everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 3.1 ถึง 3.3 #นิยายวาย
Chapter 3.2 ชินอูซอ
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมมาคอนโดฯ ของจีซอก
ทว่าครั้งนี้ผมกลับรู้สึกแปลกชอบกล อาจเป็นเพราะมันต่างจากครั้งก่อนที่มาในฐานะแขกโดยสิ้นเชิง
“นี่เตียงที่พี่จียอนเคยใช้ แต่ทำความสะอาดฟูกให้แล้ว ส่วนผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หมอน อะไรพวกนี้เป็นของใหม่หมดเลย โต๊ะทำงานเองก็สะอาดเอี่ยมเพราะซื้อมาตั้งทิ้งไว้ยังไม่ได้ใช้ ชั้นวางหนังสือก็เหมือนกัน อ้อ ตู้เสื้อผ้ามันเก่าไปหน่อย พี่เลยซื้อของใหม่เข้ามาให้แทนแล้ว เห็นแบบนี้แล้วพี่สาวฉันนี่นะ…ใช้แค่นอนแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานจริงๆ แฮะ”
ผมกวาดตามองในห้องช้าๆ ขณะฟังจีซอกเกาแก้มพลางหัวเราะแหะๆ พื้นที่ห้องค่อนข้างกว้าง เฟอร์นิเจอร์สะอาดเอี่ยมอ่อง แถมตัวห้องยังเป็นห้องที่มีแสงแดดส่องถึงได้ดี
ระหว่างที่ตรวจดูห้องและกำลังยกสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นเข้าไปวาง จีซอกก็ปรี่เข้ามาชิงยกลังที่ดูเหมือนจะหนักที่สุดขึ้นมาก่อน
“เฮ้ ลังนั้นฉันใส่หนังสือไว้ มันหนักนะ เดี๋ยวก็เอวเคล็ดหรอก ไว้ค่อยยกด้วยกัน”
“ไม่เป็นไร ไม่เห็นจะหนักสักเท่าไหร่เลย”
เขาก้าวขาฉับๆ แล้วย้ายของไปวางไว้ในห้องราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย แถมตอนนี้ก็มาแย่งลังหนักๆ ที่ผมยกอยู่ไปแล้ว
“นายเปิดลังแล้วจัดของไปนะ เรื่องขนของเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไร ค่อยนั่งจัดหลังจากขนของเสร็จหมดแล้วก็ได้”
“แต่ฉันเป็น”
จีซอกวางลังที่ผมเคยยกแล้วดูหนักไปซ้อนบนลังอีกใบก่อนจะเดินออกไป
“อา หิวจัง สงสัยคงต้องรีบจัดการซะแล้ว จะได้กินฟูลคอร์สของคุณเชฟชิน”
จีซอกเหลือบมองผมพลางพูดพึมพำราวกับหวังจะให้ได้ยิน ผมหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะหยิบมีดคัตเตอร์ไปที่ห้องแล้วนั่งลงตรงหน้าลังพวกนั้นเพื่อเปิดลังออก
“นายไม่รู้เหรอว่าวันที่ย้ายบ้านเขาต้องกินจาจังมยอน* กันน่ะ”
“ฉันกินแต่อาหารดีลิเวอรี่หรือไม่ก็อาหารที่มหา’ลัยทุกวันเลย ขอให้ฉันได้กินข้าวที่บ้านบ้างเถอะอูซอยา”
จีซอกที่วางกล่องลงแล้วนั่งยองๆ ลงข้างผมแกล้งทำหน้ามุ่ย ผมจึงแกล้งใช้หลังมือตบริมฝีปากที่เบะออกมาเบาๆ อย่างหมั่นไส้โดยไม่ให้เขาเจ็บ
“เข้าใจแล้ว คิดไว้แล้วกันว่าอยากกินอะไร”
“ถ้างั้นก็แกงกิมจิ!”
