everY
ทดลองอ่าน Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)
แปลโดย : จื่อซิน
ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1 หอพักเด็กฝึก (1)
เข็มสั้นของนาฬิกาหยุดนิ่งตรงเลขเจ็ด
บนเตียงมีแสงเย็นตาส่องสว่าง ก่อนตกกระทบลงบนใบหน้าของทุกคนที่กำลังหลับใหลอยู่อย่างแม่นยำ
“ขอให้เด็กฝึกระทึกขวัญทุกท่าน ล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จภายในสามสิบนาที จากนั้นรีบไปรวมตัวกันที่สตูดิโอบนชั้นสาม”
“ขอให้เด็กฝึกระทึกขวัญทุกท่าน ล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จภายในสามสิบนาที จากนั้นรีบไปรวมตัวกันที่สตูดิโอบนชั้นสาม”
“ขอให้เด็กฝึกระทึกขวัญทุกท่าน ล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จภายในสามสิบนาที จากนั้นรีบไปรวมตัวกันที่สตูดิโอบนชั้นสาม”
จู่ๆ น้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ก็ดังขึ้นมากลางอากาศ เอ่ยคำสั่งเดิมซ้ำๆ อยู่สามครั้ง
คนที่นอนอยู่บนเตียงชั้นล่างคนหนึ่งสะดุ้งตื่น เขากระวีกระวาดคลานลงจากเตียงจนเกือบล้มคะมำกระแทกพื้น
ส่วนอีกคนก็ตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “นาย…นายได้ยินเสียงนั่นมั้ย”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ก่อนจะสังเกตเห็นความตกใจที่ไม่คิดปิดบังในแววตาของกันและกัน
ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะแสดงออกเช่นนั้น
เพราะตลอดทั้งวันทั้งคืนที่ผ่านมา พวกเขาสำรวจหอพักแคบๆ แห่งนี้จนครบทุกซอกทุกมุมแล้ว
หอพักมีสภาพซอมซ่อโกโรโกโสเป็นทุนเดิม ไม่มีหน้าต่าง ผนังทั้งสี่ด้านขาวซีด ภายในห้องมีเตียงเหล็กสองชั้นตั้งอยู่สี่หลัง แม้แต่ผ้าห่มก็ยังเก่าเก็บจนส่งกลิ่นอับชื้นจากเชื้อรา
ในห้องน้ำมีกระจกติดไว้บนผนังแค่บานเดียว อ่างล้างหน้ากลายเป็นสีเหลืองแสนโสโครก มีม้วนทิชชูอีกหนึ่งม้วนห้อยอยู่บนผนัง นอกจากจะไม่มีส้วมแล้ว รอยแตกบนผนังยังเต็มไปด้วยตะไคร่สีเขียวคล้ำ หลอดไฟล้าสมัยสีขาวซีดห้อยอยู่บนฝ้าเพดาน มีพื้นที่กว้างพอสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น มันแคบจนน่าอดสู
ภายในห้องพักนี้ไม่มีวิทยุหรืออุปกรณ์สำหรับติดต่อสื่อสารอยู่เลย ทว่าเสียงหุ่นยนต์ที่ดังขึ้นเมื่อสักครู่กลับก้องอยู่ในหูของพวกเขาทุกคน
ท่ามกลางความเงียบงัน ใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นับตั้งแต่เสียงหุ่นยนต์ดังขึ้นเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
ในหนึ่งวันที่ผ่านมานี้ คลื่นลมเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ไม่มีใครสักคนรู้ว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้
พวกเขามาจากทั่วทุกมุมโลก อาชีพมากมายหลายหลากแตกต่างกันออกไป ในบรรดาผู้คนเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง ทว่าอัจฉริยะและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ จากแต่ละที่ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน มีทั้งพนักงานทำความสะอาดธรรมดาๆ ที่ต้องคอยกวาดถนนอยู่ทุกวัน คนไร้บ้านที่วันๆ เอาแต่นั่งขอทานอยู่ริมถนน ทั้งยังมีบุคลากรจากแวดวงศิลปะการแสดงที่ผู้คนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมืองซึ่งปกติจะพบเจอได้แค่บนจอเงินเท่านั้น แม้แต่มหาเศรษฐีพันล้านบ้านรวยที่ติดอันดับในนิตยสารฟอร์บส* ก็ยังมี
แต่ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นถูกบังคับให้มารวมตัวกันที่หอพักรวมของรายการวาไรตี้รายการหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เด็กฝึกระทึกขวัญ’
วินาทีก่อนหน้านี้บางคนยังอยู่ในฉากการแสดง อยู่บนเครื่องบินเพื่อเตรียมลงจอด เตรียมว่าความอยู่ในชั้นศาล เตรียมเครื่องมือรักษาพยาบาลอยู่ในห้องผ่าตัด หรือพูดปาฐกถาอยู่บนเวที…
แต่วินาทีถัดมาพวกเขาทั้งหมดล้วนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น มันเหมือนกับการเปลี่ยนฉากในภาพยนตร์หรือคาถาหายตัวแบบในแฮร์รี่ พอตเตอร์ พริบตาเดียวก็โผล่มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
เทพไม่รู้ผีไม่เห็น*
ไม่มีใครอธิบายกลอุบายแปลกประหลาดพรรค์นี้ได้เลย แถมคนที่ถูกย้ายมายังเปิดประตูห้องพักไม่ได้ด้วย ได้แต่นั่งเฉาอยู่เช่นนี้
“ฉันจะฟ้องว่ารายการนี้มันจับคนมากักขังหน่วงเหนี่ยว!”
ชายหนุ่มหน้าตาโดดเด่นคนหนึ่งใช้มือทุบลงบนเตียงอย่างแรง
เขาคือเมนโวคอลของบอยแบนด์วงหนึ่งที่กำลังดังเปรี้ยงปร้างอยู่ในวงการ มีแฟนคลับมากมาย ชื่อเสียงเรียงนามและข่าวของเขามักจะขึ้นอันดับค้นหายอดนิยมบนเวยป๋ออยู่เป็นประจำ แม้คนอื่นๆ ในหอพักจะไม่ได้ตามศิลปินดารา แต่ก็มีไม่น้อยที่รู้จักเขา
ตอนนี้ซย่าชวนรู้สึกกระวนกระวายใจ
ตัวเขากำลังโด่งดัง ตารางงานจึงแน่นเอี๊ยดอยู่ตลอด ต้องถ่ายงาน อัดรายการตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ถ้าขาดงานหนึ่งวันโดยไร้สาเหตุก็ยังพอเอาตัวรอดได้ด้วยการบอกว่าไม่สบาย แต่ตอนนี้เขายังติดแหง็กอยู่ที่นี่ ออกไปไหนไม่ได้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็ ค่าผิดสัญญาที่ต้องชดใช้ก็คงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ และทางบริษัทไม่มีทางยอมรับผิดชอบแทนเขาแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้…
“พี่ซย่า พี่ก็ใจเย็นก่อน เมื่อกี้เสียงนั่นบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ไปรวมตัวกันที่ชั้นล่างอะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครมาเปิดประตูให้เราก็ได้” ใครคนหนึ่งเอ่ยปลอบใจเขา “พี่เป็นถึงดาราดัง อยู่ๆ หายตัวไปแบบนี้ อย่าว่าแต่แฟนคลับจำนวนมหาศาลของพี่เลย ยังไงทางบริษัทก็ต้องไปแจ้งความอยู่แล้ว อย่าเพิ่งวู่วาม”
ซย่าชวนกำลังจะอ้าปากพูด แต่หูกลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากเตียงด้านบนเสียก่อน
เส้นผมยาวๆ สีขาวห้อยตกลงมาจากขอบเตียงด้านบน ดูเหมือนว่าใครคนนั้นกำลังชะโงกหน้ามองลงมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ไม่นานก็เคลื่อนสายตากลับไป
จากนั้นข้อเท้าขาวนวลดุจแสงจันทร์ก็ไถลลงมาจากเตียงด้านบน เหยียบลงบนบันไดเหล็กแล้วกระโดดลงพื้นอย่างนิ่มนวล
ชายหนุ่มมีผิวขาวซีด และด้วยรูปร่างสูงโปร่งผอมเพรียวจึงทำให้เสื้อของเขาดูหลวมโคร่ง ผมยาวสีขาวปล่อยสยายไว้ด้านหลัง ปลายผมยาวจรดเอว มันขาวสว่างจนส่องประกายอยู่ภายในห้องที่เปิดไฟสีนวล คล้ายมีเกล็ดน้ำแข็งระยิบระยับเกาะ บางทีอาจไม่จำเป็นต้องสาธยายเช่นนี้ก็ได้ เพราะต่อให้ยืนอยู่เฉยๆ เขาก็ยังกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย
หลังลงมาจากเตียงเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ครั้นอ้าปากหาวเสร็จก็เดินตรงไปยังห้องน้ำที่ไม่มีใครใช้ก่อนเลื่อนม่านปิด
เจ็ดคนที่เหลือหันมองหน้ากัน
เพราะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อคืนจึงไม่มีใครนอนหลับเลยสักคน แต่คนผมขาวคนนี้นี่สิ เมื่อวานตอนที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกันอยู่ คนคนนั้นกลับนั่งบริหารนิ้วมืออยู่อีกด้านหนึ่งด้วยท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมยังนอนหลับสนิทตลอดคืน ท่าทางดูไม่เครียดกับสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เลยสักนิด
ใครคนหนึ่งเอ่ยพึมพำเสียงเบา “วางท่าโคตร”
หากใช้คำว่าสวยกับผู้ชายอาจจะฟังดูแปลก แต่ถ้าได้เห็นใบหน้านี้ คำว่าแปลกจะอันตรธานหายไปทันที
เพราะมันคือความสวยงามที่อยู่เหนือเพศสภาพ
ท่ามกลางความเงียบงัน ซย่าชวนเป็นฝ่ายหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมาก่อน “ผู้ชายเกิดมาหน้าตาแบบนี้ เหมือนผู้หญิงเลย มีอะไรน่ามองกัน”
คนอื่นๆ แอบยกให้ซย่าชวนเป็นหัวโจก ตอนนี้ถึงได้เออออห่อหมกตามไปด้วย
“ก็จริง ต้องมีเสน่ห์สมชายชาตรีอย่างดาราดังแบบพี่ซย่าต่างหาก หน้าอ่อนแบบนั้น ถ้าไม่ดูให้ดีๆ ก็นึกว่าเป็นผู้หญิง!”
พวกเขาไม่คิดจะเบาเสียงของตัวเองลงเลย ห่างกันเพียงม่านพลาสติกคุณภาพต่ำกั้น เสียงหัวเราะเย้ยหยันเหล่านั้นจึงดังลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของจงจิ่วได้อย่างง่ายดาย
จงจิ่วเหลือบตาขึ้นด้วยความเบื่อหน่าย สิบนิ้วเรียวยาวของเขาปราดเปรียวว่องไว เขาใช้ยางมัดผมสีดำรวบผมยาวน่ารำคาญของตัวเองไว้หลังศีรษะอย่างเก้ๆ กังๆ
นิ้วมือของเขาเคลื่อนไหวอย่างพิลึกพิลั่น นอกจากข้อนิ้วจะแข็งเกร็งแล้ว ปลายนิ้วยังสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ แปลกประหลาดมากทีเดียว
ใบหน้าของคนในกระจกงามสง่า หางตาเรียวยาว เพราะมีความอิดโรยซุกซ่อนอยู่เล็กน้อยทำให้เวลาเขาช้อนตาขึ้นยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่
เทียบกับอีกหลายคนที่พยายามเรียกสติตัวเองอยู่ด้านนอก ซ้ำยังนอนไม่พอจนหน้าดำคร่ำเครียดเหล่านั้นแล้ว สีหน้าของจงจิ่วดูดีกว่าพวกนั้นไม่น้อยเลย
เดิมทีนักเขียนใช้ศัพท์ฟุ่มเฟือยมากมายมาบรรยายความงามเหนือเพศสภาพนี้ เรียกได้ว่ายกยอปอปั้นเสียจนเหมือนไม่มีอยู่จริง งดงามยิ่งกว่าทิวทัศน์ในสารทฤดู ไร้ผู้เทียบเคียง ชวนให้ผู้คนลุ่มหลง
ตอนที่จงจิ่วได้อ่านนิยายเรื่องนี้ เขาคิดว่าคำบรรยายมันทั้งเลี่ยนทั้งเกินจริง แต่พอทะลุมิติเข้ามาอยู่ในตัวละครตัวนี้ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่นักเขียนบรรยายเอาไว้ไม่มีส่วนไหนผิดเลย มันเป็นความงดงามที่ไม่มีคำไหนอธิบายออกมาได้จริงๆ
ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าซึ่งจงจิ่วคุ้นเคยมากที่สุด แต่วิชวลกลับเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าจนสามารถสะกดจิตใจของผู้คนได้
ใช่ เขาทะลุมิติมา แถมยังทะลุเข้ามาในนิยายสยองขวัญแนววนลูปเหนือธรรมชาติที่แข่งขันคัดคนอีกต่างหาก
เช้าเมื่อวานจงจิ่วเพิ่งได้อ่านนิยายเรื่อง ‘เด็กฝึกระทึกขวัญ’ ถึงดันเจี้ยน* แรก และด้วยความขัดอกขัดใจกับตัวประกอบที่มีชื่อแซ่เหมือนกันกับเขา พออ่านถึงตอนที่ตัวประกอบตัวนี้ตายอย่างอนาถ จงจิ่วก็ถึงกับวางหนังสือเล่มนั้นลงทันที
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยก็คือเพียงชั่วพริบตาเดียว นอกจากจงจิ่วจะทะลุมิติเข้ามาในนิยายแล้ว เขายังทะลุเข้ามาเป็นตัวรับกระสุน* ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตัวเองอีกต่างหาก
สถานการณ์ของจงจิ่วค่อนข้างพิเศษ เพราะไม่ใช่แค่วิญญาณที่ทะลุมิติเข้ามา แต่เขาทะลุเข้ามาทั้งร่าง
ร่างของคนในกระจกก็ยังคงเป็นร่างกายของจงจิ่วก่อนจะทะลุมิติเข้ามาที่นี่
เพียงแต่ดูเด็กลงมาก แถมหน้าตายังดูดีขึ้นหลายระดับ สีตาและสีผมก็เป็นแบบที่ในนิยายบรรยายเอาไว้ แม้แต่รอยหยาบกร้านบนมือที่เกิดจากการฝึกมายากลมาตั้งแต่เด็กก็หายไป
และที่จงจิ่วมั่นใจว่าร่างกายนี้เป็นของเขาก็เพราะ…
มือทั้งสองข้างของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นหรือรักษาหายได้เลย
หนุ่มผมขาวก้มหน้าต่ำ เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาล้างหน้า หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นนวดขมับ
อีกฝั่งของม่านกั้น จงจิ่วได้ยินว่าเสียงพูดคุยถึงเขาที่ด้านนอกนั้นค่อยๆ เงียบหายไปแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเสียงถกกันถึงสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าแทน
คนพวกนั้นคิดเหมือนกันหมด พวกเขาเชื่อมั่นว่าโปรเจ็กต์เด็กฝึกระทึกขวัญเป็นแค่เรื่องหลอกลวง
“หรือมันจะเป็นรายการวาไรตี้ลับๆ รายการหนึ่ง แบบที่ต้องแอบถ่ายตอนดาราไม่รู้ตัว?”
“ดูจากสถานการณ์แล้วฉันว่าไม่ใช่ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการก่อการร้าย”
“พอมาถึงที่นี่มือถือของเราไม่มีสัญญาณเลย แถมในห้องนี้ก็ไม่มีเครื่องตัดสัญญาณด้วย ดูก็รู้ว่าเตรียมการไว้อย่างดี ไม่มีทางแจ้งตำรวจได้เลย นานขนาดนี้แล้ว พวกเราคงไม่ถูกขังจนตายหรอกใช่มั้ย!”
หลังได้ยินเสียงจากข้างนอก จงจิ่วก็ส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ
ยี่สิบกว่าชั่วโมงนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่มีความต้องการทางด้านร่างกายอย่างเช่นต้องดื่มน้ำหรือกินข้าวเลย
คนพวกนั้นก็ไม่คิดสักหน่อยว่าทำไมเสียงระบบหลักถึงดังขึ้นในหูของทุกคนได้อย่างแม่นยำ ทำไมแค่พริบตาเดียวพวกเขาถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้แม้จะอยู่ไกลเป็นพันลี้** ถ้ามีคนจำเวลากันได้ ต่อให้มือถือเล่นเน็ตไม่ได้ แค่ดูเวลาก็รู้แล้วว่าเวลาก่อนหลังมันห่างกันแค่นาทีเดียวเอง
บางทีพวกนั้นอาจจะสังเกตเห็นแล้ว แต่ไม่กล้าคิดก็เท่านั้น
มนุษย์เราก็แบบนี้ เมินเฉยต่อความเป็นจริงที่มีหลักฐานยืนยัน แต่ยืนกรานที่จะหลบอยู่ในโลกมายาที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น แล้วหาเหตุผลสารพัดมาปลอบใจตัวเอง
จงจิ่วดึงทิชชูออกมาหนึ่งแผ่น นำมาเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า
ถ้าทะลุมิติเข้ามาในนิยายธรรมดาๆ ก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ดันทะลุเข้ามาในนิยายสยองขวัญแนววนลูปเสียได้
ตอนเริ่มอ่านนิยายเรื่องนี้ จงจิ่วยังคิดว่าตัวละครดั้งเดิมที่นักเขียนเปลืองหมึกบรรยายไปตั้งเยอะเป็นตัวเอก ผลสุดท้ายไม่รู้นักเขียนนึกคึกอะไรขึ้นมา เขียนให้ตัวละครหน้าตาดีและเด่นมากแค่ไหนก็เขียนให้ตายอย่างน่าอนาถมากเท่านั้น
‘เด็กฝึกระทึกขวัญ’ เป็นนิยายแนววนลูปที่ใช้วิธีการเขียนแบบ POV* ไม่ได้จำเพาะเจาะจง และไม่ได้กำหนดตัวละครหลัก ซึ่งนักเขียนน่าจะเขียนจากมุมมองของตัวเอง ผ่านไปไม่นานตัวละครตัวนี้ถึงได้ตาย
แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือจงจิ่วอ่านเนื้อหาของดันเจี้ยนแรกในนิยายไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น พอเขาอ่านถึงตอนที่ตัวละครดั้งเดิมตาย เนื้อหาหลังจากนั้นเกือบล้านคำเขาก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย
ถ้าเป็นคนอื่นคงรับไม่ได้ที่ไม่รู้เนื้อเรื่องหลังจากนั้น แถมยังต้องมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ว่าตัวเองมีจุดจบเป็นความตายอีก ก็ไม่แปลกถ้าจะร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย
แต่จงจิ่วไม่กลัว
นอกจากจะไม่กลัวแล้ว เขายังรู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตไม่แน่ไม่นอนนั่นอีกด้วย
ตั้งแต่เล็กจนโต จงจิ่วเป็นคนที่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกได้ไม่ดีเท่าไรนัก อารมณ์ต่างๆ ไม่เหมือนคนทั่วไป เบาบางจนแทบไม่มีความรู้สึกเลยก็ว่าได้ คนรอบข้างสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับเขาแล้วมันยากมาก
จงจิ่วเริ่มเรียนมายากลตั้งแต่อายุสามขวบ และกลายเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านมายากลไพ่ที่มีอยู่แค่ไม่กี่คน ติดอันดับต้นๆ ของโลกตอนอายุยี่สิบกว่า ทว่าตอนอายุแค่ 25 ปี เขากลับออกมาประกาศอำลาวงการถาวร จากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีกเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
จงจิ่วเอาชีวิตรอดกลับมาได้หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในครานั้น แต่มือทั้งสองข้างกลับอยู่ในภาวะกระดูกหักแตกย่อย**
สำหรับปรมาจารย์ด้านมายากลการเล่นไพ่ที่ต้องใช้มือทำการแสดง นี่ถือเป็นข่าวร้ายที่สะเทือนใจมากที่สุดข่าวหนึ่ง
บางทีมายาจิต*** มายากลเหรียญ หรือมายากลที่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆ อาจทำให้จงจิ่วยังอยู่ในวงการนี้ต่อไปได้ แต่น่าเสียดายที่เขารักมายากลไพ่มากที่สุด
ศัลยแพทย์กระดูกระดับโลกเคยเปิดประชุมหัวข้อพิเศษให้กับเขา แต่ทุกคนกลับพากันส่ายหน้าและทอดถอนใจ
ทว่าตอนนี้จงจิ่วทะลุมิติเข้ามาอยู่ในโลกอันไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยความพิสดารและเรื่องเหนือธรรมชาติแห่งนี้แล้ว
นี่มันหมายความว่ายังไงน่ะเหรอ
ก็หมายความว่าเขาอาจจะใช้โอกาสนี้หาวิธีรักษามือทั้งสองข้างให้กลับมาจับไพ่ได้อีกครั้งน่ะสิ
และโลกที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นเช่นนี้จะต้องเป็นเวทีที่น่าทึ่ง น่าสนุก และน่าลุ้นระทึกมากที่สุดในประวัติศาสตร์!
จนแทบอดใจรอไม่ไหว
ริมฝีปากของจงจิ่วโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ปากฮัมเพลงไม่เป็นทำนองก่อนจะเลื่อนม่านให้เปิดออก
ห้องน้ำตั้งอยู่ข้างประตู หลังออกมาจากห้องน้ำจงจิ่วก็เดินตรงไปวางมือบนประตูเหล็กขึ้นสนิมนั่นทันที
ใครคนหนึ่งที่กำลังพูดพึมพำเห็นภาพนี้เข้าพอดี “นายจะทำอะไร! เมื่อวานพวกฉันลองเปิดกันทั้งวันแล้ว แต่ประตูบานนี้มันถูกล็อกจากข้างนอก ยังไงนายก็เปิดไม่ออกหรอก มานั่งเฉยๆ รอให้คนมาเปิดดีกว่า เสียแรงเปล่า…”
คนคนนั้นยังพูดไม่ทันจบก็ถึงกับตะลึงค้างเมื่อประตูบานนั้นค่อยๆ เปิดออก
ประตูที่พวกเขาเจ็ดคนร่วมแรงร่วมใจกันเปิดเมื่อวาน ไม่ว่าจะเคาะ ทุบ เตะ ผลักยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ แต่เพียงแค่ชายหนุ่มผมขาวใช้มือเรียวยาวดุจหยกผลักมันเบาๆ ก็มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นทันที
ซย่าชวนได้ยินเสียงนั้นก็หันหน้าไปมองด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ความยินดีจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ประตูเปิดแล้ว!”
แต่สีหน้ายินดีนั่นอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาที จากนั้นความงุนงงสงสัยก็เข้ามาแทนที่ “เมื่อวานพวกฉันช่วยกันเปิดตั้งนานไม่เห็นมันจะขยับ ทำไมนายแค่ผลักมันก็เปิดได้แล้ว”
คนที่เหลือในห้องพักรีบเออออเห็นด้วย พวกเขานั่งล้อมซย่าชวนไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าจับกลุ่มรวมตัวกันแล้ว
คงเป็นเพราะท่าทางของจงจิ่วที่ดูไม่เข้าพวกตั้งแต่แรก แววตาที่คนพวกนั้นมองมาถึงเต็มไปด้วยความสงสัย
จงจิ่วขี้คร้านจะตอบคำถามจึงตอบกลับไปแค่หนึ่งประโยคว่า
“ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามที่เสียงนั้นบอก”
เจ็ดคนที่เหลือในห้องพักตกอกตกใจไปตามๆ กัน ชั่วขณะนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ไม่ใช่ไม่กล้า แต่พูดไม่ได้
ไม่รู้ทำไม พอเห็นดวงตาสีชมพูอ่อนที่เหมือนไร้ซึ่งความรู้สึกใดปนอยู่คู่นั้นเข้า พวกเขาถึงได้รู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลัง หวาดกลัวจนขนลุกชัน
หลังจงจิ่วหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เสียงหุ่นยนต์เย็นๆ นั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เหลือเวลาอีกสิบนาที หากยังมาไม่ถึงสถานที่รวมตัวภายในเวลาที่กำหนด ทุกคนจะต้องรับผิดชอบผลของกระทำด้วยตนเอง”
“เหลือเวลาอีกสิบนาที หากยังมาไม่ถึงสถานที่รวมตัวภายในเวลาที่กำหนด ทุกคนจะต้องรับผิดชอบผลของการกระทำด้วยตนเอง”
“เหลือเวลาอีกสิบนาที หากยังมาไม่ถึงสถานที่รวมตัวภายในเวลาที่กำหนด ทุกคนจะต้องรับผิดชอบผลของการกระทำด้วยตนเอง”
ในที่สุดทั้งเจ็ดคนก็ได้สติ รับรู้ว่าแผ่นหลังของตัวเองชื้นไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
“ถุย วางท่าเก่งจริง เก๊กอะไรขนาดนั้น!”
หนึ่งในเจ็ดคนนั้นสบถออกมา “ฉันว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับไอ้หน้าอ่อนนั่นแน่ มันต้องรู้อะไรสักอย่าง ไม่งั้นมันจะอยู่เฉยทั้งๆ ที่พวกเราแทบนั่งไม่ติดที่กันแบบนี้ได้ยังไง”
“จริง แล้วยังพูดเรื่องตายไม่ตายอะไรนั่นอีก พวกเราอยู่กันเยอะขนาดนี้ ฆ่าคนมันผิดกฎหมายนะเว้ย รู้จักขู่ซะด้วย!”
ซย่าชวนกลอกตา “ซวยจริงๆ ช่างเหอะ ประตูเปิดแล้ว พวกเราไปกัน”
พวกเขาเดินออกมาจากหอพัก ทุกคนพร้อมใจกันไม่เอ่ยถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของจงจิ่วอีก
ด้านนอกคือโถงทางเดินทอดยาว ทั้งสองฝั่งมีประตูเหล็กขนาดเดียวกันตั้งเรียงรายจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เช่นเดียวกันกับพวกเขา มีคนอีกไม่น้อยที่สังเกตเห็นว่าประตูเหล็กเปิดออกแล้ว
บรรดาผู้คนที่ถูกขังไว้ทั้งวันทั้งคืนเดินพรั่งพรูกันออกมา เบียดเสียดแน่นขนัด ทุกคนต่างพูดไปด่าไป
“ทำไมคนเยอะขนาดนี้เนี่ย”
“ที่นี่ที่ไหนกัน สรุปมันเกิดอะไรขึ้น”
“ใครมันเล่นตลกอยู่กันแน่”
ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนมองหน้ากันไปมา
ถูกขังมานานขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปในกลุ่มคน สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล
“มาทางนี้เร็วเข้า ตรงนี้มีบันได”
แค่แวบเดียวซย่าชวนก็มองเห็นบันไดที่อยู่กลางโถงทางเดิน เขาเผยสีหน้าโล่งใจก่อนรีบหันไปเอ่ยเรียกคนอื่น “ป่ะ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ”
“จัดไปพี่ซย่า!”
ช่องบันไดนั้นหนาวเย็นและดูน่าเบื่อ บนผนังโล่งๆ มีป้ายบอกทางแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ ทุกคนจึงพากันไปยืนเบียดเสียดกันมอง
‘ชั้น 7 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ S
ชั้น 6 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ A
ชั้น 5 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ B
ชั้น 4 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ C
ชั้น 3 : สตูดิโอ
ชั้น 2 : โรงอาหาร
ชั้น 1 : โถงหลัก
ชั้น B1 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ D
ชั้น B2 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ E
ชั้น B3 : หอพักเด็กฝึกแรงก์ F’
ชั้นนี้คือชั้นของเด็กฝึกแรงก์ E
ใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความงุนงงว่า “หมายความว่าไง หอพักเด็กฝึก?”
“เวร สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งก่นด่าออกมายกใหญ่หลังได้เห็นป้ายบอกทาง “ตอนนี้พวกเราอยู่ชั้นใต้ดิน แสดงว่าต้องเดินขึ้นไปงั้นเหรอ”
ทุกคนพลันนึกไปถึงเสียงหุ่นยนต์ที่ดังขึ้นภายในโสตประสาทเมื่อสักครู่ทันที
ทุกอย่างมันดูไกลตัวมากขึ้นทุกที
ซย่าชวนหัวเราะเสียงเย็น จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดใหม่ สองมือกอดอกทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันได “พรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี* แบบนี้ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าที่นี่มันจะไม่มีกฎหมาย”
ครั้นเห็นว่าข้างนอกยังมีคนอื่นอยู่อีกเยอะ เขาถึงได้เบาใจขึ้น
ทีแรกซย่าชวนนึกว่าเป็นฝีมือของพวกซาแซง** ไม่ก็โดนจับตัวมาเรียกค่าไถ่ แต่พอเห็นว่ามีคนเยอะขนาดนี้ เขาก็โล่งใจได้ในที่สุด
นี่นับเป็นเหตุการณ์ทางสังคม*** เลยก็ว่าได้ อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงขาดงานแล้วหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ
“เอาล่ะๆ นั่งลงเถอะ รออย่างใจเย็นก็พอ”
“แต่…แต่ว่าพี่ซย่า เสียงประกาศนั่น…” ใครคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขาเอ่ยด้วยความไม่สบายใจ
“ประกงประกาศอะไร เปิดประตูปล่อยนายออกมาแบบนี้แล้วยังจะกลัวอีกเหรอ ถ้านายยังอยากติดแหง็กอยู่ที่นี่ก็ตามใจ” ซย่าชวนพูดตัดบทด้วยความรำคาญ “พวกเรามีกันหลายคนขนาดนี้ ไอ้คนที่พาเรามาที่นี่มันจะทำอะไรได้?”
มีใครหลายคนในกลุ่มนี้ที่รู้จักซย่าชวน บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศรอบด้านหล่อหลอม พวกเขาถึงพร้อมใจพากันเห็นด้วย “จริง!”
ซย่าชวนเป็นถึงชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ เป็นบ่อเงินบ่อทองของบริษัท ดังนั้นผู้จัดการส่วนตัวของเขาต้องรีบไปแจ้งความแล้วแน่ๆ
“อยู่นี่มีดาราอยู่ด้วย ใจเย็นไว้พวก ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวตำรวจคงมาถึง”
“จริง…คนเยอะขนาดนี้ นั่งรอความช่วยเหลืออยู่ที่นี่ดีกว่า”
“ทุกคนใจเย็นๆ พวกเรามีกันเยอะ ไม่เป็นไรหรอก!”
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนที่เดิมคิดจะขึ้นไปข้างบนตามที่เสียงหุ่นยนต์นั้นบอกก็เริ่มหยุดชะงัก สีหน้าลังเล
ทางเดินขึ้นลงบันไดแน่นขนัด คนที่เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ พูดคุยกันไม่หยุดปาก ทั้งยังทำตัวเป็นกำแพงมนุษย์ยืนขวางอยู่ตรงบันได โน้มน้าวทุกคนไม่ให้เดินขึ้นไปด้านบน
หลังจากตึงเครียดกันมาพักใหญ่ เสียงหุ่นยนต์เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยวนซ้ำสามรอบเหมือนเคย
“เหลือเวลาอีกห้านาที”
จู่ๆ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังมาตลอดก็นึกประโยคหนึ่งขึ้นได้ ‘ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามที่เสียงนั้นบอก’
เขากัดฟันแน่น เอ่ยขอโทษพี่ซย่าเสียงเบาก่อนจะรีบพุ่งตัวเข้าไปข้างหน้าจนฝ่ากำแพงมนุษย์ออกไปได้ จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนด้วยความรวดเร็ว
ซย่าชวนหลบไม่ทัน จึงถูกชนเข้าให้
เขานวดไหล่ตัวเอง หลุดหัวเราะเสียงเย็นออกมา “มีคนเชื่อคำพูดของไอ้หน้าอ่อนนั่นด้วย”
“เป็นแค่เด็ก ม.ปลาย ไม่รู้จักความร้ายกาจของพี่ซย่าซะแล้ว” ชายคนหนึ่งทุบไหล่ให้ซย่าชวนอย่างเอาอกเอาใจ “พี่ซย่านั่งก่อน อย่าโมโหเพราะเด็กยังไม่โตคนหนึ่งเลย ไม่คุ้มๆ”
จงจิ่วเดินขึ้นมาถึงชั้นสามนานแล้ว เขาหลุบตานิ่งๆ มองผ่านช่องว่างตรงบันได
เขาอุตส่าห์เตือนไปแล้ว ถือว่าเขาหวังดีมากพอสมควร ส่วนจะเลือกทำเช่นไรก็เป็นเรื่องของพวกนั้น
ตอนนี้…เขายังมีเรื่องด่วนยิ่งกว่ารออยู่
ชายหนุ่มผมขาวเงยหน้าขึ้น ภายใต้แขนเสื้อเขาบริหารสองมือที่แข็งเกร็งจนแทบไร้ความรู้สึกของตัวเองไปมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปรวมตัวกับใครหลายคนที่ทยอยกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสายจากทั่วทุกสารทิศ เท้าของเขาเหยียบย่ำลงบนพื้นพรมสีแดงเนื้อนุ่ม ค่อยๆ ก้าวเข้าไปในสตูดิโอ
* นิตยสารฟอร์บส เป็นชื่อของนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา มีการตีพิมพ์เกี่ยวกับลำดับเศรษฐีของโลก ลำดับของดารา และลำดับบริษัทที่น่าสนใจในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
* เทพไม่รู้ผีไม่เห็น เป็นการอุปมาถึงเรื่องราวที่เป็นความลับ ไม่มีใครรู้เห็น
* ดันเจี้ยน หมายถึงพื้นที่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อทำภารกิจหนึ่งๆ ในเกมแนว RPG โดยมีของรางวัลเป็นไอเทมต่างๆ
* ตัวรับกระสุน มีที่มาจากทหารไร้ค่าในสงคราม จะอยู่หรือตายก็ไม่มีค่าอะไร มักใช้เรียกตัวประกอบในนิยาย
** ลี้ (หลี่) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* POV ย่อมาจากคำว่า Point of View เป็นการบอกเล่าเรื่องราวหรือการดำเนินเรื่องผ่านมุมมองต่างๆ
** ภาวะกระดูกแตกย่อย (Comminuted Fracture) เป็นภาวะที่กระดูกแตกออกเป็นชิ้นๆ มากกว่า 2 ชิ้นต่อท่อน
*** มายาจิต (Metalism) เป็นมายากลในรูปแบบการสะกดจิต การทายใจ การทายนิสัย การบังคับวัตถุให้เคลื่อนไหว เป็นต้น
* พรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี หมายถึงเล่นละครหลอกลวง ใช้เล่ห์กลกับผู้คน
** ซาแซง คือกลุ่มแฟนคลับที่มีความต้องการจะใกล้ชิดหรือรู้เรื่องราวของดาราที่ตนชื่นชอบมากเกินขอบเขตความพอดี
*** เหตุการณ์ทางสังคม หมายถึงข้อเท็จจริงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในสังคม อย่างเช่นสงคราม ความไม่สงบทางสังคม การนัดหยุดงาน จนเกิดเป็นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
โปรดติดตามตอนต่อไป…