายตาที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นของอีกฝ่าย มาถึงขั้นนี้แล้วสิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ต้องมั่นใจเข้าไว้เท่านั้น คิดได้ดังนั้นเธอจึงเค้นเอาความกล้าของตัวเองออกมา
“โชยูแจ งั้นไปกินพิซซ่ากับฉันนะ ฉันรู้จักร้านอร่อยๆ ด้วยล่ะ”
ยูแจหลุบตาลงอย่างเชื่องช้า ในขณะที่หัวใจของแชยองรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิดออกมา
“บรรยากาศดีแฮะ”
ยูแจจับจองที่นั่งพลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ร้านอาหาร ในขณะที่แชยองพยักหน้ารับคำพลางลอบกลืนน้ำลายหนืดดังอึก
มันเป็นร้านอร่อยที่เพื่อนๆ แนะนำว่ากำลังฮิตมากในโลกโซเชียล ถึงพิซซ่าจะดูน่าอร่อย แต่อาหารเรียกน้ำย่อยกับของหวานที่รวมอยู่ในคอร์สนั้นก็วิเศษไม่ต่างกัน อีกทั้งราคายังไม่แพงมากเกินไปสำหรับนักเรียนนักศึกษา ไม่ว่าจะคู่รักหรือเพื่อนรอบตัวคนไหน ทุกคนล้วนเคยมากินร้านนี้กันแล้วอย่างน้อยๆ หนึ่งครั้ง
ด้วยความที่ยูแจดูไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไร แชยองจึงสั่งคอร์สเอไป ไม่นานขนมปังนุ่มฟูกับน้ำมันมะกอกสำหรับทานก่อนมื้ออาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ แชยองบิขนมปังออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาเข้าปาก ก่อนที่ขนมปังนั้นจะละลายไปในทันที
เธอคิดว่าจะสารภาพออกไปอย่างแน่วแน่ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เธอกลับพูดอะไรไม่ออกเมื่อมองยูแจที่อยู่ตรงหน้า ยูแจไม่อาจทนมองแชยองค่อยๆ ฉีกขนมปังราวกับไม่เต็มใจกินได้อีก จึงพูดดึงสติเธอออกไปอย่างอ่อนโยน
“ทำไมเป็นงั้นไปซะล่ะ ไม่สมกับเป็นเธอเลย กินเยอะๆ สิ”
“อะไรของนาย ฉันเก็บท้องไว้กินพิซซ่าต่างหากล่ะ”
โอ๊ย นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย!
แชยองหลับตาปี๋ เธออยากจะเก็บคำพูดที่พูดออกไปแล้วกลับมากลืนลงคอจริงๆ โชคดีที่ยูแจไม่ได้จับผิดแล้วเอามาล้อเลียน แชยองจึงรีบเปิดปากพูดอีกครั้งทันควัน
“ที่ฉันชวนนายออกมากินข้าวก็เพราะว่ามีอะไรอยากจะบอกน่ะ”
“แชยอง”
ยูแจเรียกชื่อเธออย่างนุ่มนวลขณะที่กำลังฉีกขนมปังอุ่นๆ ตามแนวตั้ง
“ตอนนี้อีกไม่นานก็จะปิดเทอมหน้าร้อนแล้วนะ เพราะงั้นเหลือเวลาอีกไม่ถึงสามเดือนก็จะสอบซูนึงแล้ว และการสอบซูนึงมันก็เป็นการสอบสำคัญที่จะสอบแค่ปีละครั้งเท่านั้น มันเป็นตัวแปรของอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตเลยนะ”
เขาอธิบายความเป็นจริงตรงหน้าที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีอยู่แล้ว คำถามที่เธอเตรียมใจจะถามออกไปว่า ‘แล้วเราคบกันไม่ได้เหรอ’ พลันจุกอยู่ในลำคอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังถามออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
