everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 3.1 ถึง 3.3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : Chelliace
แปลโดย : Lilac M
ผลงานเรื่อง : 관계의 고리
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม
การกล่าวถึงความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 3.1 ชินอูซอ
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วหลังจากผมรับข้อเสนองานพิเศษจากพี่จีกอน
และนี่ก็เป็นอีกวันที่ผมไปออฟฟิศของพี่เขาด้วยสีหน้าเพลียๆ เขาบอกว่าขอแค่จับมือนอนด้วยกันแล้วเขาจะให้เงิน แต่ผมบอกปัดว่าไม่เป็นไรเพราะตัวเองก็อยากนอนหลับเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดที่ค้างคาอยู่ในใจช่วงสองสามวันที่มาที่นี่ก็ยังไม่เลือนหายไป
วันนั้นเราไม่น่าไปบ้านจีซอกเลย
ถ้าวันนั้นไม่ไปที่บ้านของหมอนั่น วงแหวนก็คงไม่ปรากฏออกมา
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงว้าวุ่นใจ เพราะทั้งชีวิตนี้ผมไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลยว่าจะมีวงแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้วมือ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นพี่ชายของคนที่ผมแอบรักข้างเดียวด้วยยิ่งแล้วใหญ่
ผมก้าวไปยังชั้นที่มีออฟฟิศของพี่จีกอนภายในตึกสูงอย่างเงียบๆ พนักงานคนอื่นที่เลิกงานตรงเวลาเป๊ะๆ ตามที่พี่จีกอนสั่งน่าจะกลับบ้านกันหมดแล้ว รอบด้านเลยเงียบสนิททั้งที่ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มดี
ผมเหลือบมองออฟฟิศที่ปิดไฟขณะเดินผ่านโถงทางเดิน ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าห้องซีอีโอที่อยู่ตรงปลายสุด หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ รอบหนึ่ง ผมก็เคาะประตูก๊อกๆ ก่อนจะได้ยินเสียงบอกให้เข้าไปจากข้างใน
ทันทีที่หมุนลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน ผมก็ได้ยินเสียงพิมพ์งานที่ฟังดูยุ่งวุ่นวาย ทั้งที่สั่งให้พนักงานทุกคนเลิกงาน แต่จนป่านนี้ตัวเองกลับกำลังทำงานหัวหมุน
“ใกล้เสร็จแล้ว นั่งรออีกเดี๋ยวนะ”
ผมนั่งลงบนโซฟาหน้าโต๊ะเงียบๆ ขณะมองเขาที่กำลังขยับมือรัวเร็วโดยไม่ปรายตามองมาทางผมเลยแม้แต่สักนิด
เสียงรัวคีย์บอร์ดดังปักๆ นั้นน่าฟังราวกับเพลงขับกล่อม ผมจึงฝังตัวเองลงบนโซฟาก่อนจะหลับตาลงแน่น
ทว่าผมกลับนอนไม่หลับ ร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมส่งเสียงร้องประท้วงไปทุกส่วน แถมยังให้ความรู้สึกอึดอัดราวกับถูกบางอย่างกดทับไว้อีก ในหัวของผมขาวโพลนจนน่าประหลาดเลยคิดอะไรฟุ้งซ่านขึ้นมาบ่อยๆ เพียงแต่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ถ้าจีซอกรู้เข้าจะคิดยังไงกันนะ
ผมรู้ดีว่าจีซอกเป็นคนแบบไหน ถึงจะชอบเพศตรงข้าม แต่คนอย่างเขาก็ไม่มีทางมีอคติกับการชอบคนเพศเดียวกันแน่ๆ มิหนำซ้ำตรงกันข้ามแล้วยังดูจะสนับสนุนคนเหล่านั้นอีกด้วย ถึงจะรู้เรื่องวงแหวนที่มือซ้ายของผมไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก หมายถึงในกรณีที่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้าตัวน่ะนะ
การที่เพื่อนกับพี่ชายเชื่อมโยงกันผ่านวงแหวน…คงจะแปลกใจน่าดู แถมคู่ของพี่ชายยังเป็นเพศเดียวกันอีก…