“แค่นั้น?”
“น้ำแกงขอแบบเข้มข้น ใส่เนื้อต้นขาหน้าให้เต็มเลยนะ แล้วก็อย่าลืมใส่เต้าหู้ลงไปด้วยล่ะ”
“เรื่องกินนี่พูดได้เป็นฉากๆ เลยนะ”
หากถามว่าอาหารที่คังจีซอกโปรดปรานที่สุดคืออะไร แน่นอนว่าต้องเป็นแกงกิมจิอยู่แล้ว ผมเลยพอจะเดาได้คร่าวๆ พอถึงเวลาที่เขาบุกเข้ามาที่ห้องของผมเป็นครั้งคราว ผมก็มักจะทำแกงกิมจิเป็นกับแกล้มเหล้ากินด้วยกัน
ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี ผมตั้งใจว่าจะรีบทำให้เสร็จแล้วไปซื้อของเข้าบ้านเลยต้องเร่งจัดสัมภาระให้เสร็จเร็วๆ ถึงจะเรียกว่าสัมภาระ แต่ก็มีอยู่ทั้งหมดหกกล่อง สองในหกกล่องนั้นเป็นหนังสือล้วน แถมเสื้อผ้าผมก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ ด้วยความที่อาศัยอยู่ในห้องสตูดิโอเล็กๆ เลยไม่ได้มีสัมภาระมากมายอะไรนัก
หลังจากจัดเสื้อผ้าและข้าวของจิปาถะเสร็จในเวลาไม่นานก็ได้แรงจากจีซอกมาช่วยเรียงหนังสือเป็นชั้นๆ กว่าจะจัดเสร็จหมดทุกอย่าง เวลาก็ล่วงเลยเกินหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ผมแวะไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ กับจีซอกจนกลับมาถึงคอนโดฯ แล้ว แต่พี่จีกอนก็ยังไม่ติดต่อมาเลยสักครั้ง ทั้งที่เวลานี้เขาน่าจะเลิกงานแล้วแท้ๆ
พอถามจีซอกถึงเรื่องเตรียมอาหาร ผมก็ได้คำตอบว่าวันนี้พี่จีกอนบอกว่ามีประชุมดึกไม่ต้องรอ ผมนี่มันแย่จริงๆ ตอนที่ได้ยินอย่างนั้น เพราะแทนที่จะเป็นห่วงที่พี่เขากลับบ้านดึก แต่ผมกลับคิดว่าดีเหมือนกันที่จะได้อยู่กับจีซอกตามลำพังแล้วดูหนังด้วยกัน
ผมดูหนังอย่างสบายอารมณ์กับจีซอกแล้วก็พลันนึกถึงคลาสเรียนตอนเช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ขึ้นมา เลยแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเองตั้งแต่หัวค่ำ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนอนไม่หลับ ส่วนหนึ่งคงต้องโทษอาการนอนไม่หลับของไอ้แหวนเฮงซวยนี่ แต่อีกส่วนหนึ่งคงต้องโทษเพดานกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพราะมันเน้นย้ำให้ผมตระหนักได้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในบ้านของจีซอก หัวใจผมเลยเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว
ผมนอนอยู่บนเตียงขณะแหงนหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
ไหนๆ ก็หลับไม่ลงจนกว่าพี่จีกอนจะกลับมาอยู่แล้ว อ่านหนังสือสักหน่อยดีไหมนะ
สภาพแวดล้อมอาจจะแปลกไป แต่กิจวัตรในตอนดึกของผมก็ยังคงเหมือนเดิม ผมนั่งบนเก้าอี้ที่ดูเรียบหรูและสบายกว่าการอยู่ในห้องสตูดิโอที่เคยเช่าอยู่ ก่อนจะกางหนังสือบนโต๊ะ แม้จะรู้ว่ามันคงไม่ได้ผล แต่ก็หวังว่าตัวเองจะง่วงเลยจดจ่ออยู่กับหนังสือไปเรื่อยๆ
ขณะที่กำลังโฟกัสกับหนังสือและเขียนโน้ตอยู่นั้นเอง
