everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 3.1 ถึง 3.3 #นิยายวาย
Chapter 3.3 ชินอูซอ
หลังจากที่เราสามคนนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ผมก็หยิบโน้ตบุ๊กออกมาจากห้องของตัวเองแล้วเปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ต ทันทีที่พิมพ์คำว่า ‘วงแหวน’ ในช่องค้นหา ข้อความที่ค้นหาก็ปรากฏขึ้นมารัวๆ
‘วงแหวน อาการนอนไม่หลับ’
‘วงแหวน การนอนหลับ’
‘วงแหวน อิทธิพล’
‘วงแหวน การปลดพันธะ’
ผมลองค้นคำว่า ‘วงแหวน การปลดพันธะ’ ในบรรดาข้อความเหล่านั้นอย่างที่เคยทำมาตลอด หัวข้อและเนื้อหาที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมา และส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนจากตัวอักษรสีน้ำเงินเป็นสีม่วงแทนเพื่อบอกว่าผมเคยเข้าไปอ่านมันมาแล้ว
ผมถอนหายใจขณะใช้สายตาสแกนเนื้อหาผ่านๆ
แต่ไม่ว่าจะอ่านยังไง เนื้อหาก็เหมือนกันหมด
เมื่อวงแหวนเชื่อมโยงกันแล้วก็จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับคู่แห่งแหวนไปตลอดชีวิต แต่หากต้องการจะปลดพันธะแห่งแหวนนี้ก็มีอยู่วิธีหนึ่ง…นั่นก็คือต้องฆ่าอีกฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต เมื่อนั้นวงแหวนก็จะหายไป
ด้วยเหตุนั้นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ค้นเจอจึงมีเนื้อหาที่ทั้งปลุกปั่นและน่ากลัวรวมอยู่ด้วย ซึ่งอันที่จริงก็มีบทความในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับอุทาหรณ์เรื่องการฆ่าอีกฝ่ายเพื่อปลดพันธะแห่งแหวนผ่านเข้าตาของผมเป็นระยะๆ
แม้ผมจะรู้ดีอยู่แล้วผ่านเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แต่ก็ยังอดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้เมื่อค้นอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการยกเลิกพันธะอย่างเด็ดขาดแล้วเจอแต่เนื้อหาเดิมๆ
ไม่มีวิธีจริงๆ สินะ?
มากกว่าความอึดอัดหรือความไม่ชอบใจในการต้องเกี่ยวพันและฝืนใช้ชีวิตกับคนอื่นที่คาดไม่ถึงนั้นคือการยอมรับที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆ คนอื่นอาจจะใช้คำพูดสวยหรูว่าเป็นโชคชะตาหรืออะไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าทุกคนที่เชื่อมโยงกันจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขโดยที่รักกันไปได้ตลอดชีวิต
ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัด ก่อนมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะจะสั่นครืดคราด
อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ ฉันไปยิมแป๊บนะ เดี๋ยวกลับมา
คังจีซอกส่งข้อความมา จะว่าไปแล้วเหมือนหมอนี่จะเคยบอกผมว่าตัวเองเข้ายิมทุกเช้าหรือเปล่านะ
พออ่านข้อความเสร็จก็มีเสียงดอร์ล็อกดังขึ้นจากประตูหน้าโถงทางเข้าทันที เขาคงเข้าใจว่าผมกำลังอ่านหนังสืออยู่เลยออกไปเงียบๆ เพราะไม่อยากรบกวน แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ น่าจะมาบอกด้วยตัวเองแล้วค่อยออกไปสิ
ผมก้มมองข้อความด้วยความรู้สึกเสียดาย ก่อนจะตอบไปว่าไปดีมาดี แต่แล้วจู่ๆ ผมก็หลุบตาลงต่ำแล้วไล่สายตามองหุ่นของตัวเอง
เราเองก็ไปยิมด้วยดีไหมเนี่ย
ผมนึกถึงคราวก่อนที่จีซอกอวดกล้ามหน้าท้องด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ถึงไขมันหรือกล้ามเนื้อในร่างกายของผมจะต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว แต่ถ้าผมเข้ายิมอย่างสม่ำเสมอบ้างก็น่าจะได้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ไปคนเดียวแต่ไปกับคังจีซอกล่ะก็…
ผมจินตนาการภาพคังจีซอกเวลากำลังออกกำลังกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวขึ้นมานิดๆ
ครืด…
ผมตกใจกับเสียงสั่นๆ นั้นเลยสลัดภาพของคังจีซอกออกไปจากหัว พอลูบหน้าอกที่เต้นโครมครามด้วยความตกใจพลางเช็กมือถือ ผมถึงได้เห็นว่าคราวนี้เป็นพี่จีกอนที่ส่งข้อความมา
อ่านหนังสืออยู่เหรอ
ผมพิมพ์ตอบกลับไปพลางคิดในใจว่าพี่น้องคู่นี่เหมือนกันจริงๆ
เปล่าครับ
งั้นอีกสิบวินาทีมาเปิดประตูให้หน่อย
ผมวางมือถือลงแล้วเปิดประตูตามข้อความของพี่เขา และผมก็ได้เห็นพี่จีกอนถือแก้วมัคสองใบเดินผ่านประตูเข้ามา คงเป็นเพราะเขาสวมเสื้อเชิ้ตคอกลมและกางเกงผ้าฝ้ายที่ดูลำลองกว่าสูท ภาพลักษณ์ของเขาเลยให้ความรู้สึกสุภาพนุ่มนวลกว่าปกติ
“รับไปแก้วนึงสิ”
พี่จีกอนยื่นแก้วมัคใส่อเมริกาโนร้อนเหมือนยื่นแก้วเหล้าให้ผม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้อง
“พี่ว่าจะคุยกับนายหน่อยระหว่างที่จีซอกไม่อยู่”
