everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 3.4 ถึง 3.6 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : Chelliace
แปลโดย : Lilac M
ผลงานเรื่อง : 관계의 고리
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม
การกล่าวถึงความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 3.4 ชินอูซอ
หลังจากคลาสสุดท้ายจบลงและปล่อยให้จีซอกได้ไปใช้เวลาร่วมกับพี่มินอา ผมก็เดินไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตคนเดียว ถ้าไม่ได้จดของที่จะซื้อในโน้ตมือถือล่วงหน้า ผมก็คงเดินเข็นตะกร้าเปล่าๆ อยู่พักใหญ่แล้วออกมาโดยลืมว่าจะต้องซื้ออะไรบ้างไปแล้ว
โชคดีที่ผมซื้อของที่ตั้งใจจะซื้อมาครบหมดเรียบร้อย แต่ปัญหาคือผมดันจดไอเดียเมนูที่เราสองคนระดมกันคิดขึ้นมาไว้เต็มไปหมด ของที่ซื้อมามากมายเลยกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับผมเพียงคนเดียว
ผมเดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตและตรงไปที่คอนโดฯ ของจีซอกโดยหิ้วถุงสองใบที่มีของพะรุงพะรังเต็มสองมือข้างละถุง ระหว่างนั้นในหัวก็พลอยคิดถึงภาพแผ่นหลังของจีซอกที่เดินห่างออกไปเคียงข้างกับพี่มินอาไม่หยุด
ความรู้สึกวิตกกังวลของผมในตอนนี้มีมากกว่าความรู้สึกเศร้า การได้เจอกันในรอบหกปีมันก็สมควรจะดีใจอยู่หรอก แต่สายตาที่จีซอกมองพี่มินอานั้นแตกต่างไปจากตอนปกติอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นพอรู้ว่าสเป็กที่จีซอกเคยพูดถึงในอดีตเป็นพี่สาวคนนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที
นายต้องการอะไรกันแน่ ชินอูซอ
ผมได้แต่ถามตัวเองอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองคงไปกับจีซอกไม่รอด ใช่ว่าผมจะไม่เคยคิดถึงภาพใครคนอื่นยืนอยู่เคียงข้างเขา สักวันหนึ่งเขาก็จะได้พบกับผู้หญิงในอุดมคติที่เขาปรารถนาและคบกับเธอคนนั้นไปจนถึงขั้นแต่งงาน ผมตัดสินใจไว้แล้วว่าถึงตอนนั้นผมจะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายแล้วก็จะไม่แสดงอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด
แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของคนเรามันจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ตอนนี้หินก้อนเล็กในจินตนาการที่จุกอยู่ในลำคอกำลังครูดลงไปถึงในอกผม ความอิจฉาที่ชูคอขึ้นมาเหนือความสิ้นหวังกำลังสร้างบาดแผลให้กับตัวมันเอง
ผมอยากให้ตัวเองกลายเป็นผู้หญิง
อยากเป็นคนตัวเล็กที่สดใส
อยากเป็นคนที่อายุมากกว่าคังจีซอก
ยิ่งนึกภาพสเป็กของคังจีซอกที่แม้จะมีรายละเอียดน้อยข้อแต่กลับชัดเจนขึ้นมาในหัวมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันห่างไกลจากตัวผมมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันพี่มินอาที่คังจีซอกคอยปฏิบัติอย่างอ่อนโยนและตามติดขนาดนั้นกลับดูตรงกับภาพนั้นเอามากๆ จนผมกลัวใจตัวเองเกินกว่าจะกล้าถามออกไปว่าพี่สาวคนนี้คือผู้หญิงในอุดมคติของนายหรือเปล่า
สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้คือฮึดสู้และพยายามสงบหัวใจที่ว้าวุ่นนี้ลงให้ได้ ถ้าทำแบบนั้นได้ก็คงจะมีสักวันที่ผมสามารถตัดใจจากเขาได้อย่างสบายๆ ราวกับเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว
ผมจมอยู่ในความคิดขณะที่กำลังเดินอยู่จนลืมแม้กระทั่งน้ำหนักที่ถ่วงรั้งแขนทั้งสองข้างไปเสียสนิท กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็ตอนที่น้ำหนักจากถุงรั้งฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ และในตอนนั้นเองถุงที่มีไข่ไก่อยู่ในนั้นก็ดันมีทีท่าว่ากำลังจะลื่นหลุดจากมือ ผมจึงรีบกระชับมือแล้วจับถุงนั้นให้แน่นอีกครั้ง แต่แล้วก็มีมือของใครบางคนยื่นพรวดเข้ามาจากทางด้านหลัง
“ส่งมานี่”
ผมรีบหันขวับไปตามน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง
พี่จีกอนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ผมนึกสงสัยว่าพี่เขามาทำอะไรที่นี่ในเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มตกดินแบบนี้ อีกทั้งเขามายืนอยู่ข้างหลังผมได้ยังไงกัน
พี่จีกอนฉวยเอาถุงทั้งหมดไปจากมือของผมแล้วเอามันไปวางลงบนเบาะหลังของรถโดยไม่พูดไม่จา พอถุงที่บรรจุของหนักๆ สองใบหายไปในพริบตา ผมก็สลับนวดฝ่ามือที่เส้นเลือดไม่ไหลเวียนให้ตัวเอง พี่จีกอนปิดประตูหลังดังปังก่อนจะเดินมาคว้ามือของผมไป รอยแดงตรงมือที่จับถุงเมื่อครู่ยังคงเด่นชัดโดยที่รอบๆ รอยที่เป็นเส้นนั้นเป็นสีขาวซีด
“นายน่าจะเรียกพี่นะ”
พี่จีกอนขมวดคิ้วพลางสบตาผมขณะช่วยกดนวดฝ่ามือให้เลือดไหลเวียน พอดวงตาที่คมกริบของเขาหยียิ้มลงเป็นเส้นโค้งอย่างอ่อนโยน ผมถึงได้เปิดปากพูด
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พี่ต้องแกล้งทำงานดึกเหรอครับ”
“นั่นก็ใช่แหละนะ แต่เหมือนวันนี้เจ้าจีซอกจะกลับบ้านช้า พี่เลยว่าจะกลับเร็วน่ะ”
ผมไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง คังจีซอกโทรบอกเขาอย่างนั้นเหรอ
มันอาจจะฟังดูเหลวไหล แต่ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคังจีซอกคงเป็นห่วงผมเลยโทรบอกพี่จีกอน ผมรู้ดีว่าการที่คนเป็นเพื่อนกันจะมาเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องยิบย่อยของเพื่อนซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่โตขนาดนี้แล้วนั้นมันช่างน่าขัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดที่จะคาดหวังไม่ได้
แต่พี่จีกอนชูมือถือขึ้นมาโชว์ภาพภาพหนึ่งราวกับจะทำลายความหวังนั้นของผมให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันคือภาพเซลฟี่ที่จีซอกกับพี่มินอาถ่ายด้วยกัน ดูจากองศาที่ยกมือขึ้นแล้วพี่มินอาน่าจะเป็นคนถ่ายเองกับมือ
“ฮันมินอาส่งมาน่ะ เห็นบอกว่าเดินห้างอยู่กับจีซอกเลยชวนให้พี่ไปด้วย”
พอเห็นภาพนั้นแล้วผมก็ไม่อาจปกปิดหัวใจที่กำลังบอบช้ำของตัวเองได้อีก เพราะคนในภาพที่ดูตื่นเต้นกว่าพี่มินอานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคังจีซอก พอเห็นเขาพาดแขนบนไหล่ของพี่สาวคนนั้นอย่างสนิทสนมแล้ว ผมก็พลอยรู้สึกเจ็บข้างในใจขึ้นมาแปลบๆ
“ได้ยินว่าเธอสนิทกับพี่นี่ครับ…ผมว่าพี่เองก็ควรจะไปนะครับ”
ถ้าเป็นจีซอกก็น่าจะรู้เวลาที่พี่จีกอนจะต้องออกไปพบคู่แห่งแหวนของตัวเองแล้ว และด้วยเรื่องนั้นพี่เขาก็สามารถเอามาอ้างเพื่อที่จะไม่ไปได้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานถึงหกปี แถมพี่จีกอนเองก็ยังสนิทกับเธอยิ่งกว่าจีซอกเสียอีก ถ้าจะไม่ไปเจอหน้าและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันสักหน่อยมันก็กระไรอยู่
ผมพยายามปั้นหน้านิ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์สำหรับพี่เขา
“สนิทกันก็จริง แต่ไม่มีเรื่องอะไรให้ถามไถ่กันหรอก”
พี่จีกอนจับมือผมแล้วลากไปที่รถ ก่อนจะยัดผมให้นั่งลงตรงที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นก็รัดเข็มขัดนิรภัยให้กับมือพลางมองผมด้วยรอยยิ้มที่ราวกับถอดแบบมาจากคังจีซอก
“อีกอย่างนายเองก็ไม่ได้ต้องการอย่างที่พูดไม่ใช่หรือไง”
เขาพูดราวกับว่าอ่านความรู้สึกของผมออกอย่างหมดเปลือก
เขากำลังพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคังจีซอกไม่ใช่คังจีกอน…และพูดในสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด
ผมแค่นหัวเราะพลางกดฝ่ามือที่ตอนนี้เลือดไหลเวียนมากเกินไปจนกลายเป็นสีแดงก่ำ
“ผมดูออกขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่า”
“แล้วพี่รู้ได้ยังไง”
“ต่อให้นายไม่แสดงอาการออกมาพี่ก็รู้อยู่แล้ว…พี่รู้ว่านายกำลังอยู่ในสถานะไหน”
เสียงหัวเราะอันเหือดแห้งหลุดลอดออกมาอีกครั้ง เขาเหมือนกับผมที่คอยเฝ้ามองคังจีซอกอยู่ทุกวัน ถึงภายนอกจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ก็รู้ว่าผมกำลังตกอยู่ในสถานะไหน เขาเหมือนผมที่สามารถอ่านความรู้สึกของคังจีซอกได้เพียงแค่มองการกระทำหรือแววตาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น
นี่พี่เขากำลังเลียนแบบภาพของคังจีซอกที่เราต้องการอยู่อย่างนั้นสินะ?
การที่คนหน้าตาคล้ายคังจีซอกมาสร้างบรรยากาศแบบเดียวกันและมาใส่ใจผมอย่างที่ผมต้องการ มันก็ชวนให้ผมรู้สึกหวั่นไหวในซอกมุมหนึ่งของหัวใจแปลกๆ
หลังจากปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วอ้อมกลับไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ พี่เขาก็ขับรถตรงกลับไปที่คอนโดฯ ทันที ระหว่างทางกลับมือถือของเขาก็สั่นครืดคราดอยู่สองสามครั้ง ถึงผมจะบอกพี่เขาว่ามีสายเรียกเข้าและให้เขารับสายก่อนก็ได้ แต่พอเห็นชื่อสายเรียกเข้าบนหน้าจอ พี่เขาก็ปิดเครื่องทันทีเหมือนรำคาญ แม้จะอยากถามออกไปว่านั่นใช่สายของพี่มินอาหรือเปล่า แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าต่อให้รู้ไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดีเลยไม่ดึงดันที่จะถามและได้แต่ปิดปากเงียบ
“วันนี้จะทำเมนูอะไร”
พี่จีกอนเอ่ยถามผมในตอนที่มาถึงคอนโดฯ และกำลังขับรถเข้าไปในลานจอดรถ
“วันนี้เป็นซุปเนื้อหัวไช้เท้ากับไข่ต้มซีอิ๊วน่ะครับ แต่พอคิดว่ายังไงก็ต้องกินคนเดียวอยู่แล้วเลยกะว่าจะกินแค่รามยอนน่ะครับ”
ถึงจะซื้อของมาเต็มสองมือเพื่อที่จะทำเมนูพวกนั้นก็เถอะ…
พี่จีกอนที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกขมวดคิ้วพร้อมกับเลิกหางตาขึ้น เพียงเท่านั้นภายในรถก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกที่ต่างไปจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง ทำเอาผมรู้สึกเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมถึงกินคนเดียว”
“ก็พี่น่าจะกินมาแล้ว…”
ระหว่างที่พูดผมเห็นใบหน้าของพี่เขาที่ยังคงไม่ผ่อนคลายลง ผมเลยเลียบเคียงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“นี่พี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอครับ”
ผมนึกว่าเขากินข้าวมาแล้ว เพราะตอนนี้มันเลยหกโมงเย็นที่เป็นเวลาเลิกงานของพี่เขามาตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว
พี่จีกอนคลายสีหน้าที่ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ผ่านดวงตาที่เหมือนกับคังจีซอก
“เราไปกินข้าวกันเถอะ พี่หิวแล้ว อูซอยา”
ฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบศีรษะผมพร้อมกับน้ำเสียงอันอบอุ่น อาจเป็นเพราะถูกพี่เขาลูบศีรษะหลายครั้งในหนึ่งวัน ตอนนี้ผมเลยชินจนให้เขาลูบศีรษะอย่างว่าง่าย
ผมห้ามพี่จีกอนที่ทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผมแล้วลงมือปลดเอง พี่เขาจึงหันไปหิ้วถุงที่ผมเคยถือแล้วดูหนักออกมาจากรถอย่างเบาสบาย พอเห็นแบบนั้นแล้วผมก็เผลอคิดขึ้นมาว่าตัวเองก็ควรจะออกกำลังกายปั้นกล้ามเนื้อที่แขนบ้างเหมือนกัน
หลังจากเข้าไปในห้องและกำลังลงมือหั่นวัตถุดิบ พี่จีกอนที่อาบน้ำออกมาก่อนแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าลำลองสบายๆ ก็จับตามองผมจากข้างหลังในระยะประชิด
“พี่ครับ พี่กำลังทำลายสมาธิผมอยู่นะครับ”
“ก็คิดซะว่าไม่มีคนอยู่สิ”
พี่เขายืนประกบหลังผม พอผมขยับเมื่อไหร่พี่เขาก็จะขยับตาม และพอผมหยุดพี่เขาก็จะหยุดตามเช่นกัน เล่นทำแบบนี้แล้วจะให้ผมไม่รู้สึกเสียสมาธิได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นปกติแล้วพี่เขาจะกินข้าวมาจากข้างนอกและจะกลับคอนโดฯ ดึกดื่นทุกวันยกเว้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมเลยคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาดูผมทำอาหารอย่างสนอกสนใจขนาดนี้
ผมรวบผักที่หั่นเรียบร้อยแล้วใส่ไว้ในจานใบหนึ่ง ก่อนจะส่งสายตาอวดภูมิให้พี่เขา
“คนยืนอยู่ข้างหลังทั้งคน จะให้คิดว่าไม่มีคนอยู่ได้ยังไงล่ะครับ”
“ก็พี่ทึ่งกับการทำอาหารของนายน่ะสิ เพราะครอบครัวพี่เทการทำอาหารกันหมดทุกคนเลย”
พี่จีกอนคลี่ยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ก่อนจะชิงหยิบจานที่ผมกำลังจะเอาออกมาจากชั้นวางยื่นให้ผม ทั้งที่ผมยังไม่ทันได้บอกว่าจะเอาอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเซ้นส์ของเขาดีจนน่าทึ่งหรือว่าสายตาของเขาว่องไวกันแน่ หลังจากนั้นพอผมพยายามจะทำอะไร พี่เขาก็จะขยับตัวนำผมไปก้าวหนึ่งทุกครั้ง ทำเอาผมรู้สึกเหมือนได้ลูกมือในครัวที่ไหวพริบดีมาคนหนึ่งเลย
พอคิดว่าพี่เขาเป็นลูกมือในครัว ผมก็จินตนาการไปถึงภาพหมวกเชฟบนศีรษะของพี่เขา มันเป็นจินตนาการที่ห่างไกลมากจนเผลอคิดไปว่าทำไมมันถึงได้ไม่เข้ากันขนาดนี้นะ ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว
แต่ก็คงต้องขอบคุณพี่เขาด้วย ถ้าไม่มีพี่เขาอยู่ด้วย ป่านนี้ผมคงต้มรามยอนถ้วยหนึ่งแล้วนั่งคิดถึงแต่ภาพจีซอกกับพี่มินอาจนเส้นอืดแน่ๆ
อาหารที่เตรียมไว้ถูกจัดวางบนโต๊ะอย่างเรียบร้อยพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ถึงจะเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายไม่ได้มีเครื่องเคียงมากมายอะไร แต่ผมก็อดรู้สึกปลื้มปริ่มในใจไม่ได้เพราะพี่จีกอนกินมันอย่างชื่นชม พอเขาตักอาหารที่โปรดปรานจากในบรรดาเมนูในหัวที่แพลนไว้แต่อาหารที่จีซอกชอบ ผมก็เตรียมจะอ้าปากพูด
ติ๊ดๆ
เสียงดอร์ล็อกดังมาจากประตูตรงโถงทางเข้า ก่อนที่คังจีซอกที่ผมนึกว่ากำลังเดินช็อปปิ้งเพลินๆ อยู่กับพี่มินอาจะโผล่พรวดเข้ามาข้างใน ไม่รู้ทำไมจีซอกถึงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองผมกับพี่จีกอนที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะในห้องครัว
“ทำไมพี่กลับมาแล้วล่ะ”
“ทำไม ฉันกลับบ้านเร็วไม่ได้หรือไง”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่…”
จีซอกที่ตั้งท่าจะพูดต่อเหลือบมองผม ก่อนจะกลืนคำพูดต่อท้ายลงไปราวกับลังเลอะไรบางอย่าง พี่จีกอนที่มองอยู่เลยหันมาจัดการกินข้าวที่เหลือจนเกลี้ยงถ้วย
“ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงได้กลับมาซะแล้วล่ะ ไหนว่าฮันมินอาขอยืมตัวไปจนดึกไง”
ฉับพลันนั้นผมก็นึกถึงใบหน้าของพี่มินอาที่ลืมไปแล้วระหว่างที่อยู่กับพี่จีกอนพร้อมกับภาพของจีซอกที่กำลังยิ้มแฉ่งอย่างร่าเริงกับพี่มินอาขึ้นมาได้ ผมเลยละสายตาจากเขาแล้วหลุบตาต่ำลง
“แล้วทำไมพี่ไม่มาด้วยกันล่ะ พี่มินอาก็ชวนพี่ไม่ใช่เหรอ”
“ไว้ค่อยนัดไปเจอกันทีหลังนอกรอบก็ได้ ฉันไม่อยากแทรกกลางไปเดินช็อปปิ้งเหมือนใครบางคนแล้วกลับมาหรอก”
พี่จีกอนลุกจากที่นั่งก่อนจะซ้อนถ้วยที่กินหมดแล้วเป็นชั้นๆ
“พอดีวันนี้พาร์ตเนอร์ฝ่ายนั้นติดธุระนิดหน่อยเลยแยกกันเร็ว ฉันก็เลยกลับมากินข้าวที่อูซอทำไว้ให้แทนใครบางคน”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำว่า ‘แทนใครบางคน’ แต่ก็ไม่สามารถขอให้พี่เขาแก้คำพูดที่พูดออกไปแล้วได้ เลยได้แต่ปิดปากเงียบในสภาพที่เหมือนจะยอมรับกลายๆ ว่าพี่เขาคือตัวแทนของคังจีซอก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พูดอะไรไม่ออกเพราะไม่มีส่วนไหนที่พี่เขาพูดผิดไปเลยสักนิด เวลาแบบนี้คงต้องโกหกเหมือนกับที่เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองจากคังจีซอกเหมือนอย่างทุกที ผมจึงเลือกที่จะไม่เปิดปากพูดอะไรออกไป
พี่จีกอนลูบศีรษะผมหลังเก็บถ้วยชามเสร็จแล้วเดินผ่านไปราวกับจะปลอบโยนผมว่าไม่เป็นไร
“นายเองก็มากินข้าวซะสิ”
เสียงวางถ้วยชามดังมาจากอ่างล้างจานที่อยู่ด้านหลัง
“มองดูแล้วก็เห็นแต่ของที่นายชอบทั้งนั้นเลยนี่”
เข็มที่มองไม่เห็นกำลังทิ่มแทงผิวหนังของผมท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้งขึ้นอย่างน่าประหลาด แน่นอนว่าความรู้สึกนั้นแผ่พุ่งออกมาจากคังจีซอก สายตาของเขาพลันคมกริบขึ้นมาถึงขนาดที่รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ได้เหือดหายไปและชวนให้นึกถึงพี่จีกอน ทำเอาผมถึงกับสงสัยว่าทำไมคนที่ทิ้งเพื่อนไปเที่ยวเพลินแล้วกลับมาเร็วโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรสักคำถึงได้มีสิทธิ์มาทำสายตาแบบนั้น
ผมกินข้าวไปได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยก็ลุกขึ้นเพราะรู้สึกแน่นท้อง แต่จู่ๆ พี่จีกอนที่เดินเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวก็กดไหล่ของผมให้นั่งลงเบาๆ
“กินให้หมดสิ ถ้ากินข้าวคนเดียวมันอึดอัด เดี๋ยวพี่นั่งเป็นเพื่อนเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินอิ่มแล้ว”
“นั่นเรียกว่ากินเหรอ เพราะแบบนี้ไงถึงได้ตัวผอมแห้งอย่างนี้”
พี่จีกอนปรายตามองพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งจับต้นแขนของผมขยับไปมาจนผมรู้สึกหงุดหงิด ปกติผมกินข้าวแค่ถ้วยเดียวก็อิ่มแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องถูกใครมาทำแบบนี้ใส่ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของคังจีซอกชัดๆ
ผมเปิดปากเพื่อจะแย้งว่ากระดูกของผมก็แค่บาง ไม่ใช่ผอมแห้งสักหน่อย มือของพี่เขาต่างหากล่ะที่ใหญ่เกินไป
“ผมไม่ได้ผอมแห้งสักหน่อย!”
“ผมจะนั่งกินเป็นเพื่อนหมอนี่เอง พี่ไปทำงานของพี่เถอะ”
คังจีซอกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่พี่จีกอนเคยนั่งกินข้าวอยู่ก่อนหน้านี้ เขาวางกระเป๋าที่สะพายอยู่บนบ่าลงที่พื้นข้างโต๊ะอย่างลวกๆ โดยไม่ถอดเสื้อตัวนอกออกด้วยซ้ำแล้วมองตรงมาที่ผม น้อยครั้งมากที่คังจีซอกจะทำสีหน้าจริงจังแล้วจ้องมองผมอย่างไม่ลดละแบบนี้ และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จีซอกที่สบตากับผมยิ้มด้วยสีหน้าเหมือนปกติจนบรรยากาศที่น่าอึดอัดและเย็นยะเยือกเมื่อครู่ผ่อนคลายลง
“อูซอยา มีข้าวเหลือไหม ฉันชักหิวแล้ว”
คำพูดเรียบๆ ของคังจีซอกทำให้ผมรู้สึกไปต่อไม่เป็นหลังจากที่เกร็งมาจนถึงตอนนี้พร้อมกับความรู้สึกสะอิดสะเอียน ทั้งที่คงออกไปเดินเที่ยว ไปกินอะไรอร่อยๆ กับพี่มินอามาแล้วยังจะมีหน้ามาพร่ำเพ้อถึงข้าวอีก
“ไม่มีส่วนของนาย”
“โกหก หุงข้าวแค่สองถ้วยเนี่ยนะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายเตรียมข้าวไว้พอเผื่อฉันน่ะ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
ไอ้คนรู้ดีเอ๊ย
จีซอกถูกผมเขกศีรษะด้วยสายตาหงุดหงิดไปทีหนึ่ง เขาใช้สองมือกดตรงที่เจ็บแน่นพลางทำหน้าโอดโอยอย่างขี้เล่น ใบหน้านั้นดูตลกจนผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว
พอบรรยากาศเปลี่ยนไป อาการท้องอืดที่ตีรวนอยู่ข้างในก็หายเป็นปลิดทิ้ง จังหวะนั้นพี่จีกอนที่มองเราเงียบๆ ก็เดินออกจากห้องครัวกลับเข้าไปยังห้องของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่นั่งฟังคำชมจากคังจีซอกและลุกไปไหนไม่ได้จนกระทั่งเขากินข้าวเกลี้ยงไปถึงสองถ้วย
คืนนั้นผมค่อยๆ เตรียมตัวเพราะเวลาจวนจะเที่ยงคืนแล้ว หน้าหนังสือที่กางออกมีโพสต์อิตสองสามแผ่นแปะอยู่ ผมยังอ่านเนื้อหาไม่หมดเลยสอดที่คั่นหนังสือแทรกเอาไว้ คิดว่าเดี๋ยวคงต้องลองเขียนโปรแกรมขนาดย่อมตามตัวอย่างในหน้านี้สักโปรแกรม ถึงจะดูยากเอาการ แต่มันก็เป็นส่วนโค้ดดิ้งที่ขาดไม่ได้ในการสร้างแอพพลิเคชั่น ดูท่าผมอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่จีกอนสักหน่อย
ติ๊กไว้ก่อนแล้วค่อยถามตอนที่พี่เขามาดีไหมนะ
ผมคิดว่าถ้าคลี่คลายส่วนที่ยังไม่เข้าใจได้ก็น่าจะสามารถเขียนได้เดี๋ยวนี้เลย
ดังนั้นผมจึงทิ้งหนังสือที่คั่นหน้าไว้บนโต๊ะหนังสือทั้งอย่างนั้นแล้วใช้เวลาเสิร์ชเว็บไปเรื่อยเปื่อย และผมก็เสิร์ชเว็บเพลินจัดจนดูนาฬิกาอีกทีเวลาก็ผ่านไปสามสิบนาทีแล้ว
ทำงานอยู่หรือไงนะ
ปกติพี่เขาจะมาตามผมตอนประมาณเที่ยงคืน แต่ถ้าติดงานแล้วอาจจะเข้านอนช้าหน่อย พี่เขาก็จะส่งข้อความมาบอกก่อนเสมอ ทว่ามือถือของผมในเวลานี้กลับยังเงียบกริบและไร้วี่แววว่าพี่เขาจะมาตามจนผมกังวลว่าควรจะทำยังไงดี วันพรุ่งนี้พี่เขาต้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนผมก็มีคลาสเรียนตอนเช้าที่ต้องรีบออกไปให้ไวที่สุด จึงไม่มีเวลาให้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากรออีกประมาณสิบนาที ผมก็ตัดสินใจย่องออกจากห้องเพื่อตรวจดูสถานการณ์
ห้องของผมอยู่ใกล้กับโถงทางเข้าหน้าประตูที่สุด พอเปิดประตูออกไปต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่มีระเบียงเพื่อไปยังห้องของพี่จีกอนที่อยู่สุดฟากตรงโน้น ส่วนห้องที่อยู่ข้างๆ กับห้องของพี่เขาคือห้องของจีซอก ผมต้องระวังตัวไว้ก่อนเผื่อจีซอกได้ยินเสียงเข้าแล้วจะเปิดประตูออกมา ถ้าถูกจับได้ว่าแอบย่องไปห้องพี่จีกอนกลางดึกแบบนี้คงทำตัวไม่ถูกน่าดู
และในจังหวะที่ผมกำลังย่องผ่านห้องนั่งเล่นที่มืดสลัวนั้นเอง
หืม? กลิ่นบุหรี่มาจากไหนน่ะ…
ผมสงสัยกับกลิ่นบุหรี่จางๆ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของใครบางคน มันเป็นเสียงที่ฟังดูเหมือนจะอยู่ใกล้ๆ และถ้าหากเงี่ยหูฟังก็น่าจะฟังออกได้ชัด เหมือนกับว่าจะเป็นเสียงที่ดังมาจากข้างนอกระเบียงคอนโดฯ
ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเหลียวซ้ายแลขวาอีกต่อไป ผมเห็นเงาที่ตกกระทบจากแสงจันทร์ของคนสองคนผ่านผ้าม่านบางๆ ตรงกระจกบานใหญ่ทางฝั่งระเบียงของห้องนั่งเล่นที่เปิดโล่ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพียงแค่มองปราดเดียวผมก็รู้ว่าชายสองคนที่มีส่วนสูงอันคุ้นเคยนี้คือใคร
ผมอยากรู้เกี่ยวกับบทสนทนาของสองคนนั้นรวมถึงกลิ่นบุหรี่ที่ไม่คุ้นเคย จึงแอบเดินเข้าไปใกล้ประตูระเบียงเงียบๆ แม้ผ้าม่านจะบาง แต่ด้วยความที่ผมอยู่ในพื้นที่มืด คนทั้งคู่จึงไม่น่าจะสังเกตเห็นผม
“ผมก็บอกไปแล้วไงว่าผมอยากรู้ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
ผมได้ยินเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อยของจีซอก หาได้ยากมากที่คังจีซอกตัวเป็นๆ ไม่ใช่ใครอื่นจะใช้น้ำเสียงแบบนี้
“แล้วนายล่ะกำลังคิดอะไรอยู่ นายไปเที่ยวไหนต่อไหนกับฮันมินอาอย่างสบายใจแท้ๆ แล้วดันกลับมาหัวเสียใส่ฉันเนี่ยนะ?”
“แล้วเรื่องตอนนี้พี่จะให้ผมทนบื้ออยู่เฉยๆ หรือไง!”
จีซอกตวาดลั่น ผมอ้าปากค้างกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นน้อยครั้งมากจนน่าตกใจตรงหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งตกใจเมื่อได้ยินชื่อของพี่มินอาโผล่ขึ้นมาในบทสนทนาของพวกเขา ผมใช้กำปั้นกดหน้าอกที่เจ็บแปลบเพื่อสงบจิตสงบใจของตัวเอง
“เบาหน่อย คังจีซอก”
เงาตะคุ่มของพี่จีกอนพ่นควันบุหรี่ออกมาพลางพูดราวกับข่มขู่
“พอพูดถึงฮันมินอานายก็ว่าง่ายเดินตามยัยนั่นต้อยๆ มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไหนๆ ได้ไปกับยัยนั่นแล้วก็น่าจะเที่ยวให้สมใจอยากก่อนแล้วค่อยกลับมาสิ”
หัวใจของผมสั่นไหวจนได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ในหัว จนกระทั่งผมเริ่มถอยเท้าหนักๆ ไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“หรือว่าตอนนี้นายไม่ได้ชอบฮันมินอาแล้ว? ไหนว่าสเป็กนายไง”
ผมไม่อยากฟังมันอีกต่อไปแล้ว ถ้าเกิดคังจีซอกพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาจากปากของเขาล่ะก็…
“ชอบสิ”
ขาของผมแทบทรุดลงทันที พร้อมกันนั้นหัวใจก็เต้นกระหน่ำจนหายใจถี่ระรัว
“ผมยังชอบพี่มินอาอยู่”
ผมรู้สึกราวกับถูกแทงเข้าจุดตาย ถึงจะคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่คำพูดของคังจีซอกก็ชัดเจนมากจนไม่สามารถปฏิเสธได้
พี่จีกอนที่คาบบุหรี่ไว้ในปากหันมาทางผมโดยที่ยังยืนพิงระเบียงอยู่ ดวงตาคมกริบของเขามองมาทางผมผ่านช่องแคบๆ ของผ้าม่าน ในจังหวะที่เราสบตากันท่ามกลางความมืด ผมก็รู้สึกได้แค่ว่าต้องรีบหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดมากกว่าจะคิดว่าต้องรีบขอโทษเพราะถูกจับได้
เสียงของพี่จีกอนดังลอดเข้ามาในหูผมที่เดินถอยหลังออกไปช้าๆ
“ก็ดี…เป็นงั้นได้ก็ดี”
ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงรีบกลับเข้าห้องของตัวเอง หลังจากพรั่งพรูลมหายใจอันหนักอึ้งออกมา ผมก็ทิ้งตัวนอนแผ่หลาคว่ำหน้าลงบนเตียงราวกับเรี่ยวแรงที่เคยมีนั้นพลันเหือดหายไปจนหมดสิ้น
ทว่าหัวใจก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงสักที
ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกแบบนี้กันนะ
ผมยิ้มเย้ยตัวเองพลางแค่นหัวเราะ
รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังจะมาตาสว่างอะไรเอาป่านนี้…
ผมพอจะรู้อยู่ว่าคังจีซอกชอบพี่มินอา ไหนจะสเป็กที่เขาพูดถึง ไหนจะสายตาตอนที่เขามองพี่มินอา คนที่เฝ้ามองคังจีซอกมานานอย่างผมควรจะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไงกัน
บทสนทนาก่อนหน้านี้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจราวกับมีลิ่มที่สลักคำว่า ‘กับคนที่รู้ว่าไม่มีหวังแต่อยู่แรกแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก’ ตอกลงกลางใจ
ผมไม่น่าแอบฟังเลย ถ้ากลับเข้าห้องเสียตั้งแต่แรก…ไม่สิ ผมควรจะเสียใจกับการที่ตัวเองดันผลุนผลันออกไปนอกห้องก่อนที่พี่จีกอนจะโทรมาต่างหาก
บางทีถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก เราก็คงไม่มีทางได้ยินเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ…
ผมเสียใจกับทุกๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กเรื่องน้อยพลางคิดว่าถ้าปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่การคาดเดาและไม่รับรู้ต่อไป ผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้
ครืด…
ระหว่างที่ผมกำลังหลับตาแน่นพลางปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาเบาๆ พอหยิบมันออกมา ผมก็เห็นข้อความหนึ่งถูกส่งมา
มาหาพี่ที่ห้อง พี่จะปลอบนายเอง
ผมอ่านทวนข้อความที่แสนสั้นนั้นของพี่จีกอนอยู่หลายหน ดูเหมือนพี่เขาจะรู้ว่าผมแอบฟังอยู่จริงๆ
เวลาแบบนี้จะมีคำพูดไหนช่วยปลอบโยนได้กัน ไม่สิ นี่ใช่เรื่องที่ผมควรจะได้รับการปลอบโยนจริงๆ น่ะเหรอ
ผมก็แค่บังเอิญรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองชอบดันไปชอบใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ซึ่งผมเองก็คาดเดาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะได้รับคำปลอบโยนสักหน่อย กลับกันแล้วผมควรจะต้องทำใจและยอมรับมันต่างหาก
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจเจ็บแปลบขณะส่งข้อความไปหาพี่เขา
ผมไม่เป็นไรครับ ขอเวลาเตรียมตัวอีกเดี๋ยวแล้วจะรีบไปนะครับ
ถึงจะไม่มีอะไรที่ต้องเตรียมตัวเป็นชิ้นเป็นอัน แต่หากพูดตามตรง ผมก็ควรจะต้องจัดการหัวใจตัวเองก่อน ผมไม่อยากทำให้พี่จีกอนไม่สบายใจเพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อคังจีซอก
แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจก็ยังคงเต้นถี่ระรัวและว้าวุ่นเพราะใบหน้าของพี่มินอาและคำพูดของคังจีซอกที่อัดแน่นอยู่เต็มหัว
ต้องไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นให้ได้สติสักหน่อยแล้ว
ผมลุกขึ้นด้วยความคิดที่ว่าอาการน่าจะดีขึ้นมาหน่อยถ้าได้วักน้ำที่เย็นจัดเหมือนน้ำแข็งใส่หน้า ทว่าตอนนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้นพอดี
เปิดประตูที
มันเป็นข้อความสั้นๆ จากพี่จีกอน ผมรู้สึกกดดันอยู่ในใจอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ประตูไม่ได้ล็อก เพียงแค่เปิดมันก็เข้ามาได้แล้วแท้ๆ แต่พี่เขากลับให้ผมเป็นคนเปิดประตูเองราวกับเป็นห่วงความรู้สึกของผมอยู่เสมอ
ผมละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ตามที่พี่เขาบอกแทนที่จะตอบข้อความเขากลับไป พี่จีกอนยืนอยู่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับกลิ่นมัสก์ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวและกลิ่นบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปได้ไม่นาน
พอเปิดประตูออกไปประจันหน้ากันเข้าจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ก่อนอื่นควรขอโทษที่แอบฟังเรื่องที่คุยกันโดยไม่ได้ตั้งใจดีไหม แต่จะว่าไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรกมันก็กระไรอยู่ เพราะผมตั้งใจเงี่ยหูฟังเขาอยู่เห็นๆ
วินาทีที่สบตากับพี่จีกอน ผมก็พลันนึกถึงคำพูดของคังจีซอกที่ลืมไปได้ชั่วขณะหนึ่งขึ้นมา ผมไม่น่าไปได้ยินมันเลย ถ้าไม่แอบฟังก็คงไม่ต้องปวดหัวขนาดนี้หรอก
พอหลุบตาต่ำลงพลางนึกถึงจีซอก ผมก็ถูกพี่เขาคว้าแขนหมับทันที พี่จีกอนดึงแขนผมให้ออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะปิดประตูห้องนอนของผมอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ดึงผมไปที่ห้องนอนของตัวเองโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ห้องนอนของพี่จีกอนนั้นกว้างขวางและสะอาดสะอ้านที่สุดในคอนโดฯ ห้องนี้ กระทั่งเตียงนอนก็ยังกว้างขวาง เตียงของเขากว้างจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาใช้มันนอนกับคนอื่นหรือเปล่า ดังนั้นตอนที่เราต้องการจะเข้านอนเพื่อให้หลับสนิทเลยต้องใช้ห้องนี้ตลอด
ทันทีที่ล็อกประตูพี่จีกอนก็อุ้มผมขึ้นโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผมสะดุ้งโหยงกับภาพเบื้องหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันเลยโอบแขนรอบคอของเขาไว้โดยอัตโนมัติพลางทำหน้าตาเหลอหลา
“พี่ครับ เดี๋ยวก่อน ทำไม…!”
พี่เขาวางผมนอนลงบนเตียงในท่านั้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังนอนลงข้างๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงต้นคอของผมอีก
พอเห็นสีหน้าที่งงงวยของผม พี่เขาถึงได้ยิ้มออกมาตอนนั้น
“เขาว่ากันว่าคนเราจะลืมทุกอย่างตอนหลับ เพราะงั้นรีบนอนกันเถอะ”
พี่จีกอนยกรีโมตที่อยู่ตรงหัวเตียงมาปิดไฟทั่วห้อง ชั่วพริบตารอบด้านก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ดวงตาของผมปรับเข้ากับความมืดพร้อมกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านกรอบหน้าต่าง ทำให้สามารถแยกใบหน้าที่เข้ามาใกล้ได้ง่ายยิ่งกว่าที่เคย
ผมมองพี่จีกอนที่นอนข้างกันในขณะที่ค่อยๆ เขยิบถอยหลังในท่านอน ปกติเราจะจับมือกันนอนคนละขอบฝั่งเตียงเลยไม่จำเป็นต้องนอนใกล้กันขนาดนี้
แต่ในขณะที่ผมกำลังถอยไปอยู่ที่เดิมตามปกติของตัวเอง พี่เขาก็ยื่นวงแขนออกมาโอบรอบเอวผมไว้เพื่อไม่ให้ผมถอยหนีไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องเขยิบไปหรอก ถ้าเขยิบไปอีกเดี๋ยวก็ได้ร้องไห้เพราะเหงาหรอก”
“ใครเขาจะร้องไห้เพราะเหงากันครับ”
ผมนึกฉุนขึ้นมากับถ้อยคำที่พูดเหมือนผมเป็นเด็กนั้นเลยพูดสวนกลับไป พี่เขายิ้มเบาๆ พลางตอบว่า ‘พี่เองแหละ’ ขึ้นมาท่ามกลางความมืด ผมมองพี่เขาผ่านสายตาที่พร่ามัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ที่ส่งข้อความมาก็เพราะแค่อยากรีบนอนใช่ไหมล่ะครับ ไม่ได้คิดจะปลอบใจอะไรกันหรอก”
ตอนนี้เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งซึ่งเป็นเวลาที่สมควรนอนแล้ว
อันที่จริงต่อให้ไม่ต้องมีคำปลอบใจผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก หากจะให้พูดตามตรง ถ้าเกิดพี่จีกอนที่เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผมพูดปลอบเรื่องบทสนทนาก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าสงสาร ความภาคภูมิใจที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของผมมันอาจจะถูกเหยียบย่ำจนราบไปกับดินเลยก็ได้ ผมอาจจะเศร้าจนเขาได้เห็นน้ำตา ทั้งที่คนที่ทำให้ผมเสียน้ำตากลับเป็นคนอย่างคังจีซอก
สู้ให้เขาลากผมมาเพราะต้องการแค่นอนหลับยังจะดีเสียกว่า
พี่จีกอนไม่ได้ตอบกลับมาว่าผมพูดถูกหรือผิด พี่เขาเพียงใช้วงแขนโอบรอบเอวผมไม่ให้เขยิบถอยหลังไปมากกว่านี้พลางลูบแผ่นหลังของผมเบาๆ ราวกับกล่อมเด็กให้หลับ
ผมพลันรู้สึกแปลกใหม่กับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกอบอุ่นชวนเคลิ้มที่ทำให้ผ่อนคลายก่อตัวจากจุดที่มือและแขนของพี่เขาสัมผัสโดนตัวผมก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งจนถึงกับต้องหอบหายใจก่อนหน้านี้ก็พลอยสงบลงในพริบตา ความคิดที่ว้าวุ่นในหัวถูกจัดเรียงใหม่และสงบลง ความเบาสบายจากการสัมผัสที่ชวนให้รู้สึกเคลิ้มหลับนั้นเป็นเหมือนกับ ‘การปลอบโยน’ รูปแบบหนึ่งอย่างที่พี่เขาพูดเอาไว้
จะว่าไปแล้ว…
ความรู้สึกนี้ผมเคยรู้สึกจากที่ไหนกันนะ ผมนึกทบทวนความทรงจำที่เลือนรางก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเคยถูกพี่เขาลูบเบาๆ ด้วยวิธีแบบนี้เมื่อสี่ปีก่อน
พ่อแม่ที่หย่าร้างกันไปตั้งแต่ผมยังเด็กชอบมาเจอหน้ากันแล้วก็ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ พวกเขาไม่สนใจเลยสักนิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวจะเตรียมตัวสอบอยู่หรือเปล่า ตอนที่ผมทุ่มเทกับการอ่านหนังสือในห้องก็ทะเลาะกันเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร
ถึงตอนนี้ปัญหาเรื่องเงินที่ทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ จะถูกสะสางไปแล้ว แต่แม่ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการเลี้ยงดูผมก็ยังคงอ่อนไหวกับเรื่องเงินที่ต้องจ่ายออกไปเสมอ จนตอนนั้นผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เลยว่าตัวผมเองจะต้องรับผิดชอบค่าเทอมที่แพงแสนแพงด้วยตัวเองเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรือเปล่า
ด้วยเหตุนั้นผมจึงรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะรับมือกับพื้นที่ภายในบ้านที่อึมครึมเลยอ้างว่าจะไปติวพิเศษที่บ้านของจีซอก แต่พอถึงช่วงปิดเทอมในตอนนั้น หมอนั่นกับครอบครัวก็ไปเที่ยวเล่นกันที่บ้านญาติโดยไม่ได้บอกได้กล่าว ทั้งบ้านเลยเหลือแค่พี่จีกอนอยู่แค่คนเดียว
วันนั้นเป็นวันที่ผมคุยกับพี่จีกอนเยอะที่สุด ผมพรั่งพรูคำพูดที่กักเก็บไว้ในใจออกมา พร้อมทั้งสารภาพออกไปตรงๆ ว่าผมอิจฉาสมาชิกในครอบครัวของพี่เขาที่ดูแน่นแฟ้น แม้จะอยู่ห่างกันเพราะเรื่องของการงานก็ตาม ระหว่างที่รับฟังคำพูดปนคำบ่นของผม พี่เขาก็ลูบศีรษะพลางเช็ดน้ำตาให้ผมที่กำลังอ่อนไหวและพาผมเข้านอน ทั้งที่ตอนนั้นผมไม่คุ้นเคยกับการกระทำที่เหมือนกับการกล่อมเด็กน้อยของพี่เขา แต่ไม่ทันไรผมก็ผล็อยหลับไปอย่างสบาย พอลืมตาขึ้นมาอีกที ความรู้สึกอัดอั้นที่ทับถมอยู่ในใจก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น กระทั่งอารมณ์ลบๆ ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในลำคอเองก็พลอยถูกชะล้างออกไปด้วยจนผมอดที่จะรู้สึกทึ่งไม่ได้ แม้แต่สายตาของพี่จีกอนที่ก้มมองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยในตอนที่ลืมตาขึ้นมาก็ยังชวนให้รู้สึกดี
พอคิดว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ละม้ายคล้ายกับในตอนนั้น ดวงตาของผมก็ทำท่าว่าจะปิดลงโดยอัตโนมัติ ช่วงนี้ผมหลับสนิทกับพี่เขาเป็นประจำ จึงไม่ได้รู้สึกง่วงหรือเหนื่อยง่ายขนาดนั้น แต่ก็คงต้องขอบคุณความรู้สึกผ่อนคลายในตอนนี้ที่ทำให้ความง่วงถาโถมเข้ามา
ผมไม่ปฏิเสธความง่วงงุนที่ใกล้จะเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะของผม ขณะเดียวกันผมก็หลับตาพริ้มรอฟังคำว่า ‘หลับฝันดีนะ’ จากพี่เขาตามความเคยชิน ในตอนนั้นผมรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่คอยลูบศีรษะกล่อมอย่างนุ่มนวล แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าตัวเองถูกพี่เขาลูบศีรษะบ่อยมากเกินไปหรือเปล่า ต่อให้จะบอกว่าลูบศีรษะในฐานะน้อง แต่เราทั้งคู่ก็ยังเป็นผู้ชายด้วยกันอยู่ดี ทว่าความง่วงที่กดทับลงมาก็ไม่ปล่อยให้ผมครองสติอยู่ได้อีกต่อไป
“หลับฝันดีนะ อูซอยา”
ผมฟังเสียงของพี่เขาที่คลอเคลียอยู่ข้างหูก่อนจะผล็อยหลับไปในทันที