everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 2 #นิยายวาย
Chapter 1.2 ชินอูซอ
“เฮ้ๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ทันทีที่เดินเข้าห้องเรียนมาในวันจันทร์จีซอกก็รีบร้อนรัวคำพูดออกมา เขานั่งลงข้างผมด้วยสีหน้ากังวลระคนตื่นเต้นชอบกลก่อนจะเปิดปากพูด
“เรื่องของพี่ฉันน่ะ…”
จีซอกหยิบหนังสือวิชาเอกออกมาพร้อมกับหรี่เสียงตัวเองให้เบาลง
“พี่ฉันบอกว่ามีวงแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้วนางข้างซ้าย”
ต่อให้เขาไม่ต้องแบมือซ้ายออกมาแล้วชี้ไปที่นิ้วนาง ผมก็รู้ดีอยู่แล้ว เพราะผมเองก็มีแหวนนี่ปรากฏอยู่ที่นิ้วนางเหมือนกัน
ริมฝีปากของผมพลันแห้งผากพร้อมกับปลายนิ้วที่ชาวาบ ผมกำหมัดแน่นอย่างพยายามข่มใจเพื่อที่จะให้ลืมความรู้สึกเจ็บปวดในใจนั้น แต่ผมก็ตระหนักได้ว่าความรู้สึกเจ็บที่เล็บจิกลงไปในฝ่ามือนั้นไม่ต่างจากความรู้สึกเจ็บแปลบที่ทิ่มแทงหัวใจของตัวเองเลย ผมเก็บสีหน้าว้าวุ่นของตัวเองเอาไว้ก่อนลอบกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืด โดยหวังเพียงแค่ไม่ให้คังจีซอกรู้
“ฉันเคยได้ยินมาว่าถ้าหาคู่ไม่เจอก็จะตายในสองสามวันด้วยล่ะ แล้วนี่พี่ฉันก็เหมือนจะนอนไม่หลับเลยด้วย”
หัวไหล่ของผมกระตุกไปเล็กน้อย เขาเป็นคนที่งานยุ่งและวันๆ ก็น่าจะต้องพบปะผู้คนมากมายต่างจากผม แค่เห็นเขาไม่ได้ถามเรื่องแหวนผ่านจีซอกในช่วงสุดสัปดาห์ ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าเขายุ่งแค่ไหน แต่พอมาได้ยินเองแบบนี้ผมก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที
“เรื่องแหวนนี่มีจริงด้วยแฮะ”
ผมแกล้งพูดอย่างสงบโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว จีซอกถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้าอีกครั้งและมองมาทางผม
“ฉันเองก็คาใจมาตลอด ไม่นึกเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับพี่ฉัน แล้วนี่ฉันจะทำยังไงดี อูซอ พอลองเสิร์ชดูแล้ว ถึงจะบอกว่าโรแมนติก แต่มันก็น่ากลัวมากเลยนะ”
คำพูดที่ผมพอจะพูดออกไปได้ในตอนนี้มีเพียงแค่คำพูดเดียว
“ดูท่าคงต้อง…รีบหาคู่แล้วล่ะ”
ผมแอบลดมือซ้ายที่วางอยู่บนโต๊ะลงไปข้างใต้ วงแหวนสีแดงสดยังคงปรากฏอยู่บนนิ้วนางในมือข้างที่วางอยู่บนตักของผม
คืนนั้นนอกจากจะนอนไม่หลับทั้งที่เหนื่อยล้าแล้ว ผมก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย ซึ่งไม่ต่างจากคืนก่อน
อาการนอนไม่หลับที่เป็นผลพวงจากวงแหวนนั้นรุนแรงกว่าที่คิด ผมข่มตานอนไม่หลับเลยแม้เพียงครู่เดียว ซึ่งต่างจากอาการนอนไม่หลับที่เคยประสบมาอย่างสิ้นเชิง
แต่ก่อนที่มีอาการนอนไม่หลับผมยังพอทนได้ในระดับหนึ่งและจะนอนหลับได้ในอีกสามสี่ชั่วโมงให้หลัง แต่ตอนนี้ลำพังแค่หลับตาสักสิบหรือยี่สิบนาทียังสะดุ้งตื่นขึ้นมาฉับพลันเลย อาการนี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง แถมสภาพจิตใจและอารมณ์ของผมก็พลอยตึงเครียดสุดขีดเพราะโรคโลหิตจางและอาการปวดหัวที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด
ขืนเป็นแบบนี้มีหวังได้ตายจริงแน่
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าตัวเองอาจตายได้จริงๆ เพราะโรคนอนไม่หลับ วินาทีนั้นหัวใจของผมก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้พี่จีกอนเองก็คงจะกำลังประสบกับปัญหาแบบเดียวกัน
จากที่คังจีซอกเล่า หลังจากวันนั้นที่ผมมาที่คอนโดฯ พี่จีกอนก็ราวกับแผ่นน้ำแข็งบนผิวน้ำที่กำลังแตกร้าวไปทั้งผืน พี่เขาที่ฉุนเฉียวขึ้นมาไล่ตามหาทุกคนที่พบเจอในวันก่อนที่ไข้จะขึ้น แต่ลำพังแค่คนที่เขาจับมือด้วยในวันนั้นก็เกินกว่าหนึ่งร้อยคนเข้าไปแล้ว ถ้ารวมคนที่สัมผัสกันทางร่างกายแม้แต่ปลายเล็บเข้าไปด้วยก็เรียกได้ว่าคงนับกันไม่หวาดไม่ไหว
ดังนั้นพี่จีกอนเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากอึดอัดอยู่คนเดียว
ไปหาพี่เขาแล้วบอกทุกอย่างเลยดีไหมนะ
เพราะเวลานี้ผมเองก็ทรมานไม่ต่างกัน
แต่ถึงอย่างนั้นการจะไปพบพี่จีกอนแล้วเล่าความจริงให้ฟังมันก็ไม่ได้ทำใจได้ง่ายๆ เลยสักนิด
ถ้าเกิดโชว์วงแหวนให้ดูตอนเจอกันแล้วพี่เขาจะทำยังไงต่อ จะชวนแต่งงานอย่างนี้เหรอ
เพียงแค่คิดผมก็ถึงกับต้องส่ายหน้าทันที
การปรากฏของวงแหวนที่ไม่คำนึงถึงเพศและการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยทำให้มุมมองของคนทั่วโลกที่มีต่อการแต่งงานในกลุ่มคนเพศเดียวกันและการคบเพศเดียวกันนั้นเปิดกว้างขึ้นมาก หลายปีแล้วที่เรามักจะเห็นคู่รักเพศเดียวกันเดินจับมือกันบนท้องถนนอย่างเปิดเผย และสายตาของผู้คนที่มองมายังพวกเขาก็ไม่ได้ดูสนอกสนใจอะไร
นี่ผมตกเทรนด์ของยุคสมัยที่เปลี่ยนไปหรือเปล่านะ
การชอบผู้ชายด้วยกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองทำให้ผมละอายใจและไม่กล้าปริปากบอกมาตลอดจนถึงตอนนี้ นับประสาอะไรกับการเป็นคู่แห่งโชคชะตากับพี่ชายสายเลือดเดียวกันของเพื่อน ขนาดเส้นทางที่ว่าตันมันยังไม่ตันเท่ากับสถานการณ์ของผมตอนนี้เลย
เพียงแค่ลองคิดภาพยามที่ผมจับมือกับพี่ชายที่ไม่ได้ชอบของเพื่อนสนิทที่ตัวเองชอบแล้วดึงเข้ามากอด ผมก็ฝืนใจจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ถ้าตอนเป็นเด็กมัธยมปลายก็คงไม่กระอักกระอ่วนใจเท่าไหร่หรอก เพราะพี่จีกอนก็เป็นเหมือนพี่ชายของเราทั้งคู่โดยมีจีซอกเชื่อมอยู่ตรงกลาง แต่พอมาตอนนี้นอกจากบรรยากาศจะชวนกระอักกระอ่วนจนกู่ไม่กลับแล้ว ระหว่างผมและพี่เขายังรู้สึกห่างเหินขนาดที่ว่าแม้แต่จะชวนคุยสักคำยังลำบากใจ มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับว่าได้พบคนอื่นคนไกลที่แทบไม่ได้พูดคุยสุงสิงกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจปิดปากเงียบทั้งแบบนี้ได้ เลยได้แต่อึดอัดเหมือนจะขาดใจตายอยู่แบบนี้
หลังจากยืนอยู่หน้าห้องของจีซอกมาพักใหญ่ ความอึดอัดในใจก็ยังคงไม่คลายลง กลับกันแล้วมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเสียอีก
ก่อนกดกริ่ง ผมก้มมองมือทั้งสองข้าง ถุงช็อปปิ้งที่ถืออยู่ในมือขวาคือโจ๊กผักใส่เนื้อวัวร้อนๆ ที่ซื้อมาจากร้านโจ๊กในละแวกนี้ ส่วนถุงสีดำในมือซ้ายคือยาแก้หวัดที่ซื้อมาจากร้านขายยาหน้าคอนโดมิเนียมและยาสมุนไพรบำรุงกำลังอีกสองขวด
ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าน่าจะซื้อแพ็กน้ำแข็งหรือถุงประคบเย็นมาด้วยก่อนจะกดกริ่ง กดไปสองสามครั้งก็ยังไม่รู้สึกถึงวี่แววว่าจะมีใครออกมา
หลับอยู่หรือเปล่านะ
ผมหิ้วโจ๊กกับยามาให้เพราะจีซอกนอนซมเป็นหวัดกะทันหันในฤดูใบไม้ผลิที่มีแสงแดดอบอุ่น ถ้าเขานอนหลับไม่ตื่นผมจะส่งของพวกนี้ให้ได้ยังไงกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถกดรหัสผ่านที่บังเอิญจำได้แล้วผลีผลามเข้าไปเลยได้
ผมหยิบมือถือที่สั่นครืดคราดพอดีขึ้นมาดู มันคือข้อความจากจีซอกที่ผมนึกว่ากำลังหลับอยู่
ลุกไมม่ไวห รรัหสผ่าน 0319
พิมพ์มาก็ผิด
แถมรหัสผ่านก็ไม่ใช่ ‘0319’ รหัสที่ถูกมันคือ ‘0316’ ไม่ใช่หรือไง
ผมเดาะลิ้นแล้วกดรหัสผ่านตามที่ตัวเองจำได้ ก่อนที่บานประตูจะเปิดออกอย่างนุ่มนวลพร้อมกับเสียงกลไกที่ดังขึ้นพร้อมกัน
ก่อนเข้าไปข้างในผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พอเอาเข้าจริงแล้วผมกลับลืมตัวไปว่าตัวเองไม่รู้จักห้องของจีซอก ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาของจีซอกก็ดังลอดออกมาจากประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิทราวกับเจ้าตัวอ่านใจผมได้ผ่านกระแสจิต ซึ่งห้องนั้นอยู่ข้างกันกับห้องของพี่จีกอน
ผมแอบมองห้องของพี่จีกอนก่อนจะเดินไปที่ห้องของจีซอก พอเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปข้างในก็เห็นจีซอกที่นอนหายใจหอบอยู่บนเตียง
“มาแล้วเหรอ…”
เขายิ้มอย่างฝืนๆ ด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อเพราะพิษไข้และพยายามหยัดกายท่อนบนลุกขึ้น ผมหิ้วของพะรุงพะรังอยู่เต็มสองมือเลยใช้ข้อศอกดันหน้าอกของเขา ทำเอาเขาล้มลงไปนอนแหมะอยู่บนเตียงตามเดิม
“นายนี่นะ ศอกใส่คนป่วยได้ไง…”
“ถึงเวลาต้องนั่งฉันจะช่วยพยุงเอง แต่ตอนนี้หุบปากแล้วนอนลงไปซะ”
ผมวางข้าวของเต็มสองมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มจัดแจงหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาทีละอย่างสองอย่าง
“คงจะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงสินะ? เวลาป่วยทีไรนายชอบอดข้าวตลอดเลยนี่”
“จะไม่ให้อดได้ไงอะ แม้แต่แรงจะลุกออกไปหาข้าวกินฉันยังไม่มีเลย…”
“ก็สมควรอยู่หรอก โจ๊กนี่ยังร้อนอยู่ เพราะงั้นกินเลยก็แล้วกัน”
ผมคิดว่าการจะหามจีซอกออกไปที่โต๊ะในห้องครัวแล้วให้เขานั่งกินก็ดูจะหักโหมเกินไปหน่อย เลยออกไปยกถาดสี่เหลี่ยมที่พอจะวางบนตักได้มาให้เขาแทน ผมแกะโจ๊กกับเครื่องเคียง รวมถึงวางช้อนและตะเกียบลงบนถาด ก่อนจะค่อยๆ ประคองจีซอกให้ลุกขึ้นนั่งโดยสอดหมอนไว้ข้างหลังเพื่อให้เขาพิงได้ จากนั้นก็วางถาดที่เตรียมอาหารเสร็จแล้วลงบนหน้าขาที่เหยียดออกไปเป็นเส้นตรง