เขาพูดอย่างนั้น แต่กลับกวาดตามองไปทั่วห้องช้าๆ แทนที่จะเปิดประเด็นในทันที พี่จีกอนมองพิจารณาไปทั่วห้องราวกับซึมซับบรรยากาศพลางดื่มกาแฟ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่โน้ตบุ๊กของผม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของพี่เขากำลังจ้องมองหน้าจอที่มีการค้นหาคำว่า ‘แหวน การปลดพันธะ’ ปรากฏอยู่เลยรีบปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกเหมือนถูกจับได้ว่าทำเรื่องแย่ๆ ด้วย พี่เขาก็น่าจะค้นหาเกี่ยวกับการปลดพันธะแห่งแหวนอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็น่าจะเห็นเนื้อหาที่ต้องฆ่าอีกฝ่ายจึงจะปลดพันธะได้เหมือนกัน แล้วแบบนี้ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าได้อ่านเนื้อหาที่หม่นหมองนั่นอยู่คนเดียวล่ะ
บางทีอาจเป็นเพราะพี่เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องวงแหวนอย่างจริงจังกับผมเลยสักครั้ง
พอลองมาคิดดูแล้ว ผมเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเลยเหมือนกัน เพราะคนที่ปกปิดเรื่องวงแหวนและเป็นฝ่ายหลบหน้าก่อนก็คือผม ผมเลยไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรออกไป พอรู้แบบนี้แล้วผมน่าจะตบเท้าเข้าไปถามเขาตรงๆ ตั้งแต่วันที่แหวนปรากฏเสียดีกว่าว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
หลังจากเห็นวงแหวนของกันและกันแล้ว พอเจอหน้ากันทีไร เราต่างก็มัวแต่สนใจอยู่กับการนอนหลับหลังจากไม่ได้นอนมานาน พอได้จับมือกันทีก็หลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้ามืดแล้ว หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ในบรรดาคนที่มีวงแหวนเชื่อมกันมีคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตในลักษณะนี้ เราก็แค่ใช้ชีวิตไปในทิศทางเหล่านั้นก็เท่านั้นเอง
พี่จีกอนที่ละสายตามาจากโน้ตบุ๊กดูไม่ได้ยี่หระอะไรต่างไปจากที่เคยคิด
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เองก็หามานับไม่ถ้วนแล้วเหมือนกัน”
พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องหาข้อมูลกันเป็นธรรมดา ยิ่งเรื่องนี้เชื่อมโยงกับเพื่อนของน้องชายแท้ๆ ของตัวเองยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะอึดอัดใจ แต่พี่เขาก็คงจะหาวิธีปลดพันธะอย่างขะมักเขม้นน่าดู
“นายเองก็คงจะรู้แล้วสินะว่าไม่มีวิธีปลดพันธะแห่งแหวน”
พอได้ยินจากปากของพี่เขาตรงๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าบางอย่างในใจมันหนักอึ้งขึ้น
ไม่ว่าจะค้นหาคำเดิมๆ อีกกี่ครั้ง สุดท้ายคำตอบก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมลองค้นหาอีกครั้งราวกับเป็นระบบกลไกอัตโนมัติ ราวกับในใจไม่ยอมรับเรื่องนั้น แต่ก็พบว่าไม่มีวิธีที่จะปลดพันธะแห่งแหวนนี่จริงๆ อย่างที่พี่เขาพูด
ตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกยอมรับมันขึ้นมาเล็กน้อย
วงแหวนสีแดงบนนิ้วนางข้างซ้ายที่เหมือนกับของพี่จีกอนดูเด่นชัดเป็นพิเศษในวันนี้
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่โดยปราศจากคำพูดใดด้วยความปั่นป่วนแล้วนั่งลงตรงขอบเตียง ก่อนจะดื่มอเมริกาโนเพื่อสงบความคิดในหัวที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องแหวน รสชาติขมที่อุ่นร้อนถูกเติมเต็มเข้ามาภายในช่องท้องจนรู้สึกราวกับถูกแผดเผา
ผมนั่งประจันหน้ากับพี่เขาที่ลากเก้าอี้ตรงโต๊ะมาวางตรงหน้าผมพลางคิดในใจว่ามันใกล้กันเกินไปแล้ว ใกล้กันจนต้นขาที่แข็งแรงของพี่เขาเกือบจะเสียบเข้ามาในหว่างขาของผม
“เราอาจตายได้ถ้าใช้ชีวิตโดยไม่ใส่ใจเรื่องอิทธิพลของแหวน เพราะอย่างนั้นในอนาคตต่อจากนี้เราควรตัดสินใจทำอะไรกันหน่อยไหม”
ผมอดที่จะเห็นด้วยกับคำพูดของเขาไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่าจะอดทนไปก่อน แต่ก็ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าการที่คนเรานอนไม่หลับนั้นมันเหมือนกับการตกนรกขนาดไหน
ด้วยเหตุนั้นผมจึงเสพติดการนอนกับพี่เขามากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อจับมือกันการหลับใหลที่ผมเฝ้าปรารถนาก็จะถาโถมเข้ามาสู่ร่างกายราวกับละอองฝนที่เบาสบาย หากจะนิยามความรู้สึกนั้นด้วยคำว่า ‘ความลุ่มหลง’ เห็นทีก็คงจะไม่เกินจริง
ในหัวของผมเริ่มสับสนวุ่นวายไปหมด ผมคงสิ้นหวังหากมันอัดแน่นไปด้วยเรื่องแย่ๆ ทว่าพอได้สัมผัสกับการนอนหลับที่เหนือชั้นเพียงแค่ได้สัมผัสกายกัน ความรู้สึกที่อยากปลดพันธะนี้ออกไปอยู่ตลอดก็พลอยเบาบางลง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดอยากจะกำจัดมันออกไปถ้าหากพอจะมีวิถีทาง แต่ไม่ว่าจะหาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่มีวิธีในการปลดพันธะนั้นเลยจนผมเริ่มถอดใจ
ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังชอบคังจีซอก ผมไม่เคยวาดฝันถึงภาพอนาคตที่ตัวเองคบหาหรือแต่งงานกับคนอื่นเลย อาจเป็นอิทธิพลจากพ่อแม่ที่ทำงานยุ่ง แต่ก็ยังสามารถรักษากรอบของชีวิตคู่เอาไว้ได้เพราะใส่ใจสายตาของผู้คนรอบข้าง
