everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : Chelliace
แปลโดย : Lilac M
ผลงานเรื่อง : 관계의 고리
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม
การกล่าวถึงความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 1.1 ชินอูซอ
ผมไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’ เลยสักครั้ง ถ้าของพรรค์นั้นมีอยู่จริง ผมคงไม่มีทางตกอยู่ในสภาพนี้หรือตกอยู่ในสถานะนี้แน่
“เฮ้ ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
ผมมองคังจีซอกที่ยื่นหน้ามาเช็กอาการของผมด้วยตาของตัวเองอย่างไม่ชอบใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่หัวใจของผมรู้สึกคันยุบยิบอย่างไม่เป็นสุขทุกครั้งเวลาที่ได้สบตากับคังจีซอก แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จิตใจจะปั่นป่วนเป็นพิเศษจนแทบไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้น
“…ฟังอยู่”
ในดวงตาของผมที่หลุบลงมองนิ้วนางข้างซ้ายด้วยแววตาที่เหนื่อยล้ามีวงแหวนสีแดงที่จีซอกไม่มีทางเห็นปรากฏอยู่ในนั้น
ถ้ามันเชื่อมกับนายได้ก็คงจะดี…
ผมกัดกระพุ้งแก้มจนรู้สึกเจ็บแปลบขณะมองใบหน้าด้านข้างของจีซอกที่กำลังทายว่าใครคือ ‘คู่แห่งโชคชะตา’ ของพี่ชายเขา
ถ้ามันเชื่อมกับนายได้ ฉันก็คงจะทนกับอาการนอนไม่หลับจากแหวนได้อย่างสบายแล้วแท้ๆ…อดทนได้อย่างสบายๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาจนถึงตอนนี้
นอกจากการลูบด้ายแดงที่ปรากฏชัดอยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายพลางหลุบตาต่ำลงอย่างขมขื่นแล้ว ผมก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก
ชินอูซอชอบคังจีซอก ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่ชอบในฐานะที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
เมื่อประมาณห้าปีก่อน ตั้งแต่ตอนเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ผมตระหนักถึงความจริงที่แสนจะง่ายดายข้อนั้นได้ก็ตอนนั้น
เรารู้จักกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและมีบุคลิกที่สดใสร่าเริงเลยโดดเด่นและสะดุดตาในหมู่นักเรียนใหม่ทันที รวมทั้งยังมีเพื่อนฝูงรุมล้อมมากมาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนของเขาเช่นกัน และด้วยความที่เราเข้ากันได้ในหลายๆ เรื่อง ผมกับเขาจึงสนิทกันอย่างรวดเร็วจนได้กลายเป็นเพื่อนซี้ชนิดที่ตัวติดกันยิ่งกว่าคู่รัก
นั่นสินะ…เป็นเพื่อนซี้มันก็ดีอยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือผมดันไปคาดหวังอะไรที่มากกว่านั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
การที่คนเราจะชอบใครสักคนได้นั้นไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรใหญ่โตเลย
เวลามองส่วนสูงของหมอนั่นที่พอขึ้นมัธยมปลายปีที่สองแล้วก็สูงขึ้นกว่าผมตั้งครึ่งช่วงศีรษะ และร่างกายกำยำที่ดูดีราวกับผ่านการออกกำลังกายมาบ้าง ผมก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาคังจีซอกเหมือนเมื่อก่อน ตรงกันข้ามผมกลับจินตนาการภาพยามที่ตัวเองได้ซบอกของเขา ผมได้แต่ใจเต้นคนเดียว ดีใจคนเดียว แล้วก็ผิดหวังอยู่คนเดียวกับคำพูดที่คังจีซอกมักจะพูดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ได้ให้ค่าให้ความหมายอะไร