ผมไม่คิดจะทำอะไรเกินงามกับพี่จีกอนเพียงเพราะเชื่อมโยงกันผ่านวงแหวน แค่ต้องการจะแก้ปัญหาโดยการนอนหลับด้วยกันวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น การนอนด้วยกันเป็นการกระทำในขอบเขตที่คนเป็นเพื่อนกันยังพอทำด้วยกันได้เลยไม่มีเรื่องให้ต้องคิดลึกอะไร แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ถ้าเกิดจีซอกรู้เข้า หมอนั่นคงไม่สามารถเบาใจกับปัญหาของพี่ชายตัวเองได้แน่ๆ
ระหว่างที่กำลังคิดไปเรื่อยอยู่นั้น เสียงพิมพ์งานก็หยุดลงโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว ผมได้ยินเสียงลากเก้าอี้เลื่อน ก่อนจะรู้สึกได้ว่าพี่จีกอนเดินเข้ามาใกล้ พอหลับตาลง โสตประสาทก็จะละเอียดอ่อนขึ้น ด้วยเหตุนั้นผมเลยรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพี่เขาได้แม้จะไม่ได้มองเห็นก็ตาม
ผมรู้สึกได้ว่าเขาทรุดตัวลงนั่งข้างผมบนโซฟาตัวเดียวกันที่ใหญ่พอสำหรับให้คนสองคนนั่งได้อย่างสบาย แต่พี่จีกอนกลับนั่งใกล้ผมมากจนหัวไหล่ชนกัน
วินาทีนั้นผมถึงได้ลืมตาขึ้นมาสบตากับพี่จีกอนที่กำลังมองผมอยู่
ผมเผลอคิดขึ้นมาวูบหนึ่งว่าเขาคือคังจีซอก
บางครั้งคังจีซอกก็ชอบมองผมอยู่เงียบๆ ด้วยสายตาแบบเดียวกับที่พี่จีกอนมองผมอยู่ในตอนนี้ ปกติแล้วเขาจะทำแบบนั้นเพื่อสำรวจสีหน้าหรือไม่ก็พยายามจะอ่านความคิดของผม ทั้งสองคนไม่ได้มีแค่หน้าตาที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียว แต่ยังคล้ายกันยันการกระทำเหล่านี้ ผมเลยอดใจเต้นขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้
“นายดูเหนื่อยมากเลยนะ”
พี่จีกอนพูดแบบนั้นทั้งที่ตัวเองยังตาแดงก่ำและขอบตาดำคล้ำไม่ต่างจากผม
“พี่ก็เหมือนกันครับ”
“พี่นอนหลับไม่สนิทดีมาหลายวันแล้ว มันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่หรอก”
พี่จีกอนพูดอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ด้วยเหตุนั้นหางตาที่เคยชี้ขึ้นเลยถูกกดลงมา ทำให้บรรยากาศที่ปกติจะเย็นชาพลันอ่อนโยนขึ้นมาทันตา
ผมมองหน้าพี่เขาก่อนจะถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“พี่ไม่คิดอะไรเลยเหรอครับ”
“คิดอะไร”
พอเห็นเขาจ้องมองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้ว ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองกำลังว้าวุ่นใจอยู่คนเดียวหรือเปล่า
“คิดว่าผมจะอึดอัดหรือเปล่า…ที่จู่ๆ ก็ถูกเชื่อมกันด้วยแหวนนี่น่ะครับ”
พี่เขามองผมโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแทนคำตอบ ในจังหวะที่ผมอายเพราะถูกมองอยู่นิ่งๆ และกำลังจะเบือนหน้าหนีนั้นเอง
“แล้วนายอึดอัดใจกับพี่หรือไง”
พี่จีกอนย้อนถามผมกลับ ทั้งที่ควรจะรีบส่ายหัวปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ได้สบายใจเวลาอยู่กับเขาจริงๆ เลยไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาตอบรับแบบนั้นกลับไปได้
“ก็นึกอยู่แล้วล่ะนะ”
เขายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับวางมือลงบนศีรษะของผม
“ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้พี่ก็ไม่เคยอึดอัดใจกับนายหรอกนะ พี่มัวทำแต่งานจนไม่ได้คุยกับนายจริงจังมานานมาก นายจะอึดอัดหน่อยๆ ก็ไม่แปลกหรอก”
พอเขาพูดมาแบบนั้นแล้ว ผมก็สบายใจขึ้นมาเป็นกอง ผมกะแล้วว่าเขาไม่ได้ทำตัวห่างเหินเพราะเกลียดหรือไม่ชอบใจอะไรผม และผมเองก็พอจะเข้าใจพี่เขาดี เพราะได้ยินผ่านจีซอกมาตลอดว่าพี่เขายุ่งอยู่กับธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นมาขนาดไหน
