X
    Categories: ทดลองอ่านทั่นฮวาในดวงใจมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทั่นฮวาในดวงใจ บทที่สอง

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่สอง

 ลมทะเลพัดกรูพากลิ่นไอสมุทรมาเป็นระลอก เป็นกลิ่นอายเดียวกับที่อยู่บนร่างของเนี่ยอู่

‘ส่งถึงแค่ตรงนี้ก็พอ ตราบใดที่มีเรือเล็ก ข้าไปถึงเกาะจิ้งจอกได้อยู่แล้ว’ เนี่ยอู่กล่าวยิ้มๆ ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนความรู้สึกแปลกไปเล็กน้อย

เนี่ยชังหมิงยิ้มบาง ‘จากกันคราวนี้ไม่รู้อีกกี่ปีจะได้พบกันอีก ส่งเจ้าต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป’

เนี่ยอู่มองเขา ก่อนจะหัวเราะลั่น

‘พี่ใหญ่ คนตรงไปตรงมาไม่พูดจาอ้อมค้อม ท่านมาส่งข้าเพื่อข้าหรือเพื่อคนอื่นกันแน่ ท่านกลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจขึ้นมาปุบปับ ตั้งกองโจรขึ้นมาเป็นปรปักษ์กับราชสำนักอย่างนั้นหรือ หากข้าทำเช่นนั้นจริง มีอะไรไม่ดีตรงไหนเล่า เบื้องบนมีจักรพรรดิไม่เอาอ่าว เบื้องล่างมีขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง คนที่ลำบากคือราษฎร ลองเดาดูซิว่าหากข้าลุกขึ้นมาก่อกบฏ จะช่วยราษฎรได้สักเท่าไร’

อายุน้อยๆ เพียงเท่านี้ก็มีความผยองในตัวเองแล้ว

เรือเล็กแล่นเข้าฝั่ง เนี่ยอู่กระโดดขึ้นไปอย่างไม่ลังเล

เขาหันกลับมาพลางสวมหน้ากากจิ้งจอกเข้ากับใบหน้า แล้วเอ่ยว่า ‘พี่ใหญ่ เกาะจิ้งจอกเป็นของข้า ข้าสามารถทำให้มันกลายเป็นสวรรค์หรือนรกบนดิน ที่ยิ่งกว่านั้นคือทำให้มันกลายเป็นไม้กระดานเหยียบขึ้นฝั่งของจักรพรรดิต้าหมิงได้’ พอเห็นพี่ชายหน้าตึง รอยยิ้มของเขาก็เพิ่มความเจ้าเล่ห์ขึ้น ‘ท่านคิดว่าข้าอยากเป็นจักรพรรดิจริงๆ หรือ จักรพรรดิพรรค์นั้นข้าไม่เอาด้วยหรอก! พี่ใหญ่ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดใครต่อใครถึงชมข้าตั้งแต่เด็กว่าฉลาดเฉลียว เพราะข้าแสดงความเฉียบคมออกมาข้างนอกอย่างไรเล่า ผิดกับท่าน เปลือกกายท่านก็คือหน้ากากที่ท่านไม่ยอมถอดออกชั่วชีวิต คนอื่นไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าท่านคิดอะไรอยู่ในหัว…’

‘ในเมื่อไม่มีใครเข้าใจ ข้าก็จะอุทิศทั้งชีวิตนี้ให้ราชสำนัก!’

 

ตอนนั้นเขาตอบกลับไปเช่นนี้

“พี่ชังหมิง กำลังคิดอะไรอยู่” ผู้บัญชาการฝ่ายขวาทัพซ้ายต้วนหยวนเจ๋อเดินเข้ามาในจวนผู้บัญชาการ

เนี่ยชังหมิงได้สติกลับคืนมา ยิ้มบางๆ ตอบกลับไป “ข้ากำลังคิดว่าเมื่อครู่บัญชีรายชื่อทหารทัพท้องถิ่นที่จะเข้าร่วมทัพเมืองหลวงถูกส่งเข้ามาแล้ว เมื่อไรเจ้าถึงจะส่งบัญชีรายชื่อทหารทัพเมืองหลวงมาเสียที”

ตายล่ะ จังหวะไม่ดีเอาเสียเลย

ต้วนหยวนเจ๋อปั้นยิ้ม “เรื่องนั้นอีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่…”

“หือ?” เขาส่งเสียงรับรู้พลางดึงความคิดกลับคืนมา นานเต็มทีแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกับเจ้าห้า เหตุใดเมื่อครู่ถึงได้นึกถึงบทสนทนาก่อนฝ่ายนั้นจากไปขึ้นมาได้นะ

“ปัญหาที่ว่าเกิดขึ้นในสำนักราชบัณฑิต”

เนี่ยชังหมิงชะงักค้าง จากที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก็ตัวแข็งทื่อ ลังเลอยู่สักพัก เขาก็เลียบๆ เคียงๆ ผ่านรอยยิ้ม

“เกิดปัญหาขึ้นในสำนักราชบัณฑิตหรือ”

“ถูกต้อง ถานเสี่ยนย่า จ้วงหยวนปีนี้ของสำนักราชบัณฑิต เจ้าเคยเจอหรือยัง”

“ไม่กี่วันก่อนเคยเห็นจากไกลๆ ด้านนอกตำหนักเฟิ่งเทียน” เขาตอบลวกๆ จากนั้นก็ถามอีก “แล้วอย่างไร ตกลงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่”

ต้วนหยวนเจ๋อหัวเราะขันเมื่อเห็นท่าทางร้อนใจของอีกฝ่าย “พี่ชังหมิง น้อยนักที่จะเห็นเจ้าลนลานแบบนี้สักที อย่าบอกนะว่าเจ้าถูกใจธิดาของใต้เท้าอู๋” เห็นคู่สนทนาทำหน้ากังขา เขาก็อธิบายว่า “จ้วงหยวนกับเจ้าอายุไล่เลี่ยกัน ซ้ำยังหล่อเหลาคมคาย เลยถูกใต้เท้าอู๋หมายตาเข้า อยากจะได้มาเป็นเขย ว่าอย่างไร หากเจ้าถูกใจคุณหนูอู๋จริง ข้าจะหาแม่สื่อไปช่วยพูดให้ก็ได้”

“ข้ายังไม่เคยเห็นหน้านางสักครั้งด้วยซ้ำ จะเอาอะไรมาถูกใจ” เขาตกใจจนเหงื่อแทบแตกทั้งตัว ถานอู่ฟูดวงดีจริง แต่งกายเป็นบุรุษอยู่ในสำนักราชบัณฑิตมาหลายวันไม่ยักมีใครมองออก แต่กลับทำให้เขาเดือดร้อน เพราะต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

กลัวว่าวันหนึ่งนางจะความลับแตก แล้วพลอยทำให้เขาถึงตายไปด้วย

“วันนี้ใต้เท้าอู๋ไม่สบาย ไม่ได้เข้าประชุม หยวนเจ๋อข่าวไวจริงๆ”