ผมใส่ใจทุกการกระทำและคำพูดของคังจีซอก แล้วก็อยากให้ตัวเองได้อยู่ในทุกเรื่องราวและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ เวลาที่เขาหัวเราะ ผมก็หัวเราะ เวลาที่เขาเศร้าเพราะเจ็บปวดหลังจากอกหักมาหมาดๆ ผมก็เต็มใจให้เขายืมไหล่แล้วก็ได้แต่แอบคิดในใจว่าโชคดีแล้วล่ะ ลำพังแค่ได้อยู่ด้วยกันสองคน ต่อให้ไม่มีอะไรทำก็มีความสุขมากแล้ว และผมก็ไม่เคยรู้สึกเหงาเลยสักนิดเพราะการได้อยู่เคียงข้างเขาก็ทำให้ผมสุขใจมากพอแล้ว ผมตั้งใจติวพิเศษกับพี่ชายแท้ๆ ของเขาที่หัวดีมากก็เพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเขา และผมก็เลือกสาขาวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองไม่ได้ชอบเลยแม้แต่สักนิดเป็นวิชาเอก เพียงเพราะแค่อยากนั่งเรียนร่วมคลาสเดียวกับเขา ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นผมได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเพราะใจเต้นกับวันแต่ละวันในอนาคตที่จะมาถึง
ผมยอมรับว่าผมโลภ แต่การที่เราชอบใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องผิดไม่ใช่หรือไง
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้โลภถึงขนาดที่คิดจะสารภาพรักกับจีซอกที่ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันเพื่อทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเราขึ้นหรอก ตราบใดที่ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘เพื่อน’ ต่อให้อยู่เคียงข้างกันและใกล้ชิดกันแค่ไหนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมยังไม่มีเรื่องให้ต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันด้วย แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น…
ผมก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งในทางที่คาดไม่ถึงขนาดนี้
ทุกมหาวิทยาลัยย่อมมีคนจำพวกนี้อยู่เสมอ
พวกเห็นแก่ตัวที่ไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของงานกลุ่มคืออะไรแล้วก็ไม่อยากจะรู้ด้วย นอกจากคนพวกนี้ยังมีพวกที่คิดว่าตารางงานของตัวเองนั้นสำคัญกว่าเลยไม่ชอบให้ใครมากวนใจ
แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงต้องมาสิงอยู่ในกลุ่มของพวกเราด้วยนะ
“…เอาไงดี ทำกันสองคนไหม”
คังจีซอกที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเกาแก้มอย่างเก้อๆ ขณะสังเกตท่าทีของผม ถ้าเป็นคังจีซอกจอมซื่อผู้แสนดี แน่นอนว่าคงจะเชื่อคำพูดโกหกของสมาชิกในกลุ่มที่พร้อมใจกันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อยู่แล้ว แต่ผมที่นั่งปักหลักจองที่สำหรับหกคนไว้มากว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ก็ปฏิเสธไม่ออกว่าตัวเองนั้นหน้าเซ่อไม่แพ้กัน
ครั้นจะให้ทนนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนกันอยู่สองคนที่โต๊ะสำหรับนั่งหกคนมันก็กระไรอยู่ แต่ครั้นจะให้นั่งกางทั้งโน้ตบุ๊กและพวกหนังสือบนโต๊ะสี่เหลี่ยมแคบๆ ขนาดสองที่นั่งก็คงจะอึดอัดเกินไปอีกเช่นกัน
ด้วยเหตุนั้นจีซอกจึงออกปากชวนให้ไปทำงานกลุ่มกันที่ห้องของตัวเองอย่างเต็มใจที่จะอาสา และโน้มน้าวผมโดยบอกว่าช่วงกลางวันของวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านพอดี แถมตอนเย็นก็ต้องกินข้าวคนเดียวอีกแล้วเพราะวันนี้สมาชิกทุกคนในบ้านกลับช้ากันหมดเลย
แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำว่า ‘อยู่กินรามยอนที่บ้านฉันก่อนสิแล้วค่อยกลับ’* หลุดออกมาจากปากของคังจีซอก
ผมแอบหัวเราะออกมาระหว่างเดินตามจีซอกออกจากมหาวิทยาลัยไปยังคอนโดฯ ของเขาซึ่งอยู่ใกล้มากถึงขนาดที่เดินไม่เกินสิบนาทีก็ถึงมหาวิทยาลัย แตกต่างไปจากห้องของผมที่ทั้งต้องเดินและนั่งรถบัสต่อไปอีกอย่างสิ้นเชิง