“ผมก็ไม่ได้อึดอัดใจหรอกครับ ผมก็แค่…”
ผมพูดอ้อมแอ้มอยู่ในปาก เพราะถึงจะชอบจีซอกแต่ผมก็ไม่ควรเปิดเผยความรู้สึกว้าวุ่นใจเรื่องที่วงแหวนเชื่อมกับคนอื่นเลยพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติพลางลอบสังเกตท่าทีของพี่เขา
“แค่คิดมากเพราะไม่อยากให้จีซอกรู้น่ะครับ”
ผมใช้ปลายนิ้วบีบและนวดวงแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายวนไปวนมาอย่างลืมตัว
“จีซอกเป็น…เพื่อนสนิทที่สุดของผมครับ ผมไม่อยากให้จีซอกรู้สึกอึดอัดใจกับผมเพราะเรื่องแบบนี้น่ะครับ พี่ไม่คิดอะไรทำนองนี้บ้างเลยเหรอครับ”
หางตาของเขากระตุกวูบหนึ่งตรงคำว่า ‘อะไรทำนองนี้’ แต่เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากไว้ได้เหมือนเดิม
“อาฮะ ถ้างั้นเรามาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากจีซอกเหมือนอย่างตอนนี้กันเถอะ พี่ว่าจะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับวงแหวนอย่างละเอียดดูด้วย เพราะคงจะอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอก”
“ครับ ขอบคุณนะครับพี่”
พอสายตาที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง พี่จีกอนก็จับมือของผมแล้วลุกขึ้น
“วันนี้สั่งรูมเซอร์วิสกินกันเถอะ ถ้าอยากกินอะไรก็ค่อยบอกพี่ระหว่างทาง”
“รูมเซอร์วิสมันไม่แพงไปหน่อยเหรอครับ แค่นอนไม่กี่ชั่วโมงก็…”
“ไม่เป็นไร แค่นี้พี่จ่ายได้”
พี่จีกอนพูดเหมือนไม่ได้ยี่หระอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หนักใจจริงๆ ผมรู้สึกผิดมากที่ต้องให้พี่เขาออกค่าอาหารเย็นและค่าโรงแรมทุกวันคนเดียว ทั้งที่ผมเองก็ต้องการที่จะนอนไม่ต่างกัน
ถ้ารู้แบบนี้ชวนไปห้องเราแต่แรกเสียยังจะดีกว่า
ถึงจะคับแคบไปหน่อย แต่ก็น่าจะเพียงพอให้เราสองคนนอนจับมือกันแบบรักษาระยะห่างได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าเอ่ยคำชวนออกไปอย่างเต็มปาก เพราะถึงจะเรียกว่าเตียงนอน แต่ความจริงแล้วห้องของผมก็มีแค่ฟูกนอนสำหรับหนึ่งคนอยู่หลังเดียว แถมยังไม่ได้สะอาดสะอ้านหรือน่าอยู่เท่าไหร่นัก ผมคงรู้สึกผิดแย่หากต้องลากพี่จีกอนที่น่าจะเคยนอนแต่โรงแรมหรูไปนอนในสถานที่แบบนั้น
“แต่มันก็แพงอยู่ดีนี่…”
พี่เขาหลุดหัวเราะออกมาราวกับได้ยินคำพูดที่ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะผมอย่างทะนุถนอมไปพร้อมกัน
สุดท้ายวันนั้นผมก็จำต้องตามพี่เขาไปนอนที่โรงแรมอีกตามเคย ต่างคนต่างนอนอยู่คนละฟากของขอบเตียงขนาดใหญ่และผล็อยหลับไปโดยมีแค่มือที่กุมกันอยู่ใต้ผ้าห่ม เพียงเท่านั้นก็สามารถหลับสนิทได้พร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่แสนสบาย
ผมเคลิ้มจนคิดไปว่าเวลาที่ได้นอนงัวเงียแบบนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ไม่อาจใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปได้ ในหัวจึงพลันยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นมากะทันหัน
สะกิดๆ
“อูซอยา หลับเหรอ”
ผมกำลังนอนคว่ำหน้ากับหนังสือกองพะเนินในหอสมุด พอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะสัมผัสของนิ้วที่แตะลงบนไหล่ ผมก็เห็นจีซอกที่ดูกังวลกำลังดึงเก้าอี้ตัวข้างๆ ออกมานั่งข้างกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตามประสาเขา
“ถึงจะแค่วันสองวัน แต่ถึงอย่างนั้นนายก็เหนื่อยทุกวันเลย นายไปทำอะไรมาเนี่ย ไม่ใช่ว่าป่วยอยู่หรอกนะ?”