เสียงกลไกของดอร์ล็อกก็ดังขึ้นมาเบาๆ ผมยกมือถือขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลากว่าตีหนึ่งแล้ว
ผมเปิดประตูห้องเพราะคิดว่าต่อให้ไม่นอนทันทีก็ควรจะออกไปทักทายพี่เขาสักหน่อย แต่กลับพบพี่จีกอนที่กำลังยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูพอดี ผมไม่รู้เลยว่าเขาเดินเข้ามาถึงหน้าห้องผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“กะ…กลับมาแล้วเหรอครับ”
ผมเอ่ยทักทาย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ปรือตาปิดลงครึ่งหนึ่งแล้วมองผมด้วยสีหน้าเย็นชา สังเกตจากกลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้นที่ฉุนกึกแล้ว ดูเหมือนเขาจะดื่มเหล้าไปเยอะเอาเรื่อง
“พี่เมาเหรอครับ ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อย…”
“ดื่มเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ…”
พี่จีกอนพูดอย่างเชื่องช้า นอกจากลิ้นจะพันกันแล้วเสียงก็ยังทุ้มต่ำกว่าปกติ ทำเอาผมสงสัยว่าเขายังมีสติสัมปชัญญะเต็มร้อยดีอยู่หรือเปล่า
ระหว่างที่คิดว่าจะทำยังไงดี พี่จีกอนก็พรวดพราดเข้ามาแล้วปิดประตู จู่ๆ เขาก็คว้าตัวผมไปกอดโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว วงแขนสองข้างของเขาเหนี่ยวรั้งตัวผมเอาไว้ทันที ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ ที่คละเคล้าไปกับกลิ่นเหล้าที่รุนแรง เขาซุกใบหน้าลงมาบนไหล่ที่ห่ออยู่ของผมพลางส่งเสียงแปลกๆ ราวกับกำลังคลอเคลียที่ใบหู
“นอนด้วยกันนะ…อูซอยา”
ทั้งที่เขาก็แค่ชวนนอนหลับแบบซื่อๆ แต่ใบหน้าของผมกลับแดงก่ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งหมดเป็นความผิดของเสียงแปลกๆ ของพี่เขาที่เย้ายวนผม
ผมถูกน้ำหนักตัวหนักๆ โถมใส่จนถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะทรุดนั่งลงบนเตียง ตอนนั้นเองผมพลันรีบเกร็งช่วงเอวเต็มที่พร้อมกับดันตัวพี่เขาออกไปอย่างยากลำบากเพื่อไม่ให้ตัวเองนอนราบลง
“พี่ครับ เดี๋ยวก่อน…ผมหนักนะครับ”
ผมโอดครวญพลางพยายามจับตัวพี่เขาให้พลิกออกไป คนที่หากเป็นปกติดีคงไม่สะทกสะท้านยอมล้มตัวนอนแผ่ลงบนเตียงแต่โดยดี แต่กระนั้นเขาก็ยังโอบรัดเอวของผมเอาไว้จนผมตัวเอียงล้มตามไปด้วย ผมใช้มือยันแผ่นอกของพี่เขาขณะหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะดิ้นขลุกขลักหนีจากวงแขนที่เหมือนกับบ่วงล่าสัตว์นี้
ผมยกขาของพี่จีกอนที่นอนแผ่หลาเกยขอบเตียงไปวางบนเตียงดีๆ ก่อนจะดันตัวที่เอียงอยู่ให้นอนตรงๆ แต่แค่นี้ก็เล่นเอาผมหืดขึ้นคอเลยทีเดียว
พี่จีกอนนอนนิ่งดูผมจัดแจงท่านอนให้อย่างว่าง่ายในระหว่างที่ผมนั่งทิ้งตัวอยู่ตรงขอบเตียงขณะถอดแจ็กเก็ตของพี่เขาออกอย่างทุลักทุเล จากนั้นผมก็เริ่มปลดเนกไทกับกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ดูอึดอัดให้พี่เขา แต่แล้ววงแขนของพี่เขาก็โอบรอบเอวของผมอีกครั้ง