สถานที่ที่เราเดินมาถึงคือคอนโดฯ แห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน ภายในดูสะอาดสะอ้านไม่ต่างจากภายนอก คงต้องขอบคุณบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่พี่ชายของจีซอกบริหารอยู่ ด้วยมันเติบโตอย่างรวดเร็วจนหยุดไม่อยู่ จึงทำให้เขาสามารถย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถึงแม้ผมจะเคยเห็นที่นี่แล้วตอนมาช่วยย้ายของ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองอีกครั้งแล้ว ผมก็ถึงกับต้องผงกศีรษะโดยอัตโนมัติพร้อมกับอุทานคำว่า ‘เจ๋งชะมัด’ ออกมา
ผมตามจีซอกขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นบนก่อนจะหยุดฝีเท้า จีซอกกำลังกดรหัสผ่านโดยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าผมจะมองเห็นรหัสผ่านนั้นหรือเปล่า ถึงผมไม่ได้มีเจตนาที่จะจ้องแล้วจดจำมัน แต่มันก็ดันมาเตะตาผมเข้า เพราะเขายืนกดมันต่อหน้าผมอย่างโจ่งแจ้งเกินไป
‘0316’
รหัสผ่านที่ผมจำได้ขึ้นใจต่อให้ไม่ต้องใช้ความพยายามในการจำลอยเคว้งอยู่ในหัวราวกับสลักเอาไว้ที่ไหนสักที่
ประตูถูกเปิดออกก่อนกลิ่นที่หอมสดชื่นจางๆ จะลอยมาแตะจมูกของผม
นี่เราใจสั่นเพราะอะไรกันนะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย
ทั้งที่เพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในคอนโดฯ ของจีซอก แต่หัวใจของผมกลับเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ แม้แต่จะก้าวเดินแต่ละก้าวผมก็ยังรู้สึกประหม่าไปหมด ไม่รู้ทำไมประโยคที่จีซอกพูดว่า ‘ไม่มีใครอยู่บ้าน’ ถึงได้ดังก้องไปมาอยู่ในหูของผมแบบนี้
ผมก้าวเท้าออกไปพลางมองสำรวจรอบๆ อย่างลืมตัว สายตาของผมดูจะสนอกสนใจมองไปทางบานประตูที่อยู่รอบๆ มากกว่าจะสนใจมองห้องนั่งเล่นกว้างๆ ที่มองเห็นได้จากโถงทางเข้าหน้าประตูเสียอีก วันที่มาช่วยเขาย้ายข้าวของ พอวางสัมภาระเสร็จผมก็ถูกจีซอกลากออกไปกินเสียเต็มคราบเป็นค่าแรงทันที เลยไม่ทันได้รู้ว่าห้องของเจ้าตัวคือห้องไหน แต่ถึงจะรู้ไประหว่างเรามันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอก
จีซอกวางกระเป๋าทิ้งไว้หน้าโซฟาในห้องนั่งเล่น ก่อนจะคว้ากระเป๋าของผมไปอย่างเคยชินพลางเอ่ยถามขึ้น
“ทำกันในห้องนั่งเล่นนี่แหละ นายนั่งรอเดี๋ยวนะ อยากดื่มอะไรไหม”
ผมรู้สึกหวั่นไหวกับความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบยื่นมาให้อีกแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ลำคอของผมต้องการตอนนี้จะเป็นโซจูเข้มๆ ที่จะมาช่วยปลุกผมให้ได้สติ ทว่าสิ่งที่ปากของผมโพล่งออกไปกลับเป็นคำว่า ‘อะไรก็ได้’ เสียอย่างนั้น
ระหว่างนั่งอยู่บนโซฟาเพื่อรอจีซอกที่เดินไปทางห้องครัว ผมก็กวาดตามองไปทั่วห้องนั่งเล่นประหนึ่งคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ สุดท้ายสายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่จีซอกซึ่งมองเห็นจากห้องครัวได้อย่างชัดเจน แม้ผมจะนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นก็ตาม
ผมเกือบสบตากับเขาที่ถือแก้วน้ำผลไม้สองใบมาให้จนถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบเบนสายตาหนีไปทางอื่นทั้งที่ไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจขนาดนั้น โชคดีที่ตรงนั้นมีกรอบรูปกรอบใหญ่ติดอยู่บนผนังพอดี ผมเลยแสร้งตีเนียนมองมันราวกับว่ากำลังสนใจมันอยู่
“คอนโดฯ นายมีรูปครอบครัวเหรอเนี่ย”
“หืม? ปกติบ้านนายไม่ถ่ายติดไว้เหรอ”
ขณะที่รับแก้วน้ำผลไม้มาพลางจ้องมองรูปอยู่นั้น สายตาก็พลันชะงักค้างอยู่ที่ชายในชุดสูทที่ยืนอยู่ข้างพี่สาวของจีซอก โดยเหตุผลที่เขาดึงดูดสายตาของผมนั้นอาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่ดูเป็นผู้ใหญ่และใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับจีซอกมาก
“เพิ่งถ่ายเมื่อเร็วๆ นี้สินะ?”