“ข้าอยากให้เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนกว้างขวางมากกว่า ไม่มีข่าวเล็กข่าวน้อยใดในเมืองหลวงรอดหูรอดตาข้าไปได้หรอก” ต้วนหยวนเจ๋อพูดอย่างภาคภูมิใจ “ตัดปั่งเหยี่ยนเฉิงเซี่ยวหลงที่สูงวัยแล้วทิ้งไป จ้วงหยวนกับทั่นฮวายังหนุ่มแน่นเลยมูลค่าสูง เท่าที่รู้มาจากสายสืบของข้า ใต้เท้าอู๋หมายมั่นให้ถานอู่ฟูสอบได้อันดับหนึ่ง จะได้ยกธิดาให้ แต่ลิขิตคนไหนจะสู้ลิขิตฟ้า องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้งถานเสี่ยนย่าเป็นจ้วงหยวน ข้าเคยคุยด้วยสองสามคำ เขาเป็นบัณฑิตที่มีความทะเยอทะยาน ต่อไปได้ใต้เท้าอู๋คอยหนุนหลัง ดวงงานในราชสำนักของเขามีแต่จะพุ่งเอาๆ”

“เจ้าช่างมีสายสืบข่าวเล็กๆ น้อยๆ เยอะจริงนะ”

ต้วนหยวนเจ๋อไม่สนใจถ้อยคำกึ่งเหน็บแนมของอีกฝ่าย พูดต่อไปว่า “ปั่งเหยี่ยนเฉิงเซี่ยวหลงแก่เกินไป ข้ามไปพูดถึงทั่นฮวาเลยแล้วกัน ข้าเคยคุยด้วยสองสามคำเช่นกัน เด็กคนนี้…”

เนี่ยชังหมิงใจเต้นแรงขึ้นหนึ่งจังหวะ เอ่ยถามเสียงพร่า “เป็นอย่างไรหรือ”

ต้วนหยวนเจ๋อกับเขาเคยออกรบภายใต้การนำทัพของแม่ทัพคนเดียวกันมาตลอด จนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน แม้ตั้งแต่ย้ายมากินตำแหน่งในเมืองหลวงจะดูเกียจคร้านเฉื่อยชา แต่ก็มีสายตาแหลมคมกับเรื่องสำคัญเสมอ น่าจะมองเพศที่แท้จริงของนางออก

ต้วนหยวนเจ๋อเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วตอบว่า “เด็กคนนี้ฉลาดจริงๆ ซ้ำยังไม่อวดตน ราชสำนักมีขุนนางเลือดใหม่เช่นนี้ถือเป็นวาสนาของต้าหมิงโดยแท้ พี่ชังหมิงเองก็ดูคนเก่ง ครั้งแรกที่ได้เห็นเขาคงคิดเช่นนี้กระมัง ใช่หรือไม่”

เนี่ยชังหมิงแค่นยิ้มโดยไม่รู้ตัว เขาเคยอยากรับนางเป็นน้องชายจริงๆ นั่นล่ะ

“พี่ชังหมิง ตอนที่ข้าเห็นเขาเผินๆ ครั้งแรก เจ้าทายซิว่าข้าคิดอย่างไร”

ประสาทที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงเมื่อครู่เกร็งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

“จะ…เจ้าคิดอย่างไรเล่า” เสียงของเขาสั่นนิดๆ ถูกจับได้แล้วจริงด้วย จะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างไรดีนะ

อาการผิดปกติของเขาตกอยู่ใต้สายตาของต้วนหยวนเจ๋อ ฝ่ายนั้นเงียบไปสักพักก็พูดแค่เพียงว่า

“เจ้าเองก็รู้ว่าช่วงหลังๆ นี้ชนชั้นสูงเริงโลกีย์ขึ้นทุกที นอกจากจะเลี้ยงเด็กหนุ่มเป็นคู่นอน ยังสรรหาชั้นเชิงลามกหยาบโลนต่างๆ นานามาใช้ ข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกชนชั้นสูงแข่งกันว่าเด็กหนุ่มของใครงดงามที่สุด แค่กๆ เด็กหนุ่มที่ข้าเห็นระยะนี้ก็…งามมากจริงๆ นั่นล่ะ”

ไม่เพียงถานอู่ฟู หลายเดือนก่อนเขาลาราชการเดินทางไปหนานจิง จึงแวะไปทักทายที่คฤหาสน์สกุลเนี่ย ได้เจอเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักน่าชังเสียจนแทบหวั่นไหวพากลับบ้านมาด้วย เห็นว่าเด็กคนนั้นเป็นน้องชายคนที่สิบสองของเนี่ยชังหมิง เฮ้อ หากเป็นเด็กกำพร้า เขาจะต้องพากลับมาที่บ้าน แล้วก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ไม่อาจหันหลังกลับนับแต่นั้นมา

“แล้วอย่างไรต่อ”

ยังจะให้มีต่ออีกหรือ ต้วนหยวนเจ๋อทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับถานอู่ฟูเงียบๆ แล้วสรุป

“ข้ารับรองเลยว่าพวกขุนนางเฒ่าที่มีลูกสาวยังไม่ได้ออกเรือนไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด ไม่แน่ว่าอีกไม่นานพวกเราอาจได้ไปดื่มสุรามงคลอีกรอบก็ได้”

“คนผู้นั้นแต่งงานก็ประหลาดล่ะ”

“น้อยนะที่จะได้เห็นพี่ชังหมิงพูดเป็นเชิงติใครเช่นนี้ หรือว่าเจ้าไปได้ยินข่าวลือที่ข้าไม่รู้มา?”

เนี่ยชังหมิงคลี่ยิ้มละมุนทันที แล้วเบี่ยงประเด็นอย่างคล่องแคล่ว “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ว่าแต่เจ้าเถอะ หยวนเจ๋อ วันๆ เอาแต่คอยรวบรวมข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ทำแล้วสนุกนักหรือ”

“เมืองหลวงสงบเกินไป ข้าดีแต่อยู่ว่างๆ ทุกวัน จะให้ทำอะไรได้ คอยเก็บข่าวสัพเพเหระระหว่างนั่งดื่มชาก็เพลินอยู่เหมือนกัน ดีกว่าไปเที่ยวหอนางโลมหรือเข้าบ่อนพนันล่ะน่า” แม้ภายนอกจะดูเหมือนสนิทกับเนี่ยชังหมิงราวกับพี่น้อง เคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน แต่เขาก็ยังอ่านใจอีกฝ่ายไม่ออกอยู่ดี จึงไม่กล้าบ่นความแหลกเหลวของราชสำนักให้ฟัง