“นอนกันเถอะ…”
“รู้แล้วครับ ตอนนี้เราก็แตะตัวกันอยู่แล้วนี่ไงครับ พี่หลับไปก่อนได้เลย”
ได้ยินมาว่าตราบใดที่ร่างกายยังสัมผัสกัน เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอะไรอีก ผมจึงน่าจะสามารถนอนหลับได้ แม้จะอยู่ในท่าที่มีวงแขนของเขาพาดเอวเหมือนอย่างตอนนี้ก็ตาม
เขาน่าจะหลับไปแล้วเพราะไม่ได้พูดอะไรอีก ผมจึงช่วยปลดกระดุมเม็ดที่สองให้ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็ได้สบตากับพี่เขาที่กำลังหลุบมองลงมาอยู่พอดี หางตาคมที่มักจะยกขึ้นในยามปกติตอนนี้กลับวาดลงเป็นเส้นโค้งชวนมอง
พี่จีกอนลูบศีรษะของผมเงียบๆ หากว่ากันตามตรง การสกินชิปแบบลูบศีรษะนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด กระทั่งก่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายเองก็เช่นกัน ต่อให้ได้ผลการเรียนดีขนาดไหน พ่อแม่ที่ทำงานยุ่งตลอดก็ไม่เคยจะหันมาเหลียวแลผมด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการลูบศีรษะกัน
ผมรู้สึกดีกับการที่ถูกพี่เขาลูบศีรษะ ครั้งแรกมันอาจจะแปลกไปสักหน่อย ผมรู้สึกเหมือนเขาดูแคลนผมและปฏิบัติกับผมเหมือนผมเป็นเด็ก แต่พอถึงจุดหนึ่งผมก็รู้สึกดีจนไม่คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นอีกเลย ผมคิดว่าหนึ่งในหลายเหตุผลที่ผมชอบคังจีซอกก็น่าจะเป็นเพราะความอบอุ่นที่ส่งมาจากมือนี้เหมือนกัน
ระหว่างที่นึกถึงจีซอกอยู่นั้น ผมก็คิดว่าสองพี่น้องคู่นี้หน้าตาเหมือนกันมาก แม้ดวงตาของพี่จีกอนตอนนี้จะปรือปรอยอยู่ก็ตามที มือที่ลูบศีรษะค่อยๆ ลดลงแล้วเกลี่ยไล้ผ่านใบหูผมลงมา ผมผงะจนเกือบตกเตียง แต่ก็คว้ามือของเขาไว้ได้ทันอย่างลืมตัว
ผมได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพี่จีกอนที่ผล็อยหลับไป พอเห็นอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะตามมาด้วยความง่วงที่ถาโถมเข้ามาอย่างฉับพลัน
ตอนนี้พี่จีกอนได้ยึดเตียงของผมไปแล้ว ถ้าดันตัวเขาไปอีกนิด ผมก็น่าจะสามารถแทรกตัวหลับข้างๆ เขาได้ แต่จะยังไงก็เถอะ การนอนเตียงเดียวกับคนอื่นมันก็…ให้ความรู้สึกต่างกับการจับมือพิงกันแล้วนอนหลับอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ผมเคยลองทดสอบพี่จีกอน พอไม่ได้สัมผัสตัวกันประมาณสิบนาที ดวงตาของเขาก็จะเปิดขึ้นในทันที และต่อให้เมาอยู่ผมก็คิดว่าผลลัพธ์ไม่น่าจะต่างกัน
หลังจากกังวลอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจลงมานั่งบนพื้นข้างล่างเตียง โดยอิงหลังกับฟูกแล้วแนบแก้มเข้ากับฝ่ามือที่ยื่นออกมาของพี่จีกอน ทั้งที่ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง แต่พอผมเอียงใบหน้าซบกับฝ่ามือนั้น มือของพี่เขาก็ทำท่าเหมือนกับจะประคองแก้มของผมเอาไว้จากข้างหลัง