“…เปล่าสักหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าฉันเริ่มทำงานพิเศษตอนกลางคืน อีกอย่างพอดีช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากกว่าเรื่องเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ถึงแม้ความจริงแล้วมันจะเป็นแค่การไปนอนกับพี่จีกอนเฉยๆ ไม่ใช่งานพิเศษอะไรนั่น แต่ในเวลาแบบนี้พูดแก้ตัวออกไปก่อนจะดีกว่า
“ทำงานพิเศษระหว่างเรียนเนี่ยนะ? แค่การบ้านก็ทับหัวตายอยู่แล้ว ไหนว่ามีเงินพอใช้ไง”
จีซอกยังคงเบะปากและทำสายตากังวลเหมือนเดิม
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเข้ากับจีซอกได้ดีเป็นเพราะพ่อแม่ของผมทำงานอยู่ที่ไกลๆ ซึ่งไม่ต่างจากบ้านของเขาที่พ่อแม่ทำงานอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ ยังดีที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ แต่ด้วยความที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ซึ่งอยู่ห่างไกลได้ ผมเลยต้องหาห้องสตูดิโอเช่าอยู่คนเดียว
จีซอกที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมาวางบนหน้าผากผม แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้าของมือนี้คือคังจีซอก ทันทีที่หลังมือเย็นนั้นสัมผัสลงบนหน้าผากที่มีไข้รุมๆ ของผม ผมจึงพลันรู้สึกดีขึ้นมาในชั่วพริบตา
“นายมีไข้นะ”
“ฉันรู้”
“ไปโรงพยาบาลซะ ก่อนที่ฉันจะบ่นนาย อูซอยา นายคงรู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันได้เปิดปากบ่นแล้ว นายจะโดนฉันบ่นเป็นชุดไม่หยุดน่ะ”
“โรงพยาบาลอะไรของนาย ถ้าเป็นแค่นี้แล้วไปโรงพยาบาลมีหวังได้โดนด่าว่าสำออยกันพอดี ไอ้ทึ่มเอ๊ย”
ผมขำพรืดออกมากับคำพูดของเขาที่จงใจปั้นหน้าดุพูดใส่ผม สมกับเป็นคังจีซอกที่ชอบบ่นเพราะเป็นห่วงคนรอบข้างจริงๆ
พอหลับตาลงรับสัมผัสของมือนี้อยู่เงียบๆ แล้ว ใบหน้าของพี่จีกอนก็ฉายขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง
พอหลับตาแล้วไม่รู้ว่าเป็นมือใครเลย
ทั้งคู่มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงรูปร่างใกล้เคียงกัน กระทั่งขนาดมือก็ยังใกล้เคียงกันอีก พวกเขาเหมือนกันมากถึงขนาดที่ทำเอาผมสงสัยว่าเหมือนกันขนาดนี้จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นฝาแฝดกันหรือเปล่า
ต่างกันเพียงแค่ว่ามือของจีซอกที่สัมผัสมานั้นไม่อาจทำให้ผมนอนหลับลงได้ หากเป็นมือของพี่จีกอนล่ะก็ ผมคงหลับสบายไปทั้งอย่างนี้แล้ว
นี่เรากำลังรู้สึกเสียดายอะไรกัน
ผมใจสั่นกับการสกินชิปเพียงเล็กน้อยของจีซอก แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าถ้าเป็นพี่จีกอนก็คงจะรู้สึกดีเหมือนกัน
ระหว่างที่กำลังคิดแบบนั้นผมก็ได้ยินเสียงของจีซอกดังแทรกเข้ามาในหู
“อูซอยา นายเหลือสัญญาเช่าห้องอีกนานแค่ไหนน่ะ”
ผมลืมตากับคำถามที่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น ใบหน้าของจีซอกดูมีสีสันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่าเขาดูเหมือนกำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง
“ฉันเซ็นสัญญาช่วงหลังสอบกลางภาค…คงต้องต่อสัญญาในสองสามวันนี้แหละมั้ง”
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้น…”
จีซอกลดปลายเสียงลงถามผม
“นายมาอยู่กับฉันไหม”
ทันทีที่ได้ยินคำนั้นร่างกายที่ฟุบอยู่ก็พลันเด้งขึ้นมาอย่างลืมตัว ผมรู้สึกได้ว่านักศึกษาหลายคนที่อยู่รอบๆ กำลังมองมาทางนี้ แต่ผมก็ไม่ว่างพอที่จะไปใส่ใจเรื่องนั้นในตอนนี้
“นายมาอยู่คอนโดฯ ฉันเถอะนะ อูซอยา”
เมื่อกี้หมอนี่พูดว่าไงนะ
คอนโดฯ ของจีซอกมีคนอาศัยอยู่ด้วยกันสามคน
พี่จีกอน พี่จียอน แล้วก็คังจีซอก
ผมนึกสงสัยว่าแล้วทำไมตัวผมถึงได้ไปรวมอยู่ในนั้นอย่างปุบปับได้ ทำไมชื่อของผมที่เป็นคนนอกถึงได้ไปอยู่ในคอนโดฯ ที่มีสามห้องนอนและมีสามพี่น้องอาศัยอยู่กันล่ะ
พอผมมองเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ จีซอกจึงจัดแจงอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
“พอดีบริษัทที่พี่จียอนทำงานกำลังจะย้ายไปที่ย่านพันกโยน่ะ อีกไม่กี่วันพี่ต้องไปทำงานที่โน่นเลยเช่าออฟฟิศเทล* ใกล้ๆ เอาไว้ ห้องที่บ้านก็เลยว่างอยู่ห้องหนึ่ง ฉันไม่เก็บค่าเช่าหรอกน่า นายขนมาแต่ตัวได้เลย”
คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้ผมหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็จำต้องปัดตกไปก่อนแล้วก็ต้องถามเขาให้กระจ่าง
“เดี๋ยวก่อนสิ…ยังไงพวกนายก็ต้องการคนหารค่าเช่าไม่ใช่เหรอ”
อย่างน้อยก็ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ กับค่าบำรุงรักษารายเดือนบ้างสิ หมอนี่มีความจำเป็นอะไรถึงได้นึกอยากพาคนอื่นที่ไม่ใช่แม้แต่คนในครอบครัวมาอยู่ด้วยเพียงเพราะมีห้องว่างกันนะ
“พี่นายจะไม่อึดอัดเหรอ ฉันเป็นเพื่อนนายก็จริง แต่ว่า…”
“คนต้นคิดก็พี่จีกอนนั่นแหละ”
“ฮะ? พี่จีกอน?”
“พอฉันบอกไปว่านายอยู่ห้องตัวคนเดียว พี่เขาก็บอกว่าโลกสมัยนี้มันอันตรายแล้วก็น่ากลัวมาก เลยอยากให้พานายมาอยู่ด้วยกันน่ะ”
จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไร้เดียงสาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อีกอย่างฉันบอกไปว่านายทำอาหารเก่งด้วย ฉันยังจำได้อยู่เลย มีทั้งพาสต้า ข้าวผัด แกงกิมจิ หมึกสายผัดซอส แล้วก็เนื้อย่างที่นายเคยทำให้กินตอนอยู่คนเดียว”
พอได้ยินรายชื่ออาหารที่จีซอกเคยกินมาจนถึงตอนนี้เรียงยาวเป็นพืด ผมก็พอจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย พี่น้องบ้านนี้รวมถึงจีซอกไม่มีใครสนใจเรื่องการทำอาหารเลยสักคน อาหารที่แต่ละคนสามารถทำได้ก็มีแต่รามยอนเท่านั้น และตอนนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แถมรามยอนที่ว่ายังเป็นรามยอนถ้วยอีกต่างหาก
ขอแค่มีวัตถุดิบผมก็สามารถรังสรรค์สิ่งที่เรียกว่าอาหารให้ได้เสมอ แต่พอตัดเรื่องพวกนี้ออกไป ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังยากที่จะเข้าใจอยู่ดี
ตอนนั้นเองมือถือที่อยู่ในแจ็กเก็ตก็สั่นเตือนเบาๆ ผมสะดุ้งโหยงขณะดูหน้าจอด้วยความคิดที่ว่าไม่น่ามีใครโทรมาในเวลาเช้าแบบนี้
“ฉันรับโทรศัพท์ก่อน เดี๋ยวมานะ เฝ้าที่ให้ที”
“หืม? ใครน่ะ”
“เจ้าของร้านที่ทำงานพิเศษน่ะ”
ผมตอบกลับไปห้วนๆ ก่อนจะรีบเดินไปที่ห้องน้ำ ทันทีที่กดรับก็ได้ยินเสียงของพี่จีกอนดังแทรกมาจากปลายสาย
“พี่รู้ว่านายไม่ได้เรียนอยู่ ทำไมถึงได้รับสายช้าอย่างนี้ล่ะ”
ตารางเรียนของผมเหมือนกับจีซอกเป๊ะๆ พี่เขาเลยน่าจะรู้ทุกอย่างแบบละเอียดยิบ
“พอดีผมอยู่หอสมุดน่ะครับ”
อันที่จริงต่อให้จะไม่ได้อยู่หอสมุด ผมก็คงปลีกตัวไปรับสายแบบนี้เหมือนกันอยู่ดี เพราะจีซอกยังไม่รู้ความจริงเรื่องที่ผมกับพี่จีกอนยังติดต่อกันอยู่ เขาเข้าใจว่านอกจากวันที่ไปทำงานกลุ่มผมก็ไม่ได้เจอกับพี่จีกอนอีก
ผมระมัดระวังตัวมากขึ้นเพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่จีกอน และตอนนี้ผมก็อยากยืนยันเรื่องที่ได้ยินมาจากจีซอก
“เรื่องที่บอกให้ผมไปอยู่ที่บ้านนี่เรื่องจริงเหรอครับ”
“อืม เรื่องจริงสิ นายเข้ามาอยู่ได้เลย”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดสบายๆ ที่ราวกับการเอ่ยทักทายคำเดียวแล้วเดินผ่านไปนั้น
“พี่คิดอะไรอยู่ครับ ถ้าเราอยู่ด้วยกันจีซอกอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดก็ได้นะครับ”
“เจ้านั่นมันทึ่มอยู่แล้วคงไม่รู้หรอกน่า อีกอย่างนายเองก็หนักใจที่ต้องมานอนโรงแรมกับพี่ทุกครั้งไม่ใช่หรือไง”
แน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือความเสี่ยงที่อาจจะถูกจีซอกจับได้ ดังนั้นการที่ผมจะรู้สึกกังวลจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ไหนๆ เจ้าจีซอกเองก็จะอยู่บ้านตลอดช่วงปิดเทอมอยู่แล้วด้วย ได้ยินว่าค่าเช่ารายเดือนนายแพงเอาเรื่องเลยนี่ นายจะได้ประหยัดเงินแล้วก็ได้นอนหลับสนิทด้วย อีกอย่างถ้ามาอยู่บ้านนี้ นายจะได้มีเจ้าจีซอกเป็นเพื่อนเล่นด้วยไง”
เขาพูดเหมือนคังจีซอกเป็นของเล่นหรือเจ้าตูบที่เลี้ยงเอาไว้
แต่ตราบใดที่จีซอกยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของผมกับพี่จีกอน คำพูดของเขาก็เป็นคำพูดที่ล่อตาล่อใจจริงๆ
“คนอย่างเจ้าจีซอกน่ะ ถึงเที่ยงคืนก็หลับเป็นตายแล้ว แถมที่นี่ก็มีห้องส่วนตัวแยกให้นายต่างหาก นายมานอนที่ห้องพี่ตอนดึกๆ แล้วกลับห้องตัวเองไปก่อนจีซอกจะตื่นก็ได้”
พี่จีกอนค่อยๆ พูดตะล่อมหว่านล้อมผมราวกับเตรียมการไว้ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี
“พี่โทรมาเพราะคิดว่านายน่าจะกังวล ยังไงก็รีบตัดสินใจแล้วย้ายเข้ามาซะนะ”
พี่จีกอนคงรู้อยู่แล้วว่าผมจะตกหลุมพรางของเขา
สถานการณ์ของผมตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวที่กำลังสองจิตสองใจอยู่ในอุ้งมือของพี่เขา และแน่นอนว่าสิ่งที่ดิ้นอยู่ในอุ้งมือของพี่เขานั้นย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หลังจากวิตกกังวลและลองทบทวนดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่คอนโดฯ ของพี่จีกอนกับจีซอกในที่สุด
* ออฟฟิศเทล เป็นตึกสูง 10-20 ชั้น จุดประสงค์หลักคือการทำเป็นออฟฟิศ แต่สามารถเช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้ โดยในออฟฟิศเทลจะมีโครงการหลากหลายโครงการรวมอยู่ด้วย เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร เป็นต้น นับว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน