ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 2 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 2 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

Chapter 2 คังจีกอน

 

ผมไม่เคยคิดว่าน้องของตัวเองน่ารักเลยแม้แต่สักนิด ถึงจะมีน้องสาวที่อายุห่างกันสามปีและน้องชายที่อายุห่างกันเจ็ดปี แต่ทั้งหน้าตาและบุคลิกของทั้งคู่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าน่ารักน่าเอ็นดูลิบลับ ยิ่งเวลาทำตัวออดอ้อนออเซาะอย่างโน้นอย่างนี้เพื่อเงินค่าขนม ผมก็มีแต่จะยู่หน้าด้วยความหมั่นไส้

หากนับจำนวนครั้งที่รู้สึกว่ามีใครน่ารักบ้างในชีวิตนี้ด้วยนิ้วแล้ว เห็นทีว่าคงจะนับได้เพียงแค่สามสี่นิ้ว แต่ถ้ารวมสัตว์เข้าไปด้วยก็น่าจะนับได้มากกว่านั้น เพราะแบบนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะมีใครสักคนดูน่ารักในสายตาของผม

แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบว่าวงแหวนแห่งโชคชะตาได้ถักทอให้โชคชะตาของผมเชื่อมกับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ในลิสต์ ‘คนน่ารัก’ ที่แสนหายากคนนั้น

 

คังจีซอกน้องชายของผมมีเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายอยู่คนหนึ่ง หลังจากพ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ ผมก็รับฟังเรื่องราวต่างๆ จากจีซอกมาตั้งแต่ตอนนั้นเสมือนกับพ่อคนหนึ่ง แต่จะมีเพื่อนคนพิเศษอยู่คนหนึ่งที่จีซอกมักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ แค่ฟังเรื่องราวที่เขาพรั่งพรูออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นก็พอจะรู้ได้แล้วว่าสองคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ากันได้ดีขนาดไหน

ต่อให้จะมีเพื่อนคนอื่นๆ อยู่บ้าง สองคนนี้ก็จะกินข้าวด้วยกันตลอดและตัวติดกันไปทุกที่ทุกเวลาอย่างไม่รู้จักเบื่อ เวลาไปไหนก็ไปด้วยกัน แม้แต่เวลาทำการบ้านหรือติวหนังสือก็มักจะมีอีกคนคอยอยู่ข้างกายเสมอ หรือถ้าหากอีกคนต้องการอะไรก็จะรับรู้ได้ก่อนเสมอราวกับสื่อสารกันผ่านกระแสจิตได้ แถมเวลาพูดคุยก็เข้าขากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนสามารถคุยได้หลายชั่วโมงติดต่อกัน

‘พวกนายเป็นคู่สามีภรรยากันหรือไง’

แค่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดผมก็โพล่งคำถามนั้นออกไปทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ถึงอย่างนั้นคังจีซอกในวัยมัธยมปลายก็ไม่ได้กระฟัดกระเฟียดอะไร ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า ‘ก็มีคนชอบถามแบบนี้อยู่บ่อยๆ เหมือนกันแหละ’ ทั้งยังพูดติดตลกตามมาอีกว่า ‘ถ้ามีผู้หญิงที่ใจตรงกันเหมือนเพื่อนคนนั้น ป่านนี้ผมคงสารภาพรักไปแล้ว’

ในตอนที่วงแหวนเกิดขึ้นและแพร่กระจายบนโลกใบนี้ การตระหนักรู้ของคนเกาหลีก็เปลี่ยนไปมากถึงขนาดที่มีการตัดสินให้การแต่งงานสำหรับบุคคลที่มีเพศเดียวกันได้รับความเห็นชอบด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะแต่งงานกับเพศเดียวกัน อย่างคังจีซอกเองก็ยังมั่นคงในรสนิยมของตัวเองไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่เด็กประเภทที่จะทิ้งรสนิยมของตัวเองและมองเพื่อนเป็นคู่เดตได้

อันที่จริงตอนได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นคนดีแน่ๆ…ไม่สิ คงต้องบอกว่าเป็นเด็กหัวอ่อนเสียมากกว่า

ผมที่กลืนไปกับสังคมหรือแม้แต่คังจีซอกเองก็ยังมองเขาเป็นแค่เด็กที่อ่อนต่อโลกขนาดที่ต้องอบรมก่อนถึงจะออกไปเผชิญชีวิตในสังคมจริงได้ เขาไม่ต่างอะไรกับคนหน้าโง่ที่เวลามีใครขอร้องก็ปฏิเสธไม่เป็นและไม่ว่าจะถูกใครเอาเปรียบก็ไม่ติดใจ แต่ในอีกด้านหนึ่งจากที่ได้ยินมา เพื่อนคนนั้นก็ใช่ย่อยเหมือนกัน เรื่องไหนที่อาจทำให้คังจีซอกตกที่นั่งลำบาก เขาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเสมอ ทั้งยังเอื้อเฟื้ออย่างเต็มที่แม้จะไม่ได้พูดออกมาจากปากอย่างชัดเจนก็ตาม ทำเอาผมเผลอคิดไปว่าคำพูดที่ว่า ‘คนประเภทเดียวกันมักดึงดูดกันเอง’ นั้น ดูท่าคงจะมีไว้ใช้กับความสัมพันธ์แบบนี้

และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสนใจเด็กคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย

คังจีซอกที่เป็นน้องชายคนเล็กมักเล่าเรื่องของตัวเองเป็นฉากๆ ชนิดที่หากจะทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่ได้ ต่างจากน้องสาวคนกลางอย่างคังจียอนที่ถือคติไม่อะไรกับใครและมีโลกส่วนตัวสูงอย่างสิ้นเชิง แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมสนใจตัวละครพิเศษที่โผล่มาในเรื่องเล่าของน้องชายผมเป็นประจำได้ยังไงกัน

ดังนั้นผมจึงหลุดพูดออกไปว่า ‘ลองพามาบ้านสักครั้งสิ’ ซึ่งฟังดูคล้ายกับคำพูดที่บอกว่า ‘ถ้ามีคนที่คบอยู่ก็พามาให้เจอบ้างสิ’ ไม่มีผิด

ผมล่ะสงสัยจริงเชียวว่าเด็กนั่นจะหัวอ่อนขนาดไหน…

น่ารักแฮะ

แต่แล้วความคิดนั้นก็ผุดขึ้นมาทันทีที่จีซอกเปิดรูปที่ถ่ายคู่กับเพื่อนคนนั้นให้ผมดู

มันเป็นรูปที่พวกเขาสองคนนั่งอยู่ข้างกันบนม้านั่ง โดยที่จีซอกอยู่ในท่าที่กำลังโอบไหล่เพื่อนคนนั้นเอาไว้ ดูจากหนังสือหน้าตาเหมือนแบบฝึกหัดที่วางอยู่บนตัก ดูเหมือนทั้งคู่น่าจะกำลังอ่านหนังสือหรือทำการบ้านกันอยู่ เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกเหมือนกับว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นเด็กนักเรียนตัวอย่างที่หงิมๆ ต่างจากจีซอกที่ขี้เล่น

เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนที่เข้ากับจีซอกได้ดี ผมเลยนึกว่าจะตัวใหญ่เอาเรื่อง แต่ที่ไหนได้เขากลับดูผอมแห้งและหุ่นบางไปถนัดตาเมื่อเทียบกับน้องชายของผมที่มีรูปร่างกำยำ ถึงแม้ผมอาจจะเห็นไม่ชัดเพราะทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ แต่ภาพลักษณ์ภายนอกของเขาก็ดูอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่ขาวใสและส่วนสูงที่ถึงแม้จะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าน้อยแต่ก็ยังดูดี

เด็กคนนั้นมีรอยยิ้มกับใบหน้าที่ดูเรียบร้อยต่างจากรอยยิ้มของจีซอกที่ดูสดใสและซุกซน ดวงตาที่หยียิ้มอย่างอ่อนโยนและริมฝีปากที่มีชีวิตชีวานั้นคล้ายจะดึงดูดสายตาของผมเป็นพิเศษ

ผมประทับใจรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ราวกับกำลังมองใครสักคนด้านหลังกล้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แต่น่าเสียดายที่ภาพนั้นดันเป็นภาพเซลฟี่จากมือถือจึงไม่มีทางที่จะมีใครอยู่ข้างหลังได้

‘เด็กนี่ชื่ออะไรน่ะ’

พอพยักพเยิดคางไปทางรูปเด็กคนนั้นที่ปรากฏอยู่เต็มหน้าจอ คังจีซอกก็ตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล

ชินอูซอ

หลังจากที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ผมก็จำชื่อนั้นได้ในทันที

 

วันหนึ่งที่ฝนเทกระหน่ำลงมากะทันหัน

ผมได้รับข้อความงอแงจากจีซอกว่าวางร่มทิ้งไว้ อุตส่าห์ได้กลับบ้านเร็วทั้งที แต่ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมก็ต้องขับรถออกไปอีกครั้ง

ในตอนที่ขับไปจนเกือบถึงประตูใหญ่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายที่แสนคุ้นเคย ข้อความข้อความหนึ่งจากจีซอกก็เด้งขึ้นมา

 

เพื่อนบอกว่าจะไปส่งที่บ้าน ไม่ต้องมาแล้วนะพี่

 

มาบอกเอาตอนที่ถ่อมาถึงโรงเรียนแล้วเนี่ยนะ

การส่งข้อความระหว่างขับรถเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดมาก ผมเลยจอดรถใกล้ๆ โรงเรียนแล้วโทรไปหาน้องชายตัวดี

‘อยากตายสินะคังจีซอก?’

ผมขบกรามพลางพูดเสียงต่ำทันทีที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ จีซอกเลยถามเสียงอ่อยๆ กลับมาว่า ‘นี่พี่มาถึงแล้วเหรอ’

‘ถึงประตูใหญ่แล้ว รีบมาขึ้นรถซะ’

‘ครับ คุณพี่ชาย!’

เขาตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด ก่อนที่เสียงคุยกับใครบางคนจะดังแว่วๆ ตามหลังมา ผมรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเพื่อนของน้องชายที่ชื่อชินอูซอ

ผ่านไปไม่นานผมก็เห็นจีซอกกับอูซอเดินพ้นประตูใหญ่ออกมาพร้อมกับร่มสีเทาที่น่าจะเป็นของอูซอ ร่มคันนั้นดูเล็กเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนจะใช้ด้วยกัน แต่กระนั้นแขนของจีซอกที่อยู่นอกร่มก็ไม่ได้เปียกมากนัก ตรงข้ามกับอูซอที่เป็นคนจับคันร่ม แม้แขนที่โผล่พ้นร่มจะเปียกโชกไปหมดแล้ว แต่เขาก็ดูไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะแอบบิดไหล่เพื่อไม่ให้จีซอกเห็นด้วย

จีซอกเดินมาที่รถก่อนจะขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง อูซอยิ้มขณะเอียงร่มส่งเพื่อไม่ให้เจ้าน้องชายของผมตัวเปียก ผมคงถูกใจรอยยิ้มนั้นเข้าเลยหลุดโพล่งคำพูดที่ไม่เคยพูดกับเพื่อนคนไหนของจีซอกมาก่อนออกมา

‘เดี๋ยวฉันไปส่งเพื่อนนายให้ด้วย บอกให้ขึ้นมาสิ’

พอผมปรายตามองไปทางอูซอ จีซอกก็รีบเปิดประตูรถออกทันทีด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่อูซอกลับยืนกรานว่าคนละทางกับบ้านของตัวเองแล้วปิดประตูรถกลับคืนโดยไม่ยอมขึ้นมาจนถึงที่สุด ผมเลยขับรถออกไปทั้งอย่างนั้น โดยทิ้งอูซอที่โค้งศีรษะบอกลาผ่านกระจกรถติดฟิล์มฝั่งข้างคนขับไว้ข้างหลัง

อูซอที่ผมเห็นผ่านกระจกมองหลังดูมีบางอย่างแปลกๆ แม้จะมองเห็นใบหน้าที่ถูกน้ำฝนบดบังนั้นไม่ชัด แต่ผมมั่นใจว่าเขากำลังมองมาทางนี้

การที่คนเป็นเพื่อนกันโดยเฉพาะเพื่อนผู้ชายมายืนเฝ้ามองเพื่อนอีกคนที่กำลังห่างออกไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายฝนแบบนี้มันปกติเหรอ

ก็คงจะเป็นไปได้ล่ะมั้ง

ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน คิดแค่ว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีของน้องชายก็เท่านั้น

 

หลังจากวันนั้นชินอูซอก็ตามจีซอกมาโผล่หน้าที่บ้านของผมบ่อยๆ ช่วงนั้นผมลาออกจากบริษัทและกำลังเตรียมก่อตั้งธุรกิจที่บ้านอยู่พอดีเลยได้เจอกันเป็นประจำอย่างช่วยไม่ได้ ผมถูกใจเขามากเพราะเขาเป็นเด็กที่เรียบร้อยและเป็นผู้ใหญ่ต่างจากน้องชายของผม บางครั้งที่เห็นรอยยิ้มน่ามองของเขา ผมก็จะเผลอยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาอย่างลืมตัว เพราะแบบนั้นเราเลยสนิทกันเหมือนพี่ชายกับน้องชายแท้ๆ โดยไม่มีกำแพงในใจ

หลังจากที่จีซอกกับอูซอขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสาม ผมที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่พวกเขาตั้งใจจะเรียนต่อจึงรับหน้าที่เป็นติวเตอร์พิเศษให้ มหาวิทยาลัยนั้นมีคะแนนสอบเข้าขั้นต่ำสูงมาก สำหรับอูซอ ผมหายห่วง แต่ปัญหานั้นอยู่ที่จีซอก อย่างไรเสียผมก็อยู่ติดบ้านเป็นหลักอยู่แล้วเพราะกำลังเตรียมทำธุรกิจ เลยตั้งใจจะติวหนังสือให้ทั้งคู่ฟรีๆ แต่ไม่ว่าจะปฏิเสธยังไงอูซอก็ยืนกรานหนักแน่นว่าจะจ่ายค่าสอนพิเศษให้ผมจนได้อยู่ดี ดังนั้นช่วงนั้นผมเลยถูกอูซอเรียกว่า ‘อาจารย์’ มากกว่าจะเรียกด้วยคำว่า ‘พี่’ เสียอีก

พวกเราสนิทกันอย่างรวดเร็วในช่วงที่ติวหนังสือ หลังจากสอนเสร็จก็มักจะมานั่งรวมกันดูหนังในห้องนั่งเล่น แล้วก็ใช้คอมพิวเตอร์กับโน้ตบุ๊กเล่นเกมกันสามคน วันหนึ่งเราลองดูแอพพลิเคชั่นที่ผมเป็นคนพัฒนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วก็มีอยู่อีกวันหนึ่ง พอรู้ว่าอูซอไม่ได้ไปช็อปปิ้งกับครอบครัวนานแล้ว พวกเราเลยไปห้างด้วยกันแล้วเดินเที่ยวอยู่พักใหญ่

ความจริงแล้วตอนนั้นไม่ว่าจะทำอะไรผมก็รู้สึกโอเคไปหมด ตอนนั้นผมก็แค่กำลังกดดันกับการเริ่มต้นทำธุรกิจ ในหนึ่งวันเลยครุ่นคิดอยู่นับครั้งไม่ถ้วนว่าควรจะกลับไปทำงานในบริษัทดีไหม และนั่นก็เป็นวิธีคลายความรู้สึกอึดอัดของผม ยิ่งไปกว่านั้นอูซอที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัยก็ยังมีไหวพริบดีเยี่ยม ผมเลยแทบไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังคบกับเด็กอยู่เลย

ชินอูซอเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างสบายใจ ต่อให้จะไม่ได้พูดอะไรก็จับสังเกตได้และรักษาเส้นของความเป็นส่วนตัวเอาไว้ แต่บทจะเข้าหาก็เข้าหาจนทำเอาคนอื่นใจเต้น พร้อมทั้งยิ้มหวานชนิดที่อาจทะลวงหัวใจคนมองออกมาได้ พอรู้จักตัวตนที่ชอบดูแลและห่วงใยคนอื่นอย่างไม่เปิดเผยของเขา บางทีผมก็แอบคิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีเกินไปสำหรับเจ้าคังจีซอกน้องชายตัวดีของผมหรือเปล่านะ

เพื่อนที่หวังพึ่งพาได้ของน้องคนเล็ก นักเรียนที่ฉลาด เด็กไหวพริบดี

ชินอูซอเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ที่เห็นหน้าบ่อยชนิดที่เรียกว่าเจอหน้ากันทุกวันก็ยังได้ นั่นแหละคือตัวตนของเขาสำหรับผม

ไม่สิ…มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น

แต่ในวันหนึ่งหลังจากวันนั้นไม่นาน ผมก็ได้รู้ว่าความคิดและความรู้สึกที่สั่งสมมาตลอดนั้นเป็นอย่างอื่นไปโดยสิ้นเชิง

 

วันหนึ่งในฤดูร้อนที่สองคนนั้นยังอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สาม

‘จีซอกกินยาแล้วนอนอยู่น่ะ หลับลึกแบบนี้น่าจะตื่นทันทียากนะ’

ผมเล่าอาการของจีซอกให้อูซอฟังแทนเจ้าตัวที่เป็นไข้หวัดนอกฤดูในฤดูร้อนและลุกจากเตียงมาไม่ได้ อูซอที่มาติวพิเศษในวันสุดสัปดาห์ทำหน้ากังวลเมื่อได้ยินอาการของจีซอก เขาว้าวุ่นใจอย่างน่ารักว่าถ้ารู้ล่วงหน้าป่านนี้ก็คงซื้อยาหรือโจ๊กมาให้แล้ว ผมจึงบอกไปว่าไม่เป็นไรเพราะเตรียมยาไว้ล่วงหน้าสำหรับน้องเล็กที่ชอบป่วยเป็นไข้หวัดในฤดูร้อนแบบนี้อยู่แล้ว และเวลานี้ก็สั่งโจ๊กให้มาส่งได้ แต่ใบหน้าของอูซอก็ยังไม่คลายความกังวลลงง่ายๆ

ผมรู้สึกว่าสมาธิของอูซอหลุดลอยไปที่อื่นอยู่ตลอดเวลาที่ติวพิเศษกัน โจทย์ที่ปกติใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็แก้ได้กลับต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ อธิบายอะไรไปก็ไม่เข้าใจในทันที พอเห็นเขาแก้โจทย์ที่เพิ่งเรียนไปผิดเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ผมก็รู้สึกว่าเขาคงไม่ไหวแล้วเลยบอกไปว่าพักดื่มกาแฟสักแก้วน่าจะดี

ในตอนนั้นเองขณะที่ผมเตรียมอเมริกาโนให้อูซอที่ไม่ค่อยชอบของหวานเสร็จแล้วและกำลังเดินไปที่ห้อง ผมก็เห็นประตูห้องของจีซอกเปิดแง้มอยู่เลยเปิดประตูเข้าไปเพื่อดูว่าจีซอกตื่นแล้วหรือยัง แต่ผมกลับเห็นน้องชายที่กำลังนอนหลับสนิทและอูซอที่วางมืออยู่บนหน้าผากของเขาด้วยสีหน้าทรมานใจ อูซอเป็นเด็กที่ต่อให้ตัวเองเจ็บก็ไม่เคยทำหน้าเหยเกเลยสักครั้ง แต่ท่าทางที่เขาก้มมองจีซอกนั้นดูเจ็บปวดเกินกว่าจะหาใดเปรียบ

ถ้ามันจบแค่ตรงนั้นผมก็อาจจะไม่แน่ใจ และอาจจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบรรยากาศแปลกๆ และสายตาชวนให้คิดที่ไม่เหมือนมองเพื่อนทั่วไปแล้วปล่อยผ่านไปได้

ทว่าอูซอกลับทำลายความคิดนั้นของผม เขาลดริมฝีปากลงไปจูบจีซอกที่นอนไม่รู้สึกตัวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลูบแก้มอุ่นๆ ของน้องชายผมด้วยสีหน้าขมขื่น

ผมเกือบทำกาแฟที่อยู่ในมือหกทั้งอย่างนั้น

หัวใจของผมที่ได้รู้ถึงความจริงข้อนั้นพลันปั่นป่วนอย่างน่าประหลาดมากกว่าตอนรู้ความจริงที่ว่าอูซอชอบน้องชายของผมเสียอีก ความรู้สึกที่ไม่รู้จักเข้าจู่โจมและกระแทกใจของผมเข้าอย่างจัง อีกทั้งการมองเห็นเองก็สั่นไหวไม่ต่างจากหัวใจ

ผมค่อยๆ ถอยหลังกลับเข้าห้องของตัวเองที่กำลังติวพิเศษให้เขา จากนั้นก็วางอเมริกาโนสองแก้วลงบนโต๊ะแล้วไล่สายตาไปตามหนังสือเรียน แบบฝึกหัด และเครื่องเขียนที่อยู่บนนั้น

ทว่าผมกลับเห็นเป็นใบหน้าของอูซอลอยขึ้นมาทุกครั้งที่ผมมองของแต่ละชิ้น

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่หลุบขนตาเรียวยาวลงจ้องมองหนังสือ มือขาวที่มีเรียวนิ้วยาวกำลังขยับปากกาพร้อมกับเสียงแกรกๆ ดังรื่นหู น้ำเสียงน่าฟังยามชี้โจทย์ยากๆ ในแบบฝึกหัดและขอให้ช่วยเฉลยคำตอบ รวมถึงแววตาอ่อนโยนที่หยียิ้มอย่างเป็นธรรมชาติทุกครั้งที่มองจีซอก

ผมแค่นหัวเราะขณะนึกถึงชินอูซอที่ฉายชัดขึ้นมาในหัวแม้จะไม่ได้อยู่ตรงหน้า

อูซอเข้ามาอยู่ในมุมหนึ่งในหัวใจของผมโดยไม่รู้ตัว ยิ่งคิดว่าสายตาของเขาเอาแต่มองใครบางคนเสมอ ผมก็ทั้งเจ็บแปลบที่หัวใจ ทั้งยังอิจฉาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้และรู้สึกจุกอยู่ในอก

บ้าไปแล้ว คังจีกอน

ผมยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วหัวเราะเยาะตัวเองอยู่เงียบๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่…เพราะอะไรกัน…

ไม่ว่าจะคิดในหัวกี่ตลบก็ไม่พบคำตอบ พอรู้ทันความรู้สึกที่ว่าชอบใครคนหนึ่งเข้าแล้ว ต่อให้จะอยากตามหาคำตอบว่าชอบเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็ไม่อาจหาคำตอบนั้นได้ เพราะช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับเขานั้นดีเสมอ

ผมไม่นึกเลยว่าวันที่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีใจให้ใครอีกคนจะเป็นวันเดียวกับวันที่ผมได้ตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเอง มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าเจ็ดปีที่เป็นเพื่อนของน้องชาย ทั้งยังกำลังแอบชอบน้องชายของตัวเองอีก

เรียกได้ว่าสถานการณ์ของผมมันเลวร้ายที่สุดของที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงความรู้สึกนั้น ความอ้างว้างและความว่างเปล่าก็จะโถมกระหน่ำเข้ามาจนทำให้ผมต้องโทษตัวเอง ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์รักสามเส้าที่โคตรเฮงซวยนี่

ดังนั้นผมที่ตระหนักได้ถึงความรู้สึกพิเศษที่มีต่ออูซอจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด ก็ดันถูกเตะตัดขาตั้งแต่ยังไม่เริ่มแบบนี้ คนอย่างผมยังจะสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ อย่างไรเสียผมก็รู้ตัวดีว่าไม่มีทางได้ความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา เพราะอย่างนั้นเลยทำได้เพียงแค่เก็บซ่อนมันไว้ลึกๆ ในใจเท่านั้น

 

ผมพยายามแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่รู้หัวใจตัวเองแล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด ผมสนใจอูซออยู่เสมอและรู้สึกว่าทั้งสายตา การกระทำ และคำพูดของเขานั้นทำให้หัวใจของผมหวั่นไหวจนน่าหวั่นใจอยู่ตลอด ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังผมคงได้พุ่งตัวเข้าไปรุกใส่เขาสักวันแน่ๆ

ถึงตอนนั้นผมจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็คิดว่าตัวเองยังไม่โตอยู่เสมอ ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่เก่งและไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่เข้ามาอย่างกะทันหันได้

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมได้สร้างกำแพงกับอูซอขึ้นมา ผมมักจะตื่นตูมกับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ และผลักไสเขาออกไป ถ้าไม่ได้ติวพิเศษก็จะแกล้งทำเป็นยุ่งอยู่นอกบ้านเพื่อหนีหน้าเขา หลังจากสอบซูนึง* ผมก็จงใจไม่ยอมรับการติดต่อจากเขา ผมทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดให้กับธุรกิจที่ค่อยๆ ปูทางมาก่อนหน้านี้เพื่อพยายามที่จะลืมอูซอ

ในที่สุดก็ผ่านไปสามปีแล้วที่อูซอเติบโตเป็นผู้ใหญ่และผมไม่ได้พบหน้าเขาโดยตรง

จนถึงตอนนั้นอูซอกับจีซอกก็ยังคงคบกันอยู่ ฟังจากเรื่องที่จีซอกเล่าบ่อยๆ แล้ว ต่อให้จะไม่ชอบใจ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าอูซอชอบจีซอกมากจริงๆ คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ผมดูออกทันทีว่านั่นไม่ใช่ความรักในฐานะที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ แต่เป็นฐานะที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นต่างหาก

วันหนึ่งผมก็ได้ตั้งสมมติฐาน ‘ถ้าเกิดว่า…’ กับจีซอกขึ้นมาระหว่างที่กำลังฟังเรื่องของอูซอ

‘ถ้าเกิดว่าชินอูซอชอบนาย นายจะทำยังไง ถ้าเด็กนั่นเกิดสารภาพขึ้นมา นายคิดจะตอบรับไหม’

จีซอกเบิกตากว้างก่อนระเบิดหัวเราะออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

‘ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกน่า หรือต่อให้เป็นเรื่องจริงก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้วสิ กับผู้ชายนี่ไม่ใช่ทางผมอะ’

ถึงคังจีซอกจะไม่ใช่คนประเภทที่ตั้งแง่กับคนอื่น ไม่ว่าคนอื่นจะเป็นคนที่สนใจเพศเดียวกันหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ชัดเจนว่าเจ้าตัวเป็นคนที่สนใจเพศตรงข้าม น่าสงสารที่ชินอูซออยู่นอกเหนือขอบเขตการยอมรับของคังจีซอกในเชิงชีววิทยาขั้นพื้นฐานสุด

ถึงจะว้าวุ่นในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ และผมก็ไม่เคยคิดอะไรไปถึงขั้นที่จะใจกล้าไปบอกอูซอว่า ‘ไหนๆ นายก็ไปกับคังจีซอกไม่ได้แล้ว มาคบกับพี่แทนไหมล่ะ’ เลยสักครั้ง ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายตั้งกำแพงและตีตัวออกหากจากเขาเอง แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างวุ่นวายไปมากกว่านี้เพราะตัวผม อีกอย่างคนที่ไม่เคยถูกทิ้งมาก่อนอย่างผมก็ย่อมต้องกลัวการสารภาพรักที่ตัวเองมั่นใจว่าถึงยังไงก็ต้องโดนปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว

ผมรู้อยู่แล้วว่าชินอูซอชอบคังจีซอก และผมก็ทิ้งหัวใจของตัวเองไปก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว ในเมื่อยังไงเขาก็คงไม่มีทางมองผมอยู่แล้ว การฝังกลบความรู้สึกและความในใจนี้ให้มิดอย่างที่เคยทำมาตลอดจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด ถ้าทำอย่างนั้นก็คงจะมีสักวันที่ผมได้พบกับใครสักคนที่ตรงสเป็กตัวเอง คนที่ผมได้มอบหัวใจและความรู้สึกใหม่ๆ ให้ไปพร้อมกับลืมชินอูซอได้

ในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ ผมโหมงานอย่างหนักจนไม่ได้คิดเรื่องอื่นและหมกมุ่นอยู่กับงานจนแทบไม่มีสติ เพราะอย่างนั้นเลยแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยกับจีซอก แน่นอนว่ามันก็ทำให้ผมไม่มีทางที่จะได้ยินเรื่องของอูซอไปโดยปริยายด้วย แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่สามารถทำให้จดจ่อแค่กับงานได้มากขึ้น

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าระหว่างนั้นผมจะไม่ได้คบกับใครเลย ผมไม่ได้ปิดกั้นคนอื่นที่มาขอคบ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เจอเองขณะทำงานหรือแม้แต่คนที่เจอกันโดยบังเอิญบนท้องถนน แต่ถึงจะคบกันไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่คิดที่จะรับบทคนรักและที่ผ่านมาก็แค่ทำไปตามสัญชาตญาณความต้องการของทั้งสองฝ่ายเพียงเท่านั้น

ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาก็เป็นแค่การที่เข้าหากัน พูดคุยกัน มีสัมพันธ์ทางกายกัน ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างระหว่างกัน และสุดท้ายก็แยกทางกัน ผมมักได้ยินคำว่า ‘เย็นชา’ ที่ดังเข้ามากระแทกหูจากทุกความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ผ่านมา อีกฝ่ายรู้สึกว่าผมเหมือนคนที่ไม่ยิ้มหรือไม่ป้อนคำหวานให้คนรักและคอยแต่จะตักตวงผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยเพียงอย่างเดียว ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ผมเลยทิ้งคนพวกนั้นโดยไม่คิดจะแก้ตัวแล้วไปเริ่มความสัมพันธ์กับคนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จำเป็นต้องอ่อนหวานด้วยเหรอ…

ก็แค่มีอะไรกันเพื่อสนองความต้องการของกันและกันเฉยๆ ไม่ใช่หรือไง

 

วันนั้นเป็นวันที่มีประชุมสำคัญ โดยผมจะได้นำเสนอบริษัทต่อผู้เข้าร่วมและนักลงทุนรายใหม่

ผมเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าขาดหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่จำเป็นไปเลยรีบแวะกลับไปที่คอนโดฯ เพื่อเอาแฟลชไดรฟ์ที่มีข้อมูลต้นฉบับนั้นมา

ผมได้แต่โทษตัวเองที่ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรเลินเล่อจนต้องเทียวไปเทียวกลับแบบนี้ แล้วก็พลันนึกถึงข้อความจากจีซอกขึ้นมาได้ มันเป็นข้อความที่มีเนื้อความว่า ‘ไหนๆ วันนี้ทุกคนก็กลับบ้านช้าพอดี ผมเลยพาเพื่อนมาทำงานกลุ่มที่บ้าน’

ถึงจะอุทานออกมาในใจว่า ‘คงไม่หรอกน่า’ แต่สุดท้ายชินอูซอก็มาปรากฏตัวอยู่ที่คอนโดฯ ของผมจริงๆ

เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและดูสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อสามปีก่อนที่ผมเห็นเขาครั้งล่าสุด แต่ขณะเดียวกันสีผิวกลับยังแลดูขาว แถมหน้าตาเองก็ยังคงกระจ่างใสเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาโดยรวมนั้นกลับดูหนักแน่นขึ้นกว่าจีซอกที่ยังเป็นเหมือนเด็กตัวโต

ผมคิดว่าตอนนี้ทุกอย่างคงเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่ทันทีที่สบตากับอูซอ ผมก็พบว่าตัวเองคิดผิด ทั้งที่ไม่ได้สบตากันมากว่าสามปีแล้ว แต่หัวใจที่หวั่นไหวกลับยังรู้สึกว้าวุ่นเหมือนอย่างเคย ทั้งที่ผมลืมแม้กระทั่งชื่อของคนที่มีความสัมพันธ์กันช่วงสั้นๆ ในขณะที่ยุ่งไปเสียสนิท แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงลืมชินอูซอเหมือนอย่างคนพวกนั้นไม่ได้

อูซอค้อมศีรษะทักทายขณะที่ผมพยายามกดความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในใจ ริมฝีปากของเขาไม่มีเศษเสี้ยวของรอยยิ้มต่างจากในอดีตที่เคยสบตาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พอได้เห็นดวงตาที่แสดงอาการประหม่าของอูซอ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นผลมาจากกำแพงที่ผมสร้างขึ้น

ตอนที่นัยน์ตาที่สั่นไหวของอูซอหันไปทางจีซอกแล้วฉายแววเศร้า ผมแทบอยากจะปรี่เข้าไปหาเขาเพื่อให้เขามองผมเสียเดี๋ยวนั้น ชั่วขณะที่อารมณ์ที่ข่มไว้พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา ผมก็เกิดรู้สึกหวั่นใจขึ้นมามากกว่าที่คิด

ความรู้สึกยามที่ควบคุมอารมณ์ให้ได้ดั่งใจไม่ได้นั้นไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด ผมนึกอยากกำจัดคังจีซอกที่เป็นเจ้าของสายตาของอูซอออกไปจากสายตาของผมเป็นอย่างมาก แต่แล้วผมก็จำต้องเบนสายตากลับมาเพราะทนมองไม่ไหวอีกต่อไป

ต้องโฟกัสกับงานก่อน รีบหยิบแฟลชไดรฟ์แล้วเดินออกไปซะ

ในหัวผมเต็มไปด้วยความคิดแบบนั้น ผมจึงลุกลี้ลุกลนหยิบแฟลชไดรฟ์แล้วออกไปข้างนอกจนเกือบชนอูซอที่เดินออกมาจากห้องครัว จังหวะที่ประคองตัวของอูซอและจับแก้วน้ำไว้ไม่ให้หล่นได้ทัน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นราวกับตกใจว่าเกือบจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

อูซอที่ถูกผมโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างแม่นยำราวกับจับวางเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยตาคู่นั้นก่อนจะขยับปากพูด

‘ขอโทษครับ’

นัยน์ตาที่อ่อนโยนกับน้ำเสียงที่น่าฟังนั้นช่างเข้ากันได้อย่างลงตัว ถึงอูซอจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าวูบหนึ่งเขาแอบเหลือบมองจีซอก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการกระทำจากนิสัยที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขา

มองพี่สิ

หยุดมองจีซอกแล้วมองพี่

ผมฝืนกล้ำกลืนคำพูดที่อัดแน่นอยู่ภายในปากลงไปอย่างยากลำบาก และพยายามเมินเฉยต่อหัวใจที่เต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่งเพียงแค่ได้สัมผัสกายกันชั่วครู่ ก่อนจะขยี้ศีรษะของอูซอที่เหมือนกับลูบศีรษะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราอย่าเจอกันอีกเลย

ผมกลืนคำพูดที่ไม่กล้าพูดออกจากปากแล้วออกจากคอนโดฯ ไป กระทั่งตอนนั้นความอบอุ่นของอูซอก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในอ้อมแขนโดยไม่หายไปไหน

 

วันถัดมา

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้นึกถึงแต่ใบหน้าของชินอูซอขณะลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความทรมานจากพิษไข้ที่รุนแรง

ทั้งที่ผมเองก็แข็งแรงในระดับที่ไม่น่าจะเป็นหวัดได้ แต่ผมกลับมีไข้ที่ทำให้ไม่ได้สติจนถึงขั้นที่ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวอย่างน่าประหลาด แต่ถึงแม้ไข้จะขึ้นสูงจนสายตาพร่าเบลอ ผมก็ยังไปถึงโรงพยาบาลอย่างทุลักทุเลได้ด้วยความช่วยเหลือจากน้องสาว

‘สัญญาณของวงแหวนน่ะค่ะ’

คุณหมอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดเสริมว่าไม่ต้องกังวล เธอบอกกับผมว่าตอนนี้ยังไม่ต้องกินยาอะไรและให้กลับบ้านไปพักผ่อนจะเป็นการดีที่สุด พอถึงวันพรุ่งนี้ร่างกายก็จะกลับมาสมบูรณ์ดีเหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน

ผมถามย้ำกับคุณหมอหลายครั้งว่าวงแหวนที่เธอพูดถึงนั้นใช่วงแหวนนั่นที่ผมรู้จักหรือเปล่า

ให้ตายสิ ไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะมีวงแหวน

ผมหลุบตาที่ร้อนผ่าวลงมองนิ้วนางที่มือข้างซ้าย วินาทีนั้นผมมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่พอได้สติก็รู้สึกเหมือนกับว่าความรู้สึกเจ็บแปลบได้แผ่ซ่านไปทั่วนิ้วนางข้างซ้าย

ผมยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก แม้จะยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่อย่างน้อยๆ ก็แน่ใจได้อยู่เรื่องหนึ่ง

จำนวนคนที่ผมสัมผัสตัวแม้จะแบบเฉียดๆ เมื่อวานก็น่าจะเกินหนึ่งร้อยถึงสองร้อยคนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งคนส่วนใหญ่เหล่านั้นมีตั้งแต่คนที่พบปะเพราะเรื่องงานไปจนถึงคนที่ไม่ได้รู้จักกัน และหนึ่งในคนพวกนั้นก็คงจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาอะไรทำนองนั้นของผม ความไม่เชื่อและความโกรธเดือดพล่านใส่วงแหวนประหลาดนี่ที่บังคับให้ผมต้องสานสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รู้จัก

พอผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะเสยผมด้านหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด จียอนที่มองผมผ่านกระจกมองหลังก็ถามขึ้นอย่างสงวนท่าที

‘พี่ ไหวไหมเนี่ย’

‘…ไม่ไหว’

แค่คิดว่าจะต้องหาอีกฝ่ายท่ามกลางผู้คนจำนวนมากก็ปวดหัวแล้ว จียอนถอนหายใจด้วยแววตาที่เหมือนจะเข้าใจ ก่อนจะบอกว่าตัวเองเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง

‘เคยได้ยินว่าตอนเป็นไข้จากการปรากฏของวงแหวน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงหน้าคู่ของตัวเองด้วยนี่ พี่ไม่มีอะไรแบบนั้นบ้างเหรอ’

‘ถ้ามีคงไม่มานั่งบื้ออยู่แบบนี้หรอก’

วินาทีที่ตอบคำถามนั้นใบหน้าของอูซอก็แวบผ่านเข้ามาในหัว

จะว่าไปแล้ว…

ตอนที่ไข้ขึ้นจนตื่นขึ้นมา ผมเห็นใบหน้าของอูซอที่ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนราวกับอยู่ตรงหน้า ผมนึกถึงภาพของเขาที่ยิ้มอยู่ในรูปและภาพสีหน้าตื่นตกใจของเขาตอนถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของผมโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่หรอก…คงไม่ใช่หรอกน่า

ผมโยนความเป็นไปได้นั้นทิ้งไป ถ้าวงแหวนนี่เกิดเชื่อมกับอูซอจริง การที่ผมอดทนอยู่ห่างจากเขามาตลอดหลายปีก็คงจะเป็นอะไรที่น่าขันน่าดู

 

‘เอ่อ…ท่านประธานครับ’

ผมละมือที่กุมหน้าผากก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ดวงตาที่ตึงเครียดจากความเหนื่อยล้าหันมองไปที่ประตู เงาครึ่งหนึ่งของหัวหน้าทีมอีที่โผล่มาจากช่องว่างระหว่างประตูที่แง้มออกมานั้นเป็นอะไรที่ขัดหูขัดตาผมสุดๆ

‘ไม่คิดจะเคาะประตูหน่อยเหรอครับ’

‘เคาะแล้วแต่คุณน่าจะไม่ได้ยิน…ขอโทษทีนะครับ’

เขาที่ข่มความคับข้องใจเอาไว้พูดออกมาอย่างระวังปากก่อนจะปิดปากฉับลง พอโบกมือเป็นเชิงให้เข้ามา เขาก็เดินปรี่เข้ามาวางแฟลชไดรฟ์ไว้บนโต๊ะ

‘ไฟล์ทดสอบแอพฯ ที่จะส่งให้บริษัทเอ็นเทอร์สโตนครับ’

‘ไว้ตรวจสอบแล้วจะเรียกนะครับ เชิญออกไปได้เลยครับ’

ผมหยิบแฟลชไดรฟ์ขึ้นมาด้วยแววตาที่เหนื่อยล้าโดยไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองหัวหน้าทีมอีเลยสักนิด ทว่าในตอนที่ผมกำลังจะเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในออฟฟิศ เขาที่ยังไม่หมุนตัวออกไปก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างกังวล

‘เอ่อ…ช่วงนี้สภาพร่างกายของคุณดูไม่ค่อยดี ผมว่าน่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยนะครับ’

‘เรื่องนั้นผมจัดการตัวเองได้ครับ คุณหัวหน้าทีมอีทำงานในส่วนของตัวเองไปเถอะครับ’

‘…ครับ’

ถ้าหัวหน้าทีมอีมีใบหูล่องหน ตอนนี้มันคงกำลังลู่ตกลงอยู่แน่ๆ

เขาเดินคอตกออกไปจากห้องประธาน และหลังจากที่เขาออกไป ผมที่เหลืออยู่คนเดียวในออฟฟิศก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง

ไม่นึกเลยว่าอาการนอนไม่หลับจะรุนแรงขนาดนี้ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าหนักแค่ไหนก็หลับไม่ลง แม้จะอยากงีบหลับสักหน่อย แต่ร่างกายกลับไม่เป็นไปตามใจคิด รู้ตัวอีกทีก็ภาพตัดไปก่อนจะกลับมาราวกับสลบไปครู่หนึ่ง ทั้งที่สลบไปได้แค่ไม่กี่วินาที แต่ผมก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาขนาดที่คิดไปเองว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังได้ตายแน่ ต้นคอเองก็ตึงจนรู้สึกแย่ อีกทั้งยังรู้สึกราวกับมีแรงมือกำลังบีบขมับซ้ายขวาเอาไว้อีก เพราะแบบนั้นประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายของผมเลยหนักอึ้งและอ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่ง

