LOVE
ทดลองอ่าน นิรันดร์บรรจบ บทที่ 5
บทที่ 5
“ชายเล็ก…”
เสียงกระซิบแผ่วระโหยแรง สากเครือราวเศษไม้เปื่อยยุ่ยหวิวผ่านริมโสตเรียกให้นิรุจผงกศีรษะขึ้นมองตึกหลังใหญ่โดยไม่รู้ตัว กลิ่นเขียวสดของพืชรกครึ้มโดยรอบที่เพิ่งจะถูกแผ้วถางหืนรื้นอยู่รอบกาย ขับเน้นให้อาคารตรงหน้าเขาดูวิเวกยิ่งขึ้น และแม้จะไม่มีร่มเงารุงรังอีกแล้ว ทว่าอะไรบางอย่างก็ยังทำให้วังชโนทัยดูทะมึนมืดอยู่ดีในสายตาคนมอง
นิรุจกวาดสายตาไปตามแง้มบานหน้าต่างทีละช่อง ภายในมุมม่านหม่นกลับคล้ายมีใครบางคนจดจ้องเขาอยู่ อึมครึม ไร้การเคลื่อนไหว…กับแว่วกังวานของบางอย่างที่ลอยมาตามลม
…แกรก…แกรก
“รวิสุต…”
“รุจ”
เสียงคุ้นเคยเรียกสติของนิรุจกลับคืนเมื่อห่างออกไปปรากฏร่างบางระหงกำลังเดินเข้ามาหาตน ชายหนุ่มยกยิ้มกว้าง ป้องปากทักทายทันที
“กลับจากเชียงรายแล้วเหรอ”
“เพิ่งจะถึงเมื่อเช้าเอง” ลลิตาเอ่ยขณะยื่นถุงในมือให้อีกฝ่าย “อ้ะ ซื้อสตรอเบอรี่มาฝากด้วย”
นิรุจผิวปากหวิว รับมาเปิดกินก่อนแกล้งเย้าทั้งๆ ที่ปากยังเคี้ยวหยับๆ “ลมอะไรหอบมาหาถึงที่นี่ แล้วไม่ไปทำงานรึไง”
“คุณภีมบอกว่าเพิ่งมาถึงเลยให้พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยเข้าบริษัท…รุจนั่นแหละบอกให้เรามาที่นี่เองไม่ใช่เหรอ”
ลลิตาตอบอย่างราบเรียบ เธอไม่ได้อธิบายต่อว่าเจ้านายผู้เฉยชาคนนั้นขับรถจากสนามบินไปส่งเธอถึงที่พัก และก็เป็นเขานั่นแหละที่เอ่ยปากขอเวลาวันหยุดจากหญิงสาวเพื่อไปช่วยเขาเรื่องวังสวนกระจก
“เห็นว่าชอบวังเก่านักหนาก็เลยชวนมาดูก่อนจะโดนทุบทิ้ง เอ…รู้สึกจะชื่อวังอโนทัย หรือชโนทัยอะไรสักอย่างนี่แหละ” นิรุจอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “นี่ก็ตัดต้นไม้รอบๆ ออกบ้างแล้ว กำลังจะรื้อถอนตึกใหญ่พอดี”
ครั้นเห็นว่าดวงตากลมโตกำลังกวาดมองขึ้นไปตามฉาบสีระแหงแห้ง คร่ำคร่าจากร้อยพันแดดฝน เขาก็อดถองศอกพลางพูดกลั้วหัวเราะไม่ได้ “มองข้างนอกหรือจะสู้ดูข้างใน สนใจมั้ย ใหญ่กว่าวังสวนกระจกอีกนา”
“เข้าไปได้เหรอ”
“เดี๋ยวเราพาไป คนงานกำลังจะเริ่มรื้อข้างบนพอดี”
ลลิตาตามการนำพาของร่างสูงอย่างว่าง่าย…จริงอย่างที่เขากล่าว วังแห่งนี้ใหญ่กว่าวังสวนกระจกทั้งอาณาเขตและขนาดตัวตึก กระนั้นความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับถูกห่อคลุมอยู่ภายใต้ซากเก่าร้างราวกับกำลังก้าวผ่านห้วงหายใจก่อนผุสลาย ดุจนาถกรรมฉากสุดท้ายในม่านเวทีของหยากไย่ระย้ากับไอฝุ่นหนาแน่น
ทั้งสองชะงักครู่สั้นๆ เมื่อได้ยินเสียงถกเถียงคร่ำเคร่งบริเวณหน้าห้องปลายโถงทางเดินบนชั้นสอง นิรุจมุ่นคิ้วพร้อมเดินนำเธอไปทันที
“มีอะไรกันครับ”
คนงานสองคนหยุดบทสนทนาพลางเหลือบมองวิศวกรหนุ่มด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เอ่อ…” ลอบสบตากันไปมาก่อนเกริ่นเสียงเบา “คุณรุจเคยได้ยินเรื่องเล่าในวังนี้มั้ยครับ”
ครั้นเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีท่าทีอินังขังขอบกับคำเอ่ยนั้นจึงรีบอธิบายรัวเร็ว
“ว่ากันว่าคุณหญิง…หม่อมราชวงศ์อะไรสักอย่างเธอเป็นบ้าตายอยู่ในวังนี้” เฝื่อนคอจนต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกใหญ่ “แล้วลือกันว่าวิญญาณเฮี้ยนมากนะครับ เรียกกันว่าวิญญาณหญิงบ้า เปลี่ยนมือเจ้าของก็เจอดีกันทุกรายจนต้องจ้างคนมาสะกดไว้ตั้งหลายครั้ง…แล้วนี่พวกผมเห็นแผ่นยันต์เก่าๆ แปะอยู่หน้าห้องนี้ เลยเถียงกันอยู่ว่าใครจะเป็นคนเข้าไป…กลัวว่าจะเป็นห้องของคุณหญิงคนนั้น…”