“…ยังไม่ทันได้สารภาพ นายก็จะปฏิเสธกันแล้วเหรอ”
ยูแจยกยิ้มอย่างลำบากใจ ทุกครั้งที่แกล้งแหย่เล่น ยูแจก็มักจะทอดสายตามองลงมาที่เธอด้วยสีหน้าแบบนั้น เพราะเขารู้ดีว่านั่นเป็นใบหน้าที่เธอชอบมากที่สุด
เสียงหัวเราะค่อยๆ จางหายไปทีละนิด ยูแจวางขนมปังที่ฉีกไปแล้วไว้บนจานทั้งอย่างนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างจริงจัง
“การสอบซูนึงครั้งนี้มันสำคัญสำหรับฉันมาก ให้ตายยังไงฉันก็ไม่คิดที่จะมานั่งสอบใหม่อีกครั้งหรอกนะ”
“เด็ก ม.ปลาย ปีสามเขาก็คิดอย่างนั้นกันหมดทุกคนไม่ใช่หรือไง”
“ถ้าพวกเราคบกันตั้งแต่ตอนนี้มันก็ดีแหละ”
“…”
“แต่เธอเองก็เป็นคนมีเสน่ห์…เพราะงั้นมันเลยอาจจะทำให้ฉันโฟกัสกับการเรียนไม่ได้ก็ได้”
ยูแจหรี่ตาเรียวเล็กพลางยิ้มน้อยๆ
“แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเกิดหนึ่งในพวกเรามีใครคนใดคนหนึ่งทำการสอบครั้งนี้พังล่มไม่เป็นท่าล่ะ? คนนึงสนุกกับชีวิตมหา’ลัย แต่อีกคนกลับต้องใช้ชีวิตติดอยู่กับการเรียนพิเศษเพื่อสอบซ้ำใหม่อีกรอบงั้นเหรอ?”
“เดี๋ยวสิ…”
“ขืนเป็นแบบนั้น แม้แต่เพื่อน…ก็คงเป็นให้กันไม่ได้หรอก”
ยูแจพูดแทรกตัดจบ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีเย็นชาออกมาแบบนั้นทั้งที่บนใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม เธอไม่คิดเลยว่าโชยูแจที่เป็นคนมีความมั่นใจล้นเหลือมาโดยตลอดจะคิดถึงอนาคตในแง่ลบได้มากขนาดนี้ พอแชยองก้มหน้าลงอย่างใจฝ่อ ยูแจก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
เขาเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เธอพลางกระซิบบอกโดยจงใจเน้นเสียงในคำทุกคำที่พูดออกมา
“ฉันพูดตามตรงนะ เธอคือเพื่อนอันดับหนึ่งของฉัน”
พูดตามตรง…เพราะเห็นฉันเป็นเพื่อน…
ถ้าไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะไม่พูดมันออกมาได้เต็มปากเต็มคำขนาดนั้นหรอกมั้ง
คำพูดที่ยูแจพูดปิดท้ายนั้นราวกับเป็นการปลอบใจเธอ อย่างไรเสียเธอก็ยังเป็นคนพิเศษสำหรับเขา
“แล้วถ้าพวกเราเข้ามหา’ลัยดีๆ ได้ด้วยกันทั้งคู่ ถึงตอนนั้นนายจะลองคิดดูใหม่ไหม”
“ไว้ตอนนั้นมาถึงแล้วค่อยว่ากันใหม่อีกทีเถอะ”
พิซซ่าถูกนำมาเสิร์ฟพอดีกับที่พูดจบ ยูแจแบ่งพิซซ่าหนึ่งชิ้นยื่นให้แชยองก่อนจะพูดต่อ
“เพราะงั้นก็ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ”
คำพูดนั้นแม้จะอ่อนโยน แต่กลับบาดลึกลงในใจ เพื่อนทุกคนคงจะรอฟังผลตอบรับอยู่ และทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโชยูแจคงต้องชอบแชยองอย่างแน่นอน และเมื่อไม่นานมานี้เธอเองก็เริ่มที่จะเชื่อคำพูดนั้นเช่นกัน