มีแค่วิธีเดียวที่จะสามารถบรรเทาสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้ได้

นั่นคือการหลับโดยสัมผัสตัวกับคู่แห่งแหวน

หากว่ากันตามตรง การที่แค่สัมผัสตัวกับใครสักคนแล้วสามารถหลับสนิทได้ในสถานการณ์แบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่โคตรจะละเมอเพ้อพกสุดๆ แต่นอกจากวิธีการนั้นก็ไม่น่าจะมีวิธีการอื่นแล้ว

แหวนบัดซบ

คู่แห่งโชคชะตาหรืออะไรก็ช่าง ผมที่ไม่แม้แต่จะแยแสเรื่องการคบกับใครตั้งแต่แรกกลับต้องมารู้สึกอึดอัดที่จะต้องตามหาอีกฝ่าย นี่ผมต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยไปทั้งชีวิตเพียงเพราะแค่แหวนวงเดียวเนี่ยนะ

ผมคิดแบบนั้นขณะตรวจสอบไฟล์ที่หัวหน้าทีมอีวางไว้ให้พลางถอนหายใจทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทันใดนั้นข้อความของจีซอกก็เด้งขึ้นมาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือน

 

พี่ค่อยๆ ลกับก็ได้นั อูอซช่วยมาดูแล้ว

 

ดูท่าจะไข้ขึ้นหนักพอๆ กับผม

ระหว่างที่กำลังถอดข้อความของจีซอกอยู่นั้น สายตาผมก็สะดุดเข้ากับชื่อของอูซอ ผมถึงกับหลับตาลงแน่นครู่หนึ่งเพราะภาพใบหน้าของอูซอที่จู่ๆ ก็ฉายขึ้นมารางๆ ตรงหน้าในขณะนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาไม่มีส่วนไหนที่ผมจำไม่ได้เลย

ชักจะเพี้ยนใหญ่แล้ว

แม้จะคิดว่าตัวเองควบคุมจิตใจได้แล้ว แต่ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมภาพช่วงเวลาที่เคยพบกันถึงได้ยังวนเวียนอยู่ในหัวบ่อยๆ ทั้งที่เวลาผ่านมาขนาดนี้ ผมก็ควรจะลืมเขาไปจากหัวใจและความนึกคิดได้แล้วแท้ๆ

จู่ๆ ผมก็นึกถึงวินาทีที่สัมผัสตัวกับอูซอขึ้นมาอย่างกะทันหัน

คำว่า ‘หรือว่าจะ…’ วนเวียนอยู่ในหัวหลายต่อหลายครั้งและยังคงดำเนินต่อไปกระทั่งเจออูซอที่หน้าลิฟต์คอนโดฯ เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่กล้าถามออกไปในทันทีว่าเขามีวงแหวนสีแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายหรือเปล่า ทั้งที่รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าในเมื่อสัมผัสตัวกันแล้ว อย่างไรเสียสักวันก็ต้องถามออกไปอยู่ดี

ภายในลิฟต์ที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบ ผมสัมผัสได้ถึงความประหม่าของอูซอ เขาเก็บมือซ้ายไว้ด้านหลังตัว ผมเลยมองเห็นไม่ถนัด ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจงใจซ่อนมันไว้หรือความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรกันแน่

หัวใจผมเริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง

ถ้าเหตุผลที่อูซอทำสีหน้าไม่สู้ดีเป็นเหตุผลเดียวกับผมล่ะ ถ้าอูซอเองก็มีวงแหวนและกำลังประหม่าเหมือนกับผมในตอนนี้เพราะรู้ว่าใครคือคู่แห่งโชคชะตาคนนั้นล่ะ…

แปลกเป็นบ้า

หัวใจของผมกระตุกวูบด้วยความรู้สึกดีกับความจริงที่ยังไม่ทันได้แน่ใจเสียด้วยซ้ำ บางทีผมก็นึกอยากบังคับเขาเพื่อดูมือข้างซ้ายนั่น ทุกครั้งที่ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันอ่อนล้าราวกับว่ามันพรูออกมาตอนไม่ได้สติและขอบตาแดงก่ำบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากผมแล้ว ประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวของผมก็จะมุ่งตรงไปที่อูซอทั้งหมดและคอยแต่จะสะกิดเร้าผมอยู่เรื่อยๆ

ผมเก็บความรู้สึกตึงเครียดนั้นไว้แล้วเดินไปที่รถก่อนที่อูซอจะหยุดชะงัก พอหันหน้าไปมองก็เห็นเขาพยายามยิ้มแล้วพูดจาไม่เข้าท่าทำนองว่าที่พักอยู่แถวนี้เลยจะขอกลับเอง ผมได้ยินจากจีซอกจนรู้หมดแล้วว่าเขาอาศัยอยู่ในห้องสตูดิโอของอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณสิบสองป้ายสถานีรถไฟใต้ดิน

ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่เขาก็ยังก้าวถอยหลังโดยขอให้ผมกลับไปดูคังจีซอก ผมปล่อยอูซอที่กำลังพยายามหลีกเลี่ยงผมอย่างชัดเจนไปไม่ได้เลยก้าวอาดๆ ไปคว้าแขนเขาเอาไว้ ทันใดนั้นนัยน์ตาของอูซอก็จับจ้องไปที่แขนซ้ายของผมแทนที่จะเป็นมือขวาที่กำลังจับแขนของเขาอยู่ พอเห็นอย่างนั้นความแน่ใจที่ชวนให้รู้สึกดีและความตึงเครียดแปลกๆ ก็พลันถาโถมเข้ามา

ผมออกแรงดึงแขนของอูซอแล้วจับเอามือซ้ายของเขามาตรวจดู ก่อนจะได้เห็นวงแหวนจากด้ายสีแดงสดนั้นประจักษ์ชัดแก่สายตาจริงๆ

ชินอูซอ…คือคู่แห่งโชคชะตาของผมที่เชื่อมกันด้วยแหวน

ผมรู้สึกราวกับความหนักอึ้งในหัวได้ถูกชำระไปในชั่วพริบตา ความรู้สึกที่ปิดกั้นเอาไว้ตลอดสามปีที่ผ่านมาพลันท่วมท้นออกมา ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกายของผมในเสี้ยววินาที

ผมต้องการยืนยัน ซึ่งไม่ใช่การยืนยันผ่านเส้นด้ายสีแดงที่แสนบางแบบนี้ แต่เป็นการยืนยันในฐานะคู่แห่งโชคชะตาที่มีอิทธิพลต่อกันและกันอย่างชัดเจน

ผมออกแรงดึงอูซอที่กำลังตะลึงงันจนตัวแข็งทื่อให้เข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะพรูลมหายใจที่อัดอั้นคล้ายมีอะไรคับแน่นอยู่ในอกตลอดออกมาเพื่อปรับให้จังหวะการหายใจกลับมาเป็นปกติ

ผมมองเขาที่หลุบตาลงขณะที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับเงียบๆ พลางถามขึ้นว่าในเมื่อเขาก็น่าจะรู้มาก่อนหน้านี้แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกผม ถ้าเขาเอะใจก่อนแล้วติดต่อมาหาผมผ่านจีซอกสักครั้ง…

เพราะถ้าทำแบบนั้นจีซอกก็จะรู้สินะ?

ผมพอจะรู้ว่าอูซอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ อีกฝ่ายไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา แต่เป็นคนที่ตัวเองกำลังแอบรักอยู่ข้างเดียว อูซอคงไม่กล้าพอที่จะสารภาพว่าตัวเองมีวงแหวนที่เชื่อมกับพี่ชายของคนที่แอบรักหรอก

เขาเองก็เหมือนกับตัวผมในอดีต ตัวผมผู้แสนขลาดเขลาเมื่อสามปีก่อนที่ไม่ยอมสารภาพออกไปว่าชอบเขาที่เป็นเพื่อนของน้องชาย แต่กลับสร้างกำแพงขึ้นมาอย่างขี้ขลาดแล้วเลือกที่จะถอยห่างออกมาเอง

แค่คิดว่าในหัวเล็กๆ นั้นของเขาน่าจะกำลังมีเรื่องของผมอยู่เต็มไปหมด เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว

ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมายเต็มไปหมด แต่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงถึงจะสามารถพรั่งพรูคำพูดทั้งหมดนั้นออกไปได้ ผมรู้สึกว่าการที่วงแหวนเชื่อมกับอูซอนั้นเป็นเหมือนกับโชคชะตา อีกทั้งยังรู้สึกราวกับว่ามีเกลียวคลื่นของความรู้สึกแปลกๆ ที่ทนเก็บเอาไว้จนเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวมาจนถึงตอนนี้กำลังคั่งอยู่ในอกของผม

ระหว่างนั้นอูซอก็ก้มหน้างุดพร้อมกับดวงตาที่จมดิ่งลง ใบหน้าที่น่าสงสารซึ่งเดิมทีก็จมอยู่ภายใต้ความเหนื่อยล้าอยู่แล้วยิ่งหมองหม่นลงไปอีกราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ผมเองจะเพลียมากเหมือนกัน แต่ผมเป็นห่วงอูซอมากกว่า พอนึกถึงตัวเองที่ไม่เคยนึกกังวลเรื่องของคนอื่นเลยสักครั้ง ผมก็รู้สึกทึ่งกับตัวเองในตอนนี้จริงๆ

‘มานอนกันเถอะ สักหนึ่งชั่วโมง’

ผมตั้งนาฬิกาปลุกโดยที่ยังคงจับมือของอูซอเอาไว้แน่น ใจจริงก็อยากจะให้เขาได้นอนบนเตียงที่ไหนสักที่ ให้เขานอนหลับเต็มอิ่มได้นานๆ แต่เพราะที่ผ่านมาผมดันรักษาระยะห่างจากเขามาโดยตลอดเลยไม่สามารถยื่นข้อเสนอนั้นได้ทันที

ผมจับมือของอูซอที่ยังคงไปไม่เป็นอยู่แน่นแล้วหลับตาลง ก่อนหน้านี้เวลาข่มตาหลับ ในหัวผมจะอัดแน่นไปด้วยความคิดสารพัดและสติก็อ่อนไหวจนถึงขีดสุด แต่ครั้งนี้มันกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ผมรู้สึกสบายมากเหมือนได้นอนอยู่บนเตียงราคาแพง พอคิดว่านี่เป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่าผมเชื่อมโยงกับอูซอจริงๆ ผมก็รู้สึกราวกับว่าเสียงหัวใจที่เต้นอย่างปีติในอกนั้นเป็นเหมือนกับบทเพลงขับกล่อมที่น่าฟัง

ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

หลังจากตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนหลับเต็มอิ่ม

ถึงผมจะหลับไปได้แค่ชั่วโมงเดียว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและจิตใจรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา ผมรู้สึกเหมือนในหัวที่ยุ่งเหยิงไปด้วยความคิดสะเปะสะปะถูกจัดระเบียบใหม่ และนึกอยากจะนอนต่อจากความรู้สึกเบาสบายที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายในเวลานี้

ผมแค่นหัวเราะออกมาขณะมองหน้าอูซอ ความเหนื่อยล้าที่เคยอยู่บนใบหน้าของเขาแลดูจะสลายหายไป แม้แต่แก้มที่เคยซีดเซียวเล็กน้อยก็ยังขึ้นสีเปล่งปลั่งน่ามอง

อำนาจของวงแหวนนั้นน่าทึ่งจริงๆ ผมคิดว่าไม่มีอะไรทรมานเท่ากับอาการนอนไม่หลับอีกแล้ว และผมก็อดทนกับมันมาอย่างทรมานจนแทบขาดใจ แต่เพียงแค่จับมือเขาแล้วงีบหลับไปครู่เดียว ผมก็ได้สัมผัสกับความอิ่มเอมขั้นสุดที่ใกล้เคียงกับความสุขสม ถึงขนาดที่ทำให้กังวลว่าตัวเองอาจจะเผลอเสพติดมันได้

แต่วงแหวนนั้นก็ไม่ได้นำมาแค่การนอนหลับสนิทเพียงอย่างเดียว

ไม่อยากปล่อยไปเลย

ผมคิดว่าการอยากครอบครองหรือการยึดติดกับใครสักคนเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากตัวผม กระทั่งเมื่อสามปีก่อนที่ได้รับรู้ถึงหัวใจของตัวเองที่มีต่ออูซอ นอกจากจะไม่อยากไปติดพันเขาแล้ว ผมยังคิดแต่จะตีตัวห่างออกมาให้ได้เร็วที่สุด แถมในระหว่างที่ทำธุรกิจนิสัยของผมก็ถูกขัดเกลาไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนที่ตัดสินคนอื่นจากการสร้างประโยชน์ของคนเหล่านั้น

ถึงจะอยู่ห่างกันขนาดนั้น แต่ถ้ายังรู้สึกเหมือนเดิม ไม่สิ…ถ้าความรู้สึกนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม ต่อให้ถอยไปมากกว่านี้ก็คงจะไร้ประโยชน์อยู่ดี

ผมเห็นวงแหวนสีแดงเส้นหนึ่งบนนิ้วนางของอูซอที่อยู่ระหว่างช่องนิ้วมือของผมที่กำลังจับมือกับเขาอยู่ ทันทีที่เห็นมันผมก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นที่แทบจะเรียกได้ว่าความปลื้มปีติ ด้ายสีแดงเพียงหนึ่งเส้นที่เชื่อมระหว่างผมกับชินอูซอได้ทลายบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจมาตลอดของผมลง และงูดำตัวหนึ่งที่โผล่ออกมาจากรอยแยกนั้นก็กำลังบอกผมว่านี่คือโอกาส

‘มานอนกับพี่…สักวันละชั่วโมงก็ยังดี’

ณ ตอนนั้นผมคิดจะเปลี่ยนรูปแบบของวงแหวนที่เรามีอย่างแน่วแน่ แม้ว่าชินอูซอจะไม่ต้องการก็ตาม

 

* การสอบซูนึง เป็นการสอบวัดระดับความรู้ความสามารถทางการศึกษาเพื่อใช้สำหรับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศเกาหลี

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com