“พยายามกินให้เยอะที่สุดเท่าที่จะกินได้เลยนะ เสร็จแล้วจะได้กินยาต่อ”
“โห…ขนาดแม่ฉันที่ยุ่งๆ ยังไม่เคยทำแบบนี้ให้เลย ไหนๆ ก็ทำให้ขนาดนี้แล้ว นายมาเป็นแม่ฉันไหม…”
“เพ้อเจ้ออีกแล้วนะนายเนี่ย”
ผมแค่นหัวเราะก่อนจะหันไปเตรียมยาให้ พอลองจับขวดยาสมุนไพรบำรุงกำลังแล้วก็พบว่ามันยังร้อนอยู่ หลังจากกินโจ๊กเสร็จก็น่าจะอุ่นกำลังดี
ผมเตรียมยาเม็ดไว้ให้เพื่อที่เขาจะได้กินยาต่อทันทีหลังมื้ออาหาร ก่อนจะแนบมือลงบนหน้าผากของจีซอกที่เพิ่งจะกินโจ๊กพร่องไปได้หน่อยเดียว หน้าผากของเขาร้อนผ่าวเอาเรื่อง แบบนี้ก็สมควรจะเบลอและสายตาพร่ามัวอยู่หรอก
หลังจากกินโจ๊กกับยาเสร็จ สงสัยคงต้องไปเอาน้ำแข็งมาประคบเย็นให้หน่อยแล้ว
ถุงประคบเย็นที่ไม่ได้ซื้อมาปรากฏขึ้นในหัวผมรางๆ
ในตอนนั้นเองจีซอกที่ตักโจ๊กกินไปได้แค่สามสี่คำก็เงยหน้ามองผมอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษที่ฉันสภาพเป็นแบบนี้ไปด้วยอีกคนนะ นี่…”
“ว่า?”
“เรื่องงานกลุ่มน่ะ…”
ผมก็นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร
ดูท่าเขาคงจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยทำงานเหมือนกับพวกสมาชิกในกลุ่มคนอื่นๆ ที่แก้ตัวไปเรื่อย
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า รีบหายไวๆ แล้วกัน นายตัวใหญ่ เวลาเป็นไข้หวัดทีก็อาการหนักแบบนี้แหละ”
“อืม…ฉันต้องหายไวอยู่แล้วล่ะ ก็มีนายคอยช่วยดูแลนี่ ขอบใจนะ”
เมื่อได้มองใบหน้าของเขาที่ยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจถูกบางอย่างกระทบเบาๆ จนสั่นไหวไปทั้งดวง ภาพนั้นชวนให้ผมรู้สึกดีจนยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ
“ว่าแต่นายได้นอนหลับสนิทบ้างหรือเปล่าเนี่ย ตาจะเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว”
มุมปากที่ยกยิ้มพลันชะงักกึกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของจีซอก
“ถึงงานจะเยอะและหนักแค่ไหน แต่นายก็ต้องนอนหลับให้เต็มอิ่มนะ พอเห็นสภาพพี่ตัวเองแล้ว ฉันว่าคงไม่มีอะไรทรมานได้เท่าการอดหลับอดนอนอีกแล้ว”
ผมไม่กล้าพูดอะไรและได้แต่นิ่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วกดขอบตาล่างพลางครุ่นคิดว่าสภาพผมตอนนี้มันเห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ
“อ้อ จริงสิ เห็นวันนี้พี่บอกว่าจะรีบกลับบ้านทันทีหลังเลิกงาน…”
ฉับพลันนั้นผมก็สะดุ้งเฮือกจนไหล่ไหวกับคำพูดของจีซอก พอล้วงมือถือออกมาดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว คงเป็นเพราะตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อนที่แดดจ้าอยู่เลยรู้สึกว่าเวลาช้าลงเล็กน้อย
ผมเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แค่นึกว่าอีกเดี๋ยวพี่จีกอนที่เลิกงานแล้วจะกลับเข้ามา ก็คล้ายกับว่านิ้วนางข้างซ้ายจะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ถึงจะอยากหนีหน้าแค่ไหน แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยจีซอกที่เพิ่งเริ่มกินข้าวไว้คนเดียวได้ ผมจะทิ้งเขาไปเฉยๆ โดยวางถาดอาหารทิ้งไว้บนตักของเขาที่แม้แต่แรงจะจับช้อนยังแทบไม่มีได้ยังไงกัน