หากตัดเรื่องค่านิยมเดียวกันนี้ออกไป พี่จีกอนเองก็คงไม่คิดถึงอนาคตที่จะมีร่วมกับผมเหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูรีบร้อนพาผมมาอยู่ที่คอนโดฯ แห่งนี้ก็ตามที
ผมใช้หัวคิดไม่หยุดโดยกำลังคิดไปเรื่อยๆ และในตอนนั้นเองพี่เขาก็พูดแทรกขึ้นมา
“นายคิดจะทำอะไรต่อจากนี้”
“พูดตามตรงนะครับ…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สิ่งที่ทำได้อย่างมากที่สุดตอนนี้คือการอยู่ด้วยกัน แต่หลังจากนี้ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ผมก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เลยรู้สึกเหมือนกับว่ามีตะกอนบางอย่างตกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
“ได้ยินว่านายยังไม่มีแฟน พี่เข้าใจถูกใช่ไหม”
ผมกำลังจะตอบคำถามที่พี่เขาถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่พี่เขากลับชิงพูดขึ้นมาก่อนเสียอย่างนั้น
“นายกำลังแอบชอบจีซอกอยู่นี่เนอะ คงไม่มีทางที่นายจะมีใครหรอก”
“ครับ แต่ว่า…”
พอตอบไปก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่รู้อยู่แล้ว…เหรอครับ”
ผมไม่เคยบอกพี่เขา…ไม่สิ แต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เคยแม้แต่จะปริปากบอกใครทั้งนั้น
ดวงตาของพี่จีกอนที่จิบกาแฟไปอึกหนึ่งหยียิ้มอย่างอ่อนโยนจนทำให้ผมนึกถึงจีซอก
“รู้สิ นายเสียอาการซะขนาดนั้น”
ถึงจะเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองเคยเสียอาการไหม แต่ผมก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเคยแสดงอาการแบบนั้นออกไปจริงๆ ถึงอย่างนั้นสายตาของพี่จีกอนก็ยังเต็มไปด้วยความชัดเจนเกินกว่าจะบอกปัดไปว่าไม่ใช่แบบนั้น
ผมก้มหน้างุดราวกับคนที่ทำเรื่องผิดบาป ถึงจะมองไม่เห็นสีหน้าของตัวเอง แต่มันก็น่าจะหม่นหมองไม่ต่างจากกาแฟที่ถืออยู่ในมือ ความรู้สึกละอายใจที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มพูดจากตรงไหนตีรวนขึ้นมาจุกอยู่ในอก มันขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นกระหน่ำเหมือนกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดีมา
“พี่ไม่ได้จะว่าอะไร เงยหน้าขึ้นเถอะ”
ทั้งที่รู้ว่าผมชอบคังจีซอก แต่พี่เขาก็ยังทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“จริงๆ แล้วพี่คิดว่าโชคดีเสียอีกที่นายชอบจีซอก”
“…ครับ?”
ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ผมไม่เข้าใจนั้น ก่อนจะเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีดำของพี่จีกอนที่มองเห็นจากในระยะใกล้ได้อย่างชัดเจน
“พี่เป็นคนที่ต่อให้คบใครก็ไม่คิดจะแต่งงาน แล้วก็ไม่เคยคิดจะคบกับใครตั้งแต่แรกด้วย”
ผมเอียงคออย่างฉงนทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ตามที่ได้ฟังมาจากคังจีซอกเมื่อสองสามวันก่อนก่อนที่วงแหวนจะเชื่อมกัน เขาบอกว่าพี่จีกอนมีแฟนหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ดูเข้ากันได้ดีอยู่ด้วย ทว่าตอนนี้พี่เขากลับพูดเหมือนตัวเองไม่เคยมีคนรักเสียอย่างนั้น
“ผมได้ยินจากคังจีซอกว่าพี่มีแฟนที่เด็กกว่า…”
“อืม เคยมี แต่เลิกกันแล้ว”
“เมื่อไหร่เหรอครับ”
“เมื่อรู้ว่านายคือคู่ของพี่”
ทั้งที่พี่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน แต่ทำไมผมถึงได้เข้าใจยากนักนะ เหมือนเขากำลังต้องการจะบอกว่าตัวเองเลิกกับแฟนเพราะผมเป็นคู่แห่งแหวน ถึงแม้ว่าจำเป็นจะต้องสะสางความสัมพันธ์นั้นอย่างช่วยไม่ได้เพราะเรื่องของแหวนจริงๆ ก็ตามที
“ไม่สิ…จะยังไงก็เถอะ แต่ถึงขั้นเลิกกันนี่มัน…”
“พี่ต้องนอนกับคนที่มีวงแหวนเชื่อมกันทุกวัน นายคิดว่าพี่จะสามารถคบใครต่อโดยขอให้อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างนั้นเหรอ สู้พี่ขอเป็นคนเลวฝ่ายเดียวแล้วสะสางกันให้มันจบๆ ไปซะยังจะดีกว่า”
ผมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกผิดกับคนรักของพี่เขาที่ไม่เคยรู้จักกันแม้แต่ใบหน้าและชื่ออย่างบอกไม่ถูก ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงจะจบลงเพราะผมเข้ามาแทรกตรงกลางอย่างไม่คาดคิด ความรู้สึกผิดอีกหนึ่งข้อเลยกระแทกเข้ามาในอกของผมอย่างจัง
มือของพี่จีกอนลูบศีรษะของผมอย่างอ่อนโยนราวกับอ่านความรู้สึกของผมออก
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ยังไงก็คิดจะเลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้ในหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว โชคดีเสียอีกที่ใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างช่วยจัดการได้”