ถ้าไม่ได้ชอบกันจริงแล้วทำไมถึงต้องผูกริบบิ้นให้ ทำไมถึงให้ขี่หลัง ทำไมถึงได้ส่งข้อความหากันทุกวัน ทำไมถึงออกมาติวหนังสือที่ห้องอ่านหนังสือทั้งที่ปกติไม่เคยออกมา ทำไมพอชมหุ่นของซอฮันจุนถึงต้องมาแสดงท่าทีหึงหวงแถมยังมาสั่งให้ลบรูปทิ้งไปด้วยล่ะ
ในเมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้แล้ว แชยองจึงยกมีดขึ้นมาหมายมั่นว่าจะกินพิซซ่าให้อร่อย และในตอนที่เธอพยายามหั่นมันอย่างแรงจนแทบจะทำให้เกิดรอยบนจาน ยูแจก็เอ่ยปากชมเธอขึ้น
“ที่คาดผมสวยดีนะ เหมาะกับเธอดีว่าไหม”
“ไม่ทันแล้วย่ะ”
“ดูท่าเธอตั้งใจจะมาที่นี่เพราะเรื่องฉัน งั้นมื้อนี้ฉันจ่ายเอง”
“เอาสิ เดี๋ยวนี้รวยแล้วนี่”
“ว่าไงนะ”
ยูแจแค่นหัวเราะออกมาอย่างหงุดหงิดกับคำพูดล้อเล่นที่พูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรของแชยอง ดวงตาที่จ้องเธอเขม็งนั้นราวกับกำลังตำหนิ เธอจึงรีบเอ่ยปากแก้ตัวทันที
“ไม่นะ…คือ…ก็ฉันได้ยินมาว่าบ้านนายได้เงินจากหุ้นเยอะเลยนี่ มันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือไง”
“ใครบอกเธอแบบนั้น”
“พ่อฉันเอง”
นี่คงจะวิ่งโร่อวดชาวบ้านเขาไปทั่วเลยสิท่า
ยูแจบ่นพึมพำในใจขณะที่หลุบสายตามองดูจาน เขาหยิบพิซซ่าที่หั่นเป็นชิ้นเข้าปากพลางเอ่ยถามขึ้นราวกับว่ากำลังสื่อถึงเรื่องของคนอื่น
“พวกผู้ใหญ่นี่ปากสว่างกันจริงๆ เลยเนอะ”
แชยองพยักหน้าเงียบๆ พลางคิดว่าต่อจากนี้ห้ามเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนอีกเด็ดขาด
ไม่รู้ว่ายูแจรู้สึกผิดที่ปฏิเสธเธอหรือเปล่าถึงได้คอยชวนคุยเรื่องสนุกๆ ตลอดระยะเวลาที่นั่งกินพิซซ่าด้วยกัน คำพูดไร้สาระพวกนั้นทำให้เธอเผลอหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ถึงแม้ว่าคำตอบของยูแจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคาดหวัง แต่เธอก็ไม่ได้เสียใจมากนัก
ถ้าจะให้สรุปบทสนทนาที่คุยกันวันนี้ก็คงสรุปได้ว่ายูแจเป็นฝ่ายที่ไม่อยากรีบร้อนตัดสินใจจนกว่าจะสอบซูนึงเสร็จ เพราะเขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากๆ อีกอย่างเขายังบอกว่าเธอเป็นคนที่มีเสน่ห์อีกด้วย คำตอบของเขามันใกล้เคียงกับคำว่าขอผัดออกไปก่อนมากกว่าจะบอกว่าปฏิเสธเสียอีก
ถึงเธอจะเตรียมใจไว้แล้วว่าไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหน เธอก็พร้อมที่จะรอรับคำตอบนั้น ทว่าพอเอาเข้าจริงแล้วมันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
ในขณะที่แชยองกำลังจัดการกับความคิดที่แสนสับสนวุ่นวายอยู่ภายในหัว ยูแจก็ยื่นผ้าเช็ดปากให้เธอ
“ว่าแต่ฮันจุนน่ะ ท้องไส้ไม่ค่อยดีจริงๆ เหรอ หรือว่าแค่แกล้งพูดไปอย่างนั้นเฉยๆ”
“น่าจะพูดไปอย่างนั้นเฉยๆ ล่ะมั้ง เห็นหมอนั่นบอกว่าห่อข้าวกล่องมาด้วยอะ”
“ข้าวกล่อง?”
