everY
ทดลองอ่าน Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1 บทที่ 7 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)
แปลโดย : จื่อซิน
ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7 โรงพยาบาลจิตเวช (5)
“ได้ยินยัง! เมื่อคืนเกิดเรื่องกับเด็กแรงก์ F คนหนึ่ง!”
เจ็ดโมงเช้าหลังพยาบาลมาปลดล็อกประตูให้ เด็กฝึกแทบทุกคนกระวีกระวาดลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็ไปรวมตัวกันที่โรงอาหาร พูดคุยโหวกเหวกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เมื่อคืนหลังจงจิ่วไปส่งเซิ่งอวี้ที่ห้องเสร็จก็กลับไปยังห้องอ่านหนังสือเพื่อบอกเมสสิยาห์ถึงเรื่องที่เหยี่ยนจิ้งหายตัวไป
เด็กเก่ามองหน้ากันไปมาก่อนหยุดหาข้อมูลในมือ จากนั้นก็ช่วยกันออกตามหาจนทั่วทั้งชั้น 1 และชั้น B1
โดยปกติแล้วคนแรกที่ตายมักจะมีเบาะแสให้ตามสืบไม่น้อย ถ้าหาศพเจอ ก็จะสันนิษฐานต้นตอของการเกิดเหตุสยองขวัญขึ้นได้
ผู้เข้าแข่งขันในลูปอนันต์ใช้ชีวิตลำบากกันทั้งนั้น หากไม่มีความรู้ทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับนิติวิทยาศาสตร์
ที่ประหลาดก็คือพวกเขาตามหากันตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงห้าทุ่มที่พยาบาลมาตรวจห้อง แทบจะควานหาบนสองชั้นนั้นครบทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว แต่กลับไม่เจออะไรเลย
ท้ายที่สุดในนาทีสุดท้าย พวกเขาก็เจอศพของเหยี่ยนจิ้งบนซิงก์สกปรกๆ ในห้องน้ำชั้น B1
แต่จะบอกว่าศพก็ไม่ถูกนัก
เพราะว่าในซิงก์อันโสโครกนั่นมีแค่ไม้ถูพื้นหัวคนที่ใช้แท่งไม้เสียบเข้าไปในสมองวางอยู่
เหยี่ยนจิ้งเป็นผู้ชาย ตามปกติจึงตัดผมสั้น แน่นอนว่าเส้นผมก็ยาวไม่เท่าไร แต่ที่ปลายไม้ถูพื้นกลับมีผ้าเส้นหนาพันอยู่รอบๆ นอกจากจะคลุมทับหัวของเหยี่ยนจิ้งมิดแล้วยังยึดมันเอาไว้แน่น กลายเป็นไม้ถูพื้นที่ใช้กันทั่วไป
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเด็กฝึกคนหนึ่งมองเห็นตาขาวของเขาจากรอยแยกบนผ้าของไม้ถูพื้นเนื่องจากเขานอนตายตาไม่หลับ เห็นทีคงไม่มีใครคาดคิดว่าภายในเวลาอันสั้น นอกจากศีรษะและลำตัวของเหยี่ยนจิ้งจะแยกออกจากกันแล้ว มันยังถูกวางไว้อย่างโจ่งแจ้งในที่ที่พวกเขาหากันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งอีก
อย่าว่าแต่คนที่เห็นเหตุการณ์นั้นเองเลย ขนาดซับกระสุนยังตกใจ
“ได้ยินแล้วๆ เห็นว่าเด็กแรงก์ F คนนั้นตายอนาถมาก จนถึงตอนนี้ยังหาร่างกายส่วนที่เหลือไม่เจอเลย ขนาดเด็กเก่าที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนยังบอกว่าสภาพการตายโหดร้ายแบบนี้ไม่ใช่จะเห็นได้บ่อยๆ”
“เฮ้อ…ขนาดเด็กเก่ายังพูดแบบนั้น แล้วพวกเราที่เป็นเด็กใหม่จะทำยังไงกันดี หรือว่าต้องรอความตายมาเยือนแบบนี้เหรอ”
ตอนที่จงจิ่วเดินเข้ามา บรรยากาศภายในโรงอาหารนั้นเต็มไปด้วยความหดหู่
เขากับเซิ่งอวี้ทักทายกันก่อนที่เขาจะเดินไปตักโจ๊กอย่างคุ้นชิน และเขาก็เจอกับเมสสิยาห์ที่ถือขนมปังกับปาท่องโก๋สำหรับสองคนเดินมาทางนี้พอดี
“กินด้วยกันมั้ย”
จงจิ่วพยักหน้า เดินตามหลังบุตรพระเจ้าผมบลอนด์ไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้อง
นอกจากเขา บนโต๊ะตัวนี้ก็ยังมีใครอีกหลายคนนั่งอยู่ พอมองให้ชัดๆ ถึงเห็นว่าเป็นเด็กฝึกเก่าที่เมื่อคืนไม่ได้กินยากลุ่มนั้น แถมยังอยู่แรงก์ B ขึ้นไปหมด
คนอื่นๆ พากันเหลือบมองมายังโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางอย่างกับดาวล้อมเดือนตัวนี้
“เหอะ ผมขาวคนนั้นก็เก่งเหมือนกันนะที่เข้าไปอยู่ตรงนั้นได้”
“โชคดีโคตรๆ ไม่รู้ว่าใช้ประโยชน์จากหน้าตานั้นไปมากแค่ไหนแล้ว”
ทุกคนพูดคุยกระซิบกระซาบ “นอกจากบุตรพระเจ้าแล้วยังมีพวกฉินเหยี่ยอีกที่นั่งอยู่ตรงนั้น มีแต่ตัวเป้งๆ ทั้งนั้น เขาอยู่แค่แรงก์ E แต่ไม่กลัวตายเลย!”
แม้จะพูดด้วยความอิจฉา แต่หลายคนก็ปฏิเสธใบหน้านั้นของจงจิ่วไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็รู้อยู่แก่ใจว่า กลุ่มผู้นำหลักของดันเจี้ยนนี้ได้ถูกแบ่งไว้ชัดเจนแล้ว
เมื่อก่อนกลุ่มใหญ่ที่เข้าไปในดันเจี้ยนก็เป็นเช่นนี้ กลุ่มผู้นำจะเป็นคนสั่งการ ส่วนคนอื่นๆ แค่เชื่อฟังคำสั่งก็พอ ถ้าภารกิจสำเร็จแล้วได้ไอเทมจากดันเจี้ยนนั้นๆ มา กลุ่มผู้นำจะมีสิทธิ์แจกจ่ายไอเทม มิหนำซ้ำตอนคิดคะแนนรวมของดันเจี้ยนยังได้แต้มรอดชีวิตมาอีกมหาศาล
อย่าว่าแต่เรื่องที่เด็กแรงก์ E คนนั้นดูสนิทสนมกับบุตรพระเจ้าเลย ในเมื่อได้รับความสนใจจากอันดับ 7 หลังจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นความตายกับลำดับแรงก์แล้ว
ทว่าบรรยากาศที่โต๊ะตรงกลางกลับแปลกประหลาดชอบกล
จงจิ่วโดนแบนเข้าให้แล้ว
นอกจากเมสสิยาห์ผู้ใจบุญที่รู้ว่ามือของเขาใช้งานไม่สะดวกเลยช่วยหยิบอาหารเช้ามาเผื่อ คนอื่นๆ บนโต๊ะตัวนี้จงใจเมินเขากันทั้งนั้น
โตๆ กันแล้วแต่ยังใช้วิธีเหมือนเด็กอนุบาลอยู่อีก
จงจิ่วหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เมื่อไม่มีใครสนใจ จงจิ่วก็ยังเบิกบานใจ เขาลงมือกินข้าวอย่างเชื่องช้าไปพร้อมกับฟังคนอื่นๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล
หลังการตายของเหยี่ยนจิ้ง เนื้อเรื่องที่จงจิ่วรู้มาก่อนหน้าจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะฉะนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จงจิ่วกลับได้เปรียบเต็มๆ เพราะเขาไม่ใช่แค่มั่นใจเกี่ยวกับจำนวนคนที่เป็น Imposter แต่เขายังเข้าใกล้ที่มาของดันเจี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
ชาเลนจ์เสี่ยงอันตรายก็ต้องทำ ภารกิจรองก็ปล่อยไปไม่ได้ เขาต้องการคว้าโอกาสนี้ไว้ทั้งสองมือและต้องจับไว้ให้มั่น ขอแค่ได้แต้มรอดชีวิตเป็นพอ แล้ววันนั้นของจงจิ่วก็จะมาถึง ‘สู้เขาเจ้ามนุษย์เงินเดือน โอ้เย่!’
เมสสิยาห์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “เมื่อคืนคนที่อยู่หาข้อมูลในห้องสมุดกับห้องอ่านหนังสือ มีใครเจอเบาะแสใหม่ๆ บ้าง”
จะว่าไปก็แปลก โรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้ที่ดูซอมซ่อโกโรโกโสทั้งยังสกปรกโสโครก แต่ห้องสมุดกลับมีพื้นที่กว้างขวางเสียอย่างนั้น
หรือว่าผู้ป่วยจิตเวชจะชอบอ่านหนังสือ?
“ไม่เจอเลย” เด็กฝึกที่รับผิดชอบหาข้อมูลในห้องสมุดส่ายหน้า “ในห้องสมุดส่วนมากมีแต่หนังสืออ่านยาก ไม่มีบันทึกที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“แล้วห้องอ่านหนังสือล่ะ” บุตรพระเจ้าผมบลอนด์เคลื่อนสายตามองไปทางเฮ่อเจี้ยนหลัน
“นอกจากบทความที่เจอเมื่อคืน บทความอื่นๆ ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเป็นพิเศษ เบาะแสเดียวที่พอจะมั่นใจได้ก็คือโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้เคยเป็นฐานทัพทางการทหารสมัยสงครามเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็เคยเกิดเหตุการณ์น่ากลัวขึ้นที่นี่”
เฮ่อเจี้ยนหลันพูดด้วยความระมัดระวัง “เมื่อคืนพวกเรามีเวลาน้อย แต่ถ้าวันนี้ไปหาเบาะแสตามกรอบเวลาที่วางแผนไว้ ก็น่าจะเจอข้อมูลที่เยอะกว่านี้นะ”
ครั้นเอ่ยถึงเมื่อคืน ต่างคนต่างพากันเงียบ
แต่ไม่ใช่เพราะกลัวสภาพการตายของเหยี่ยนจิ้ง อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่ในลูปอนันต์กันมานานจนไต่ขึ้นมาอยู่แรงก์นี้ได้ จะไม่เคยเห็นสภาพการตายที่น่าอนาถกว่านี้ได้ยังไง
เรื่องที่ทำให้พวกเขากังวลจริงๆ ก็คือไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสของเหตุการณ์นั้นให้ค้นหาเลยต่างหาก
เมื่อเซิ่งอวี้กินยาหลับไปแล้ว จงจิ่วจึงกลายเป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดแทน
“เดี๋ยวอีกสักพักค่อยไปถามเด็กแรงก์ F ที่อยู่ในเหตุการณ์คนนั้น ลองดูว่าเขาตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า”
ทุกคนพร้อมใจกันตอบตกลง
“ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของเช้านี้ก็ชัดเจนแล้วนะ”
บุตรพระเจ้าผมบลอนด์สองมือสอดประสาน “ห้องอ่านหนังสือกลุ่มหนึ่ง ห้องสมุดกลุ่มหนึ่ง ไปหาข้อมูลที่ชั้นบีหนึ่งกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มคิดหาวิธีตะล่อมถามข้อมูลจาก NPC พยาบาลกับบุรุษพยาบาลมาให้ได้ ส่วนอีกกลุ่มให้ย้อนกลับไปหาเบาะแสที่จุดเกิดเหตุ ทำทุกอย่างพร้อมกันยังไงก็ต้องหาเบาะแสเจอ”
แต่แล้วจู่ๆ ฉินเหยี่ยก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แต่มีคนหนึ่งยังไม่กลับมา”
“ใคร”
เขาตอบสั้นๆ ง่ายๆ “วินเซนต์”
คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หันมองหน้ากันด้วยความตกใจ
วินเซนต์อยู่แรงก์ A แถมยังเป็นรองหัวหน้าของทีมรัตติกาล นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยของอันดับ 2 แน่นอนว่าความสามารถไม่ใช่เล่นๆ แม้จะเทียบกับแรงก์ S ไม่ได้ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของลูปอนันต์ ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
ใครหลายคนทราบกันดีว่าทีมรัตติกาลแต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์ เพราะพวกเขาเคยผ่านกระบวนการเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์มาก่อน
ในลูปอนันต์มีดันเจี้ยนสยองขวัญทุกรูปแบบ และหนึ่งในนั้นก็มีดันเจี้ยนที่เกี่ยวกับแวมไพร์อยู่ไม่น้อย มีดันเจี้ยนขึ้นชื่อของแรงก์ A ดันเจี้ยนหนึ่งชื่อว่า ‘ปราสาทอนธการ’ ซึ่งในนั้นมีการเปลี่ยนคนให้กลายเป็นครึ่งแวมไพร์อยู่ด้วย
เพียงแต่เลือดของแวมไพร์มีพิษรุนแรง ระหว่างอยู่ในกระบวนการมนุษย์สามารถตายได้ทุกเมื่อ มีผู้เข้าแข่งขันน้อยคนนักที่จะมีความกล้าเลือกทางเดินเช่นนี้ เพราะความเจ็บปวดของการเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการฆ่าตัวตายเลย
ทว่าความเสี่ยงกับผลประโยชน์นั้นมีค่าพอๆ กัน ถ้าสามารถเปลี่ยนเป็นครึ่งแวมไพร์ได้ ไม่ใช่แค่พละกำลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ยังได้ครอบครองความสามารถพิเศษของแวมไพร์อีกด้วย ดังนั้นการหาไอเทมพิเศษจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
เวนเชอร์ที่ในปัจจุบันอยู่อันดับ 2 เคยได้เลือดจากราชาแวมไพร์ตอนอยู่ในดันเจี้ยนแรงก์ S ‘ห้วงรัตติกาล’ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นอย่างทบทวีจนแทบจะถึงขีดสุดของความเป็น ‘มนุษย์’ ที่ระบบหลักกำหนดไว้ เขาถึงอยู่ในจุดที่เรียกว่าอยู่ใต้คนคนเดียว เหนือคนนับหมื่น
การที่ฉินเหยี่ยมีความรู้สึกไวกับวินเซนต์นั้นมีสาเหตุที่ง่ายดายมาก นั่นเพราะเขาเคยได้รับพรจากมนุษย์หมาป่าในดันเจี้ยนสยองขวัญดันเจี้ยนหนึ่ง
มนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์เป็นศัตรูกันมาช้านาน ถ้าวินเซนต์ปรากฏตัวในดันเจี้ยนนี้เมื่อไหร่ ฉินเหยี่ยจะเป็นคนแรกที่รับรู้ได้ในทันที นั่นก็เพราะเขาได้รับพรมาจากมนุษย์หมาป่าจึงทำให้จมูกของเขาไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ
ฉินเหยี่ยเอ่ยต่อ “เมื่อวานตอนที่เพิ่งเข้ามาในดันเจี้ยน ฉันกับเหล่าเฮ่อตัดสินใจจะทำภารกิจด้วยกัน พอเดินขึ้นไปข้างบน ฉันเห็นเขาเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยข้างๆ แต่ไม่ได้เดินมาที่โรงอาหาร ฉันเดาว่าเขาน่าจะอยากหาเบาะแสก่อนเลยแยกตัวออกไปคนเดียว”
ในเมื่อฉินเหยี่ยพูดถึงขนาดนี้ ทุกคนก็เชื่อกันแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มันเป็นข้อมูลที่เหลือเชื่อไปหน่อยเท่านั้น
“หายตัวไปทั้งคืน…คงไม่ใช่หรอกมั้ง?”
เดิมทีแวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์น่ากลัวที่โปรดปรานความมืดมิดยามรัตติกาล ครึ่งแวมไพร์เองก็เช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่าง กลางวันเหมือนกลางคืน ไม่มีแสงแดดส่องเข้ามาเลยสักนิด ตามหลักการแล้วแวมไพร์ชื่นชอบสภาพแวดล้อมเช่นนี้มากที่สุด ทั้งนี้มันยังช่วยเพิ่มพลังให้พวกเขาได้อีกด้วย
อีกอย่างคือวินเซนต์มีประสบการณ์โชกโชน เป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีทักษะเพียงพอ ครั้นบอกว่าเขาส่งตัวเองไปตายจึงแทบไม่มีใครเชื่อ
“แต่เมื่อวานเราหาชั้นหนึ่งกับชั้นบีหนึ่งกันทั่วแล้วนะ ห้องพักที่ว่างอยู่ก็หาแล้ว ไม่เห็นจะเจอวินเซนต์เลย”
“ไม่”
เมสสิยาห์กดเสียงต่ำ “มีอยู่สองที่ที่พวกเราไม่ได้ไป”
ทั้งโต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบ
มีสองที่ที่พวกเขาไม่ได้ไปจริงๆ ที่แรกคือประตูเหล็กลงกลอนแน่นหนาทางทิศใต้ของชั้นหนึ่ง ส่วนอีกที่คือชั้น B2
ประตูเหล็กที่ลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาทางทิศใต้นั้นแข็งแรงมาก เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าไปหาเบาะแสในนั้นไม่ได้
ส่วนชั้น B2 ไม่มีไฟ มองลงไปจากบันไดชั้น B1 เห็นแต่ความมืดมิด แถมบันไดยังผุพังจนเหมือนกับว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยซ่อมมันเลยสักครั้ง
เมื่อวานพวกเขาคิดที่จะลงไปตามหาเหยี่ยนจิ้งข้างล่าง ครั้นเดินมาถึงตรงบันได จู่ๆ ร่างทรงแรงก์ B คนหนึ่งในกลุ่มกลับหน้าซีดเผือดก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไปบนพื้น
ร่างทรงไม่ใช่ร่างกายที่จะหาได้ง่ายๆ และต้องอยู่ในดันเจี้ยนพิเศษเท่านั้นถึงจะมีผล แม้สกิลการต่อสู้จะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ประสาทการรับรู้กลับโดดเด่นเหนือใคร แถมยังมีประโยชน์มากในการรับมือกับสิ่งลี้ลับ ส่วนใหญ่ในทีมจึงมักจะมีร่างทรงอยู่สักคนสองคน
ที่นี่มีร่างทรงอยู่แค่คนเดียว หลังจากแน่ใจว่าดันเจี้ยนนี้เป็นดันเจี้ยนเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ ทุกคนจึงดูแลและปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนแพนด้ายักษ์*
ครั้นได้สติ บนใบหน้าของร่างทรงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ประโยคแรกที่พูดออกมาก็คือ…
‘อย่า…อย่าลงไป เดี๋ยวตาย’
และเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงล้มเลิกการลงไปที่ชั้น B2
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ถ้ายังหาเบาะแสจากที่อื่นไม่เจอ เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
พวกเขามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น และวันนี้นับเป็นวันแรก
จากกฎของดันเจี้ยนสยองขวัญ ยิ่งยืดเยื้อมากเท่าไร สถานการณ์ก็ยิ่งยากจะควบคุมมากขึ้นเท่านั้น
ถ้ากลางวันยังหาเบาะแสเพิ่มเติมไม่ได้ เช่นนั้นพวกเขาก็คงได้แต่เป็นฝ่ายที่ต้องลงมือโจมตีก่อน
“ชั้นบีสองอันตรายมากกว่าที่คิด อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ”
เมสสิยาห์สีหน้าเคร่งขรึม “รอรวบรวมเบาะแสและข้อมูลจากทุกด้านในกลางวันวันนี้ก่อน แล้วค่อยเปิดโหวตตัดสินกันอีกที
กินข้าวเช้ากันก่อนเถอะ”
หลังพวกเขาปรึกษาหารือกันเสร็จ จงจิ่วก็กินเสร็จพอดี
จงจิ่วที่กินข้าวเสร็จเร็วก็ไม่มีเรื่องให้ทำ เขายกมือค้ำศีรษะ ปล่อยให้ผมหางม้าสีเงินที่มัดไว้ด้านหลังเลื่อนลงมาตามแนวไหล่ เริ่มคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตนเห็นบนผนังเมื่อวาน
เมื่อคืนจงจิ่วกับเด็กเก่าคนอื่นๆ ไปนอนรวมกันที่ห้องของเมสสิยาห์ และเขาตั้งใจขนผ้าห่มไปนอนตรงมุมผนัง แต่ไม่คิดเลยว่าจะเห็นตัวอักษรแปลกๆ จำนวนหนึ่งบนนั้น
‘pnpso’
ตัวอักษรพวกนี้รวมเป็นคำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับดึงดูดความสนใจจากจงจิ่วได้
และเพื่อให้แน่ใจว่าตัวอักษรพวกนั้นไม่ใช่ความบังเอิญ เช้าวันนี้หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ จงจิ่วจึงเดินเลี้ยวไปที่ห้องพักผู้ป่วยหมายเลข 12 ของตัวเองโดยเฉพาะ
ไม่ผิดไปจากที่คิด บนผนังห้องพักผู้ป่วยหมายเลข 12 ที่เต็มไปด้วยสูตรคณิตศาสตร์มากมายก็มีตัวอักษร ‘pnpso’ อยู่เช่นกัน เพียงแต่มองเห็นไม่ชัดนัก กว่าจะแยกออกก็เปลืองแรงอยู่พอสมควร
หลังจากนั้นจงจิ่วจึงเดินออกไปดูที่ห้องอื่นด้วย และพบว่ามีตัวอักษรพวกนั้นอยู่ทุกห้องเช่นกัน
ในเมื่อไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่นนั้นก็แสดงว่ามีคนจงใจเขียนมันลงไป
แต่เบื้องหลังของตัวอักษรพวกนั้นคืออะไรกันล่ะ
จงจิ่วมีลางสังหรณ์ว่าตัวเองได้เจอเบาะแสสำคัญเข้าให้แล้ว เพียงแต่ยังขาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไปถึงทำให้เจอทางตัน ไม่สามารถผ่านไปได้
แล้วคนอื่นล่ะ
ในสถานการณ์ที่ระบบหลักประกาศชัดเจนว่ามี Imposter เช่นนี้ แล้วจงจิ่วจะทำเรื่องโง่ๆ อย่างยกก้อนหินทับเท้าตัวเอง* ไปทำไม
ชายผมขาวหรี่ตาลง ไม่แยแสต่อท่าทีเมินเฉยที่คนอื่นมีต่อตน ตรงกันข้ามเขากลับสบายใจมากกว่า
พวกนั้นจะหาเบาะแสสำคัญเช่นนี้เจอหรือไม่ก็คงต้องพึ่งความสามารถของตัวเอง ถ้าอาศัยคำใบ้จากคนอื่น แบบนั้นก็สูญเสียอรรถรสในการไขปริศนาน่ะสิ
ในฐานะนักมายากลผู้ทำหน้าที่มอบความบันเทิงและความตื่นเต้นให้กับทุกคน แน่นอนว่าจงจิ่วจะไม่ทำให้ทุกคนหมดสนุก
ในขณะที่เด็กฝึกหลายคนเพิ่งจะกินข้าวเช้าไปได้แค่ครึ่งเดียว เสียงรองเท้าส้นสูงอันคุ้นเคยก็ดังมาจากที่ไกลๆ
หัวหน้าพยาบาลปรากฏตัวที่หน้าประตู ในมือถือกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเริ่มขานชื่อ
“หมายเลขหนึ่งและหมายเลขเจ็ด, หมายเลขสิบสองและหมายเลขสาม, หมายเลขห้าและหมายเลขเก้า, หมายเลขสองและหมายเลขสิบหก…”
เด็กฝึกที่ถูกเรียกหมายเลขห้องหันมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานหลังเรียกหมายเลขครบทุกคนอย่างไม่มีตกหล่น หัวหน้าพยาบาลก็เอ่ยแจ้งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ที่เรียกมาเมื่อครู่นั้นคือหมายเลขที่จะต้องนอนร่วมกันในคืนนี้ค่ะ”
สีหน้าของเธอมืดครึ้ม “เมื่อคืนนับว่าพวกคุณฉลาด แต่ดิฉันขอเตือนว่าอย่าพยายามใช้ลูกไม้เลยจะดีกว่าค่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์นอนอัดกันเป็นจำนวนมากในห้องพักผู้ป่วยแบบเมื่อคืนอีกล่ะก็ ทางโรงพยาบาลจะจัดการตามโทษของการฝ่าฝืน”
ชั่ววูบนั้นแววตาของเด็กใหม่ก็เต็มไปด้วยความหวาดวิตก
“แล้วคืนนี้เราจะทำยังไงกันดีอะ…สองคนต่อหนึ่งห้อง อันตรายเกินไปมั้ย”
ต้องขอบคุณแผนการของบุตรพระเจ้าที่ทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยไปได้หนึ่งคืน แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าหมอและพยาบาลไม่พอใจกับกลโกงของพวกเขา แถมยังรับมือด้วยแผนการคล้ายๆ กัน นี่มันดักทางกันชัดๆ เลย
ทว่าเด็กฝึกโต๊ะกลางกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ละคนยังก้มหน้าก้มตากินข้าวในส่วนของตัวเองต่อ
เด็กเก่ารับรู้กันดีว่าเริ่มแรกยังพอจะใช้ลูกไม้ให้รอดไปได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดในทุกดันเจี้ยนสยองขวัญ
วิธีที่คิดได้จากช่องโหว่ของกฎระเบียบเช่นนั้น ทำให้รอดมาได้หนึ่งคืนก็ดีมากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะฝากความหวังไว้ที่มันอีกไม่ได้
หลังจากแจ้งเรื่องนั้นเสร็จ หัวหน้าพยาบาลก็หันไปส่งสัญญาณให้พยาบาลด้านหลังออกมาแจ้งตารางกิจวัตรประจำวันต่อ
“แปดโมงตรง ให้ผู้ป่วยทุกท่านไปรวมตัวกันที่หน้าประตูเหล็กทางทิศใต้ของชั้นหนึ่ง
วันนี้คุณหมอฉู่อารมณ์ดีจึงอยากให้ทุกคนเข้าร่วมรับชมการรักษาผู้ป่วยจิตเวชของโรงพยาบาลเราค่ะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง
[จะบ้าตาย! มีหมอด้วย!]
[ก็จริงนะ โรงพยาบาลจิตเวชใหญ่ขนาดนั้นจะมีแต่พยาบาลกับบุรุษพยาบาลแล้วไม่มีหมอได้ยังไง ฉันก็ว่าอยู่ เยี่ยมจริงๆ ในที่สุดก็ได้คำตอบแล้ว]
[เข้าชมการรักษา ทำไมฟังดูแล้วแปลกๆ อะ…ไม่ได้การ ฉันต้องเปิดซับกระสุนรัวๆ รักษาชีวิต]
ชายหนุ่มผมขาวลูบนิ้วมือแข็งเกร็งของตัวเองไปมา ปิดปากเงียบสนิท
เทียบกับการเข้าชมวิธีการรักษาแล้ว จงจิ่วสนใจการแบ่งห้องที่หัวหน้าพยาบาลเพิ่งแจ้งเมื่อครู่มากกว่า
จงจิ่วคือหมายเลข 12 ส่วนหมายเลข 3 ไม่รู้เรียกว่าบังเอิญหรืออะไรที่คนคนนั้นดันเป็นจูเก่ออั้น
* สำหรับชาวจีนแล้ว แพนด้ายักษ์นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ
* ยกก้อนหินทับเท้าตัวเอง เป็นสำนวน หมายถึงหาเรื่องใส่ตัว
โปรดติดตามตอนต่อไป…