คำพูดของพี่จีกอนช่วยทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่สามารถปลดเปลื้องความหนักอึ้งภายในใจทั้งหมดได้ ในขณะที่ผมกำลังหลุบตาต่ำลง พี่เขาก็รวบมือของผมเอาไว้แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“คิดซะว่าเราทำสัญญาแลกเปลี่ยนกันอย่างสบายๆ ก็แล้วกัน”
“สัญญา?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็สะดุดเข้ากับดวงตาที่หยียิ้มลงเหมือนคังจีซอก
“ในสายตาของนายพี่ดูเป็นยังไง พอพี่ยิ้มแบบนี้แล้วเหมือนจีซอกมากเลยนายว่าไหม”
“ก็ไม่ถึงขั้นเหมือนกันเป๊ะๆ หรอกครับ แต่ถ้ามองเผินๆ ก็นึกว่าเป็นคังจีซอกจริงๆ นั่นแหละ”
รูปลักษณ์ภายนอกของพี่เขาเหมือนกับคังจีซอกมาก ต่างจากบรรยากาศก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างฉีกกันไปคนละแนว คังจีซอกมีใบหน้ายิ้มแย้มกระทั่งตอนอยู่นิ่งๆ ราวกับมีวิญญาณที่หัวเราะจนตายมาสิงร่าง น้ำเสียงเองก็สดใสชวนให้คนฟังเคลิ้มตามยิ่งขึ้นไปอีก แถมรอยยิ้มของเจ้าตัวก็ดูใสซื่อจนให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย อีกทั้งยังเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นมากจนถูกมองว่าเป็นคนหัวอ่อนอยู่บ่อยครั้งด้วยเช่นกัน
กลับกันแล้วเวลาที่พี่จีกอนยิ้มก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลาไม่ยิ้มนั้นดวงตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยกับน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาจะให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและหนักแน่นกว่าประมาณหนึ่งเมื่อเทียบกับจีซอก ถ้ามันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่บรรยากาศของเขากลับชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกจนผมไม่กล้าชวนคุยด้วยสักคำ และนั่นเป็นเหตุผลที่ตอนก้าวขาเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งแรกผมจึงไม่กล้าพูดอะไรกับพี่จีกอนทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เนื่องจากบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้สองพี่น้องจะรูปร่างไล่เลี่ยกันและมีใบหน้าคล้ายกันราวกับฝาแฝด แต่ผมก็สามารถแยกทั้งสองคนออกได้อย่างง่ายดาย หากจะพูดอีกนัยหนึ่งคงต้องบอกว่าถ้าเกิดพวกเขาทั้งคู่ปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของกันและกันอีกสักหน่อยแล้วลองให้ผมมองแค่ผิวเผิน ผมก็คงแยกออกได้ยากว่าใครเป็นใคร ซึ่งก็เหมือนกับสิ่งที่พี่จีกอนกำลังทำอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้
พี่จีกอนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่อ่อนโยนราวกับเลียนแบบคังจีซอก
“คิดให้ดีนะ อูซอยา พี่อาจจะพูดแทงใจดำนายไปสักหน่อย แต่จีซอกไม่มีวันยอมรับความรู้สึกของนายหรอก”
หัวใจของผมพลันดิ่งวูบลงพร้อมกับเสียงดังตุบ
ต่อให้พี่จีกอนไม่พูดผมเองก็รู้ดี เพราะแบบนั้นผมถึงได้เลือกที่จะปิดปากสนิทและตั้งใจอยู่เคียงข้างเขาในฐานะเพื่อนมาจนถึงตอนนี้
ผมรู้ดีอยู่แล้ว แต่ทั้งๆ ที่พอจะรู้ดีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นหัวใจมันก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างช่วยไม่ได้
ภายในปากของผมรู้สึกขมราวกับสิ่งที่กลืนลงไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่อเมริกาโนแต่เป็นเอสเพรสโซ การที่พี่จีกอนพูดแบบนั้นราวกับพยายามทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจและตอกย้ำผมกลายๆ
ดูเหมือนว่าผมจะเผลอขบกัดริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว พี่จีกอนเลยยื่นนิ้วโป้งมาแตะริมฝีปากล่างของผม ก่อนจะถอนนิ้วออกไปเบาๆ
“เพราะอย่างนั้นนายก็ใช้พี่ซะสิ”
ผมหลุบตาลงค้างอยู่อย่างนั้นเพื่อปกปิดนัยน์ตาที่สั่นไหวของตัวเอง แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ผมก็ชายตาขึ้นมาโดยไม่ทันได้ควบคุมตัวเอง สิ่งที่ผมเห็นผ่านดวงตาทั้งสองข้างคือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยที่ชวนให้นึกถึงคังจีซอก
“พี่เลียนแบบเป็นจีซอกเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่นายต้องการ”
…เหมือนอย่างตอนนี้
คำพูดที่ไม่ได้หลุดออกมาจากปากของพี่เขาตรงๆ ดังก้องอยู่ในหัวของผม
“สิ่งที่พี่ต้องการคือการนอนหลับสนิทให้มากพอเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับหน้าที่การงานของพี่”
พี่จีกอนวางสองมือลงบนต้นขาข้างซ้ายและข้างขวาของผมพร้อมกับถ่ายน้ำหนักลงมาเล็กน้อยราวกับกดดันกัน
“พี่จะหาวิธีปลดพันธะแห่งแหวนไปเรื่อยๆ เราก็แค่อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปจนถึงตอนนั้น ตกลงไหม”
ผมพูดอะไรไม่ออกและทำได้เพียงแค่จ้องมองดวงตาของพี่เขาอยู่พักใหญ่
“อึบบบ…!”
หลังจากบิดขี้เกียจยาวๆ จีซอกก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะหนังสือในท่านั่ง พอเห็นว่าหนังสือวิชาเอกที่กางอยู่ใต้ตัวยับและทำท่าเหมือนจะฉีกขาด ผมก็รีบยกแขนของเขาขึ้นแล้วใช้มือคลี่กระดาษออกให้ทีละหน้า
“เหลือเวลาสองชั่วโมง ทำอะไรกันดี”
นับจากตอนนี้มีเวลาว่างอีกยาวกว่าจะถึงคลาสถัดไป พอยื่นหนังสือวิชาเอกที่คลี่อย่างเรียบร้อยให้ คังจีซอกที่ตัวอ่อนเปลี้ยก็รับหนังสือไปพลางตอบอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“ถ้ากลับบ้านต้องหลับเป็นตายแน่ เราไปห้องชมรมกันเถอะ”
“ไปที่นั่นแล้วจะไม่นอน?”
“นอนสิ แต่อย่างน้อยก็มีนายช่วยปลุกไง…อ้อ จริงสิ ลืมไปเลยว่ายังไงเราก็อยู่ด้วยกันอยู่ดี”
หัวใจของผมรู้สึกคันยุบยิบกับคำพูดที่จีซอกพูดออกมาอย่างสบายๆ พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มแห้งๆ ของเขาแล้ว ผมก็รู้สึกแปลกใหม่กับความจริงที่ว่าเราอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันมาสามวันแล้ว
ถึงคอนโดฯ จะอยู่ใกล้ แต่ผมก็ขี้เกียจเกินกว่าจะกลับไป เช้าวันนี้ผมเลยถือโอกาสไปห้องชมรมที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจเช็กและเรียบเรียงข้อมูลที่หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มส่งมาให้ล่วงหน้า
“ช่วงนี้ไม่เห็นนายไปทำงานพิเศษเลย ลาออกแล้วเหรอ”
ระหว่างทางจีซอกก็ถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมอาศัยอยู่กับพี่จีกอนที่รับบทเป็นเจ้าของร้านที่ผมทำงานพิเศษอยู่แล้วเลยไม่จำเป็นต้องปลีกเวลาออกไปทำงาน ทั้งที่ช่วงนี้ผมก็ตัวติดกับหมอนี่อยู่ที่บ้านตลอด แต่หมอนี่เพิ่งจะมาคิดได้แล้วถามเอาป่านนี้ สมองเร็วจริงเชียว
“อืม งานไม่เหมาะกับฉันน่ะ”
“คิดดีแล้วล่ะ การบ้านท่วมหัวจนแทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว นายยังจะหาเรื่องทำงานพิเศษอีก แบบนี้ร่างกายได้พังหมดพอดี”
ถึงเขาจะพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ผมก็รู้สึกดีกับคำพูดเหล่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเป็นห่วงเป็นใยผม พอผมหลุดหัวเราะแล้วบอกว่า ‘ฉันไม่อยากฟังคำนั้นจากคนที่นอนซมเพราะไข้หวัดเมื่อไม่กี่วันก่อนหรอกนะ’ เขาก็โอดครวญและบ่นพึมพำว่าผมแซวแรงเกินไปแล้ว
“แต่ถึงอย่างนั้นก็โชคดีแล้วล่ะ ทั้งนายแล้วก็พี่จีกอนสีหน้าไม่สู้ดีกันทั้งคู่ ฉันนี่เป็นห่วงแย่เลย”
จีซอกที่พูดถึงพี่จีกอนพลันหยุดชะงัก จู่ๆ เขาก็คว้าแขนของผมไปพลิกดูก่อนจะเอาปากมาแนบข้างหูของผม เสียงกระซิบของเขาดังลอดเข้ามาผ่านใบหูของผม ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งโหยงและตัวแข็งค้าง
“ก็คราวก่อนที่ฉันบอกว่าพี่ฉันมีวงแหวนนั่นไง ตอนแรกพี่ฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เห็นว่าเหมือนจะเจอแล้วนะ”
แขนที่ถูกจีซอกกำอยู่และใบหูที่มีน้ำเสียงของเขาลอดผ่านพลันแข็งทื่อ หวังว่าเขาคงไม่เอะใจว่าอีกฝ่ายเป็นผมหรอกนะ
ผมแสร้งตีหน้าซื่อถามกลับไปว่าเขาคนนั้นคือใคร แต่โชคดีที่จีซอกเดาตัวอีกฝ่ายไม่ถูก
“หลังเสร็จงานพี่ชอบไปนอนข้างนอกก่อนแป๊บนึงแล้วกลับมาบ้าน ฉันเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครน่ะสิ”
ช่วงเวลาที่จีซอกคาดเดาไปต่างๆ นานา พี่จีกอนก็จงใจออกไปทำงานข้างนอกทั้งที่ไม่ได้มีงานอะไรก่อนกลับมาที่คอนโดฯ เป็นประจำ เขาจำต้องทำแบบนั้นเพื่อให้คังจีซอกที่รู้ความจริงว่าพี่ชายมีวงแหวนคิดว่า ‘พี่ไปนอนกับคู่แห่งแหวนก่อนกลับมานี่เอง’ และเพื่อช่วยไม่ให้จีซอกระแคะระคายโดยใช่เหตุ สุดท้ายเขาจึงกลับมาหลับเป็นตายที่คอนโดฯ ในตอนดึกได้อย่างไร้กังวล
คังจีซอกที่กำลังคาดคิดไปตามที่พี่จีกอนตั้งใจเอาไว้กำลังมีสีหน้าเป็นกังวลปนสนอกสนใจ
“จะเป็นอะไรไหมนะ ได้ยินว่าเขาเลิกกับคนรักเพราะวงแหวนนั่น ถ้าเป็นแบบนี้คนที่พี่จะแต่งงานด้วยก็คงเป็นคู่แห่งแหวน!”
“ย้าก!”
จีซอกที่กำลังพูดไม่หยุดปากสะดุ้งโหยงให้กับเสียงร้องดังลั่นและน้ำหนักที่กดทับลงมาบนไหล่ทั้งสองข้างอย่างกะทันหัน ผมเองก็พลอยตกใจไปด้วยเลยหันไปมองด้านหลังของจีซอก ก่อนจะเห็นผู้หญิงตัวเล็กที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกกำลังเกาะหลังของเขาอยู่ สายตาของคังจีซอกที่หันไปมองเธอแลดูเป็นประกายลิงโลดแปลกๆ
เธอที่สบตากับผมยิ้มร่า ก่อนจะเอ่ยคำทักทายอย่างร่าเริง
“ไง รุ่นน้อง!”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างจากคังจีซอก จีซอกที่ดูท่าจะรู้จักเธอดีทำสีหน้าสดใสขึ้นมาฉับพลันต่างจากผมที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
“โห พี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!”
“ก็เจอกันแล้วนี่ไง”
เธอที่เขย่งเท้าและโน้มตัวจากข้างหลังมาเพื่อลูบศีรษะของจีซอกก็มองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายเช่นกัน
“ไม่ได้เจอกันหลายปี ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะนายเนี่ย”
“ตอนที่พี่เจอผมครั้งล่าสุด ผมว่าผมก็สูงอยู่นะครับ”
“อะไรกัน แต่ตอนนั้นฉันยังลูบหัวนายได้โดยไม่ต้องเขย่งเท้าเลยนะ”
แค่ได้ฟังบทสนทนาสั้นๆ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานาน พอผมถามจีซอกผ่านสายตาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็แนะนำผู้หญิงคนนั้นให้ผมรู้จักด้วยสีหน้าที่สุดแสนจะยินดี
“พี่คนนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมหา’ลัยของพี่จีกอนน่ะ แล้วก็เป็นรุ่นพี่ของพวกเราด้วย”
จะว่าไปแล้วพี่จีกอนเองก็เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้มาก่อน พวกผมกำลังเดินตามรอยพี่เขาไปติดๆ ตั้งแต่ภาควิชายันชมรม
เมื่อได้ยินคำว่า ‘รุ่นพี่’ ผมก็โค้งศีรษะทักทายเบาๆ คราวนี้พี่ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายหันมากวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“พี่ชื่อฮันมินอานะ ว่าแต่นายเป็นเพื่อนของจีซอกเหรอ”
“ครับ”
“อ๋า…”
ดวงตาของเธอฉายแววคมกริบขึ้นมาแวบหนึ่ง เสี้ยววินาทีนั้นผมกำลังสงสัยว่าเมื่อครู่ผมเข้าใจแววตานั้นผิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่มั่นใจ เพราะพอจีซอกเอ่ยเรียกเธอก็หันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าสดใสเสียก่อน
“แล้วนี่พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ได้ยินว่าพี่ไปเรียนต่อต่างประเทศทันทีที่จบมหา’ลัยนี่”
“กลับมาเมื่อสองสามวันก่อนน่ะ ไปอยู่มาตั้งหกปีแหนะกว่าจะได้กลับมา”
ทั้งที่ผมตัวติดกับคังจีซอกขนาดนั้น แต่ผมกลับไม่เคยเห็นหน้าเธอเลยสักครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหกปีก่อนตอนที่ผมอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งแล้วเอาพี่จีกอนมาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ เธอก็น่าจะไปต่างประเทศในช่วงที่พี่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งช่วงนั้นผมเองก็เริ่มสนิทกับคังจีซอกและดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันพอดี
และในวินาทีที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองอาจจะไม่รู้จักเธอเพราะเหตุนั้น วงแขนของเธอก็โอบรอบแขนของจีซอกไว้ราวกับคุ้นเคยกันดี
“ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนจีกอนอย่างกับแกะจริงๆ เลยนะนายเนี่ย ไม่สิ จีซอกของฉันน่าจะดูดีกว่านิดหน่อยหรือเปล่านะ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ของฉัน’ ผมก็พลันรู้สึกเหมือนกับว่ามีก้อนหินเล็กๆ จุกอยู่ในลำคอ ขณะเดียวกันจีซอกก็ยังยืนบื้อยิ้มอยู่อย่างนั้นด้วยหน้าตาที่ดูชื่นมื่นกว่าปกติอย่างบอกไม่ถูก
“เรื่องนี้มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วสิครับพี่ ตอนนี้พี่ผมกลายเป็นตาลุงไปแล้วนี่นา เด็กหนุ่มเอ๊าะๆ อย่างผมยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ”
“ถ้าอย่างจีกอนนายเรียกลุง อย่างฉันนายก็ต้องเรียกป้าด้วยหรือเปล่า”
“โธ่ สำหรับพี่สาวคนนี้ผมถือเป็นข้อยกเว้นครับ ว่าแต่พี่ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศยังไงถึงได้ไม่เปลี่ยนไปเลยครับเนี่ย บอกว่าเป็นเด็กใหม่ผมก็เชื่อนะ”
“ปากหวานจริงนะนายเนี่ย แต่ยังไงก็รู้สึกดีที่ได้ยินคำชมล่ะนะ นี่…”
พอได้ฟังบทสนทนาที่ไหลลื่นของคนทั้งคู่แล้ว ผมก็รู้สึกเป็นส่วนเกินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหนึ่งที่รู้สึกแบบนั้นอาจเป็นเพราะการที่เธอใช้วงแขนสองข้างโอบรอบแขนของจีซอกอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนัยน์ตาของจีซอกที่มองเธอเองก็ยังดูตื่นเต้นมากจนผมรู้สึกว้าวุ่นใจแปลกๆ
เธอดึงแขนของจีซอกแล้วเดินนำเราไปทางห้องชมรม
“…ว่าแต่ห้องชมรมเรายังเหมือนเดิมไหม เห็นจีกอนบอกว่ามีสมาชิกเยอะเลยนี่”
“หืม? นี่พี่โทรคุยกับพี่ผมแล้วเหรอ”
“อืม เพื่อนเกาหลีที่ยังติดต่อกันอยู่เห็นทีก็คงจะมีแต่จีกอนนี่แหละ”
พอเห็นพี่มินอาลากจีซอกไปอย่างกระตือรือร้นแล้ว ผมก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาหน่อยๆ ทั้งที่เธอเองก็สมควรที่จะยินดีด้วยรู้จักกับจีซอกมานาน แต่ผมที่เป็นฝ่ายจ้องมองกลับอดที่จะรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ ภาพของเธอที่โอบวงแขนทั้งสองข้างรอบท่อนแขนของจีซอกราวกับจะกอดรัดเขาเอาไว้ทั้งตัวนั้นรบกวนจิตใจผมเอามากๆ
ห้องชมรมที่ผมกับจีซอกกำลังจะไปอยู่ในตึกเดียวกับที่พี่มินอาจำได้ แต่ด้วยจำนวนสมาชิกที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อหกปีก่อน ห้องชมรมเลยมีการย้ายไปยังห้องที่ใหญ่ขึ้นมาได้สองปีแล้ว พี่มินอาตื่นเต้นที่ได้เห็นห้องชมรมใหม่ที่กว้างขวาง และเดินไล่ทักทายนักศึกษาสองสามคนที่อยู่ในนั้นอย่างร่าเริง
ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินจีซอกอธิบายเกี่ยวกับพี่มินอาเพิ่มเติม
จีซอกเล่าว่าเธอต่อสู้เพื่อแย่งชิงอันดับหนึ่งกับพี่จีกอนทุกครั้ง และถึงจะบอกว่าสู้กัน แต่ความจริงแล้วทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทที่ต่อล้อต่อเถียงกันบ่อยๆ ทั้งสองสนิทกันตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย เธอจึงรู้จักกับพี่จียอนและจีซอกไปโดยปริยาย เรียกได้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เกือบสิบปีก่อนแล้ว พี่มินอาเป็นคนสดใสร่าเริง เข้ากับใครได้ในทันทีโดยไม่ตื่นคน แถมจีซอกยังบอกอีกว่าตั้งแต่ตอนนั้นมาเธอก็รักและเอ็นดูจีซอกเหมือนเป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด
หลังจากได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นประกอบกับที่เห็นจีซอกตื่นเต้นแปลกๆ แล้ว ผมก็เพิ่งมาตระหนักเอาได้ในตอนนั้น
‘ฉันชอบผู้หญิงสดใสร่าเริงตัวเล็กๆ ที่มุดเข้าอ้อมกอดได้ ยิ่งอายุมากกว่ายิ่งชอบ’
นั่นคือคำตอบของจีซอกเกี่ยวกับสเป็กที่ผมเคยถามออกไปด้วยความคาดหวังอันน้อยนิด หลังจากได้ยินคำตอบนั้น ผมที่ไม่มีข้อไหนที่ตรงกับสเป็กของเขาเลยแม้แต่น้อยก็เริ่มเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ในส่วนลึกของหัวใจอย่างขมขื่น แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว…
พี่มินอาสินะ
คังจีซอกในวัยมัธยมปลายพูดถึงสเป็กออกมาอย่างไม่ลังเลด้วยใบหน้าที่คล้ายกับกำลังคิดถึงใครบางคน ที่แท้ในหัวใจของเขาก็มีพี่มินอาอยู่แล้ว หลังจากรู้เรื่องนั้นซอกมุมหนึ่งในหัวใจของผมก็รู้สึกวูบโหวงราวกับมีรูกลวงโบ๋
มุมปากของผมพลันแข็งทื่อพร้อมกับขอบตาที่กระตุกไปเอง ผมเบือนหน้าหนีเล็กน้อยก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลอบลูบใบหน้าโดยไม่ให้จีซอกสังเกตเห็น และในตอนนั้นเองพี่มินอาที่เดินมาทางผมก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของจีซอกในระยะประชิด
“จีซอกอา วันนี้ฉันมีธุระต้องไปช็อปปิ้งสักหน่อย นายช่วยไปด้วยกันหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ…พอดีผมมีเรียนอีกคลาสนึงน่ะครับ”
“ฉันรออยู่ที่นี่ก็ได้ เรียนเสร็จแล้วไปด้วยกันนะโอเคไหม”
พอเธอยิ้มร่าด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกาย ฉับพลันใบหน้าของจีซอกก็ฉายแววโอนอ่อนลง ถึงเขาจะเป็นคนที่ขี้ใจอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะไม่ชอบใจสีหน้านั้นมากเป็นพิเศษ
ปฏิเสธ ปฏิเสธไปสิ คังจีซอก
ผมกดดันเขาในใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยากที่จะถ่ายทอดแรงกดดันนั้นออกไปเพราะกำลังอยู่ในสายตาของคนรอบข้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงพูดวนในใจซ้ำๆ ว่า ‘ปฏิเสธไปสิ’
ระหว่างทางกลับคอนโดฯ หลังจบคลาส พวกผมมีแพลนว่าจะแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำซุปเนื้อหัวไช้เท้าตามที่คังจีซอกร้องขอ แล้วก็ต้องซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนไฟตรงระเบียงที่กะพริบถี่ๆ ราวกับจวนจะดับเต็มทีนั่นด้วย แถมหลังจากกินข้าวเสร็จก็ต้องมัดถุงขยะรีไซเคิลแล้วยกไปไว้ข้างนอก จากนั้นผมก็ต้องเป็นคู่ซ้อมในการนำเสนองานของคังจีซอกเพราะเขารับหน้าที่เป็นคนนำเสนองานกลุ่ม
ในเมื่อวันนี้เรายุ่งกันขนาดนั้น จึงไม่มีทางที่คังจีซอกจะรับคำขอของพี่มินอาหรอก
“ก็ได้ครับ”
คำพูดที่ออกจากปากของคังจีซอกไม่ใช่คำที่ผมต้องการ แต่เป็นคำพูดตอบรับที่ฟังดูเหมือนเจ้าตัวยินดีโดยไม่ได้ติดใจอะไรเลย
จีซอกหันมาส่งสายตาให้ผม จนถึงตอนนั้นผมก็ยังนึกว่าเขาจะพูดว่า ‘เราไปด้วยกันเถอะ’
“อูซอยา วันนี้เรียนเสร็จแล้วนายเข้าบ้านไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวกลับเมื่อไหร่ฉันจะทักไป”
ทั้งที่ผมควรเปิดปากตอบกลับไปว่าเข้าใจแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมริมฝีปากทั้งส่วนบนและส่วนล่างถึงได้ยังไม่ยอมแยกออกจากกัน ผมรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินก้อนเล็กๆ ที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นมาจากหนึ่งเป็นสองสามก้อน และมันก็กำลังจุกอยู่ในลำคอของผม
ก่อนจะทันได้ตอบอะไร พี่มินอาก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเบิกตากว้าง
“อะไรกัน นี่พวกนายอยู่ด้วยกันเหรอ คงอยู่หอพักสินะ?”
“เปล่าครับ เขาอยู่กับผมแล้วก็พี่จีกอน รวมกันเป็นสามคนน่ะครับ”
“จริงเหรอ สุดยอด! เอ ถ้างั้นก็เรียกจีกอนมาด้วยสิ”
พอพี่มินอาพูดอย่างระริกระรี้ จีซอกก็ทำสีหน้าลำบากใจ
“พี่คงมาไม่ได้หรอกครับ ช่วงนี้เห็นทำงานดึกทุกวันเลย”
จีซอกเลี่ยงตอบด้วยรอยยิ้มว่าพี่ทำงานดึกแทนที่จะพูดถึงเรื่องแหวน
“เอาเป็นว่าผมจะรับหน้าที่พาพี่ไปช็อปปิ้งเองครับ!”
“ดีเลย คุณรุ่นน้อง! ถ้ามีอะไรให้ช่วยเป็นการตอบแทนล่ะก็บอกมาได้เลยนะ”
“ถ้างั้นพี่ช่วยดูเนื้อหางานกลุ่มของพวกเราหน่อยได้ไหมครับ งานกลุ่มครั้งนี้ยุ่งยากนิดหน่อยน่ะครับ…”
“พอบอกว่าจะช่วยก็ขอมาทันทีเลยนะ แต่เรื่องนั้นน่ะงานถนัดฉันเลย เอาข้อมูลหรือไฟล์มาสิ เดี๋ยวฉันลองดูให้”
พี่มินอาที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ใช้ฝ่ามือตบโต๊ะพลางกระดิกนิ้ว จีซอกจึงหยิบโน้ตบุ๊กออกมาวางตรงหน้าเธอโดยไม่ปรึกษาผมเลยสักนิด เขาเอาข้อมูลของสมาชิกคนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะเอาไว้ดูพร้อมกันให้เธอดูก่อนเป็นคนแรก
“โห ยากเอาการเลยแฮะ แค่ค้นหาข้อมูลก็น่าจะหืดขึ้นคอแล้ว”
“เพราะแบบนั้นตอนนี้ทุกคนเลยเกี่ยงงานกันจ้าละหวั่นเลยครับ ช่วยผมทีนะครับพี่”
“เรียบเรียงดีแล้วก็หาข้อมูลมาได้เยอะกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย ฉันว่านายลองใส่ตัวอย่างโค้ดลงไปตรงนี้หน่อยไหม”
“ตัวอย่างแบบไหนดีครับ”
“ข้อมูลตรงนี้ต้องเด่น ถ้างั้นนายต้องโค้ดดิ้ง* ข้อมูลตรงส่วนนี้จากเนื้อหาทั้งหมดแล้วก็…”
ผมมองจีซอกที่นั่งตัวติดกับพี่มินอาที่กำลังให้คำแนะนำและได้แต่เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ ระหว่างนั้นผมก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่งแล้วแสร้งทำเป็นชะโงกหน้ามองไปพร้อมกับพวกเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่สะดุดตาผมจริงๆ คงเป็นระยะห่างที่ใกล้กันมากขึ้นของคนทั้งสอง
ผมกำหมัดบนตักแน่นพลางจิกเล็บลงบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของหินก้อนเล็กๆ ที่จุกอยู่ในลำคอกลับกวนใจผมมากยิ่งกว่าความเจ็บแปลบจากฝ่ามือจนผมไม่สามารถจดจ่อกับงานตรงหน้าได้เลย
* โค้ดดิ้ง (Coding) คือการเขียนคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยภาษาหรือรหัสที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…