แค่สัมผัสตัวกันเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว ไม่ว่าจะจับมือหรือจับแก้มก็ตาม…
ไม่นานนักความง่วงก็ถาโถมเข้ามา ความเย้ายวนของการนอนหลับอันแสนหอมหวานที่ไม่อาจต้านทานได้ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าของผมกลายเป็นอัมพาต ก่อนที่น้ำหนักของเปลือกตาจะบังคับให้ผมปิดตาลง
ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว
พอเริ่มได้สติขึ้นมาทีละน้อยทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ผมก็รู้สึกได้ถึงความสบายและความอ่อนเปลี้ยชวนเคลิบเคลิ้มที่ได้มาจากการนอน ผมรู้สึกสดชื่นกว่าตอนที่นัดเจอกับพี่จีกอนแล้วหลับสนิทได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเท่าตัวจนอยากจะหลับอย่างนี้ไปอีกเนิ่นนาน
อา จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเลยนี่นา
ผมเพิ่งได้สติขึ้นมาทีหลัง
ปกติผมจะตั้งนาฬิกาปลุกก่อนนอนกับพี่เขาทุกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นคงได้ดื่มด่ำกับการหลับเต็มอิ่มแบบกู่ไม่กลับและนอนหลับยาวโดยไม่รู้สึกตัวแน่ๆ
ผมจำได้ว่าตัวเองหลับยาวโดยไม่มีนาฬิกาปลุกและผล็อยหลับไปในท่านั่งทั้งอย่างนั้นก่อนจะลืมตาขึ้น แต่กลับพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนตะแคงข้างเสียอย่างนั้น ผมกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับการมองเห็นที่พร่ามัวให้ชัดเจน ตอนนั้นเองถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ แถมยังนอนหนุนหมอนอยู่บนเตียงอย่างดีด้วย
จำไม่เห็นได้เลยแฮะว่าขึ้นมาบนเตียง…
ผมรู้สึกประหลาดใจขณะเบนสายตาไปทางอื่น ไม่ใช่แค่หมอนอย่างเดียวที่ทำให้ผมประหลาดใจ การนอนห่มผ้าเองก็เช่นกัน ผมปรายตามองต่ำลงไปอีกหน่อย ก่อนจะเห็นวงแขนของใครบางคนกำลังโอบรอบเอวผมอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ”
ผมผงะไปเล็กน้อยกับเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินจากคนข้างหลังก่อนจะหันหลังกลับไป ภาพที่เห็นคือคังจีซอกที่กำลังพลิกตัวมาทางผมก่อนชันศอกขึ้นเท้ามือเข้ากับศีรษะ
“คังจีซอก ทำไมนาย…”
“คังจีซอกที่ไหนกัน นี่พี่เอง ตื่นได้แล้ว”
วินาทีนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คังจีซอก แต่เป็นพี่จีกอน นอกจากจะมีใบหน้าที่คล้ายกันมากแล้ว ผมด้านหน้าที่ปกติมักจะเสยขึ้นไปครึ่งหนึ่งของพี่เขายังปรกลงมาเหมือนคังจีซอกอีก แบบนี้ก็สมควรที่ผมจะเข้าใจผิดอยู่หรอก
ทันทีที่รู้ว่าเป็นพี่จีกอน ผมก็ตั้งท่าจะลุกพรวดขึ้น ทว่าท่อนแขนที่โอบรอบเอวอยู่กลับออกแรงกดผมให้นอนลงไปตามเดิมราวกับคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว ผมเงยหน้ามองพี่เขาอย่างงุนงง แต่พี่เขากลับยกยิ้มมุมปากพลางก้มมองผมราวกับนึกสนุกเสียอย่างนั้น
