everY
ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 3.4 ถึง 3.6 #นิยายวาย
Chapter 3.5 ชินอูซอ
วันถัดมา
ผมและคังจีซอกยังคงทำตัวตามปกติ
คังจีซอกเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มๆ เหมือนอย่างเคยและเอ่ยขอโทษผมที่นอนตื่นสาย ผมที่นึกไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ยื่นขนมปังปิ้งทาเนยสีเหลืองสวยสองแผ่นกับแยมสตรอเบอรี่ให้เขาพร้อมกับบอกว่านี่คืออาหารเช้า ผมชิงดุให้เขารีบกินแล้วเดินกลับเข้าห้อง ก่อนที่เขาจะแกล้งบ่นพึมพำอย่างผิดหวังว่า ‘อาหารเช้าต้องซุปเต้าเจี้ยวสิ’ แล้วก็ทำหน้าบูดเหมือนเต้าเจี้ยวเสียเอง
นั่นสินะ ก็แค่ทำตัวเหมือนอย่างเคย แค่เป็นแบบนี้ได้ก็พอแล้ว
เรื่องเมื่อวานยังคงฉายชัดอยู่ในหัวของผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจและหวาดหวั่นกับมัน ถึงความสิ้นหวังจะเกาะกินหัวใจผมมาอย่างยาวนาน แต่แล้วจะทำไมกันล่ะ ในเมื่อสิ่งที่ผมปรารถนาก็มีแค่การได้อยู่เคียงข้างเขานานๆ ในฐานะ ‘เพื่อนสนิทของจีซอก’ ก็เท่านั้นเอง
ช่างน่าแปลกที่วันนี้ร่างกายของผมรู้สึกเบาหวิวกว่าทุกวันเล็กน้อย จิตใจของผมเองก็แจ่มใสขึ้น และต่อให้จะนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ แต่อาการของหัวใจที่สั่นไหวอย่างเจ็บปวดก็ยังทุเลาลง
‘พี่เพิ่งรู้เลยนะว่ายิ่งสัมผัสกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลับสบายมากขึ้น’
พี่จีกอนที่ยื่นน้ำเย็นสดชื่นมาให้ทันทีที่ผมลืมตาตื่นพูดกับผมแบบนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมในตอนนั้นที่ยังอยู่ในอาการขี้เซาเลยตอบกลับไปสั้นๆ ว่า ‘คงงั้นมั้งครับ’ แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าการที่แค่นอนจับมือกันกับการที่มีแขนโอบรอบเอวนั้นมีบางอย่างที่แตกต่างกัน
ตอนนอนท่าที่มีพี่เขาโอบกอดจากข้างหลังเหมือนจะสดชื่นแล้วก็รู้สึกดีมากเลยแฮะ…
ระหว่างที่คิดอยู่ในใจนั้น ใครบางคนก็พุ่งเข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง คงต้องขอบคุณกลิ่นมัสก์ประจำตัวที่ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าเป็นใครโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง
“ตกใจหมดเลยครับพี่”
“กะจะแกล้งให้นายตกใจสักหน่อย ทำไมมายืนเหม่อแบบนี้แล้วไม่ปิดประตูล่ะ”
พี่จีกอนที่ใส่สูทเรียบร้อยแล้วแอบย่องโผล่ออกมาอย่างกะทันหันคลายวงแขนออกด้วยรอยยิ้ม ภาพของพี่เขาที่สวมสูทดูภูมิฐานและเสยผมด้านหน้าขึ้นนั้นดูแตกต่างจากคังจีซอกอย่างชัดเจน แต่ใบหน้ายิ้มแย้มกับการโผล่พรวดเข้ามาแบบนี้กลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อวานผมนึกถึงพี่เขาตอนที่ยังดูเป็นมิตรและอ่อนโยนในอดีตขึ้นมาหรือเปล่า ผมถึงได้รู้สึกใกล้ชิดและสนิทสนมกับพี่เขาเหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้หนึ่งวันยังดูขรึมๆ และน่าเกรงขามประมาณหนึ่งอยู่เลย ดูเหมือนว่าการสัมผัสที่ใกล้ชิดกันเมื่อคืนจะเป็นสาเหตุสำคัญ
พี่จีกอนใช้นิ้วมือสางผมด้านหน้าที่ยุ่งเหยิงก่อนจะเปรยถาม
“ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรครับ มันคนละทางกับบริษัทพี่เลยไม่ใช่เหรอ ถ้าขับไปส่งพวกผม เวลามันน่าจะกระชั้นชิดนะครับ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
และในตอนที่พี่จีกอนยกมือถือขึ้นมาดูเวลานั้นเอง จีซอกที่เข้ามาหยุดยืนตรงขอบประตูก็ถามแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เขาขึ้น
“นายรู้เหรอว่าบริษัทพี่ฉันอยู่ที่ไหน”
ทั้งที่ผมมั่นใจว่าริมฝีปากของจีซอกกำลังยิ้มอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมหางตาของเขาถึงยกขึ้นอย่างน่าหวั่นใจคล้ายกับพี่จีกอน
อันที่จริงผมไม่รู้ว่าบริษัทของพี่จีกอนอยู่ที่ไหนจนกระทั่งวันก่อนที่วงแหวนจะปรากฏ ถึงจะพอรู้ชื่อ แต่ผมก็ไม่เคยค้นหาที่ตั้งของบริษัทพี่เขามาก่อน และรู้เพียงแค่ว่าเป็นบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในโซล ทว่าหลังจากวงแหวนปรากฏขึ้น ผมก็จำเป็นต้องไปหาพี่เขาที่ออฟฟิศและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมได้รู้ตำแหน่งที่ตั้ง ไม่อย่างนั้นจนถึงป่านนี้ผมก็คงไม่รู้หรอกเพราะเรื่องนั้นมันอยู่นอกเหนือความสนใจของผม
ขณะที่ผมกำลังอ้อมแอ้มอยู่ในปากพลางครุ่นคิดว่าควรจะตอบกลับไปว่าอะไรดี พี่จีกอนก็ชิงออกหน้าแก้ต่างให้เสียก่อน
“ฉันบอกเองแหละว่าคราวหลังให้มาสอดส่องเผื่อจะได้ดูงานเอาไว้น่ะ”
“…”
จีซอกที่ได้รับคำตอบอย่างง่ายๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าสายตาของเขากำลังหวาดระแวงพี่ชายตัวเองแบบแปลกๆ
พี่จีกอนพูดซ้ำอีกรอบว่าจะไปส่ง แต่ผมก็ปฏิเสธกลับไปอีกเช่นเคย เพราะหนนี้ผมรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศของทั้งสองคนที่ดูคุกรุ่นแปลกๆ มากกว่าความคิดที่ว่าจะไปรบกวนเวลาเข้างานของพี่เขาเสียอีก
หลังจากส่งพี่จีกอนออกไปก่อน ผมที่ออกมาข้างนอกคอนโดฯ ก็เหลือบมองจีซอกก่อนจะลอบถามอย่างระมัดระวัง
“นายกับพี่จีกอนทะเลาะกันเหรอ”
ถึงจะพอรู้คร่าวๆ อยู่แล้วว่าที่ระเบียงเมื่อคืนพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันและคุยด้วยบรรยากาศแบบไหน แต่ผมก็ยังตีเนียนถามเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร จีซอกจึงยิ้มเจื่อนๆ พลางตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนพร้อมกับเกาท้ายทอยตามคาด
“คนเป็นพี่น้องกันก็มีเรื่องให้กระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา อีกเดี๋ยวก็ดีกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็ทำนองนั้นแหละ”
หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรเลย และขอโทษที่ทำให้รู้สึกอึดอัด
ดูท่าว่าจะไม่ใช่แบบนั้นนะ…
ไม่ว่าจะสีหน้าที่เคร่งขรึมของจีซอก แววตาที่หวาดระแวง หรือคำพูดห้วนๆ ที่พูดใส่พี่จีกอน ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพฤติกรรมที่หาได้ยากจากจีซอกในยามปกติ ผมจึงไม่สามารถมองข้ามเหตุการณ์เมื่อครู่ไปได้ง่ายๆ แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้ผมฟังจนหมดเปลือก แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอบอกได้หรือเปล่าว่าสถานการณ์มันเป็นมายังไง หรือไม่ก็เกิดอะไรขึ้นกับพี่มินอา
ขืนผมนึกสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองหรือเปล่าแล้วดึงดันไปเซ้าซี้ถามจนในท้ายที่สุดก็ได้รู้ความจริงขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็คงมีแต่ตัวผมเองที่ต้องทนข่มอารมณ์และเก็บซ่อนความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนี้เอาไว้คนเดียว เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่ารู้ไปก็มีแต่จะช้ำใจหนักกว่าเดิม
ไม่ๆๆ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่จบกันพอดี
ผมสงบสติอารมณ์และข่มความหึงหวงที่ปะทุออกมาทีละน้อย ถ้าฟังเรื่องราวของจีซอกก็คงต้องมีเรื่องพี่มินอาโผล่มาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นขุดคุ้ยลึกลงไปก็รังแต่จะสร้างบาดแผลให้ใจตัวเองเปล่าๆ
ผมอยากหลีกหนีความอึดอัดและความเจ็บปวดใจที่ได้ประสบมาเมื่อวาน รวมถึงความรู้สึกพ่ายแพ้และความอ้างว้างว่างเปล่าที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวเองก็เช่นกัน
ผมสงบอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจ ก่อนจะเริ่มคุยไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบเดียวกับที่จีซอกทำ เราคุยกันตั้งแต่เรื่องงานกลุ่มว่าวันนี้สมาชิกในกลุ่มจะโผล่หัวมากี่คน ถ้าไม่มีใครมายันตอนตรวจสอบความเรียบร้อยของงานรอบสุดท้ายก็จะใจแข็งถอดชื่อคนคนนั้นออก ไปจนถึงเรื่องในบ้านว่ามื้อเย็นจะทำอะไรกินกันดี
ในขณะที่เรากำลังพูดเรื่องนั้นระหว่างที่เดินออกจากย่านคอนโดฯ ชายสวมฮู้ดคนหนึ่งที่เดินมาทางนี้ก็ชนไหล่ของผมอย่างแรงก่อนจะเดินผ่านไป ร่างกายผมเสียหลักจนจีซอกที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องรีบโอบรับเอาไว้
“นี่ เป็นอะไรไหม”
ไหล่ของผมโดนกระแทกจนเจ็บ แถมยังได้ยินเสียงดังปักอีก จีซอกจะตกใจก็คงไม่แปลก คนที่ชนไหล่ของผมอย่างแรงแล้วเดินผ่านไปเองก็น่าจะโดนกระแทกแรงไม่ต่างกัน แต่เขากลับไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลยสักนิด
จีซอกก้มมองไหล่และใบหน้าของผมที่เหยเกน้อยๆ ก่อนจะทนไม่ไหวแล้วตะโกนเสียงดังใส่ชายคนนั้น
“นี่คุณ! ชนคนอื่นก็ต้องขอโทษสิครับ!”
ถึงจะก้าวเท้าเร็วๆ แต่ระยะทางที่เดินผ่านไปนั้นก็ไม่ได้ไกลอะไร ทั้งที่น่าจะพอได้ยินเสียงแน่ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่หันหลังกลับมาเลยแม้แต่น้อย ผมที่หมดข้อสงสัยเลยห้ามปรามจีซอกที่ทำท่าจะตะโกนอีกครั้ง
“ช่างเถอะ เราไปกันดีกว่า”
“ไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ใช่ว่าไหล่หลุดไปแล้วหรอกนะ? ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ เราไม่มีเวลาแล้วนะ รีบไปมหา’ลัยกันเถอะ”
ผมคว้าข้อมือของจีซอกที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วเหลียวไปมองด้านหลัง ชายคนนั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตามทางของตัวเองเหมือนคนที่ไม่ได้ยินและไม่รับรู้อะไร
ไม่ว่าจะขอโทษหรือไม่ อย่างน้อยๆ ถ้าชนคนแรงขนาดนี้ก็น่าจะหันมามองกันบ้าง แต่ชายคนนั้นกลับเมินเฉยโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาจงใจเล็งผมและพุ่งมาชนไหล่ตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นคนที่เคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่านะ
ผู้ชายคนนั้นสวมฮู้ดมิดชิดเลยเห็นหน้าไม่ชัด แต่ผมก็แน่ใจว่าเขามีส่วนสูงไล่เลี่ยกันกับผม ผมทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ว่ามีคนแบบนั้นอยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า ก่อนจะเหลียวไปมองด้านหลังอีกครั้ง
ผมเห็นชายคนเมื่อครู่นี้กำลังจ้องเขม็งมาทางผมจากที่ไกลๆ โดยที่มือทั้งสองข้างสอดอยู่ในกระเป๋าแจ็กเก็ตฮู้ด
เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงคลาสที่ต้องรวมตัวนำเสนองานกลุ่มครั้งสุดท้าย แต่สถานที่นัดรวมตัวกลับยังมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมีคนหายหัวไปถึงสองคน
พอถึงขั้นนี้แล้วความรู้สึกเอือมระอาและความขุ่นเคืองก็ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน
“คังจีซอก ถอดชื่อเจ้าพวกนี้ออกไปให้หมด”
“ถอดแล้ว”
จีซอกลบชื่อทั้งสองคนออกจากไฟล์พรีเซนเทชั่นพร้อมกับขมุบขมิบปากแช่งชักสมาชิกที่อู้งานและยังติดต่อไม่ได้ สมาชิกอีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมกับจีซอกเองก็พากันด่ากราดสมาชิกที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ว่าทำตัวน่าขยะแขยง ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งจะมาเริ่มทำงานตอนช่วงกลางๆ
แต่ก็โชคดีที่ทางนี้คิดเผื่อไว้แล้วว่าทั้งสองคนคงไม่มาเลยเตรียมการมาอย่างรอบคอบ เรื่องการนำเสนอคงไม่เป็นปัญหา แต่การที่อาจารย์เรียกชื่อสองคนนั้นที่ถูกถอดชื่อออกไปก็คงจะทิ่มแทงใจอย่างเจ็บปวดเหมือนลูกธนูอยู่เหมือนกัน
พอเราสี่คนตรวจเช็กงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าห้องเรียน ไอ้พวกอู้งานสองคนนั้นถึงได้เดินยิ้มแฉ่งมาหาเรา พวกนั้นอ้างโน่นอ้างนี่แล้วโดดงานกลุ่มไป คนที่รับหน้าที่นำเสนอจึงแกล้งพูดเสียงแหบแห้งถึงจะไม่แนบเนียนสักเท่าไหร่ก็ตาม ส่วนคนที่รับหน้าที่ทำพรีเซนเทชั่นเองก็ชูนิ้วมือที่พันผ้าพันแผลไว้อย่างลวกๆ ให้ดูพลางบอกว่ายังไม่หายเจ็บดี พอจีซอกที่ต้องนำเสนอแทนยิ้มพลางบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งสองคนก็เอ่ยขอบคุณยกใหญ่พร้อมบอกว่าพวกผมใจดีจริงๆ
แต่หลังจากเห็นว่าชื่อของตัวเองถูกถอดออกจากสไลด์ คนพวกนั้นก็มองเราด้วยสายตาโกรธแค้น แต่สุดท้ายก็ถูกอาจารย์เรียกไปหาทันทีที่จบคลาส พอเห็นไหล่ที่ห่อลงกับสีหน้ากระวนกระวายแล้วก็รู้สึกสมน้ำหน้าชะมัด
ผมทำงานจนร่างแหลกแทบทุกวันแล้วไง พวกเพื่อนคนอื่นๆ กลับลากผมมาก๊งเหล้าด้วยสีหน้าโล่งใจเหมือนเพิ่งผ่านการสอบครั้งใหญ่เสร็จ เพื่อนบางคนโบกมือลางานกลุ่มที่น่าเข็ดขยาดพลางบอกว่ายอมทำงานเดี่ยวสิบชิ้นยังจะดีเสียกว่า
“อ้า! เหล้านี่โคตรสุดเลยว่ะ”
เพื่อนคนหนึ่งโบกแก้วโซจูเหนือศีรษะของตัวเองเป็นการใหญ่ เหล้าโซจูสองสามหยดหยดลงบนศีรษะ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด ผมครุ่นคิดว่าถ้าเมาแอ๋แล้วหลับไปทั้งแบบนี้โดยไม่สระผมคงเหม็นหึ่งแน่ แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่แล้วเลยปล่อยเลยตามเลย
พองานกลุ่มที่สำคัญเสร็จลุล่วง ทีนี้ก็เหลือวิกฤตอยู่อีกอย่างเดียวคือการสอบปลายภาค ขอแค่ผ่านมันไปให้ได้ แล้วปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่โหยหาก็จะมาถึง
พอพูดถึงฤดูร้อนแล้ว คังจีซอกก็ยังคงเป็นคังจีซอกที่มักจะป่วยออดๆ แอดๆ อย่างไม่เข้ากับขนาดตัวอยู่วันยังค่ำ ส่วนผมเองก็มีปัญหายุ่งยากมากมายเหมือนกัน
กิจวัตรประจำวันของผมในฤดูร้อนคือการนอนแผ่กับพื้นห้องเย็นๆ อย่างหมดแรงเหมือนหมากฝรั่งหนืดๆ แล้วพอถึงฤดูฝนทีไรร่างกายก็มักจะหนักอึ้งและเซื่องซึมเป็นไก่ป่วยเพราะอากาศชื้นและท้องฟ้าที่มืดครึ้ม เมื่อเทียบกับคังจีซอกที่ลำพังแค่เอาชนะไข้หวัดได้ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาได้แล้ว ผมที่เป็นแบบนั้นตลอดทั้งฤดูร้อนไม่สามารถนับจำนวนซัมกเยทัง* ที่ถูกเขาจับป้อนตลอดระยะเวลาสามเดือนได้เลย
พอคิดแบบนั้นแล้วในหัวผมก็คิดแค่ว่าปิดเทอมนี้จะนอนตัวอ่อนเปลี้ยยังไงดีมากกว่าที่จะคาดหวังถึงวันหยุดที่กำลังใกล้เข้ามา ระหว่างนั้นบรรดาเพื่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าเติมเหล้าไปกี่แก้วแล้วก็กำลังเมาปลิ้นกันได้ที่ คังจีซอกที่ตะโกนดังลั่นว่า ‘เทเลย ดื่มเลย’ เองก็อยู่ในสภาพเดียวกัน เพื่อนที่กำลังเล่นเกมกันอย่างคึกคะนองเทเหล้าใส่แก้วของผม ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจต้องชนแก้วไปกับเขาด้วย
ผมกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบตัวแล้วดื่มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเริ่มเมากรึ่มๆ และใบหน้าร้อนวูบวาบ
นี่เราดื่มไปกี่แก้วแล้วนะ…
ในหัวของผมมึนตึ้บจนคำนวณอะไรไม่ได้ ทั้งที่ดีกรีเหล้าก็ไม่ได้แรงอะไรมากมาย แต่การยกดื่มโซจูที่ไม่ได้ดื่มมานานติดๆ กันหลายแก้วก็เล่นเอาผมเมาได้เหมือนกัน
ผมอังมือบนหน้าผากที่ร้อนผ่าวพลางหยิบมือถือออกมาดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว แต่สิ่งแรกที่สะดุดตาก่อนเลขบอกเวลาคือข้อความจากพี่จีกอนที่เด้งขึ้นมากลางหน้าจอ
ดื่มหนักเกินไปหรือเปล่า
ฉับพลันนั้นผมก็รู้สึกสร่างเมาขึ้นมาทันทีทันใด ผมเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของพี่จีกอนเลย
และในตอนนั้นเองข้อความก็เด้งขึ้นมาอีกหนึ่งข้อความ
หยุดดื่มดีกว่านะ หน้าแดงหมดแล้ว
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าที่ร้อนจนขึ้นสีแดงเรื่ออีกครั้ง ตัวพี่เขาไม่ได้อยู่ในร้านก็จริง แต่ผมเห็นรถยนต์คันคุ้นตาผ่านกระจกร้านฝั่งที่อยู่ใกล้กับที่นั่งของผมมากที่สุด หน้าต่างฝั่งที่นั่งคนขับของรถคันนั้นถูกเลื่อนลงมาประมาณหนึ่งในสาม ผมเห็นดวงตาที่คุ้นเคยผ่านช่องว่างนั้น ดวงตาของคนที่สบสายตากันอยู่กำลังหยียิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเหมือนคังจีซอก
ทีแรกผมนึกว่าตัวเองตาฝาดไป ทั้งที่ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วพี่จีกอนรู้จนตามมาเจอได้ยังไงกัน
“มัวทำอะไรอยู่ ไม่รีบดื่มล่ะ”
เพื่อนคนหนึ่งปรือตาพลางโอบไหล่ของผมแล้วยื่นแก้วที่มีโซจูอยู่เต็มแก้วใส่มือผม ผมที่เห็นพี่จีกอนแล้วสร่างเมาขึ้นมาทันตาจึงวางแก้วลงเพราะตั้งใจจะหยุดดื่ม ทว่าเพื่อนคนนั้นกลับกุมมือของผมที่จับแก้วอยู่แล้วบังคับให้กระดกเข้าปาก
“เฮ้ย ฉันดื่มไปเยอะแล้ว”
“ลิ้นยังปกติดีนี่ ดื่มเยอะอะไรกัน คืนนี้ยังอีกไกลเว้ย เอ้า ดื่มๆๆ!”
“ใช่! ดื่มให้เมาแอ๋กันไปเลย!”
เพื่อนคนอื่นพากันรุมกดดันผมอีกแรง ผมที่ต้านแรงกดดันไม่ไหวเลยกรอกโซจูเข้าปากไปรวดเดียวจนรู้สึกว่าลำคอร้อนวูบวาบ หลังจากนั้นหัวผมก็ตื้อไปหมดเพราะอาการเบลอ
“จะรีบชิ่งไปไหนนายน่ะ จัดอีกแก้วเลย โทษฐานที่ขี้ขลาด”
ทันทีที่แก้วว่างเปล่าก็มีคนมาเติมโซจูให้ใหม่ ผมหยิบขนมที่เป็นกับแกล้มมากินพลางยกดื่มช้าๆ แต่ไอ้พวกนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดกัน
หลังจากดื่มโซจูไปสามแก้วติดกัน ผมก็เมาหนักจนใบหน้าร้อนผ่าวราวกับจะระเบิด หัวของผมเต้นตุบๆ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจ อีกทั้งยังรู้สึกล่องลอยเหมือนกับว่าเท้าอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยลูกโป่ง
“เฮ~ อีกแก้วโว้ย!”
“…ไอ้อาจารย์…ไอ้เวรตะไลเอ๊ย! เป็นอาจารย์แล้วไงวะ?!”
เสียงเมาอ้อแอ้ดังมาจากรอบด้านก่อนที่เหล้าจะถูกเติมใส่แก้วของผมอีกครั้ง ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าต่อให้เติมอะไรมาก็คงต้องดื่มโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธหรือเลือกที่จะดื่มแต่พอควรอีก เพราะต่อให้ไม่ดื่มก็ถูกบังคับจับกรอกเข้าปากอยู่ดี
ผมยกแก้วโซจูขึ้นมาด้วยความที่เริ่มชิน แต่แล้วก็ถูกมือของใครบางคนที่โฉบมาจากทางด้านข้างฉวยเอาไป
“อูซอยา…ฮึก…นายดื่ม…ฮึก…มากไปแล้วนะ”
คนที่แย่งแก้วโซจูของผมไปและกำลังสะอึกฮึกๆ อยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคังจีซอก เพื่อนคนอื่นเห็นอย่างนั้นก็พยายามแย่งคืนแล้วบอกให้เขาดื่มเหล้าของตัวเองไป แต่คังจีซอกกลับยิ้มกริ่มแล้วซัดเหล้าของผมเข้าปากไปรวดเดียว จากนั้นเขาก็ถือแก้วสองใบไว้ในมือสองข้าง ก่อนจะขอเติมอย่างกระตือรือร้น เพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้แล้งน้ำใจจึงพากันเทโซจูใส่แก้วสองใบให้เพื่อนตัวเองอีกครั้ง
ผมมองคังจีซอกที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพตัวอ่อนปวกเปียก พอเห็นคังจีซอกเมาแอ๋เต็มที่แล้ว หัวใจก็พลันเต้นโครมครามกับการที่เขาเป็นห่วงผม ทว่าความรู้สึกนั้นกลับเหือดแห้งไปในพริบตาเดียว
‘ผมยังชอบพี่มินอาอยู่’
ทำไมต้องนึกถึงคำพูดนั้นขึ้นมาตอนนี้ด้วยนะ
คำสารภาพของคังจีซอกที่ดังก้องอย่างบ้าคลั่งในหัวที่ปวดตื้อทำให้อารมณ์ที่ครึกครื้นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เปลี่ยนเป็นหมดอาลัยตายอยากแทน
ผมเท้าคางกับแขนที่พาดอยู่บนโต๊ะขณะมองคังจีซอกด้วยสายตาที่พร่าเบลอ เหล้าสีใสถูกเติมใส่ในแก้วเหล้าของผมที่ยังอยู่ในมือของเขา ก่อนที่เขาจะกรอกเข้าปากจนหมดเกลี้ยงไปในพริบตา ไม่นานนักคังจีซอกก็วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วทิ้งมันไว้ราวกับไม่มีเจ้าของ
ผมรู้ตัวดีว่าผมกำลังเอาความรู้สึกของตัวเองไปใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถึงจะรู้ว่ามันคือฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และผลข้างเคียงของเหล้า แต่ผมก็อดที่จะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังตีรวนอยู่ข้างในไม่ได้ และความรู้สึกตีรวนที่ว่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อท้องไส้ของผมจนผมต้องรีบลุกจากที่นั่ง
ผมเดินไปที่ห้องน้ำเพราะอาการคลื่นไส้ที่ตีรวนขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดินหนีจากพื้นที่ข้างนอกที่มีกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งออกมาพ้นแล้วหรือเปล่า ภายในห้องน้ำถึงได้แลดูเงียบสงบต่างจากที่กังวลเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ผมกำลังลูบหน้าอกอยู่ดีๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาเลยเท้าแขนกับอ่างล้างมือไว้ก่อนจะลองแตะหน้าผากดู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้ขึ้นหรือยังไง ทั้งที่ฝ่ามือมีอุณหภูมิปกติ แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวจนเกินคำว่าอุ่นไปไกล พอเงยหน้าขึ้นมองกระจกบนผนัง ผมก็รู้สึกราวกับว่าทั้งตัวกำลังถูกคลอกด้วยไฟ
ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงประตูที่ถูกเปิดดังปัง ก่อนที่คังจีซอกจะเดินเข้ามา ถึงใบหน้าของเขาจะแดงก่ำไม่ต่างจากผม แต่ดวงตาของเขาดูจะปรือปรอยกว่าผมเล็กน้อย
“อะไรน่ะ นายเองก็มาเข้าห้องน้ำเหรอ”
จีซอกที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลันขมวดคิ้วมุ่นราวกับเป็นห่วงผม
“นายไหวไหมเนี่ย คลื่นไส้เหรอ หรือว่าเวียนหัว? อยากกลับคอนโดฯ ไหมล่ะ”
ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ กับการที่เขาเดินเข้ามาอย่างเป็นห่วงเกินเหตุแบบนี้ ทั้งที่เขาก็ทำตัวไม่ต่างไปจากปกติและต่อให้เมายังไงก็ยังทำตัวเหมือนเดิม แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกชังน้ำหน้าเขาไปหมดทุกอย่างเลยนะ
คังจีซอกก็น่าจะปฏิบัติกับเพื่อนแบบนี้เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่ใช่แค่กับผมหรอก กับคนอื่นเขาก็คงจะถามแบบนี้และปฏิบัติแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรู้สึกขอบคุณและหวั่นไหวกับน้ำใจนี้ แล้วก็คงจะรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการดูแลปฏิบัติเป็นพิเศษจนทะนงตนว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เขาใส่ใจราวกับเป็นคนรัก แต่ตอนนี้ผมไม่อาจยอมรับความหวังดีของเขาได้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เพราะความรู้สึกที่ว้าวุ่นและความคิดที่ยุ่งเหยิงของตัวผมเอง
‘ผมยังชอบพี่มินอาอยู่’
อยากจะบ้าตาย
คำพูดนั้นของคังจีซอกพุ่งเข้ามากระแทกศีรษะของผมเข้าอย่างจังอีกครั้งราวกับตอกย้ำว่าต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ผมก็ไม่มีทางอยู่ในขอบเขตการยอมรับของคังจีซอกได้เหมือนพี่มินอา
เพียะ!
ผมปัดมือที่ยื่นมาตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ผมจ้องหน้าคังจีซอกที่ขบกัดริมฝีปากพลางจ้องมองอย่างตกใจ ก่อนจะเดินกระแทกไหล่เขาด้วยฝีเท้าที่โซซัดโซเซ
ผมกลับมาที่เก้าอี้ของตัวเองแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมา ขณะที่สายตาเหลือบมองไปเห็นว่าเพื่อนสองคนในกลุ่มได้ล้มฟุบไปแล้ว เพื่อนที่ยังพอมีสติอยู่รั้งผมเอาไว้พลางถามว่าจะไปไหน ผมเลยควักเงินค่าเหล้าไม่กี่หมื่นวอนให้หมอนั่นแล้วรีบออกมาอย่างเงียบๆ
พอออกมาข้างนอก ร่างกายผมก็ปะทะเข้ากับสายลมที่พัดมาแรงมาก ทั้งที่อีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่อากาศกลับหนาวเย็นจนเสียวสันหลังวาบ แต่คงเป็นเพราะผมที่กำลังอยู่ในสภาพตัวร้อนผ่าวด้วย
ครืด…
พอได้ยืนตากลมนอกร้าน ผมก็นึกถึงมือถือที่เสียบเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาได้ ดูจากการที่มันสั่นอย่างต่อเนื่องแล้วน่าจะมีใครสักคนโทรเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากรับสายตอนนี้ แล้วก็ไม่อยากจะสนใจด้วย
ผมก้าวขาออกไปโดยเมินแรงสั่นนั้นพร้อมกับความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและภาพเบื้องหน้าที่โคลงเคลง บางทีถ้าได้เดินกลับคอนโดฯ ไปทั้งอย่างนี้ ความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใจก็อาจจะสงบลงและสร่างเมาก็ได้
ทว่าในตอนที่ผมเพิ่งจะเดินไปได้เพียงสามก้าวภาพเบื้องหน้าก็พลันวูบไหว ก่อนที่จู่ๆ ร่างกายผมจะเซล้มไปด้านหลัง แต่ผมก็พลันต้องทำหน้าเหยเกไปโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่แสนคุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ออกมาทำไม ดื่มกันเสร็จแล้วเหรอ”
คนที่ผมเห็นผ่านสายตาที่พร่ามัวคือคังจีซอกที่กำลังมุ่นคิ้วถามด้วยสายตากังวลเหมือนเมื่อครู่นี้
“ปล่อยฉันแล้วไสหัวไปซะ”
ทั้งที่ผมว้าวุ่นใจจนอยากอยู่คนเดียวเพื่อจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ไอ้ตัวการนี่ก็ยังจะหน้าด้านมายุ่มย่ามกับผมอยู่ได้
ผมเหวี่ยงแขนที่ถูกจับไว้แล้วพยายามผลักอีกฝ่ายออก แต่กลับถูกอีกฝ่ายรวบแขนอีกข้างเอาไว้ด้วยเสียอย่างนั้น
“พอเมาแล้วปากเก่งเชียวนะ”
ชั่วขณะที่ตะคอกใส่คังจีซอกที่ทำตัวน่ารำคาญไปหนหนึ่ง ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเสียงของเขานั้นทุ้มต่ำต่างจากตอนที่อยู่ในห้องน้ำ พอพินิจมองอย่างละเอียดดูอีกที ผมถึงได้เห็นว่าคนที่อยู่ในชุดสูทสะอาดเอี่ยมกำลังส่งยิ้มอย่างผู้ใหญ่มาให้ผมอยู่
“…พี่?”
ตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คังจีซอกแต่เป็นพี่จีกอน พอลองคิดดูผมก็นึกขึ้นได้ว่าพี่เขามาที่นี่ตั้งแต่ตอนที่พวกผมกำลังจัดหนักกันก่อนหน้านี้แล้ว ผมมัวแต่สนใจคังจีซอกกับเหล้าเลยลืมไปเสียสนิทว่าพี่จีกอนเองก็อยู่ที่ร้านนี้ด้วย
“เอ่อ…ขอโทษครับ ตอนนี้ผมไม่ค่อยมีสติก็เลย…”
ผมรีบพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิดและความงงงวยปะปนกัน แต่ดูเหมือนว่าลิ้นของผมที่แต่เดิมก็อ่อนเปลี้ยอยู่แล้วจะพันกันมั่วไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดีที่พี่จีกอนช่วยประคองตัวผมไว้โดยไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจอะไร
“เพื่อนคนอื่นยังอยู่กันครบ นายออกมาแบบนี้ได้เหรอ”
“ครับ…พอดีผมว่าจะหยุดดื่มแล้วน่ะครับ”
ผมหลุบตาลงต่ำก่อนจะเบือนหน้าหนี แต่พี่เขาก็จับใบหน้าของผมเบาๆ ให้หันไปสบตากัน
“รู้ตัวไหมว่านายติดนิสัยหลุบตาลงต่ำเวลาว้าวุ่นใจน่ะ”
พี่เขายิ้มอย่างเป็นห่วงพลางใช้นิ้วโป้งแตะลงที่ใต้ตาผมก่อนจะลูบไปมาเบาๆ ทั้งที่เป็นนิสัยที่ผมทำไปโดยไม่รู้ตัวแท้ๆ แต่ผมก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้จริงๆ ที่เขาสังเกตเห็นมัน และผมก็รู้สึกทึ่งอีกเช่นกันกับการที่พี่เขามาอยู่ที่นี่ ไหนจะเรื่องที่พี่เขาเหมือนกับคังจีซอกขนาดนี้อีก…ทุกอย่างมันน่าทึ่งไปหมด
“พี่รู้แล้วมาที่นี่ได้ยังไงครับ”
พี่จีกอนหยิบมือถือขึ้นมาโชว์ข้อความหนึ่งให้ดูโดยไม่พูดไม่จาอะไร
ออกมาดื่มกับเพื่อน น่าจะกลับดึก ไม่ต้องรอนะ
มันเป็นข้อความที่คังจีซอกส่งถึงพี่เขา พอผมถามพี่เขาผ่านสายตาว่าทั้งที่มีข้อมูลอยู่เท่านั้นแล้วรู้ยันตำแหน่งร้านได้ยังไง พี่เขาก็ยิ้มกริ่มให้
“เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าเจ้านี่มีร้านประจำที่มักจะมาทุกครั้งเวลาดื่มกับเพื่อน พี่ก็เลยพอรู้คร่าวๆ ว่าอยู่ที่ไหนน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตระหนักได้ว่าเรามาร้านเหล้าร้านนี้ทุกครั้งเวลาดื่มกับกลุ่มเพื่อน ด้วยความที่ร้านนี้เป็นร้านใกล้มหาวิทยาลัยที่กับแกล้มราคาน่าคบหาและเจ้าของร้านใจกว้างมาก พวกนักศึกษาเลยแวะเวียนมากินดื่มกันอยู่บ่อยๆ
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พี่ดูท่าทีแล้วกลัวว่านายจะดื่มกันยันเช้ามืดไม่ยอมกลับบ้านก็เลยมาหาน่ะ พอดีพรุ่งนี้พี่ต้องออกไปข้างนอกด้วย”
ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าพี่เขากำลังกังวลเรื่องอะไร พี่เขาไม่สามารถนอนหลับได้โดยไม่มีผม และมันก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่ต่องานของพี่เขาในวันพรุ่งนี้ พี่เขาก็เลยอดกังวลใจไม่ได้ แถมเวลานี้ก็เลยห้าทุ่มมาแล้วด้วย
“ขอโทษครับ ถ้างั้นเรากลับห้อง…”
ผมเอ่ยปากก่อนจะกลืนคำพูดลงคอไปทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบ พอมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ถ้ากลับคอนโดฯ ไปด้วยอารมณ์นี้ผมคงจะหงุดหงิดงุ่นง่านน่าดู ผมเกลียดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจและไม่ชอบเวลาที่ในหัวมีแต่เรื่องที่เอาออกไปไม่ได้สักที
ถ้ามีที่ไหนสักที่ให้ได้นั่งปรับทุกข์ก็คงจะดี
หลังจากครุ่นคิดเสร็จผมก็คว้าแขนของพี่เขาไว้เบาๆ
“เอ่อคือ…ดื่มกับผมสักแก้ว…ได้ไหมครับ”
นี่ผมจับตัวคนที่ต้องไปทำงานพรุ่งนี้ไว้แล้วพูดอะไรออกไปเนี่ย
ผมหวังในใจให้พี่เขาทำเป็นไม่ได้ยินแล้วพาผมกลับคอนโดฯ แต่พี่เขากลับพาผมไปทางที่รถจอดอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นอย่างอารมณ์ดี
“สักสองแก้วก็ได้นะ”
พี่จีกอนตอบตกลงในทันทีราวกับรอคอยคำพูดของผมอยู่
* ซัมกเยทัง หรือไก่ตุ๋นโสม เป็นการนำไก่ไปตุ๋นกับสมุนไพรต่างๆ ที่มีฤทธิ์ช่วยคลายร้อน เช่น โสม พุทราจีน เกาลัด เป็นต้น โดยมักทานกันในฤดูร้อนเพราะช่วยคลายร้อน รวมถึงเรื่องของการปรับสมดุลในร่างกาย และทำให้รู้สึกสดชื่น