“ไร้สาระน่ะครับ จะช้าจะเร็วยังไงเราก็ต้องทุบตึกทั้งหลังอยู่ดี”
ชายหนุ่มส่ายหัว และก่อนที่ใครจะเอ่ยอะไร นิรุจก็ผลักประตูบานนั้นพร้อมกับเดินนำทุกคนเข้าไปโดยมีลลิตารีบสาวเท้าตาม…เพียงเพื่อจะชะงักค้างกับภาพที่เห็น ขณะที่แผ่นยันต์ทิ้งตัวลงเชื่องช้า อ้อยอิ่งผ่านอากาศก่อนตกลงพื้นอย่างเงียบงัน
แสงภายนอกส่องผ่านช่องมุมคับแคบเข้ามาพอให้มองเห็นได้รางๆ ท่ามกลางฝุ่นหนากระจายฟุ้งทะมึนมัวกับกลิ่นกระไอหืนรื้นซึ่งไม่อาจอธิบายได้ว่ามาจากอะไร…และโดยรอบแทบทุกตารางนิ้วของผนังห้องกลับซ้อนซับไปด้วยแผ่นยันต์และสายสิญจน์พัลวัน อักขระซึ่งไม่อาจมีใครอ่านออก เศษซากของพิธีกรรมมากมาย รวมไปถึงรอยหยดเกรอะกรังจนคนมองอดพรั่นพรึงไม่ได้
“นี่มันอะไรกัน”
นิรุจกวาดตามองรอบห้อง หันไปอีกทีก็เห็นลลิตากำลังยืนนิ่งหน้ากระจกตั้งพื้น ไม่พูดไม่จานอกจากจับจ้องเข้าไปในนั้นเงียบงัน…ราวกับกำลังสบมองอะไรบางอย่าง
ใช่…เธอกำลังสบมองอะไรบางอย่างซึ่งเลื่อมหลบอยู่ตรงหางตาตลอดเวลาตั้งแต่ที่หญิงสาวเข้ามาในห้องนี้ กระทั่งหมอกเงากระเพื่อมไหวขึ้นอีกครั้ง…ลลิตาชาวูบเมื่อภาพสะท้อนจากกระจกกระดำกระด่างบานนั้นปรากฏเงาทะมึนของใครบางคนยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเธอ ตะคุ่มจางคล้ายหญิงสาวคนหนึ่ง…เรือนผมเรียบลู่ราวชุ่มโชกด้วยหยาดหยดหม่นเศร้าโยกคลอนเชื่องช้า ก่อนที่หล่อนจะเยี่ยมใบหน้าซีดขาวเกรอะรอยน้ำตาสีหยดหมึกนั้นออกมา กึ่งๆ เกยคางพาดบนไหล่ของลลิตาแล้วเผยอปากแห้งกรังค้างไว้พร้อมส่งเสียงสากเครือขาดห้วงจากลำคอ
“อือ…อือ…!!”
ระโหยแรง คลุ้มคลั่ง และมืดบอดอยู่ในอนธการไร้สิ้นสุด…
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง เผลอก้าวถอยหลังด้วยความตกใจทันที!
“ลิตา?”
นิรุจรีบคว้าแขนร่างระหงไว้เมื่อเห็นว่าหล่อนมีสีหน้าซีดเผือด ลลิตาสะดุ้งโหยง ครั้นหันมาสบตาเพื่อนสนิทก่อนผินหน้ากลับไปมองกระจกอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“เรา…”
หญิงสาวตอบเพียงเท่านั้นก็สะท้านเยือกขึ้นมาอีกครั้ง แสงเงาเว้าแหว่งในห้องดูคล้ายริบหรี่เหมือนมีอะไรคลุมผ่านตลอดเวลา
“เราแค่หน้ามืด” เธอกล่าวคำปด
“ห้องนี้ฝุ่นเยอะมากจริงๆ ลิตาออกไปก่อนเถอะ”
ลลิตาพยักหน้ารับคำ ให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่โตกวาดมองรอบกายครู่สั้นๆ อีกครั้ง …ไม่ได้ตาฝาด เธอไม่ใช่คนงมงายเรื่องผีสาง แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ภาพหลอนจากละอองฝุ่นหรือแสงหักเหแน่ๆ หญิงสาวรีบสงบลมหายใจ ก้าวขาออกจากห้องนั้นทันที
…รีบ…จนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าในมุมม่านทึบแสงจะปรากฏร่างหนึ่ง กอดเข่าคุดคู้พลางโยกตัวไปมาจนเป็นเงาทะมึนวูบไหว ขณะที่ดวงตาลึกโปนจนกลายเป็นหลุมดุจหยดหมึกป้ายนั้นกลับกำลังจับจ้องร่างสูงของนิรุจตลอดเวลา หล่อนยิ้มแสยะ คล้ายแย้มพราย ต่างตรงมันค่อยๆ ฉีกกว้างเกินจำกัดของขอบปาก ลากยาวไปถึงคราบน้ำตาแห้งกรังกลางแก้มราวเป็นเพียงกระดาษบางๆ พร้อมเสียงลากครวญในลำคอแผ่วจาง
“อือ…อือ…พี่เอง ชายเล็ก…”