ผมกำลังจะถามว่าทำไมพี่เขาถึงได้มานอนอยู่บนเตียงของผม แต่สมองก็พลันนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนให้พี่เขานอนบนเตียงของตัวเองแน่ๆ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันกับพี่เขาได้
พี่จีกอนมองนัยน์ตาของผมที่กลอกไปมา ก่อนจะตอบคำถามที่อยู่ในหัวของผม
“พี่เห็นนายนอนลำบากเลยอุ้มขึ้นมาวางบนเตียงไง จะอะไรเสียอีกล่ะ”
“นั่นสินะครับ…”
ดูท่าพี่เขาคงจะตื่นแล้วอุ้มผมขึ้นมาวางไว้ พอเห็นดวงตาที่สดใสและได้ยินน้ำเสียงที่ไม่แหบพร่าแม้แต่น้อยนั้นแล้ว ดูเหมือนพี่เขาน่าจะตื่นมาพักหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่ผมยังหลับอยู่ พี่เขาเลยจำเป็นต้องโอบเอวของผมเอาไว้อยู่นิ่งๆ ผมผล็อยหลับไปบนเตียงในท่าที่ถูกกอดจากข้างหลังโดยไม่รู้สึกตัวเลยรู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าจะรู้สึกขอบคุณที่พี่เขาเป็นห่วงเป็นใยกัน
ผมหยัดกายท่อนบนลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
“เมื่อวานพี่น่าจะดื่มหนักมากเลยนะครับ”
“ก็มีดื่มบ้างน่ะ แต่ถึงจะดื่มขนาดนั้นก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี”
พี่เขาชักแขนออกไปพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง ก่อนจะลูบศีรษะของผมราวกับเคยชินจนกลายเป็นนิสัย
“เอาเป็นว่าพี่จะไม่ดื่มหนักขนาดนั้นกลับมาอีกแล้ว วันแรกก็มีเรื่องให้ต้องขอโทษเลยแฮะ”
“ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีบ้างแหละครับ ผมเข้าใจ”
“นายนี่เหมือนคนแก่มากกว่าที่พี่คิดอีกนะ”
“บางทีคังจีซอกก็พูดแบบนั้นเหมือนกันครับ”
พี่จีกอนหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะก้าวขาลงจากเตียง เขาก้มลงมองเสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่ระหว่างหลับ จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าที่ผมถอดทิ้งไว้แล้วเดินไปที่ประตูโดยไม่วายหันกลับมาพูดทิ้งท้าย
“นายอยากกินอะไรเป็นมื้อเที่ยงไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้”
“ทำไมถึงเป็นมื้อเที่ยง แล้วมื้อเช้าล่ะครับ”
“พี่ไม่เคยกินมื้อเช้า ส่วนดีลิเวอรี่ก็ส่งแต่ช่วงเที่ยงด้วย”
“ช่างเถอะครับ ดีลิเวอรี่อะไรกัน นี่ผมตั้งใจจะทำอาหารให้เลยนะครับ เมื่อวานผมกับจีซอกไปซื้อของมาไว้แล้ว”
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดว่ามีเมนูร้อนๆ เมนูไหนที่พอจะแก้แฮงก์ได้ทันทีบ้าง ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะเห็นว่าเวลาเพิ่งเลยเจ็ดโมงเช้าไปได้ไม่นาน
ควรชอบใจหรือไม่ชอบใจกับเรื่องนี้ดีนะ?
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างทุกครั้งที่นอนกับพี่จีกอนหลังจากที่วงแหวนปรากฏขึ้น มันคือความรู้สึกพึงพอใจกับช่วงเวลาที่นอนหลับไปขณะได้สัมผัสเนื้อตัวกัน อาจเป็นเพราะนอนหลับไปโดยไม่ได้ฝันอะไรด้วยล่ะมั้ง ร่างกายเลยสดชื่นเหมือนได้หลับเต็มอิ่มมานาน ทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่ได้นอนหลับไปนานขนาดนั้น
เมื่อนับเวลาดูแล้วก็เท่ากับว่านอนไปได้ประมาณห้าชั่วโมง แต่เท่านี้ผมก็พอใจมากแล้วเพราะในหัวของผมตอนนี้ปลอดโปร่งและสดชื่นสุดๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยกว่าตอนที่แค่จับมือกันนอนเสียอีก
“อาบน้ำออกมาแล้วจะต้มอะไรที่พอแก้แฮงก์ได้ให้กินนะครับ”
พี่เขาหันมากะพริบตาให้ผมปริบๆ ผมมองเขาที่ส่งสายตาแทนคำถามพลางคิดว่าท่าทางนั้นช่างเหมือนกับคังจีซอกอย่างกับแกะ
“ต้องกินอะไรแก้แฮงก์สักหน่อยสิครับ วันนี้วันเสาร์ พี่คงไม่ออกไปทำงานหรอกนะ?”
“นายจะทำให้เองกับมือเลยเหรอ”
พอผมพยักหน้า หางตาของพี่เขาก็หรี่ลงเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกวักมือคล้ายกับจะเรียกให้ผมเข้าไปหา ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะของผมอย่างอ่อนโยน
“แล้วนายจะทำเมนูอะไร”
“ผมทำซุปถั่วงอกอร่อยนะครับ”
“แล้วนายรู้เหรอว่าข้าวหุงสำเร็จรูปอยู่ที่ไหน จีซอกได้บอกนายหรือยัง”
“ผมรู้แล้วครับ แต่เมื่อคืนก็ซื้อข้าวสารมาหุงเตรียมไว้แล้ว มันน่าจะดีกว่าข้าวหุงสำเร็จรูปนะครับ”
น้ำหนักมือที่ลูบศีรษะผมเหมือนจะแรงขึ้นเล็กน้อย ผมคงหัวเสียถ้าคนอื่นมาทำอะไรแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนที่ทำคือพี่จีกอนหรือเปล่า ผมเลยรู้สึกดีแปลกๆ
“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวออกมา ไหนโชว์ฝีมือของนายให้ดูหน่อยสิ อยากรู้จริงๆ ว่าที่เจ้าจีซอกอวยนักอวยหนาจะเป็นเรื่องจริงไหม”
“กินแล้วอย่ามาขอเพิ่มแล้วกันครับ เพราะผมจะต้มแค่ที่เดียวสำหรับแก้แฮงก์”
“จะให้พี่กินคนเดียวเหรอ เหงาแย่เลย”
ผมทำตัวไม่ถูกกับพี่จีกอนที่ทำหน้ามุ่ยพลางบอกว่าเหงา ก่อนจะขำพรืดออกมาเพราะใครเห็นก็ดูออกว่าพี่เขาแกล้งทำเลียนแบบคังจีซอก
“พี่รีบไปอาบน้ำเถอะครับ กลิ่นเหล้าหึ่งเลยเนี่ย”
ผมใช้สองมือดันแผ่นหลังกว้างของพี่จีกอนให้เดินไปทางประตู พี่เขาจึงหมุนลูกบิดประตูด้วยสีหน้าผ่อนคลายพร้อมกับบอกว่าจะรีบไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวออกมา แต่ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูที่เปิดกว้าง…
“ทำไมพี่ถึงออกมาจากห้องนั้นล่ะ”
ผมก็ได้เผชิญหน้ากับคังจีซอกที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องของตัวเองและกำลังมองพวกเราตาปริบๆ วินาทีนั้นผมตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะระหว่างมองเขาที่ขยี้ตาเหมือนยังงัวเงียอยู่