ทันใดนั้นบ่าวในจวนก็เดินนำขันทีน้อยคนหนึ่งเข้ามา เนี่ยชังหมิงลุกพรวดขึ้นยืนอีกครั้ง

“หวงกงกง สำนักราชบัณฑิตเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ”

ขันทีน้อยตกใจทีเดียวที่ชายหนุ่มรู้ว่าตนเองทำงานอยู่ที่ใด ก่อนจะรีบพยักหน้าตอบ “ผู้น้อยมาจากสำนักราชบัณฑิตจริงๆ ใต้เท้าถาน…”

“ใต้เท้าถานคนไหน” เนี่ยชังหมิงถามอย่างอกสั่นขวัญแขวน รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้า

ขันทีน้อยก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าถานที่เป็นทั่นฮวาคนใหม่ขอรับ”

เสียง ‘เป๊าะ’ ดังขึ้น หินทับกระดาษในมือเนี่ยชังหมิงหักออกเป็นสองเสี่ยง

ต้วนหยวนเจ๋อกับขันทีน้อยหันไปมองเจ้าตัวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“พี่ชังหมิง มีสิ่งใดผิดปกติหรือ” ต้วนหยวนเจ๋อเอ่ยถามอย่างตื่นตัว

นางเก็บความลับไว้ไม่อยู่จริงๆ ขุนนางราชสำนักเคยพบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วน มีหรือจะดูไม่ออกว่านางเป็นสตรี วิเศษล่ะทีนี้ นางถูกเปิดโปงแล้ว ส่งขันทีมาหาข้าเพื่ออะไร คิดจะลากข้าลงน้ำไปด้วยหรือ ฝันไปเถิด!

สมองของเนี่ยชังหมิงทำงานอย่างรวดเร็ว ความเป็นไปได้ผุดขึ้นมาทุกรูปแบบ เขายังมีเรื่องอยากทำอีกมากมายในอนาคต จะปล่อยให้ตัวเองถูกสตรีไม่ได้ความคนหนึ่งลากไปตายด้วยจนเสียการใหญ่ได้อย่างไร

ชายหนุ่มกัดฟันกรอดอยู่เงียบๆ ระหว่างกำลังคิดหาทางให้ตัวเองไม่เดือดร้อนไปด้วย ขันทีน้อยก็พูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าถานเป็นลมไปในสำนักราชบัณฑิตขอรับ ก่อนจะหมดสติไปได้ขอให้ผู้น้อยมาเชิญเจวี๋ยเหยียไปที่นั่น”

“เป็นลม?” ความคิดแล่นปราด เนี่ยชังหมิงถามอย่างกังขา “กงกงหมายความว่า…เขาป่วยหรือ แล้วเหตุใดถึงไม่ตามหมอหลวงไปตรวจให้เล่า…” จริงสินะ นางเป็นสตรี หมอแค่จับชีพจรก็รู้แล้ว ดังนั้นนางจึงให้มาตามข้า…แต่เหตุใดถึงต้องตามข้าด้วย!

เขาก็แค่ให้นางเช่าห้องเล็กๆ อยู่ห้องหนึ่ง ใช่ว่ามีความเกี่ยวข้องอื่นเสียเมื่อไร

ต้วนหยวนเจ๋อเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าเขาก็ถามหยั่งเชิง “พี่ชังหมิง เหตุใดไม่ไปดูหน่อยล่ะ”

“ต่างคนต่างมีงานของตัวเอง งานของข้าอยู่ที่กองบัญชาการมณฑลทหารห้าเขต ส่วนงานของเขาอยู่ที่สำนักราชบัณฑิต คนหนึ่งเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ คนหนึ่งเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น หากข้าไปจะเป็นที่ครหาเปล่าๆ” หากมีอะไรพลาดพลั้งขึ้นมาจะกลายเป็นภัยต่ออนาคต เขาเอ่ยกับขันทีว่า “หวงกงกง ในเมื่อเขาไม่ต้องการให้หมอตรวจ ก็รบกวนท่านช่วยแบกออกจากวังหลวงที…”

คำพูดสะดุดลงเพียงเท่านั้น ความคิดแล่นวาบเข้ามาในใจ เนื่องจากไม่อาจนั่งเกี้ยวในเขตวังหลวงก็ต้องให้หวงกงกงแบกขึ้นหลัง ไม่แน่อาจจับได้ว่านางเป็นสตรี…คนถูกประหารคือนาง แต่รับรองไม่ได้ว่าจะไม่เดือดร้อนมาถึงเขาที่แสนน่าสงสารคนนี้ด้วยหรือไม่

ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ปลายนิ้วทั้งห้าจิกเกร็งลงกับโต๊ะ ขณะเค้นคำพูดออกจากริมฝีปาก…

“ช่างเถิด กงกง นำทางที” พูดจบก็ตามขันทีเดินออกจากจวนผู้บัญชาการ

เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่!

สัญชาตญาณบอกแหล่งข่าวอย่างต้วนหยวนเจ๋อว่าหากตามเนี่ยชังหมิงไปจะต้องได้ข่าวใหม่ๆ มาอย่างแน่นอน เขาจึงรีบสาวเท้าตามไปด้วยพลางถาม

“พี่ชังหมิง…เคยผิดใจกับทั่นฮวาอย่างนั้นหรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า” เนี่ยชังหมิงแค่นยิ้ม

“ตอนได้ยินว่าเป็นเขา รอยยิ้มของเจ้าหายไปทันทีเลยนี่นา…อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เขาต้องสำคัญกับเจ้ามากแน่ๆ!”

“สำคัญ?!” เนี่ยชังหมิงคำรามออกมาเบาๆ แล้วพบว่าอีกสองคนที่เหลือเบิกตามองตัวเอง จึงรีบยิ้มกลบเกลื่อน “เขาก็เป็นแค่ผู้เช่าห้องในจวนข้า ต่อให้เจอหน้ากันก็แค่พยักหน้าทักทายเท่านั้น สำคัญอะไรกันเล่า” เขาอยากแสดงออกว่าไม่เกี่ยวข้องกับนาง นี่สิความจริง

“พี่ชังหมิง ไม่ต้องลนลานไป พวกเราเข้าใจ เข้าใจดี! ถานอู่ฟูเป็นแค่ผู้เช่า ไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าแค่เป็นห่วงเขาเท่านั้น…”

เป็นห่วง?!

แน่นอนว่าเขาเป็นห่วง เป็นห่วงว่าอยู่ดีๆ ตัวเองจะพลอยหัวหลุดจากบ่าไปด้วยกันกับนางทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด! สวรรค์โปรดคุ้มครองเขาด้วย วันนั้นเขาไม่น่าไปที่ตำหนักเฟิ่งเทียนเลย นางจะได้ไม่มีโอกาสเข้ามาตีสนิทกับเขา!

“ข้ากับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งนั้น เจ้าอย่าเอาไปพูดส่งเดชล่ะ” เนี่ยชังหมิงลอบสูดหายใจลึกๆ แล้วบอกเสียงเรียบ

“ข้าเข้าใจ…ข้าเข้าใจ” ต้วนหยวนเจ๋อมองเส้นเลือดที่เต้นตุ้บๆ ตรงขมับของอีกฝ่าย “เจ้า..เริ่มจะทำหน้าถมึงทึงแล้วนะ พี่ชังหมิง” เขาบอกเป็นนัย

รู้จักกันมาหลายปี เพิ่งจะได้เบิกเนตรก็วันนี้ว่าเนี่ยชังหมิงมีสีหน้าแบบอื่นนอกจากใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ ด้วย เห็นแล้วถึงค่อยรำลึกได้ว่าเจ้าตัวยังเป็นคนหนุ่มอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ ที่มีอารมณ์แปรปรวนเหมือนคนทั่วไป

พอเดินเข้าไปในสำนักราชบัณฑิต ยังไม่ทันได้คารวะทักทายขุนนางแต่ละคน ก็เห็นได้ทันทีว่าถานอู่ฟูนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ถานเสี่ยนย่าที่เป็นจ้วงหยวนกำลังนวดขมับให้

“ท่านจ้วงหยวนโปรดหยุดเถิด!” เขาโพล่งออกไปเสียงดัง สร้างความแตกตื่นให้ขุนนางในที่นั้น

“เนี่ยเจวี๋ยเหยียหรือ” ถานเสี่ยนย่าสะดุ้งโหยง รีบชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ถูกต้อง” เนี่ยชังหมิงเดินเข้าไปผลักอีกฝ่ายออกอย่างแนบเนียน แล้วนั่งยองๆ ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้นางพลางกัดฟันเรียก “ใต้เท้าถาน?” ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันจนเกินงาม เขาพยายามรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้นางอย่างเต็มที่ นางควรซาบซึ้งในตัวเขาให้มากๆ

นางเผยอเปลือกตาขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนแรง “พี่ใหญ่ เมื่อครู่เสียงท่านน่ากลัวจริง ข้าถึงกับสะดุ้งตื่นเลยทีเดียว”

“ที่แท้เจ้าไม่ได้หมดสติ แต่หลับอยู่หรอกหรือ” เขาลดเสียงลงถามอย่างเหลือเชื่อ

“เปล่า ข้าหิวต่างหาก”

“หิว? เจ้าจะบอกว่าเจ้าหิวถึงได้หมดสติไป?”

“พี่ใหญ่ฉลาดจริงๆ”

สายตาที่จ้องมองนางดุดันราวกับจะจับนางกินทั้งเป็น เสียงกระแอมของต้วนหยวนเจ๋อดังขึ้นเบาๆ คล้ายจะเตือนสติว่าเขาเสียกิริยาอีกแล้ว ชายหนุ่มฝืนคลี่ยิ้มบางๆ แล้วถามเสียงแผ่ว “สำนักราชบัณฑิตไม่ได้เตรียมข้าวไว้ให้สามมื้อหรอกหรือ”

“พี่ใหญ่ ท่านนี่สมเป็นขุนนางชั้นสูงจริงๆ ถึงได้ลืมเรื่องหยุมหยิมอยู่เรื่อย วันหนึ่งข้ากินข้าวหกมื้อ สองสามวันที่ผ่านมายังพอว่า ข้าทนหิวกลับคฤหาสน์สกุลเนี่ย แล้วขอให้บ่าวยกของว่างมาให้ แต่ที่คฤหาสน์มีกฎว่ากินของว่างแต่ละมื้อต้องจ่ายเงิน ค่าเดินทางของข้าหมดไปนานแล้ว เลยไม่ได้กินมื้อดึกตั้งแต่เมื่อคืน อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ก็ดันเป็นของที่ข้าไม่ชอบ…”

“ดังนั้นเลยยอมอดดีกว่าฝืนใจกิน?”

“พี่ใหญ่รู้ใจข้าดีจริงๆ เลย ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…พอหิวขึ้นมาก็ไม่มีแรงจะเขียนงาน หน้ามืดตาลาย อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งตัว ต้องนอนนิ่งๆ…”

มือใหญ่ที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น เนี่ยชังหมิงจ้องใบหน้าขาวซีดของนาง โทสะแล่นพลุ่งขึ้นมาในอก เขาต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้กระโจนเข้าไปบีบคอนางตายเสียตรงนี้

“เช่นนี้เจ้าก็ไม่ควรมาสอบ!” เก็บตัวเป็นคุณหนูอยู่ในบ้านไม่ดีกว่าหรือ

“พี่ใหญ่จะปฏิเสธความใฝ่ฝันของข้า เพียงเพราะปัญหาด้านสุขภาพของข้าได้อย่างไรกัน”

“สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาน่ะหรือความใฝ่ฝันของเจ้า” เขากัดฟันกรอด ตั้งแต่รู้จักนางมา เขากัดฟันจนปวดไปหมดแล้ว

ฝ่ายตรงข้ามใจลอยไปเมื่อได้ยินดังนั้น เนี่ยชังหมิงสังเกตเห็น แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร นางก็พูดเสียงอ่อนระโหยโรยแรงขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าเพิ่งสนใจความใฝ่ฝันอะไรนั่นเลย ข้าหิวจนลมแทบจับแล้ว หากเป็นลมเป็นแล้งไป รับรองว่าข้าได้ป่วยหนักจริงๆ แน่”

เรียวปากนางขาวซีด ดวงตาหลุบปรือ ท่าทางเหมือนพร้อมจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ

“เจวี๋ยเหยีย” ถานเสี่ยนย่าขยับเข้ามากระซิบเบาๆ “ถ้าอย่างไรข้าขอให้กงกงแบกเขาออกจากวังหลวง แล้วเช่าเกี้ยวพากลับไปพักผ่อนที่จวนดีหรือไม่ขอรับ…”

เนี่ยชังหมิงทำหูทวนลม หันขวับไปหยิบผ้าคลุมกันลมของนางมาห่มร่างเล็ก จากนั้นก็ช้อนตัวนางขึ้น

ตัวนางเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนัก นึกภาพไม่ออกเลยว่าเป็นคนที่กินหกมื้อต่อวัน เพราะไม่ได้อ้วนเลยสักนิด

นางซุกหน้าเข้ากับอกเขา แล้วหลับตาลงอย่างอ่อนแรง

ชายหนุ่มนึกรังเกียจความไม่รักนวลสงวนตัวของนาง ทว่ายังคงฉาบยิ้มบางๆ ไว้บนใบหน้าขณะพูดกับขุนนางสำนักราชบัณฑิตในที่นั้น “เลยทำให้ทุกท่านพลอยกังวลไปด้วย”