“อืม พ่อกับแม่ถ่ายไว้ตอนไปเที่ยวพักร้อนครั้งก่อนน่ะ ถ่ายไว้เดือนสองเดือนได้แล้วมั้ง”
พี่ชายของคังจีซอกดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตรงข้ามกับพ่อและแม่ของเขาที่ยังคงหน้าตาเหมือนเดิม ผมเคยเห็นอีกฝ่ายบ่อยๆ ช่วงที่คลุกคลีอยู่กับคังจีซอกตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย โดยช่วงที่สนิทกันเป็นพิเศษก็คงเป็นตอนมัธยมปลายปีสามที่เคยติวหนังสือกับเขาอยู่ช่วงหนึ่งจนสนิทกันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ช่วงที่ผมกำลังเข้ามหาวิทยาลัยพี่เขาก็ยุ่งกับงานมากจนตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าจู่ๆ ระหว่างเราก็มีกำแพงขึ้นมากะทันหัน เลยไม่ค่อยได้เจอพี่เขาอีก และหลังจากนั้นในระหว่างที่ผมกำลังใช้ชีวิตวัยมหาวิทยาลัยกับจีซอก ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่จีกอนก็ห่างกันไปโดยปริยาย รู้ตัวอีกทีพี่เขาก็เป็นคนที่อยู่นอกความสนใจของผมไปแล้ว
คังจีซอกวัยสามสิบปีจะหน้าตาเหมือนพี่เขาไหมนะ
บ่อยครั้งที่คังจีซอกมักถูกผู้คนถามมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเป็นฝาแฝดกับพี่จีกอนหรือเปล่า แม้ทั้งสองจะอายุต่างกันถึงเจ็ดปี แถมหากมองแบบผิวเผินแล้วภาพลักษณ์และบรรยากาศรอบตัวของทั้งคู่รวมถึงเรื่องของรูปร่างและส่วนสูงนั้นก็แตกต่างกันเกินกว่าจะเรียกว่าฝาแฝดได้ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังหน้าตาคล้ายกันมากราวกับโขลกกันมา ถึงตอนนี้คังจีซอกจะโตขึ้นมากจนแยกไม่ออกแล้วเวลามองคนทั้งคู่จากทางด้านหลัง แต่อายุและบรรยากาศที่อบอวลบนใบหน้านั้นก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผมมองพี่จีกอนที่อยู่ในรูปนั้นนิ่ง ก่อนคังจีซอกที่เดินเข้ามาจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้าโต๊ะ ตอนนั้นเองผมถึงได้ละสายตาออกจากรูปก่อนจะนั่งลงกับพื้นโดยหันหน้าชนกันกับเขา
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ต่างคนต่างเริ่มหยิบโน้ตบุ๊กออกมาค้นหาและเรียบเรียงข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับรายงาน
“เฮ้อ เหนื่อยแล้วอะ”
จีซอกฟุบหน้าลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ การเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบนั้นใกล้จะเสร็จแล้ว ผมเลยจับขอบโน้ตบุ๊กของเขาไว้แล้วดึงเข้ามาหาตัว
“เหนื่อยก็พักสักหน่อยก็ได้ เดี๋ยวฉันเรียบเรียงต่อให้เอง”
จีซอกที่นั่งฟุบหน้าอยู่ยื่นมือมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้หมับ
“นี่ นายกะจะทำให้หมดคนเดียวเลยหรือไง”
เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมเบ้ปาก ก่อนที่สุดท้ายจะแย่งโน้ตบุ๊กไปจากมือผมแล้วเคาะคีย์บอร์ดด้วยท่าทางอืดอาด
ในขณะที่ผมเหลือบมองมือที่ถูกเขาจับแล้วแอบสอดมือนั้นไว้ใต้โต๊ะ เขาก็พูดขึ้นว่า “เลือกข้อมูลคร่าวๆ แล้วส่งให้คนที่รับผิดชอบจัดไฟล์เถอะ ถ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้างเดี๋ยวก็คงทำมาให้แหละ” แต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้ผ่านเข้าหูผมสักเท่าไหร่
จีซอกที่นั่งห่อไหล่พลางเคาะคีย์บอร์ดอย่างหงุดหงิดเอื้อมมือไปทางแก้วน้ำของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่เขาดื่มน้ำผลไม้หมดเกลี้ยงแล้ว เขาจึงคว้าได้แต่แก้วเปล่า พอเห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็คว้าแก้วของผมหมับ ไหล่ของผมพลันกระตุกโดยไม่รู้ตัวขณะมองน้ำผลไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วไหลลงไปในปากของเขา แม้จะพยายามหันไปมองหน้าจอโน้ตบุ๊กโดยแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้ว แต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่ระรัวก็ยังไม่วายทำผมเสียสมาธิอยู่ดี