ยูแจขมวดคิ้วและลุกจากที่นั่ง ในขณะที่แชยองพยักหน้าตอบแล้วหวนคิดถึงบทสนทนาเมื่อเช้า
“อื้อ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะซื้อกินเอาแล้ว ไม่รำคาญบ้างหรือไงเวลาที่ต้องคอยถือไปถือมาน่ะ”
เธอบ่นพึมพำคนเดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ายูแจเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินแล้ว
พอพวกเขากลับไปถึงสถาบันสอนพิเศษก็เห็นฮันจุนที่กำลังกินข้าวกล่องอยู่ในห้องพักรับรองเพียงคนเดียว ยูแจพลันรีบหักเลี้ยวเดินเข้าไปในห้องพักรับรองทันทีที่เห็นเขา
นี่ฉันต้องตามไปไหมนะ
เธอรู้สึกอายที่จะเจอหน้าฮันจุนผู้ซึ่งอุตส่าห์หลีกทางให้ เธอยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็เดินตามเข้าไป
“เฮ้ ซอฮันจุน!”
แชยองพยายามตะโกนเรียกฮันจุนอย่างสดใส ฮันจุนจึงโบกมือให้ทั้งที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อยู่เต็มแก้ม ในกล่องข้าวที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นอัดแน่นไปด้วยข้าวสวยสีขาว กิมจิ ปลาแอนโชวี่ และรากโกโบผัด
ปกติแล้วพวกผู้ชายกินกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
ปริมาณข้าวในกล่องนั้นค่อนข้างเยอะเกินกว่าที่คนคนเดียวจะกินได้หมด มันน่าทึ่งมากที่คนหุ่นดีอย่างฮันจุนกินเข้าไปขนาดนั้นแล้วน้ำหนักกลับไม่ขึ้น แชยองมองไปยังข้าวกล่องที่ดูน่าเบื่อนั่น ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้น
“ทำไมนายห่อรากโกโบมาเยอะขนาดนั้นเนี่ย แถมข้าวก็ด้วย ทำไมกินเยอะจัง”
“พิซซ่าอร่อยไหม”
ฮันจุนยิ้มแล้วถามกลับ แชยองรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองสลับไปมาระหว่างเธอกับโชยูแจ เธอพยายามเลือกคำตอบที่ทำให้เขาพอจะเข้าใจได้ในทันที
“ก็งั้นๆ แหละ”
ฮันจุนไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่พยักหน้าแล้วแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นเกาแก้มเบาๆ แชยองจึงเกลี่ยเส้นผมที่ปรกอยู่บนแก้มของตัวเองออก ทั้งที่อุตส่าห์แต่งหน้าทาครีมมาให้ดูดีที่สุด แต่มันกลับกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้
เมื่อดึงที่คาดผมออกเพื่อจัดทรงผม เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ บริเวณหลังใบหูขึ้นมา เธอรู้สึกเจ็บใจที่การแต่งตัวมานั้นไม่มีค่าอะไรเลย ในระหว่างที่กำลังกังวลว่าจะถอดมันออกไปเลยดีหรือไม่ เธอก็สบสายตากับยูแจ แม้จะเป็นเพียงแค่สายตาที่มองเฉียดผ่านไปเฉยๆ แต่เธอก็เผลอสวมที่คาดผมกลับไปใหม่โดยไม่รู้ตัว ยูแจยกยิ้มพลางหยุดมองมาที่เธอ
หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปขวางฮันจุนที่กำลังจะปิดฝากล่องข้าวทั้งที่ยังกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง
“นี่ ซอฮันจุน ขอตะเกียบหน่อยดิ ขอกินข้าวด้วยหน่อย”
“นายกินพิซซ่ามาแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ขอคำนึงน่า”
ตอนอยู่ร้านพิซซ่าบอกว่าอิ่มแล้ว แถมยังเหลือเครื่องดื่มโซดาผสมน้ำผลไม้ไว้อีกตั้งครึ่งแก้ว แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าจะกินข้าวอีกเนี่ยนะ?
เธออิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความคิดที่จะมามองใครกินต่อเรื่อยๆ แชยองจึงเอ่ยคำลาแล้วหันหลังกลับ ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงซอฮันจุนพูดพึมพำเบาๆ จากทางด้านหลัง
“เอ้านี่ ฉันเอาตะเกียบมาอีกคู่หนึ่ง เอามาเผื่อไว้เฉยๆ”
กินกันเยอะจริงๆ เลยแฮะ คงจะสนิทกันมาก นิสัยการกินก็เลยพลอยเหมือนกัน
แชยองส่ายศีรษะเบาๆ พลางเดินออกจากห้องพักรับรองไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…