“ไม่ขอรับ…ไม่เลยสักนิด…” ถานเสี่ยนย่าตอบเสียงแหบ ก่อนจะรีบกระแอม สายตาเหลือบมองร่างเบาหวิวราวกับขนนกของนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เลื่อนลงไปมองท่อนแขนกำยำแข็งแรงที่อุ้มนางโดยมีผ้าคลุมกันลมขวางกั้น

รอยยิ้มของเนี่ยชังหมิงแข็งขึ้นเล็กน้อยเมื่ออุ้มนางเดินออกไปข้างนอก

“แหม ข้าเข้าใจแล้ว!” ต้วนหยวนเจ๋อที่ได้สติกลับมาปรบมือร้องขึ้น “มิน่าเล่า พอพี่ชังหมิงได้ยินคำว่าสำนักราชบัณฑิต รอยยิ้มก็หายวับกลายเป็นสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที ที่แท้…เขาก็ทั้งรักทั้งชังถานอู่ฟูนี่เอง…”

“รัก?!” ขุนนางในที่นั้นอุทานเซ็งแซ่

“พะ…พวกเขาเป็นบุรุษทั้งคู่นะ…” ถานเสี่ยนย่าแย้งเสียงสั่น รูปลักษณ์อ่อนใสเกลี้ยงเกลาของถานอู่ฟูลอยขึ้นมาในสมอง เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองงามสง่านุ่มนวล จวบจนได้พบถานอู่ฟู คนผู้นี้ดูผ่องใสกว่าเขาเสียอีก ซ้ำรูปร่างยังอ้อนแอ้นบอบบาง กระเดียดไปทางสตรี…

“เป็นบุรุษแล้วอย่างไรเล่า” ศีลธรรมเสื่อมโทรมเพราะราชวงศ์ ปัญญาชนครวญคร่ำจะเป็นจะตายเพราะกามา เริงรักกับเด็กหนุ่มเอย สำส่อนในหอนางโลมเอย เสพพรหมจรรย์หญิงสาวเพื่อความเป็นอมตะเอย ล้วนแต่เป็นเรื่องบัดสีแหลกเหลว นิยมเพศเดียวกันยังถือว่าปกติ!

“แต่…” ถานเสี่ยนย่าแย้งอย่างตกตะลึง อะ…อู่ฟูคนนี้ดูสุภาพเรียบร้อย ต้องมาตกต่ำเพราะอย่างนี้น่าเสียดายเกินไป “แต่…อู่ฟูเพิ่งเข้ามาทำงานในสำนักราชบัณฑิตแค่ไม่กี่วัน เหตุใดถึง…ชอบพอ…กับเนี่ยเจวี๋ยเหยียได้เล่า”

“ท่านไม่รู้หรอกหรือ ตอนนี้ทั่นฮวาพักอยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ย ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ธรรมดา หากไม่เชื่อก็ลองถามผู้อาวุโสในที่นี้ดู เนี่ยชังหมิงเป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ กินตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายทัพซ้าย ปีนี้อายุยี่สิบสาม ที่บ้านมีพี่น้องสิบกว่าคน ตระกูลร่ำรวยมหาศาล บรรพบุรุษเป็นขุนนางสำคัญที่มีส่วนช่วยในการก่อตั้งราชวงศ์ ตัวเขาเองก็งามสง่าโดดเด่น เหตุใดถึงได้คอยปฏิเสธขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักเรื่องแต่งงานครั้งแล้วครั้งเล่า” ต้วนหยวนเจ๋อยิ้มตาเป็นประกาย นึกยินดีว่าอีกไม่นานคำพูดของตนจะกลายเป็นข่าวลือที่แพร่กระจายนับครั้งไม่ถ้วน เมืองหลวงน่าเบื่อเกินไป เขาเลยต้องหาความบันเทิงให้ตัวเองอย่างไรเล่า

“นี่…ต้วนเจวี๋ยเหยียหมายความว่า…”

“เนี่ยชังหมิงกับถานอู่ฟูผูกพันแน่นแฟ้น เนี่ยไม่อาจแยกจากถาน ถานไม่อาจแยกจากเนี่ย พวกท่านจำไว้แค่นี้พอ” หากยังไม่เผ่น เขาได้หลุดขำออกมาแน่ ต้วนหยวนเจ๋อรีบประสานมือคำนับลา พอออกจากสำนักราชบัณฑิตมาได้ก็แอบกุมท้องหัวเราะลั่นอยู่ตรงมุมกำแพงวังหลวงคนเดียว

นับจากนี้ไปเมืองหลวงก็จะมีหัวข้อให้สนทนาหลังอาหารเพิ่มอีกหนึ่ง เขาซึ่งเป็นผู้รวบรวมข่าวสัพเพเหระจากแหล่งต่างๆ แน่นอนว่ายอมปล่อยข่าวเองด้วยเช่นกัน

“ไม่ใช่ว่าข้าจงใจทำร้ายเจ้าหรอกนะ แต่ปฏิกิริยาของเจ้าดูน่าสงสัยจริงๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง “พี่ชังหมิง แต่ก่อนข้าไม่เคยรู้เลยว่านอกจากอมยิ้มแล้ว เจ้าก็ทำหน้าอย่างอื่นเป็น เมื่อมีโอกาสเล่นงานเจ้า จะไม่ให้ข้าคว้าไว้ได้อย่างไร” ตอนที่ลงสมรภูมิเข่นฆ่าศัตรูด้วยกันเป็นครั้งแรก เลือดกระเซ็นมาใส่ตัว เขาหลบไปพลางอาเจียนไปพลาง หลังเสร็จศึกยังแอบร้องไห้อยู่ในกระโจมยกใหญ่ แต่เนี่ยชังหมิงกลับสามารถถือดาบสังหารข้าศึกด้วยรอยยิ้มบางๆ

เขาเพิ่งได้ตระหนักอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกก็คราวนั้นว่าหน้าไม่กระดิกหมายความว่าอย่างไร นับแต่นั้นไม่ว่าจะเวลาโรมรันข้าศึก เวลาอยู่ในราชสำนัก หรืออยู่กับสหายร่วมศึกอย่างเขา เนี่ยชังหมิงก็ไม่เคยถอดหน้านั้นออกเลยสักครั้ง

หากจะถามว่าโลกนี้มีเรื่องไหนที่เขาอยากรู้ที่สุด คงต้องบอกว่าเป็นอีกด้านของเนี่ยชังหมิงเมื่อถอดหน้ากากยิ้มละไมออก และใครกันที่ทำให้คนคนนั้นยอมถอดหน้ากากได้