ทั้งที่เขาก็แค่แย่งน้ำของเพื่อนไปดื่มต่อหน้าต่อตาเฉยๆ น่าเวทนาตัวเองจริงๆ ที่เผลอคิดอะไรไปไกลได้ถึงขนาดนั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงกลไกดังมาจากโถงทางเข้าหน้าประตู เพราะเห็นทางเข้าห้องได้จากห้องนั่งเล่น ผมเลยชะเง้อคอไปมอง ก่อนจะได้เจอกับใบหน้าอันคุ้นเคยที่โผล่ออกมา
แต่แทนที่จะดีใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ไม่ได้พบกันมานาน ผมกลับรู้สึกประหม่ากับบรรยากาศที่ต่างไปจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง คังจีซอกเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ในชุดสูทสากลนิยมอย่างชนชั้นสูงถอดรองเท้าก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน ยิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่ใช่พี่ชายผู้อ่อนโยนและดูอบอุ่นอย่างที่เคยเจอสมัยมัธยมปลาย แต่มีท่าทางที่ดูภูมิฐานในแบบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเคร่งขรึมและเย็นชา ท่ามกลางใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคังจีซอก หางตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยแลดูแตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์นั้นเป็นตัวการสร้างบรรยากาศที่ชวนให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมา
“เอ๋? ทำไมพี่กลับมาแล้วล่ะ”
จีซอกยกมือถือขึ้นมาดูเวลาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตอนกลางวันที่ยังไม่ถึงบ่ายสี่โมงดีเป็นเวลาที่เร็วเกินกว่าที่พนักงานประจำของบริษัทจะเลิกงาน แม้จะเป็นถึงซีอีโอของบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น แต่จีกอนก็มีฐานะเป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงอดที่จะสงสัยเรื่องเวลาไม่ได้
“ไหนว่าวันนี้มีสัมมนาอะไรสักอย่างเลยจะกลับบ้านช้าไง”
ผมสบตากับคังจีกอนผู้เป็นพี่ชายของคังจีซอกที่ก้าวอาดๆ เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เขามองผมที่ยืนขึ้นอย่างละล้าละลังและโค้งศีรษะให้อย่างเงียบๆ ก่อนจะตอบคำถามของจีซอก
“พอดีแวะมาเอาของน่ะ นายไม่ต้องสนใจหรอก”
น้ำเสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำและหนักแน่นกว่าจีซอกเล็กน้อยดังออกมา ทั้งที่เขากำลังตอบคำถามของจีซอก แต่ไม่รู้ทำไมสายตาเขาถึงได้ยังคงจับจ้องอยู่ที่ผม
“คร้าบๆ”
จีซอกเบ้ปากพลางตอบกลับคำพูดที่แสนจะเย็นชาของพี่จีกอนอย่างกวนๆ ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ผม
“พี่ อูซอมาบ้านเราด้วยล่ะ ชินอูซอไง นี่พี่จำไม่ได้จริงดิ ช่วงนี้ผมก็พูดถึงแต่เรื่องของหมอนี่ไม่ใช่หรือไง”
ผมสะดุ้งโหยงกับคำพูดของจีซอกก่อนใช้ปลายเท้าเตะต้นขาของเขา
“นี่ นายพูดเรื่องอะไรน่ะ เอาเรื่องฉันไปเผาหรือไง”
“แล้วอยากให้เผาไหมล่ะ ถ้าอยากฉันจะได้จัดให้”
พอเตะต้นขาของจีซอกที่ยิ้มกริ่มอย่างกวนอารมณ์อีกรอบ เขาก็แสร้งทำเป็นสำออยอย่างกับว่าตัวเองโดนตีจนน่วม
ระหว่างนั้นจู่ๆ พี่จีกอนก็หันขวับโดยละสายตาจากเราไป ก่อนจะเดินผ่านห้องครัวไปยังห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งคงจะเป็นห้องของพี่จีกอน
ผมเหลือบมองทางนั้นแวบหนึ่งแล้วถึงค่อยนั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแก้วของตัวเอง ทว่าแก้วของผมกลับว่างเปล่าไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมคิดมากเรื่องที่จีซอกแตะริมฝีปากลงบนจุดเดียวกันบนแก้วของผมอย่างไม่ลังเลมากกว่าเรื่องที่เขาดื่มน้ำผลไม้ในแก้วของผมหมดเกลี้ยงโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำเสียอีก ถึงเรื่องทำนองนี้จะเกิดขึ้นบ่อย แต่คงต้องโทษที่ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของจีซอก ดังนั้นผมเลยยิ่งคิดมากหนักกว่าเดิม
ผมก่นด่าตัวเองว่างี่เง่า ก่อนจะถือแก้วแล้วลุกขึ้นด้วยว่าจะไปหาน้ำดื่มสักหน่อย แต่จีซอกก็ดึงแขนของผมไว้แล้วตั้งท่าเหมือนจะลุกตามมาด้วยคน
“เดี๋ยวฉันไปเอามาให้เอง”
“นายทำงานส่วนที่ค้างอยู่ของตัวเองให้เสร็จก่อนเถอะ ฉันจัดการส่วนของฉันเสร็จแล้วนะรู้ยัง?”
“โคตรเทพ เร็วชะมัด”
ผมเดินไปทางตู้เย็นโดยปล่อยให้เขาชื่นชมด้วยใบหน้าที่โอเวอร์ไว้ข้างหลัง เมื่อไปถึงผมก็เปิดเคาน์เตอร์บาร์แล้วหยิบขวดน้ำเย็นๆ ออกมาเทใส่แก้ว ก่อนจะดื่มมันพรวดเดียวตรงนั้น น้ำผลไม้รสชาติสดชื่นอมเปรี้ยวเล็กน้อยที่มีกลิ่นส้มช่วยให้สติของผมตื่นตัวขึ้นมา
พอถือแก้วน้ำเดินออกมาจากห้องครัว ผมก็ปะทะกับพี่จีกอนที่ก้าวขาพรวดออกมาจากห้องพอดีจนเกือบชนกันเข้าอย่างจัง โชคดีที่เขาเอื้อมมือมาคว้าตัวผมพร้อมใช้อีกมือหนึ่งคว้าแก้วใส่น้ำเอาไว้พร้อมกันได้อย่างทันท่วงที ไม่อย่างนั้นผมคงเสียหลักทำน้ำหกใส่ตัวพี่เขาแน่
“ขอโทษครับ”
“…”
พี่จีกอนไม่ได้พูดอะไร เขาที่สูงไล่เลี่ยกับจีซอกและสูงกว่าผมราวครึ่งช่วงศีรษะก้มลงมองผมเงียบๆ ก่อนจะละแขนออกแล้ววางมือลงบนศีรษะผมเบาๆ ราวกับลูบมัน จากนั้นเขาก็รีบเดินออกจากห้องไปทันทีโดยทิ้งท้ายไว้กับจีซอกเพียงแค่ว่า ‘ไปแล้วนะ’
ผมลูบศีรษะที่ถูกพี่จีกอนสัมผัสพลางมองบานประตูที่เขาเพิ่งจะเดินออกไปเมื่อครู่
มือของพี่จีกอนมีไออุ่นที่เบาสบายต่างจากท่าทีที่แผ่รังสีเย็นชาออกมานั้นอย่างสิ้นเชิง
วันถัดมาหลังกลับมาจากทำงานที่คอนโดฯ ของจีซอก
ผมทรมานกับพิษไข้อย่างหนัก
มันเป็นพิษไข้ที่เล่นเอาร่างกายของผมอ่อนปวกเปียกจนนอนซมถึงขนาดที่แยกไม่ออกว่าภาพเบื้องหน้าคือสิ่งใด ผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นจากเตียงเลยทำได้เพียงนอนร้องโอดครวญ
นี่เราเป็นหวัดหรือเปล่านะ…
นี่ก็ใกล้จะถึงช่วงฤดูร้อนแล้ว แต่ยังจะมาเป็นหวัดโดยไม่มีอาการอะไรบอกกันก่อนล่วงหน้าอีกเนี่ยนะ?
อาการไอที่มักจะเริ่มเป็นทุกครั้งที่ติดหวัดก็ไม่มี ผมเลยคิดอยู่บ่อยๆ ว่านี่ต้องไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาแน่
ครืด…
ผมได้ยินเสียงสั่นเบาๆ จึงเอื้อมมือไปคลำหามือถือที่อยู่ข้างหมอนทั้งที่ยังนอนเป็นผักอยู่บนเตียง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะหมดเรี่ยวหมดแรงจากพิษไข้ ลำพังแค่จะหยิบมือถือขึ้นมาก็แทบจะไม่ไหว
ผมเช็กแจ้งเตือนในมือถือผ่านสายตาที่พร่าเบลอ ก่อนจะเห็นว่าข้อความนั้นส่งมาจากจีซอก
คิมชานอูส่งตัวอย่างโค้ดดิ้งมาให้ทางอีเมล ฉันเลยส่งมาให้นายด้วย
เดี๋ยวค่อยตรวจดูแล้วช่วยกันทำวันจันทร์นะ
ผมถอนลมหายใจที่ร้อนผ่าวขณะอ่านข้อความนั้นก่อนจะกดแป้นพิมพ์
นายช่วยมาบ้านฉันหน่อยได้|
เคอร์เซอร์กะพริบอยู่เป็นระยะๆ ท้ายประโยคที่ยังพิมพ์ไม่เสร็จ ผมลังเลอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะลบทิ้งทั้งหมดแล้วเริ่มพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
ถ้าว่างนายช่วยไปซื้อยาที่ร้านขายยา|
ผมจ้องเคอร์เซอร์นิ่งก่อนจะลบทิ้งอีกหน
ตอนนี้นายยุ่งหรือเปล่า|
อีกหน…
พอดีว่าฉันป่วยน่ะ นาย|
และอีกหนจนเหลือแต่เคอร์เซอร์กะพริบอยู่อย่างเดียว
อืม
ประโยคที่ในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์สักทีนั้นช่างแสนสั้น
ผมครุ่นคิดอยู่ในใจว่าถ้าเขาตอบอะไรกลับมาสักนิด ผมก็อาจจะพิมพ์ประโยคที่ยาวขึ้นอีกหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็มีเพียงเครื่องหมายที่ยืนยันว่าอ่านแล้วปรากฏขึ้นมาเท่านั้น และไม่ได้มีข้อความอะไรถูกส่งมาอีก
ผมได้แต่รู้สึกขมขื่นระหว่างปิดหน้าจอมือถือแล้ววางมันที่อยู่ในมือซ้ายลงข้างหมอน แต่ทันใดนั้นนิ้วข้างซ้ายก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
“อึก…!”
ผมร้องครวญสั้นๆ ก่อนจะสำรวจมือซ้ายของตัวเองเมื่อรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาบริเวณนิ้วนางข้างซ้าย ถึงจะไม่มีบาดแผลที่มองเห็นได้ชัดจากผิวภายนอก แต่ผมก็รู้สึกเหมือนกับบริเวณนิ้วนั้นกำลังถูกกรีดหรือถูกบีบรัดด้วยของบางอย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดไปเองหรือเปล่า
ระหว่างที่นอนซมเพราะพิษไข้อยู่นั้น อาการเจ็บแปลบแปลกๆ แถวนิ้วนางข้างซ้ายก็ยังคงเล่นงานผมต่อไปไม่หยุด
หลังจากนอนซมเพราะพิษไข้มาตลอดทั้งวัน
ผมก็รีบค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พอพิมพ์คีย์เวิร์ดลงไปก็เห็นรายการค้นหาที่เกี่ยวข้องเรียงรายลงมาเป็นแถบ ผมกดค้นหาคำเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างกระวนกระวายใจ
ยิ่งตาลายกับข้อมูลและบทความในอินเตอร์เน็ตมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งว้าวุ่นใจหนักเข้าไปอีก อาการปวดหัวเข้าเล่นงานจนต้องเอามือกุมหน้าผาก แต่แล้วผมก็ถึงกับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมองไปที่มือซ้ายของตัวเอง
ร่องรอยสีแดงสดที่ประทับอยู่ตรงตำแหน่งที่สวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายปรากฏชัดจนตรึงสายตาของผมเอาไว้
‘แหวน’
มันคือปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วจนเรียกได้ว่ากลายเป็นตำนานที่ผู้คนต่างพูดถึงกันเมื่อหลายสิบปีก่อน
ว่ากันว่าทุกคนต่างก็มีแหวนหรือด้ายแดงที่เชื่อมกับคู่แห่งโชคชะตาอยู่ ทว่าท่ามกลางบรรดาคนนับพันล้านคนบนโลก อัตราที่จะได้พบคู่แห่งโชคชะตาที่มีวงแหวนเชื่อมกันนั้นริบหรี่มาก และต่อให้จะได้พบกัน แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะรู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที
วิธีการตรวจดูว่าต่างฝ่ายต่างเชื่อมโยงกันหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้จากวงแหวนเท่านั้น หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากได้สัมผัสกับคู่แห่งโชคชะตาโดยตรงผ่านทางร่างกายก็จะทรมานด้วยพิษไข้อย่างหนักเป็นเวลากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง จากนั้นก็จะมีวงแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้วนางข้างซ้ายทันที ซึ่งแหวนที่ว่านี้มีเพียงตัวเองและคู่แห่งโชคชะตาเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นวงแหวนของกันและกัน โดยที่คนอื่นนั้นไม่สามารถมองเห็นได้
ปกติวงแหวนสีแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายนั้นจะมีเพียงเส้นเดียว แต่เมื่อใดก็ตามที่ความรักของทั้งคู่ลึกซึ้งขึ้นกว่าปกติ แหวนจากด้ายแดงก็จะถักทอกันราวกับร่างแห ว่ากันว่าเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้อยู่ห่างกันไกลแค่ไหนก็สามารถนอนหลับได้สนิทโดยปราศจากอาการนอนไม่หลับ แต่หากใครคนใดคนหนึ่งหมดรักก่อน วงแหวนนั้นจะกลับมาเป็นเส้นเดียวดังเดิมและต้องกลับมาใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างทรมานอีกครั้ง
ผมเคยได้ยินว่าในบรรดาคนเหล่านั้นมีคนที่สามารถล่วงรู้และแยกแยะวงแหวนของทุกคนได้ แต่ก็ไม่มีข้อมูลปรากฏมากพอ ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการมีอยู่ของวงแหวนนั้นก็ยังคงเรียกความสนใจจากผู้คนได้อยู่เสมอ ถึงขนาดที่มีช่องเคเบิลช่องหนึ่งจัดโปรแกรมพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะและเปิดเผยอย่างเจาะลึกว่าอิทธิพลของวงแหวนนั้นส่งผลยังไงบ้าง
สาเหตุที่วงแหวนถูกนำไปเปรียบเทียบกับตำนานปรัมปรานั้นเป็นเพราะมันคือสิ่งที่สายตาของคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นการที่ผู้คนจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่มีแค่ผู้มีวงแหวนเท่านั้นที่จะสามารถยืนยันการมีอยู่ของวงแหวนของคนอื่นๆ ได้จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของคำค้นหาก็ยังมีแต่พวกบทความที่ปะปนไปด้วยคำถามที่ว่า ‘วงแหวนมีจริงหรือไม่’
แน่นอนว่าผมเองก็อยู่ฝั่งที่ไม่เชื่อเรื่องวงแหวน ถ้าหากด้ายแห่งโชคชะตานี่ผูกชะตาเราไว้กับทุกคนจริง แล้วทำไมผมถึงได้รักคังจีซอกอยู่ข้างเดียวแบบนี้ล่ะ ถ้าหากผมมีคู่แห่งโชคชะตาที่จะต้องสานสัมพันธ์กันอยู่แล้วในสักวันหนึ่ง และอาการที่ผมเป็นอยู่นี้เป็นเพียงการเจ็บป่วยแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วทำไมผมถึงต้องมาลำบากแบบนี้ด้วย
เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาจากริมฝีปาก บทความต่างๆ เด้งขึ้นมาเต็มสองตาบนหน้าจอโน้ตบุ๊กที่ผมกำลังจ้องมองอยู่ และมันก็เป็นบทความที่ทำให้ผมยิ่งเจ็บปวดใจมากกว่าเดิม
‘ถ้าวงแหวนปรากฏขึ้นมาก็จะถือว่าไม่สามารถสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ค่ะ’
‘เรื่องแหวนนี่มันไม่ใช่เรื่องโรแมนติกหรอกนะคะ’
‘ถ้าได้รักกับคนที่มีวงแหวนเชื่อมกันอยู่ก็ดีไปครับ แต่ปัญหาคือมันดันมีคนที่ไม่เป็นแบบนั้นอยู่เยอะกว่าเนี่ยน่ะสิครับ’
‘แล้วถ้าฝืนไปสานสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รักจะนอนไม่หลับเพราะโรคนอนไม่หลับเรื้อรังค่ะ ซึ่งยานอนหลับก็ใช้ไม่ได้ผลด้วยนะคะ’
‘นอนไม่หลับถึงขั้นนั้นโรคถามหาแน่ครับ ที่ต่างประเทศมีเคสคนที่อยู่ห่างจากคู่นานจนถึงขั้นเป็นโรคมะเร็งจากอาการนอนไม่หลับด้วยนะครับ’
‘แถมในบรรดาคนที่วงแหวนเชื่อมโยงกันก็มีคนที่มีวงแหวนเดี่ยว (Single Ring) ที่จำใจต้องใช้ชีวิตด้วยกันอย่างหมดหวังเพียงเพราะแค่ไม่อยากตายอยู่ด้วยนะครับ อันที่จริงคู่ของผมก็เป็นหนึ่งในนั้น’
‘ไม่ว่าจะชอบคู่ตัวเองหรือไม่ เราก็ไม่มีทางเลือกหรอกค่ะ นอกจากต้องอยู่ด้วยกันเพื่อความอยู่รอดไปงั้นๆ’
‘ถ้าเกิดมีวงแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาก็อย่าลังเลเลยค่ะ รีบหาคู่จะดีกว่านะคะ’
‘แต่คนเราไม่ลองก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอครับ’
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมหน้าผาก
ความจริงแล้วผมไม่ได้กลัวการนอนไม่หลับขนาดนั้น คงเพราะตั้งแต่ชอบคังจีซอกมาก็มีเรื่องให้คิดมากมายจนปกติก็นอนหลับไม่สนิทได้ง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นผมเลยมักจะนอนไม่หลับจนต้องอ่านหนังสือวิชาเอกโต้รุ่งจนถึงเช้ามืด คงต้องขอบคุณมันที่ทำให้คะแนนผมพุ่งได้มากขนาดนี้ แต่ก็มีบ้างที่เหนื่อยมากจนเผลองีบหลับไปในห้องชมรมและทำเอาเกือบเข้าคลาสสาย ถ้าไม่มีจีซอกที่คอยดูแลผมอยู่ทุกครั้ง ป่านนี้ผมคงติดเอฟเพราะทั้งเทอมเข้าเรียนทันแค่ครั้งสองครั้งไปแล้ว
ผมใช้ชีวิตอยู่กับอาการนอนไม่หลับมาหลายปีเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันกวนใจอะไรสักเท่าไหร่ ถึงโรคพรรค์นั้นจะดูหนักกว่าหน่อย แต่ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายจากตอนนี้นักหรอก
แต่ปัญหาที่กวนใจนั้นไม่ใช่เรื่องโรคนอนไม่หลับ…
เราเองก็รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วนี่
ระหว่างผมกับคังจีซอกไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ขนาดนั้น ถึงคาดเดาเอาไว้แล้ว แต่ผมก็ยังแกล้งหลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้อะไรมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นการปรากฏของวงแหวนที่ราวกับเป็นการตอกย้ำนั้นจึงทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจสุดๆ
ยิ่งไปกว่านั้นการได้รู้ว่าคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองคือใครก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดจนแทบขาดใจ เพราะคนที่ผมสัมผัสโดนตัวก่อนจะเป็นไข้มีแค่คังจีซอก…กับใครอีกคนหนึ่งเท่านั้น
* อยู่กินรามยอนที่บ้านฉันก่อนสิแล้วค่อยกลับ เป็นประโยคที่มีความหมายโดยนัย สื่อถึงการชวนไปมีเพศสัมพันธ์ที่บ้าน