ระหว่างที่กำลังละล้าละลังอยู่นั้นเอง
เสียงกลไกที่คุ้นเคยของตัวดอร์ล็อกก็ดังมาจากโถงทางเข้า ไม่นานนักบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงของใครบางคนที่เดินเข้ามา
“พี่กลับมาแล้วเหรอ”
จีซอกชะโงกหน้าไปมองทางช่องประตูที่เปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ต่างจากผมที่ไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้ามองไปทางนั้น รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งตัวแข็งทื่อไหล่เกร็งโดยสอดมือซ้ายซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้ว
เพียงครู่เดียวเสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา ก่อนที่คนด้านนอกจะเปิดประตูห้องของจีซอกออกกว้าง
“จีซอกอา* หัดปิดประตูซะบ้างสิ…เอ๊ะ? ใครน่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงจากทางฝั่งประตู ความตึงเครียดก็พลันมลายหายไปในทันที
ภาพที่หันไปเห็นคือผู้หญิงวัยเลขสองที่มัดผมตรงยาวเป็นหางม้าในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนพลิ้วไหว ไม่รู้ทำไมยีนของคนบ้านนี้ถึงได้เด่นขนาดนี้ เพียงแค่มองผ่านๆ ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าเธอเป็นพี่น้องกับจีซอก และที่สำคัญคือผมเคยเจอเธออยู่บ่อยๆ ช่วงที่ติวพิเศษกับพี่จีกอนสมัยเรียนมัธยมปลาย
พี่คังจียอนเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยแววตาที่เป็นประกายคล้ายกับว่าจำผมได้ในทันที
“อูซอ? ชินอูซอใช่ไหม”
“สวัสดีครับพี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่พี่จีกอนงานยุ่งจนไม่ได้เห็นหน้า ช่วงเดียวกันนั้นพี่จียอนก็เข้าทำงานในบริษัทดีไซเนอร์ชื่อดังและยุ่งจนไม่มีเวลาให้ได้ลืมหูลืมตาไปอีกคน เธอเป็นหนึ่งในสองคนที่ทำให้ผมคิดว่าพอเป็นพนักงานบริษัทแล้วตัวผมเองก็คงจะยุ่งแบบนั้นเหมือนกัน และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่ได้เจอพี่เขาเสียนาน
ในระหว่างที่พี่จียอนมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยแววตาระยิบระยับแล้วชมเปาะว่า ‘โตขึ้นเยอะเลยนี่’ จีซอกที่ตักโจ๊กเข้าปากเพิ่มอีกสองสามคำก็เหมือนมีแรงขึ้นมาหน่อยเลยถามขึ้น
“ทำไมพี่กลับเร็วอีกแล้วล่ะ”
“ก็เห็นพี่กอนนี่บอกว่านายป่วยใกล้ตาย ฉันเลยรีบเลิกงานแล้วบึ่งมาดูน่ะสิ”
พี่จียอนไล่สายตามองสภาพของจีซอก อาหารที่วางอยู่บนตัก และยาที่วางอยู่บนโต๊ะตามลำดับ ก่อนจะตีแขนของผมเบาๆ อย่างชื่นชม
“อูซอเนี่ยดูแลคนอื่นดีเหมือนเดิมเลยน้า ดูแลน้องชายพี่ได้ดีกว่าพี่ซะอีก”
จีซอกที่ได้ยินดังนั้นจึงแกล้งหยอกพี่สาวเล่นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใช่ ดีกว่าพี่เยอะ ถ้าเป็นพี่นะ ต่อให้ป่วยเจียนตายก็คงจะให้กินแต่รามยอน…!”
“ว่าไงนะ ไอ้เด็กนี่หนิ”
“เปล่าพูดอะไรสักหน่อย ยังไงก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับคุณพี่สาว”
ผมหลุดหัวเราะเมื่อเห็นทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้และมาเช็กเวลาเอาทีหลัง
โอ๊ย นี่มันไม่ใช่เวลามามัวยืนหัวเราะอยู่นะ
ขืนยังมัวอ้อยอิ่งต่อมีหวังผมคงได้เผชิญหน้ากับพี่จีกอนแน่
“พี่ครับ ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อน ฝากดูแลจีซอกต่อด้วยนะครับ”
“จะกลับแล้วเหรอ ยังไงก็ขอบใจที่ช่วยดูแลนะ”
ผมออกจากห้องมาโดยทิ้งพี่จียอนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มและจีซอกที่โบกมือขอบคุณไว้ข้างหลัง ขณะเดียวกันก็ได้ยินพี่จียอนพูดทิ้งท้ายว่า ‘จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด’ และ ‘น่ารักจริงเชียว’ ดังไล่ตามหลังมา ถึงจะยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไป แต่การชมผู้ชายอกสามศอกที่แค่ตัวเล็กกว่าจีซอกนิดหน่อยด้วยคำว่า ‘น่ารัก’ นั้นก็ชวนให้ผมรู้สึกอยากเถียงกลับไปใจจะขาด
แต่ผมก็ไม่ได้ว่างพอที่จะมาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น จิตใจที่กระวนกระวายทำให้ฝีเท้าของผมฉับไวมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมพยายามสงบความว้าวุ่นใจขณะรอลิฟต์ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะอยู่ในสภาพอดนอนและอ่อนไหวง่ายชนิดที่เผลอหน่อยเดียวก็เดินเซแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากหนีหน้าพี่จีกอนเพราะยังเตรียมใจมาไม่พร้อม ผมไม่มั่นใจพอที่จะพูดอย่างหน้าตาเฉยว่า ‘ผมคือคู่ของพี่ครับ’ และถึงจะกล้าพูดออกไป ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะต้องทำยังไงต่อหลังจากนั้น พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรในหัวก็จะยิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายจนปวดหัวหนักกว่าเดิม
ผมใช้มือขวากุมขมับพร้อมกับขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าตัวเองจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้อีกสักกี่วัน ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา
ระหว่างนั้นลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นมาถึงก็ส่งเสียงสั้นๆ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดแยกออกซ้ายขวา ผมตั้งท่าจะเดินเข้าไป แต่แล้วก็จำต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างใน
“…!”
คนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่จีกอน อาจเพราะเขาอยู่ในชุดสูทที่มีสีโทนเข้มกว่าที่เห็นคราวก่อนระดับหนึ่ง บรรยากาศที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาจึงดูหนักอึ้ง ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าปกคลุมสมองของผมถึงขนาดที่คิดขึ้นมาเป็นอย่างแรกว่าเขาดูอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่า
หลังจากมองพี่จีกอนนิ่งด้วยสีหน้าตกใจ เวลาก็ไหลผ่านไปจนประตูลิฟต์ปิดลงโดยอัตโนมัติ แต่แล้วพี่จีกอนก็ช่วยกดปุ่มเปิดประตูเอาไว้ให้แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“อูซอยา ไม่เข้ามาเหรอ”
น้ำเสียงที่ถามฟังดูเย็นชาไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่นี่ไม่ใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนั้น ผมรีบก้มศีรษะทักทายก่อนจะสบตาเขา
“สวัสดีครับพี่”
“อืม สวัสดี ว่าแต่นายไม่ขึ้นมาเหรอ”
“เอ่อคือ…ขึ้นครับ แต่ว่า…”
ดวงตาที่เฉียบคมแต่ดูเหนื่อยล้าของพี่เขากะพริบหนึ่งครั้ง
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง เข้ามาสิ”
“ครับ? ไม่เป็นไรครับ”
“ตอนนี้พี่เพลียนิดหน่อย แต่เดี๋ยวจะรีบไปส่ง ไม่ขึ้นมาสักทีล่ะ”
หากฟังเพียงแค่คำพูด พี่เขาก็ใจดีเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงหรือบรรยากาศถึงได้ดูน่าเกรงขามแปลกๆ ผมลอบกลืนน้ำลายที่แห้งผากแล้วเข้าลิฟต์ไปอย่างเสียไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็ไม่วายซ่อนนิ้วนางข้างซ้ายไว้ข้างหลังเพื่อไม่ให้เขาเห็น
พี่จีกอนกดปุ่มชั้นใต้ดินชั้นที่สองแทนที่จะกดชั้นหนึ่ง เขาเหลือบมองผมก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ปรายตามาทางผมอีก แต่ผมก็กระวนกระวายใจจนหัวใจเริ่มเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องที่เคยสัมผัสตัวกับเรา พี่เขาคงจำไม่ได้หรอกมั้ง?
ถ้าจำได้ป่านนี้ก็น่าจะถามเรื่องแหวนไปแล้ว
ผมแอบชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของพี่จีกอนด้วยแววตาประหม่า เขาใช้ปลายนิ้วกดนวดตรงหว่างคิ้วราวกับเหนื่อยล้าเอามากๆ ความรู้สึกผิดและความหวั่นวิตกถาโถมเข้ามาจนหัวใจของผมหนักอึ้ง
ตัวลิฟต์เคลื่อนลงไปหยุดอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง พอประตูลิฟต์เปิดออก ผมถึงได้รู้ว่าชั้นนี้คือลานจอดรถ
คำพูดที่บอกว่าจะไปส่งคงไม่ได้หมายความว่าจะไปส่งถึงบ้านหรอกนะ?
แต่แล้วพี่จีกอนก็เดินตรงไปที่รถเหมือนอย่างที่ผมคาดเอาไว้
“พี่ครับ เดี๋ยวผมเดินกลับเองดีกว่าครับ”
ผมไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถนั่งอยู่ในรถของพี่จีกอนอย่างใจเย็นได้เลยเลือกที่จะหยุดเดินแล้วบอกเขา แม้ผมจะฝืนคลี่ยิ้มและบอกเขาแล้วว่าตัวเองอยู่ใกล้แถวนี้ แต่พี่จีกอนก็หันกลับมามองผมด้วยประกายตาคมกริบอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่เป็นไร พี่ไปดูจีซอกเถอะครับ”
“เรื่องที่จีซอกป่วยน่ะ ปล่อยให้ทางจียอนจัดการไปเถอะ”
ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้รีบกลับคอนโดฯ มาเพราะคังจีซอกป่วยตั้งแต่แรก
พี่จีกอนก้าวอาดๆ เข้ามาคว้าแขนซ้ายของผมเอาไว้ ผมสูดหายใจเข้าก่อนดวงตาที่ดูลนลานตกใจจะเห็นวงแหวนสีแดงเข้มที่ปรากฏอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขา ทันทีที่เห็นมันผมก็รู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
“ความจริงแล้วพี่มีธุระกับนายนิดหน่อยน่ะ”
หัวใจที่กำลังเต้นตึกตักพลันกระตุกวูบ
ผมถูกเขาจับแขนไว้แน่นมาก จากนั้นพี่จีกอนก็ใช้มือซ้ายคว้าข้อมือซ้ายของผมแล้วชูขึ้น มือข้างซ้ายของผมพลันปรากฏชัดสู่สายตา โดยที่พี่เขาไม่ปล่อยให้ผมมีแม้แต่เวลาจะชักแขนออกหรือถอยหนีด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งของเขา
ดวงตาของพี่จีกอนสั่นไหวอย่างรุนแรงไปชั่วพริบตาหนึ่ง
พี่เขาขบริมฝีปากล่างโดยที่สายตายังคงจับจ้องวงแหวนสีแดงที่พันอยู่รอบนิ้วนางข้างซ้ายของผม
ผมไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร จะบอกว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันดีไหมนะ จะบอกว่าผมคาดไม่ถึงแล้วก็ไม่นึกเลยว่าพี่จะเกี่ยวข้องกับแหวนนี่ดีไหมนะ หรือว่าจะขอโทษขอโพยแล้วแก้ตัวว่าตั้งใจจะบอกแต่แรกอยู่แล้วดี
ผมปิดปากเงียบสนิทอย่างพูดอะไรไม่ออก พี่จีกอนจึงจับแขนของผมแล้วลากไปทั้งอย่างนั้น
“เอ่อ…พี่ครับ! เดี๋ยวก่อนครับ”
“…”
ท่าทางของเขาดูโกรธมาก ภาพตรงหน้าของผมวูบไหวเมื่อคิดได้ว่างานเข้าแล้วแน่ๆ
พี่จีกอนลากผมไปที่รถของเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระทั่งตอนที่ถูกดันเข้าไปนั่งบนเบาะที่นั่งข้างคนขับ ผมก็ยังกังวลอยู่อึดใจหนึ่งว่าควรจะบอกพี่เขาว่ายังไงดี ถ้าแหวนนี่เชื่อมกับคนแปลกหน้า ผมคงพูดอะไรออกไปได้อย่างชัดถ้อยชัดคำแล้ว แต่นี่อีกฝ่ายดันเป็นพี่ชายแท้ๆ ของจีซอก ในหัวผมเลยขาวโพลนไปหมด ถึงจะเคยคิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องเปิดเผยเรื่องนี้กับเขาเข้าสักวัน แต่ผมก็ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาโชว์นิ้วนางข้างซ้ายให้พี่เขาเห็นในสถานการณ์แบบนี้
พี่จีกอนเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับก่อนจะปิดประตูลงเสียงดังปัง ผมได้แต่นั่งตัวเกร็งจนไหล่สั่น และทันใดนั้นพี่เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ราวกับพรั่งพรูลมหายใจที่กักเก็บไว้เป็นเวลานานออกมา แต่กระนั้นความหงุดหงิดก็น่าจะยังไม่มลายหายไป พี่เขาจึงกระชากเนกไทที่ผูกไว้อย่างเรียบร้อยออกแล้วโยนไปที่เบาะด้านหลัง ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนตามมา
“ดูเหมือนนายจะรู้อยู่แล้วเลยนะ”
ผมเม้มริมฝีปากให้กับคำพูดของพี่จีกอน
“ทำไมไม่บอกกันล่ะ”
คำถามนี้ผมก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีกเช่นเคย ผมได้แต่นั่งกังวลเพราะตอบออกไปตามตรงไม่ได้ว่าเขาเป็นพี่ชายของคนที่ชอบ
ความเงียบยังคงดำเนินไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย พี่จีกอนถอนหายใจออกมายาวเหยียดเหมือนคิดอะไรออกก่อนจะหันหน้ามาทางผม
“อูซอยา”
“…ครับ”
ผมหลุบตาลงต่ำพลางก้มหน้างุดพร้อมกับรวบรวมความกล้าตอบกลับไป
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ พี่จีกอนที่ได้รู้ว่าแหวนของตัวเองเชื่อมกับเพื่อนสนิทของน้องชายตัวเองก็คงอึดอัดใจไม่แพ้กัน และพี่เขาก็คงจะโกรธผมมากที่รู้เรื่องนั้นแล้วแต่กลับปิดปากเงียบ
ความรู้สึกผิดอันเลือนรางเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและกดทับลงมาบนบ่าของผม
ไม่รู้ว่าพี่จีกอนรู้เรื่องนั้นหรือเปล่า เขาถึงได้ไม่ยอมละสายตาไปจากผมเลย
“พี่จะไม่อ้อมค้อมนะ เรามา ‘ลองทำ’ กันสักเดี๋ยวเถอะ”
ผมเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ดังออกมาจากปากของพี่จีกอน
“…ครับ? ลองทำเหรอครับ”
พี่จีกอนยื่นมือมากำมือข้างซ้ายของผมแน่นจนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในชั่วพริบตา
“มานอนกันเถอะ สักหนึ่งชั่วโมง”
พี่จีกอนหยิบมือถือออกมาตั้งเวลาปลุกอย่างไม่รีรอ มือของเขากำข้อมือผมแน่นราวกับว่าจะไม่ปล่อยผมไปเด็ดขาด
อันที่จริงผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม หลังจากมีอาการนอนไม่หลับนับตั้งแต่วันที่วงแหวนปรากฏขึ้นมา ผมหวังอย่างมากว่าเพียงแค่ขอได้นอนหลับสักครู่หนึ่งก็พอ
แต่หลังจากตื่นขึ้นมา ลมหายใจที่อ่อนแรงก็พรูออกมาจากริมฝีปากของผม
เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
มันคือหนึ่งชั่วโมงที่ผมสัมผัสได้ถึงการนอนหลับที่แสนสบาย ก่อนจะต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่พี่จีกอนตั้งไว้ แม้จะได้นอนหลับเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แต่ผมกลับรู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีราวกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาถูกปัดเป่าจนหายไปกว่าครึ่ง ผมอยากนอนหลับตาโดยไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดแบบนี้อีกครั้ง
“ฮึ…”
ผมที่กำลังงัวเงียอยู่ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายหันหน้าไปตามเสียงแค่นหัวเราะที่ดังมาจากคนข้างตัว บรรยากาศที่ตึงเครียดก่อนจะหลับใหลไปเมื่อครู่พลันหายไปจากตัวพี่จีกอนจนหมดสิ้น เขาเสยผมขึ้นพลางแค่นหัวเราะเสียงเบา ผมถึงกับตกตะลึงพลางคิดว่าแม้แต่ท่าทางยามหัวเราะนั้นก็ยังเหมือนจีซอกมากจริงๆ
ทั้งที่ตื่นนอนแล้ว แต่พี่จีกอนยังคงจับมือผมแน่นราวกับไม่คิดจะปล่อยไป
“ชินอูซอ”
น้ำเสียงของเขาที่เรียกผมนั้นฟังดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
“นายอยากทำงานพิเศษไหม”
“งานพิเศษอะไรเหรอครับ”
พี่จีกอนชูมือของผมที่ยังคงจับไว้แน่นมาจนถึงตอนนั้นขึ้นมา
* อา หรือยา ใช้เติมหลังชื่อคนเวลาขานเรียกสำหรับคนที่สนิทใจกันเท่านั้น โดยเป็นการเติมเข้าไปเพื่อให้หางเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลขึ้น ทั้งนี้มีหลักการใช้คือหากท้ายชื่อมีตัวสะกดใช้ ‘อา’ หากท้ายชื่อไม่มีตัวสะกดใช้ ‘ยา’