นับจากนี้เป็นต้นไป ข่าวลือที่ทุกคนรู้กันทั่วก็จะสะพัดไปทั้งเมืองหลวง…

เนี่ยชังหมิงกับถานอู่ฟูชะตาเกี่ยวพันกัน แยกออกจากกันไม่ได้

แต่เวลานี้ เฮ้อ…เขาเห็นจะต้องลี้ภัยก่อนล่ะ

พอออกจากประตูตงหวาก็มีเกี้ยวรออยู่ข้างนอกแล้ว

“เนี่ยเจวี๋ยเหยีย!” ใต้เท้าจางที่กำลังจะก้าวขึ้นเกี้ยวอีกด้านเห็นเขาเข้าก็ปรี่เข้ามาหา “เนี่ยเจวี๋ยเหยียอย่าเพิ่งไป…อ้าว เขาคือ…” สายตาชราเพ่งมองเด็กหนุ่มในวงแขนของเนี่ยชังหมิง แต่มองเห็นหน้าไม่ถนัดนัก

เนื่องจากเดินมาค่อนข้างไกล เนี่ยชังหมิงจึงตอบผ่านเสียงหอบ “เขาเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตอย่างไรเล่า ยามนี้กำลังป่วย ข้าจึงจะพาไปขึ้นเกี้ยวขอรับ”

“อย่างนี้นี่เอง…” ใต้เท้าจางทำท่าลังเล แต่เห็นว่าถานอู่ฟูน่าจะหมดสติ จึงลดเสียงลงพูดเบาๆ “เรื่องที่ข้าพูดเมื่อวันก่อน เจวี๋ยเหยียยังจำได้หรือไม่”

ชายหนุ่มหรี่ตา “ใต้เท้าจางหมายถึง…”

“นักพรต” ใต้เท้าจางตบไหล่เขาทีหนึ่งแล้วพูดอ้อมๆ “ตอนนี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมจุ้ยเซียน รอให้ข้าพาไปแนะนำตัวอยู่ นักพรตผู้นี้วิชาอาคมแก่กล้า จะต้องมอบยาอายุวัฒนะให้องค์จักรพรรดิได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เขาพักอยู่ในเขตที่เจวี๋ยเหยียรับผิดชอบ ต้องขอให้เจวี๋ยเหยียช่วยดูแลหน่อยนะ”

“ข้อนี้แน่นอนอยู่แล้ว หากเรื่องนี้สำเร็จ ต้องขอให้ใต้เท้าช่วยพูดส่งเสริมผู้น้อยด้วย” ใบหน้าคมคายยังประดับยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยน

“อูย…” ถานอู่ฟูงึมงำทั้งที่ยังไม่ได้สติ สองตาปิดสนิท คิ้วโก่งเรียวงามขมวดเข้าหากัน

เนี่ยชังหมิงฉวยโอกาสขอตัวลายิ้มๆ แล้วอุ้มนางไปขึ้นเกี้ยวภายใต้สายตามีนัยลึกซึ้งของใต้เท้าจาง

เกี้ยวเล็กแบบสี่คนหามตรงดิ่งไปยังคฤหาสน์สกุลเนี่ยท่ามกลางแสงเหลืองสลัวของดวงโคม

“เข้าตรอกเล็กจะเร็วหน่อย” เนี่ยชังหมิงสั่งขณะเดินอยู่ข้างเกี้ยว เดิมทีเขาตั้งใจจะให้บ่าวส่งนางกลับ แต่นางอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จะลงจากเกี้ยวเองได้อย่างไร

“พี่ใหญ่…ข้าแทบจะกลิ้งตกลงไปอยู่แล้ว…” เสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังออกมาจากในเกี้ยว

ได้สติเร็วถึงเพียงนี้เชียว?

“นั่งดีๆ ไม่เป็นหรือ”

“ข้าไม่มีแรงเลย…โอ๊ย!” เสียงหัวโขกผนังเกี้ยวดังขึ้น “เจ็บยิ่งนัก…”

เขากัดฟันแน่น สั่งให้คนหามเกี้ยวหยุด แล้วชะโงกตัวเข้าไปดู

นางนั่งตัวเอนกระเท่เร่อยู่ในเกี้ยว ท่าทางมึนๆ เขาเอื้อมมือออกประคองร่างนั้นให้นั่งตรง โดยวางมือลงบนผ้าคลุม ไม่ได้สัมผัสนางโดยตรง

“พี่ใหญ่ ท่านเองก็ขึ้นมานั่งด้วยกันสิ”

“ถ้าไม่ขึ้น เจ้าก็แหกปากเอะอะไม่เลิก ข้าไม่ขึ้นได้หรือ”

ร่างอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของนางเอนอิงเข้ามาซบ เขาทำท่าจะผลักนางออกตามสัญชาตญาณ แต่เกี้ยวแคบๆ แบบนี้ จะผลักไปไหนได้เล่า มีแต่ต้องยอมฝืนใจให้นางซบไหล่นั่นล่ะ

ไม่มียางอายเอาเสียเลย!

เขาไม่เคยเห็นสตรีคนใดไร้ความละอายเท่านี้มาก่อน ต่อให้แต่งกายเป็นชาย ก็ควรระวังตัวไม่ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามเกินพอดี

“หากอยู่ในราชสำนักต่อไม่ไหวก็ลาออกจากราชการเถิด” เขานั่งตรงแน่วตัวแข็งทื่อ

“เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆ พี่ใหญ่ไม่เบื่อ แต่ข้าเบื่อนะ”

“จะต้องให้ข้าพูดออกมาชัดๆ ใช่หรือไม่”

นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไร้เดียงสา แล้วถามผ่านรอยยิ้ม “พูดอะไรชัดๆ หรือ”

พูดชัดๆ ว่าเจ้าเป็นหญิงอย่างไรเล่า เมื่อพูดออกมาก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ!

“พี่ใหญ่ นั่นโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนนี่นา” อยู่ๆ นางก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง

ชายหนุ่มหรี่ตา โพล่งถามไปว่า “เจ้า…ได้ยินหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ได้ยินอะไร” ปลายนิ้วขาวเรียวเล็กชี้โรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านนอก “ตอนเข้ามาสอบในเมืองหลวง ข้าได้ยินคนเขาพูดกันว่าโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าไปได้ น่าเสียดายที่ข้ามีค่าเดินทางจำกัด เลยอดเข้าไปดูข้างใน พี่ใหญ่ ท่านว่าหากอ้างชื่อท่าน จะเข้าไปนั่งกินดื่มในนั้นโดยไม่ต้องเสียเงินได้หรือไม่”

นางหมายความว่าอย่างไรกัน นี่นางแอบฟังข้ากับใต้เท้าจางคุยกันกระมัง

สัญญาณเตือนภัยในหัวดังลั่น แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เกี้ยวก็ส่ายวูบ ทำท่าจะพลิกคว่ำลงกับพื้น เขากางขายันเกี้ยวเอาไว้ ท่อนแขนสีผ่านอกแบนราบของนางเพื่อยันผนังเกี้ยวรักษาสมดุล

“เจ้า…” นางแต่งกายเป็นชายต้องใช้ผ้ารัดอก ตอนที่ท่อนแขนสีผ่าน เขาสัมผัสความหยุ่นนุ่มใดๆ ไม่ได้ ทว่า…

“พี่ใหญ่ ข้างนอกมีเสียงต่อสู้” นางบอกอย่างเยือกเย็น

เขาคิดสกปรกไปเอง…ชายหนุ่มดึงสติกลับมาพลางก่นด่าตัวเอง ก่อนจะรีบออกไปดูข้างนอก

คมกระบี่ถากผ่านแก้มไปอย่างเฉียดฉิว เขาเบี่ยงตัวหลบคนชุดดำที่พุ่งเข้ามาหา

“เจวี๋ยเหยียระวังขอรับ!” คนหามเกี้ยวร้องบอก

ถานอู่ฟูโผล่หน้ามองออกมาจากรอยต่อผ้าม่าน ดูเหมือนเกี้ยวจะมาหยุดอยู่กลางตรอกเปลี่ยวเงียบ ไร้เงาคนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

“โธ่เอ๊ย! เป็นทั่นฮวาได้แค่ไม่กี่วันก็เกิดเหตุเสียแล้ว หมอดูบอกว่าข้าไม่ควรเดินทางขึ้นเหนือ แล้วก็มาตกอยู่ในอันตรายจริงๆ” นางงึมงำ

เนี่ยชังหมิงกร้าวเสียงถามอย่างเยือกเย็น

“ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก ถึงกับกล้ามาดักฆ่าแกงกันในเมืองหลวงเชียวหรือ”

“อยากเป็นชนชั้นสูงก็ต้องตายสถานเดียว!”

“อ้อ ดูท่าเจ้าน่าจะเป็นจอมโจรที่ช่วงนี้ชื่อกระฉ่อนในเมืองหลวงว่าเลือกลงมือกับชนชั้นสูงโดยเฉพาะสินะ”

เนี่ยชังหมิงเดินห่างจากเกี้ยวไปสามสี่ก้าว จนร่างของคนชุดดำปรากฏสู่สายตาถานอู่ฟู

“เด็กหรือ” คนชุดดำคนนั้นตัวไม่สูง รูปร่างผอมบาง ซ้ำเสียงยังใส แสดงว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เสียงยังไม่แตก

เด็กแบบนี้จะเป็นจอมโจรได้อย่างไร นางไม่รู้วรยุทธ์ แต่เท่าที่ดูทั้งสองฝ่ายประมือกัน เด็กหนุ่มตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือระดับนี้ดักสังหารชนชั้นสูงอย่างต่อเนื่องได้หรือไรกัน

จะต้องมีพรรคพวกแน่!

พอคิดได้อย่างนี้ นางก็รีบแหวกม่านก้าวออกมา ตั้งใจส่งเสียงร้องเตือนเนี่ยชังหมิง

แย่ล่ะ ช้าไปก้าวหนึ่ง! หญิงสาวอุทานในใจ ขณะเบิกตากว้างมองกระบี่อีกเล่มที่พาดอยู่บนลำคอตนเอง

“ร้องให้ช่วยสิ”

นางส่งเสียงร้องตามคำสั่ง “พี่ใหญ่ช่วยด้วย!”

เนี่ยชังหมิงหันมามองตามเสียง คนชุดดำที่กำลังสู้อยู่กับเขารีบวิ่งมาที่เกี้ยว เขาเป็นคนฝีเท้าจัด เพียงพริบตาเดียวก็ตามทัน แล้วเอื้อมมือออกไปคว้าจับอีกฝ่าย

“หยุดนะ! ไม่เห็นหรือไรว่าพวกพ้องของเจ้าตกอยู่ในมือพวกเรา” ชายที่จับตัวถานอู่ฟูไว้ร้องบอก

ปลายเท้าของเนี่ยชังหมิงหยุดลงทันที ได้แต่ยืนมองเด็กหนุ่มชุดดำวิ่งเข้าไปสมทบกับพวกตัวเอง

เขาคลี่ยิ้มสุขุม “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”

“พวกเราจะฆ่าชนชั้นสูงให้หมดแผ่นดิน!”

“อ้อ” รอยยิ้มบางยังอยู่บนใบหน้า แต่ดูแปลกไปกว่าที่เคย

มีเพียงนางที่มองเห็นว่ายิ้มของเขาผิดแปลกไป มีเพียงนางอีกเช่นกันที่ได้ยินเสียงสมองของเขาขับเคลื่อนแผนการไม่หยุด นางอุทานในใจว่า ‘แย่แล้ว’ ก่อนจะพูดออกไปว่า “พี่ใหญ่ ข้าเป็นเสาที่ค้ำจุนแผ่นดิน ท่านต้องช่วยข้านะ!”

“ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้วน้องชาย!” ดวงตาของเนี่ยชังหมิงอำมหิตเย็นชา ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม “พวกมันก็แค่แกล้งวางท่าไปอย่างนั้นล่ะ ไม่กล้าทำอะไรเจ้าจริงหรอก!”

“ใครว่าพวกเราไม่กล้า!” เด็กหนุ่มที่คุมตัวนางตวาด แล้วกดคมกระบี่ลงไปในลำคอขาวอีกนิด

“น้องชาย ช่วยเบามือหน่อย จะใช้ข้าเป็นยันต์กันภัยก็อย่าให้ข้าบาดเจ็บ เพราะถ้าข้าบาดเจ็บจะมีคนดีใจ! ระวังให้ดีล่ะ” นางจ้องเนี่ยชังหมิงเขม็ง แล้วยิ้มให้อย่างเยือกเย็น “พี่ใหญ่ ท่านเคยอ่านความเรียงที่ข้าเขียนตอนสอบหรือไม่” ยามนี้นางหัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เพิ่งประจักษ์ตอนนี้เองว่าเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายหมายความว่าอย่างไร

แม้จะประหลาดใจกับคำถามนั้น เขาก็ยังตอบแต่โดยดี “ไม่ต้องเอามาอ่านหรอก ใต้เท้าอู๋เล่าเนื้อหาคร่าวๆ ให้ฟังแล้ว”

“ข้าเป็นคนเก่งชนิดหาตัวจับยากนะ พี่ใหญ่ ขอเพียงข้าตั้งใจเสียอย่าง อีกไม่กี่ปีตำแหน่งเสนาบดีจะต้องเป็นของข้า ไม่ว่าท่านจะวางแผนทำสิ่งใด ข้าจะต้องช่วยท่านได้อย่างแน่นอน” นางบอกเป็นนัย

นัยน์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยความเย็นชาฉายแววหวั่นไหววูบหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ตอบยิ้มๆ “ข้าเข้าใจ ถึงได้จะช่วยเจ้าอย่างไรเล่า! อู่ฟู วางใจเถิด พวกมันไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรอก…”

“ใครบอกว่าพวกเราไม่กล้า อยากปกป้องมันนัก พวกเราก็จะฆ่ามันให้ตายตรงนี้นี่ล่ะ!”