พี่จีกอนนิ่งสนิทต่างจากผมที่ตื่นตกใจอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในห้องนี้แล้ว”
“ดื่มเหล้าหนักอีกแล้วเหรอ ดื่มให้มันพอดีๆ หน่อยเถอะ”
จีซอกที่เดาะลิ้นอย่างหยอกเล่นยิ้มแฉ่งให้ผมที่ถูกบังไปครึ่งตัวอยู่ด้านหลังพี่จีกอน
“อูซอยา ข้าวฉันล่ะ”
ผมพลันหายเครียดเป็นปลิดทิ้งเพราะคำพูดที่ฟังดูสบายๆ ไม่ได้คิดอะไรของจีซอก แต่พี่จีกอนกลับตอบเขาแทนผมไปเป็นที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวนี้นายฝากท้องไว้กับอูซอเหรอ เมื่อก่อนไม่เห็นนายจะสนใจกินข้าวเช้าอะไรเลยนี่”
“ผมก็กินข้าวเช้าเป็นเหมือนกันแหละน่า ถ้างั้นพี่ก็อย่ากินดิ”
“คนที่จองตัวเด็กนี่เอาไว้ก่อนมันฉันต่างหาก”
พี่จีกอนปรายตามองจีซอกก่อนจะเดินหายเข้าห้องของตัวเองไป จีซอกเหลือบมองห้องของพี่ตัวเอง ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมด้วยรอยยิ้มแหยๆ ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
“นานมากแล้วที่พี่เขาไม่ได้ดื่มหนักจนภาพตัดไปแบบนี้ ดูท่าจะเมาจนจำห้องผิดน่ะ”
“คงงั้นล่ะมั้ง”
ผมแกล้งพูดราวกับไม่ได้คิดอะไรขณะใช้มือสางเส้นผมที่ยุ่งเหมือนรังนกกางเขนให้จีซอก
“นายไปหลับอีท่าไหนเนี่ย ผมถึงได้เป็นแบบนี้ อย่างกับรังนกแหนะ”
“ฉันฝันว่ามีลูกหมาหน้าเหมือนนายมานั่งอยู่บนหัวฉันน่ะสิ นี่มันความผิดนายชัดๆ! เฮ้ยๆ”
“ฝันเรื่องเพ้อเจ้อแล้วยังพูดจาเพ้อเจ้ออีกนะ หืม?”
ผมที่กำลังสางผมให้เขาอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไปทึ้งเส้นผมของเขาเพราะคำพูดไม่เข้าท่านั่น ถึงจะแค่ทึ้งเบาๆ ไม่ได้กะให้เจ็บอะไร แต่เขาก็สำออยไปเอง
ในระหว่างนั้นผมก็สบสายตากับพี่จีกอนที่เดินถือเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนออกมาจากห้องนอนผ่านลาดไหล่ของจีซอก เขามองพวกผมแวบหนึ่ง ก่อนจะตรงเข้าห้องน้ำไปในทันที
* การกินจาจังมยอนในวันย้ายบ้านเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีก่อน เนื่องจากการทำอาหารกินเองหลังจากย้ายบ้านใหม่เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะในการย้ายบ้านยังมีธุระอย่างอื่นที่ต้องจัดการมากมาย จึงจำต้องสั่งอาหารดีลิเวอรี่มากิน แต่ด้วยความที่ในสมัยนั้นอาหารดีลิเวอรี่ยังมีไม่มากนักและส่วนมากเป็นร้านอาหารจีน โดยจาจังมยอนเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากร้านอาหารจีนเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นอาหารที่ทำได้ไวที่สุด จึงนิยมสั่งมากินกันเพื่อความสะดวกสบาย แต่ความเชื่อนี้ก็ไม่เป็นที่นิยมแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารดีลิเวอรี่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น