everY
ทดลองอ่าน Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)
แปลโดย : จื่อซิน
ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4 โรงพยาบาลจิตเวช (2)
บรรยากาศภายในโรงอาหารค่อนข้างประหลาด
เด็กเก่ารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ส่วนเด็กใหม่ตื่นกลัวจนความกล้าหดหาย ได้แต่คิดว่าจะพึ่งพาใครได้บ้าง
มื้ออาหารเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานก็เริ่มมีเด็กใหม่หลายคนวางแผนจะเข้าไปประจบเด็กเก่า
เหยี่ยนจิ้งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ก่อนเข้ามาในลูปอนันต์ เหยี่ยนจิ้งเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มักจะใช้ชีวิตตามแบบแผน ทุ่มเทตั้งใจทำงานตามที่เบื้องบนสั่งมา ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรนอกกรอบ
แต่บัดนี้เขากลับเข้ามาอยู่ในการแข่งขันเด็กฝึกระทึกขวัญที่คาดเดาอนาคตไม่ได้ แถมยังมีอันตรายรออยู่รอบด้าน ไม่ใช่แค่กลับไปไม่ได้ แต่ยังเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตน้อยๆ นี้อีก
เพราะต้องนั่งทำงานในออฟฟิศเป็นเวลาหลายปี ร่างกายของเหยี่ยนจิ้งถึงได้อวบอ้วนไม่แข็งแรง นอกจากการทำงานแล้วเขาไม่มีทักษะด้านอื่นเลย แถมผลประเมินของเขายังต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนตำแหน่งงานในโลกจริงไม่มีผิด นั่นก็คือแรงก์ F หากในการแข่งขันรอบนี้เขาทำคะแนนให้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในแรงก์ E หรือสูงกว่านั้นไม่ได้ เขาต้องตายแน่ๆ
ไม่มีใครอยากตาย เหยี่ยนจิ้งเองก็เช่นกัน ดังนั้นเมื่อการแข่งขันรอบแรกเริ่มขึ้น เขาจึงคิดแผนการเอาไว้แล้วเรียบร้อย
ตอนที่พยาบาลมาเปิดประตู เขารีบพุ่งตัวไปที่โรงอาหารทันทีเพื่อคอยสังเกตทุกคนที่เดินเข้ามา
สุดท้ายการเฝ้าตอรอกระต่าย* นี้ก็ไม่เสียเปล่า เหยี่ยนจิ้งได้รู้ข้อมูลของเด็กฝึกในการแข่งขันรอบนี้ครอบคลุมรอบด้านพอสมควรแล้ว
คนที่ติดป้ายชื่อแรงก์ S มีอยู่สองคน แรงก์ A สามคน แรงก์ B สิบกว่าคน ส่วนแรงก์ C กับ D จะเยอะขึ้นมาหน่อย และแรงก์ที่มีคนอยู่เยอะที่สุดก็ยังเป็นแรงก์ E กับ F
คนผมยาวสีดำที่อยู่ในแรงก์ S มีหน้าตาท่าทางเย็นชา กลิ่นอายรอบตัวราวกับจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง
ส่วนพี่ใหญ่ผมบลอนด์ที่อยู่แรงก์ S อีกคนหนึ่งนั้น มีรอยยิ้มสดใสดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ต่อให้อยู่ในชุดผู้ป่วยก็ยังกลบกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ของเขาไม่ได้เลย
แต่ยังไม่ทันที่เหยี่ยนจิ้งจะได้รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา เขาก็เห็นว่ามีเด็กฝึกจากแรงก์ E และ F ที่มีความคิดเช่นเดียวกันกับเขานำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง ด้วยการเดินถือถาดอาหารเข้าไปหาแรงก์ S สองคนนั้น
จูเก่ออั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เขาแค่วางตะเกียบลง ยังไม่ทันเอ่ยอะไรก็ทำให้เด็กใหม่หลายคนกลัวจนขาสั่นได้แล้ว
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือพี่ใหญ่ผมสีบลอนด์คนนั้นไม่ได้ชักสีหน้าเย็นชาใส่เด็กใหม่ที่ความรู้สึกนึกคิดแปะชัดอยู่บนใบหน้า แต่กลับแย้มยิ้มให้ราวกับเข้าใจความคิดของพวกเขา
“พวกนายเป็นเด็กใหม่กันหมดเลยใช่มั้ย ฉันเมสสิยาห์ เรียกฉันแบบนั้นก็ได้”
คงเป็นเพราะพี่ใหญ่คนนี้ท่าทางเป็นมิตรจึงทำให้เด็กใหม่สบายใจขึ้น ด้วยเหตุนี้เด็กใหม่พวกนั้นถึงได้เริ่มแย่งกันแนะนำตัว เหยี่ยนจิ้งยืนมองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ทำหน้าหนาเดินเข้าไปร่วมวงด้วย
ความหวาดกลัวในจิตใจของพวกเขาแต่ละคนฉายชัด ซ้ำยังไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้ด้วย
เมสสิยาห์ไม่ได้เอ่ยขัด เขาทำเพียงนั่งรับฟังเงียบๆ จนกระทั่งคนสุดท้ายพูดจบจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“แน่นอน เด็กฝึกแรงก์สูงส่วนใหญ่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในลูปอนันต์มาสักพักแล้ว พวกนายยังใหม่ แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้ได้พัฒนาฝีมือก่อนแล้วโยนเข้ามาร่วมคัดเลือกเด็กฝึกเลยแบบนี้ ใจร้ายจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงนะ”
ชายผมบลอนด์สีหน้าท่าทางอ่อนโยน “นี่เพิ่งรอบแรก ถ้าเกิดมีจุดไหนที่ฉันพอจะช่วยได้ ฉันจะพยายามช่วยทุกคนอย่างเต็มที่แน่นอน”
ในจุดที่เด็กฝึกมองไม่เห็น ซับกระสุนของคนดูก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้
[ฮือๆๆ บุตรพระเจ้าอ่อนโยนมาก น้ำตาจะไหล]
[นิสัยเหมือนชื่อตัวเองจริงๆ เขาเหมือนบุตรพระเจ้าที่ลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากความยากลำบาก 55555*]
[เห็นซีนนี้แล้วฉันจะร้องไห้ ดันเจี้ยนก่อนฉันโชคดีได้เจอบุตรพระเจ้า เขาก็ช่วยคนกากๆ แบบฉันอย่างนี้เลย แถมยังปลอบฉันด้วยว่าไม่เป็นไร แงๆๆ เป็นพระผู้มาโปรดโดยแท้จริง]
“…บุตรพระเจ้ายังเหมือนเดิมเลย”
เฮ่อเจี้ยนหลันกัดแฮมไปหนึ่งคำ “เห็นๆ กันอยู่ว่าเด็กใหม่พวกนั้นอยากมาขอส่วนบุญถึงได้จงใจพูดโอเวอร์แบบนั้น”
ตอนที่เฮ่อเจี้ยนหลันพูดประโยคนั้น อีกด้านมีเด็กใหม่มหาเศรษฐีคนหนึ่งกำลังเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่าขอแค่เมสสิยาห์ปกป้องตน ตนสัญญาว่ากลับออกไปได้เมื่อไหร่จะมอบเงินให้เลยเจ็ดหลัก เล่นเอาเมสสิยาห์ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอ่ยซ้ำๆ ว่าไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง
ฉินเหยี่ยเหลือบมองอย่างไม่สนใจปราดหนึ่ง “เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดสักหน่อย”
ในบรรดาเด็กฝึก 10 อันดับแรก นอกจากใครคนนั้นแล้วก็เมสสิยาห์นี่แหละที่โด่งดังมีชื่อเสียงมากที่สุด
นั่นก็เพราะเมสสิยาห์คือผู้มีพระคุณแห่งลูปอนันต์ที่ใครหลายคนยอมรับ
ผู้เข้าแข่งขันเก่าหลายคนก็เคยเป็นเด็กใหม่มาก่อน และตอนที่พวกเขาเหล่านั้นยังเป็นเด็กใหม่ก็เคยได้รับน้ำใจจากเมสสิยาห์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนไม่น้อยเลยที่เลือกจะตอบแทนบุญคุณนั้นกลับไป
ในลูปอนันต์ที่เต็มไปด้วยความประหลาดนี้ คนที่มีนิสัยอย่างเมสสิยาห์ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ เขาจึงเหมาะแก่การเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ และฉายาบุตรพระเจ้านั้นก็เป็นชื่อที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายเรียกเขาด้วยความนับถือ
ความสามารถของเมสสิยาห์ล้ำลึกยากคาดเดา กอปรกับนิสัยเป็นมิตรน่าคบหา จึงทำให้มีคนเข้าไปรุมล้อมเขามากมาย แม้จะมีคนไม่ชอบเพราะแอบคิดว่าเมสสิยาห์เสแสร้ง แต่ก็ต้องเงียบเพราะความสามารถของเมสสิยาห์กับสาวกของเขา
เหมือนอย่างตอนนี้ที่เด็กใหม่แต่ละคนแทบจะสร้างศาลบูชาเมสสิยาห์กันอยู่แล้ว แววตาของพวกเขาเหมือนกำลังมองพระแม่มารีย์ลงมาโปรดอย่างไรอย่างนั้น อยากตามติดข้างกายเขาสามวันสามคืนไม่ไปไหน
เฮ่อเจี้ยนหลันลอบทอดถอนใจว่าคนพวกนี้สายตาตื้นเขินกันจริง ไม่นานเขาก็ละสายตากลับมา
การตามติดเมสสิยาห์ไม่ใช่เรื่องผิด บางทีอาจจะช่วยให้รอดชีวิตได้ แต่ผลประเมินของเด็กใหม่พวกนั้นคงเพิ่มขึ้นมาแค่นิดเดียว เมสสิยาห์ปกป้องพวกเขาได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจปกป้องไปได้ทั้งชีวิต เมื่อถึงเวลาที่ต้องตาย ยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในลูปอนันต์แห่งนี้ต้องพบเจอกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเสียก่อนถึงจะตระหนักมีแรงฮึดสู้ หากทำตัวเป็นเต่าหดหัวหรือเอาแต่พึ่งพาคนอื่น จุดจบมีแต่คำว่าตายเท่านั้น
ตอนที่เฮ่อเจี้ยนหลันเบนสายตากลับมา เขาดันเหลือบไปเห็นมุมหนึ่งของโรงอาหารเข้าพอดี ก่อนที่สายตาจะหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ตัว
ชายผมขาวหน้าตาสะท้านฟ้าสะเทือนดินคนนั้นนั่งเงียบๆ หลบมุมอยู่คนเดียว วางช้อนยกช้อนเหมือนหุ่นยนต์
อีกฝ่ายก้มหน้าต่ำ จากมุมนี้มองเห็นเพียงสันกรามสวยเท่านั้น
เด็กใหม่คนนี้น่าสนใจ
เฮ่อเจี้ยนหลันหรี่ตา
เด็กใหม่แทบทุกคนในโรงอาหาร…อย่าว่าแต่เด็กใหม่เลย แม้กระทั่งคนจากแรงก์ C บางคนยังเข้าไปรุมล้อมเมสสิยาห์เพื่อขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยปกป้องคุ้มครอง ในใจของทุกคนล้วนมีความคิดว่ามีโอกาสต้องรีบคว้าไว้
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มผมขาวคนนั้นกลับนั่งเฉย ไม่หือไม่อือ หน้ายังไม่หันไปมอง ผิดแปลกไปจากคนอื่น
“เหล่าฉิน นายคิดไงเรื่องภารกิจรองนั่น”
ฉินเหยี่ยหงุดหงิด “นายอยากพูดอะไร อย่ามัวแต่อ้อมค้อม มีอะไรก็รีบๆ พูด”
ที่ฉินเหยี่ยไม่ชอบที่สุดคือคนพูดจามากความ แต่น่าเสียดายที่คู่หูของเขาดันเป็นพวกชอบพูดจาแฝงความนัย
เฮ่อเจี้ยนหลันอยู่แรงก์ B แต่เพราะอีกฝ่ายมีไอเทมพิเศษในครอบครองจึงทำให้แรงก์ A หวาดกลัวกันไม่น้อย ครั้นเขากลายเป็นคู่หูกับฉินเหยี่ยก็ยิ่งเหมือนเสือติดปีก* สกิลการต่อสู้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แถมครั้งนี้ยังโชคดีถูกแบ่งให้เข้ามาอยู่ในแผนที่เดียวกัน เด็กเก่าในโรงอาหารหลายคนจึงพากันอิจฉาตาร้อน
“ฉันขอบอกนายเลยนะว่าสงสัยอะไรก็อย่าเอาแต่เหลือบไปทางจูเก่ออั้น ถ้าเขาเห็นเข้า นายคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกคิดบัญชีเมื่อไหร่” เฮ่อเจี้ยนหลันเอ่ยอย่างหมดหนทาง “นายลองคิดดูว่าจูเก่ออั้นทำอะไรไว้ในดันเจี้ยน ‘หน้ากากต้องสาป’ อย่าเหยียบเข้าไปในกระดานหมากของเขาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่”
ประโยคนั้นได้ผลชะงัด ฉินเหยี่ยรีบตีหน้ามึน ละสายตากลับมาทันที
เฮ่อเจี้ยนหลันหมดคำจะพูด เขาลอบเลื่อนอันดับของเด็กใหม่ผมขาวคนนั้นไว้ในรายชื่อบุคคลน่าสงสัยของตัวเองอย่างเงียบๆ
และในขณะเดียวกันจงจิ่วก็กินข้าวเสร็จพอดี
จงจิ่วเหมือนไม่รู้ว่ามีสายตามองประเมินพุ่งมาหาตัวเองจากทุกทิศทาง เขายังคงวางตะเกียบในมือลงเงียบๆ ก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ว่ากันตามจริงแล้ว คนงามมักเป็นจุดสนใจ แต่ท่าทางกอปรกับท่าทีเหินห่างของชายผมขาวคนนั้นดูรุนแรงเกินไป จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปคุยด้วย
ชายคนหนึ่งที่นั่งมองอยู่นานแล้วจากที่ไกลๆ ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าได้ จากนั้นจึงถือถาดอาหารเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าจงจิ่ว
จงจิ่วปิดระบบสตรีมของตัวเอง เคลื่อนสายตาขึ้นมอง
แค่ช่วงเวลาอาหารหนึ่งมื้อ แต่จำนวนคนดูสตรีมของเขาที่เคยเป็นศูนย์กลับพุ่งทะยานขึ้นไปเป็นพัน บางทีมันคงเป็นสิทธิพิเศษของการเกิดมาหน้าตาดี
คนที่เพิ่งนั่งลงคือเด็กหนุ่มขี้อายคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือท่าทางก็ยังดูเด็กอยู่เลย น่าจะอายุสัก 16-17 ปี แววตาที่มองจงจิ่วเต็มไปด้วยความตื้นตันระคนหวาดหวั่น
“ผม…ผมชื่อเซิ่งอวี้ครับ”
แค่เห็นชายผมขาวมองมา เซิ่งอวี้ก็เริ่มพูดจาติดอ่างเสียแล้ว “กะ…ก่อนหน้านี้ขอบคุณนะครับ”
ราวกับกลัวว่าจงจิ่วจะจำไม่ได้ เด็ก ม.ปลาย ถึงได้รีบร้อนเอ่ยเสริมเสียงแผ่ว “ตอนที่อยู่หอพัก ขอบคุณที่ช่วยเตือนครับ”
ได้ยินเซิ่งอวี้ว่าเช่นนั้น จงจิ่วถึงนึกออก
อีกฝ่ายคือหนึ่งในแปดคนที่อยู่ในห้องพักรวมของแรงก์ E
ชายหนุ่มมองเซิ่งอวี้นิ่งๆ จ้องจนเซิ่งอวี้ขนลุกไปทั่วทั้งตัว แล้วจึงค่อยพยักหน้า ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งที่นายเลือกเป็นสิ่งที่ช่วยตัวนายเอง”
คำพูดนี้ก็ไม่ผิด ไม่ใช่ว่าซย่าชวนไม่เชื่อคำพูดของเขาหรอกเหรอ
ถ้าเซิ่งอวี้เลือกที่จะไม่เชื่อ เช่นนั้นจุดจบของเขาก็คงเหมือนกับซย่าชวน
เซิ่งอวี้ยังอยากจะพูดต่อ ทว่าจู่ๆ โรงอาหารที่เคยมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวกลับเงียบขึ้นมาทันทีราวกับถูกกด pause
กึก กึก กึก
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบลงบนพื้นกระเบื้องดังกังวาน
นางพยาบาลที่อยู่ในชุดพยาบาลเดินเข้ามาข้างใน สีหน้าของพวกเธอเฉยชา คนที่เดินนำหน้าถือตะเกียงที่วูบไหวไปมาไว้ในมือ และเธอคือพยาบาลคนนั้นที่มาเปิดประตูห้องให้จงจิ่ว
พยาบาลเหล่านั้นใบหน้าขาวซีด มันไม่ได้ซีดธรรมดา แต่ซีดเผือดเหมือนขาดเลือดจนดูประหลาด
เด็กเก่าที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนพร้อมใจกันมองเลยไปยังเบื้องหลังของพวกเธอ
แต่สิ่งที่พบกลับเหนือความคาดหมาย ภายใต้แสงไฟสีขาวของโรงอาหาร มีเงาดำนอนนิ่งอยู่บนพื้นกระเบื้องสะอาดสะอ้าน และนั่นคือสิ่งยืนยันว่าพวกเธอเป็นคน
“พวกคุณทุกคนคือผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่งเข้าโรงพยาบาลมาเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ตารางกิจวัตรประจำวันของทางโรงพยาบาลถูกติดไว้บนผนังด้านนั้น นอกจากนี้ดิฉันยังมีบางเรื่องที่ต้องแจ้งให้ทราบ
หนึ่ง ห้ามเดินเพ่นพ่านในเวลากลางคืน สอง ห้ามผู้ป่วยทะเลาะวิวาทต่อยตี สาม ต้องเชื่อฟังคำสั่งของหมอและพยาบาลอย่างเคร่งครัด”
น้ำเสียงของหัวหน้าพยาบาลเย็นเยียบ “หากคิดจะฝ่าฝืนกฎ โทษสถานเบาคือจับเข้าห้องขังเดี่ยว ส่วนโทษสถานหนักคือบังคับให้เข้ารับการรักษาซึ่งจะดูจากระดับความรุนแรงตามอาการป่วยของพวกคุณ เชื่อดิฉันเถอะค่ะว่าพวกคุณไม่อยากลองหรอก”
ทุกคนในโรงอาหารไม่มีใครพูดอะไรออกมา เงียบสงัดราวกับอยู่ในสุสาน
“ดีมากค่ะ พวกคุณว่าง่ายกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลมาครั้งก่อนอีก”
เห็นได้ชัดว่าท่าทางเช่นนั้นทำให้หัวหน้าพยาบาลพอใจ ใบหน้าไร้อารมณ์ของเธอยกยิ้มจางๆ อย่างพบเห็นได้ยาก
“ปฏิบัติตามคำแนะนำของพวกเราจะเป็นประโยชน์แก่อาการป่วยของพวกคุณทุกคน ในเมื่อทุกคนคิดได้ ดิฉันก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากค่ะ”
เด็กใหม่ที่ยืนรายล้อมเมสสิยาห์พากันสั่นเทิ้ม ไม่มีใครกล้าถามว่าผู้ป่วยกลุ่มก่อนหน้าหายไปไหนแล้ว
“เอาล่ะค่ะ ดิฉันบอกกฎระเบียบไปหมดแล้ว คราวนี้ก็เริ่มต่อแถวมารับยานะคะ”
หัวหน้าพยาบาลโบกมือ พยาบาลด้านหลังจึงทยอยกันเดินถือขวดยาออกมาจากมุมมืด จากนั้นนำยาเม็ดกับน้ำดื่มแจกจ่ายให้เด็กฝึกในโรงอาหารทีละคน
เด็กฝึกลอบส่งสายตาให้กัน
เซิ่งอวี้กระซิบถามจงจิ่วว่าทำยังไงดี
แต่จงจิ่วกลับไม่ตอบ
ชายผมขาวหยิบยาขึ้นมาดม ขมวดคิ้วน้อยๆ
กินหรือไม่กินดี
บนขวดยาไม่มีฉลาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่ามันคือยาอะไร แต่เมื่อลองนำความรู้สึกอ่อนแรงกับความมึนเบลอตอนเพิ่งตื่นมาปะติดปะต่อกัน มีความเป็นไปได้มากว่ามันน่าจะเป็นยากล่อมประสาทหรือไม่ก็ยาต้านอาการทางจิตที่โรงพยาบาลจิตเวชใช้กัน
ยาไร้ฉลากของโรงพยาบาลจิตเวชที่เต็มไปด้วยความลึกลับพิสดาร ใช้ตาตุ่มคิดยังรู้ว่ามันกินไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาไม่ได้ป่วยทางจิตกันจริงๆ
ราวกับรับรู้ว่าพวกเด็กฝึกกำลังคิดอะไรกันอยู่ พยาบาลพวกนั้นถึงได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ พวกเธอแจกยาไปพร้อมกับใช้แววตาคมกริบจ้องเด็กฝึกทุกคนเขม็ง เมื่อเห็นว่าพวกเขากินยาแล้วจึงจะแจกเม็ดต่อไป
ถ้าไม่กินก็เท่ากับแหกกฎข้อที่สาม และไม่มีใครอยากกลายเป็นหนูทดลองเข้าไปสัมผัสกับห้องขังเดี่ยวที่หัวหน้าพยาบาลบอก
พยาบาลคนหนึ่งเริ่มหงุดหงิด “เร็วเข้าค่ะ อย่ายึกยัก”
ทุกคนลังเลกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคนจะโชว์ความสามารถของตัวเอง
เหยี่ยนจิ้งลอบมองเมสสิยาห์ที่เงยหน้ากินน้ำกินยาลงไปแล้ว
แต่น่าเสียดาย จากมุมนี้เขามองไม่เห็นเลยว่าเมสสิยาห์กินยาเม็ดนั้นลงไปจริงๆ หรือเปล่า
เมื่อพยาบาลที่ยืนจ้องเมสสิยาห์อยู่เห็นเช่นนั้นจึงเบนสายตาออกมาด้วยความพอใจ แล้วหันมาหยุดที่เหยี่ยนจิ้งแทน
แววตานั้นทำเอาแผ่นหลังของเหยี่ยนจิ้งเย็นวาบ รีบร้อนยัดยาเม็ดขาวเข้าปากด้วยความกลัว
“จะทำอะไรได้ กินเถอะ”
อีกด้านหนึ่ง จงจิ่วขยับมือเล็กน้อยยากสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะโยนยาเม็ดนั้นเข้าปาก
หลังจากทุกคนกินยากันครบทุกคนแล้ว จู่ๆ หัวหน้าพยาบาลก็สั่งว่า “พับแขนเสื้อขึ้น อ้าปาก ยกลิ้น”
จบกัน!
เหยี่ยนจิ้งใจกระตุกวูบ ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าไม่มีน้ำ ใช้น้ำลายนี่แหละกลืนยาเม็ดนั้นลงไป ใครอีกหลายคนในโรงอาหารก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกันกับเขา แต่มีเด็กฝึกคนหนึ่งที่ตื่นตระหนกตกใจเกินไปจนไอโขลกไม่หยุด เป็นเหตุให้เผลอไอเอาเม็ดยาที่ยังไม่ได้กลืนร่วงลงพื้นไปพร้อมกับน้ำลาย
ใบหน้าของเด็กฝึกคนนั้นซีดเผือดเหมือนเหล่าพยาบาล
หัวหน้าพยาบาลยิ้มเย็นโบกมือ ก่อนที่บุรุษพยาบาลรูปร่างกำยำกลุ่มหนึ่งจะโผล่ออกมาจากที่ไหนไม่รู้ บุรุษพยาบาลจับเท้าเด็กฝึกคนนั้นลากออกไปแบบไม่บอกไม่กล่าวจนหายลับเข้าไปในทางเดินอันมืดมิด
[เชี่ย โดนบังคับแบบนี้น่ากลัวมาก…]
[เอาจริงนะ ในดันเจี้ยนสยองขวัญจำพวกนี้ โดยปกติแล้วคนแรกที่โดนคือเชือดไก่ให้ลิงดูทั้งนั้น อนาถมาก คิดว่าคงกลับออกมาไม่ได้แล้วแหละ]
[ดันเจี้ยนนี้ไม่ง่ายเลย แค่เริ่มก็จัดชุดใหญ่แล้ว ตอนนี้ฉันอยากรู้จังว่าหัวหน้าพยาบาลเอายาอะไรให้พวกเขากิน]
[ตอบเมนต์บน น่าจะยาต้านอาการทางจิตอย่างพวกลูมินัล* คลอร์โรโพรทิกซีน** หรือไม่ก็ CPZ*** นะ]
ผ่านไม่ไปนานเสียงกรีดร้องของเด็กฝึกคนนั้นก็เงียบหายไปตรงทางเดิน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงล็อกของประตูเหล็กบานใหญ่
ถูกขังในห้องขังเดี่ยว
ภายในโรงอาหารเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดสักคน
ครั้นเห็นว่าการเชือดไก่ให้ลิงดูได้ผล หัวหน้าพยาบาลจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลังเธอบอกว่าตามสบายจบก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
ไม่ใช่เด็กฝึกทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันรอบนี้จะอยู่ในโรงอาหาร ยังมีเด็กฝึกอีกหลายคนที่เลือกจะออกไปสำรวจ และพยาบาลเหล่านี้จะเอายาไปให้เด็กฝึกกลุ่มนั้นต่อ
จงจิ่วมองดูเหล่าพยาบาลเดินหายเข้าไปในความมืดตรงมุมกำแพงสีขาว แล้วจู่ๆ มุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาแบมือของตัวเองออก
คล้ายกับการเล่นกล บนฝ่ามือของจงจิ่วมียาเม็ดขาวสภาพสมบูรณ์นอนนิ่งอยู่
* เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มีตำนานเล่าว่าในสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก
* ตัวเลข 5 ในภาษาจีนออกเสียงว่า อู่ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า อู (呜) ที่เป็นเสียงร้องไห้
* เสือติดปีก หมายถึงคนที่มีความสามารถมากอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธ หรืออุปกรณ์เพิ่มเติมเสริมเข้าไปอีกก็ยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่
* ลูมินัล (Luminal) เป็นชื่อทางการค้าของยาฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbital) เป็นยาในกลุ่มยากันชักและกลุ่มยากดประสาท ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับในระยะสั้น และช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล ความรู้สึกตึงเครียด รวมถึงความรู้สึกหวาดกลัวได้
** คลอร์โรโพรทิกซีน (Chlorprothixene) เป็นยาคุณภาพสูงที่ใช้ในการรักษาอาการวิกลจริต อาการตื่นเต้น หรืออาการกังวล
*** CPZ หรือ คลอร์โพรมาซีน (Chlorpromazine) เป็นยารักษาความผิดปกติของจิตใจ อารมณ์ และสภาวะอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น อาการก้าวร้าว อาการสับสน หรืออาการหลงผิด
โปรดติดตามตอนต่อไป…