“อย่านะ!” เนี่ยชังหมิงร้องห้าม “เจ้าจะฆ่าไม่ได้เป็นอันขาด! คนผู้นี้เป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก หากเจ้าฆ่า ไม่มีทางหนีรอดกฎหมายบ้านเมืองได้แน่!”

ช่างเข้าใจยั่วยุเหลือเกินนะ!

นางรู้ว่าตัวเองนิสัยไม่ดีนัก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดคิดจะให้เขาตาย นางเป็นอุปสรรคต่อแผนการเพื่อชาติบ้านเมืองของเขาตรงไหนกันนี่!

อยากให้นางตายไม่ง่ายนักหรอก ถานอู่ฟูกะพริบตาช้าๆ สองครั้ง เพียงเท่านี้น้ำตาก็คลอหน่วย

“พี่ใหญ่ ให้พวกมันฆ่าข้าเถิด ท่านจะได้จับกุมพวกมันได้โดยไม่ต้องพะวักพะวน! ท่านอยากจับจอมโจรนี่ให้ชนชั้นสูงในเมืองหลวงเพื่อสร้างผลงานอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แบบนี้ท่านจะได้เลื่อนตำแหน่ง ร่ำรวยทรัพย์สิน ให้ข้าตายไปเสียเถิด…” พูดจบนางก็จับคมกระบี่กดลงบนลำคอตัวเอง

เด็กหนุ่มชุดดำรีบจับด้ามกระบี่แน่นด้วยความตกใจ

น้ำตานางไหลทะลักลงมาเป็นสาย ใบหน้าเนียนขาวซีดอ่อนแรง เนี่ยชังหมิงทนมองต่อไปไม่ไหว จึงเบนสายตาไปทางอื่น แล้วเห็นคนหามเกี้ยวยืนอยู่ข้างหลังเข้าพอดี

หากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เขาก็สามารถไม่แยแสตัวประกัน ประมือกับเด็กหนุ่มชุดดำได้เต็มที่ ยิ่งพลาดพลั้งฆ่านางตายเลยได้ยิ่งดี จะได้ตัดไฟแต่ต้นลม

เขาไม่ได้อยากฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่เสียงในหัวดังชัดขึ้นทุกทีว่านางต้องตายไปเสีย

ปล่อยนางเอาไว้ ต่อไปมีแต่จะเป็นภัยกับเขา ทำตัวเขาเดือดร้อนยังไม่เท่าไร แต่เขาตั้งปณิธานทั้งชีวิตไว้ที่ราชสำนัก มีเรื่องอีกมากมายที่ยังทำไม่สำเร็จ ถ้าต้องมาจบสิ้นเพราะนาง ปวงประชาก็จะเดือดร้อน!

น้ำตานางเป็นน้ำตาจอมปลอม ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเสียเมื่อไร

ตอนที่หันกลับมามองหน้ากันตรงๆ ถานอู่ฟูเห็นความเหี้ยมเกรียมฉายวาบขึ้นในดวงตาเขาแวบหนึ่ง

“ผู้คนมักกล่าวว่าขุนนางสัตย์ซื่อไม่ใช่ขุนนางที่ดี คนธรรมดาทั่วไปเป็นขุนนางที่ดีไม่ได้ พูดได้ไม่ผิดความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว” นางพูดกับตัวเอง แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “น้องชาย ยังไม่รีบจับตัวข้าไปอีก แยกกันไปคนละทาง ใครวรยุทธ์สูงกว่าให้คุมตัวข้า ส่วนอีกคนก็หนีไปเสีย”

“เหตุใดพวกเราต้องหนีด้วย…”

“พวกเจ้าดูไม่ออกหรือไรว่าเขามีความแค้นกับข้า คิดจะฉวยโอกาสนี้กำจัดข้าแบบถอนรากถอนโคน แล้วโยนความผิดให้พวกเจ้า ส่วนตัวเองก็ไปเอาความดีความชอบกับเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง เติบโตในหน้าที่การงานต่อไป!”

เนี่ยชังหมิงก้าวมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มประหลาดกว่าเดิม

เด็กหนุ่มชุดดำสองคนหันไปสบตากัน ต่างรู้ว่าวรยุทธ์ของตนสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ อยู่ที่นี่ต่อก็มีแต่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ทันใดนั้นเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็อุ้มถานอู่ฟูกระโดดขึ้นหลังคา ส่วนอีกคนหนีไปทางทิศตะวันออกคนเดียว

“อย่าไป!” เนี่ยชังหมิงตะโกน แล้วกระโดดขึ้นหลังคาตามไปอย่างไม่ลังเล ทว่าบนนั้นไม่มีใครแล้ว “วิชาตัวเบาล้ำเลิศนัก!”

ทั้งที่วรยุทธ์อยู่ในระดับธรรมดา แต่วิชาตัวเบากลับยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

นางถูกจับตัวไปอย่างนี้ ก็…ต้องตายสถานเดียวกระมัง

เขาไม่เคยมีความคิดจะฆ่านางให้ตายเองกับมือ แค่อยากฉวยโอกาสนี้ยืมมีดฆ่าคนเท่านั้น คำว่า ‘ละอาย’ ไม่เคยผ่านเข้ามาในหัว เพราะในความคิดของเขา ทุกคนที่เขาฆ่าล้วนจำเป็นต้องตาย

จุดที่ทั้งคู่ลับตัวไปอยู่บริเวณเดียวกับโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนพอดี…ความคิดหนึ่งแล่นวาบเข้ามาในสมอง

“ท่านผู้บัญชาการเนี่ย!” คนหามเกี้ยวร้องเรียก

เนี่ยชังหมิงหลับตาลง เมื่อก้มหน้าลงไปมองคนเรียก ดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวด

“รีบไปตามกองทหารมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำให้ชาวบ้านแตกตื่นล่ะ แล้วยังไม่ต้องรายงานเบื้องบน ไม่เช่นนั้นเจ้ากับข้าไม่พ้นผิดแน่ ข้าจะรีบตามไปเดี๋ยวนี้ ไม่แน่ว่าอาจพอมีหวัง”

คนหามเกี้ยวรับคำสั่ง แล้วหายไปจากตรอกเล็กทันที

ดึกขึ้นทุกทีแล้ว บางทีตอนฟ้าสาง มือของเขาอาจเปื้อนเลือดคนเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต หากเขายืมมีดฆ่าคนสำเร็จ

ชั่วชีวิตเขาไม่มีวันเสียใจที่ใช้วิธีเช่นนี้ เพียงแต่สะท้อนใจว่าในบรรดาพี่ๆ น้องๆ ทั้งหมด เขาดูสูงส่งมีเกียรติ แต่แท้ที่จริงกลับโสมมกว่าใครเพื่อน

“เส้นทางนี้ข้าเป็นคนเลือกเอง โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น”

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ส.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: