บทที่สาม
ไป่หลี่ซีมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั่วร่างของนางสกปรกมอมแมม เพียงดูก็รู้ว่าไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน แล้วยังท่าทางที่ทั้งหิวทั้งเหนื่อยอีก สภาพเหมือนหญิงสาวที่หนีภัยมาอย่างแท้จริง แต่เขาไม่ปริปากแสดงท่าที รอดูว่านางจะพูดอะไร
“พี่ชาย ข้าขออภัยด้วยที่บุกรุกเข้ามาในกระท่อมของท่านโดยไม่ได้เจตนา ทั้งยังยึดครองเตียงของท่าน ต้องขออภัยท่านอย่างยิ่ง” อูมู่ฉินค้อมคำนับไปทางเขา จากนั้นก็ยืนอยู่ที่นั่นมองเขาอย่างทึ่มทื่อ
เขาไม่ได้ตอบ และไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ หันหน้ากลับไปผ่าฟืนต่ออย่างไม่สนใจนาง
อูมู่ฉินคิดในใจ มิน่าคนในหมู่บ้านต่างบอกว่าหม่าเฉวียนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด แต่ก็ดี เขาไม่พูดจา จะได้ไม่ต้องมาถามโน่นนี่กับนาง ทำให้นางตัดเรื่องยุ่งยากออกไปได้มาก
เพื่อหลบหลีกการตามจับของตันไหวชิง นางได้ปลอมแปลงโฉมบนใบหน้า ใช้ยาแปลงโฉมเป็นสุดยอดวิชาเฉพาะตัวของหุบเขาหมื่นบุปผา ไม่เหมือนกับวิธีแปลงโฉมที่เอาสิ่งของติดบนใบหน้า ยาที่นางทาสามารถเปลี่ยนแปลงรูปหน้าและอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้า ปิดบังรูปโฉมที่งดงามของนางไว้เจ็ดส่วน เหลือความเป็นหญิงงามในหมู่ชาวบ้านอยู่สามส่วน เหมาะสมยิ่งกับการแต่งตัวเป็นหญิงชาวบ้านของนางในเวลานี้
ในเมื่อหม่าเฉวียนไม่มีข้อคิดเห็นที่นางบุกรุกเข้ามาในบ้าน นางก็จะไม่ถือเคร่งในกรอบแล้ว จึงหมุนตัวเดินไป ยามนี้นางหิวจนท้องแทบแบนติดแผ่นหลังจึงตัดสินใจเดินไปหาของกิน
นางได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาแต่ไกล จึงเดินตรงไปยังห้องครัว เปิดฝาหม้อ พบว่าในนั้นมีเส้นหมี่เหลืออยู่ จึงหยิบชามหยิบช้อนมาตักเส้นหมี่อย่างไม่เกรงใจ บนโต๊ะมีเนื้อสัตว์และผักเหลืออยู่ นางประคองชามนั่งลง กินเส้นหมี่ไปคำหนึ่ง แล้วก็คีบเนื้อเข้าปากชิ้นหนึ่ง
แหวะ…รสชาติแย่มาก!
นางเอามือปิดปาก เกือบจะคายออกมา เส้นหมี่อืดแล้วนางทนได้ แต่รสชาติของเนื้อสัตว์และผักทำให้คนไม่กล้าสรรเสริญเยินยอจริงๆ พูดหยาบหน่อย อาหารที่ให้หมูกินยังดีกว่านี้
ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอก คนทนหิวนานเข้า อาหารง่ายๆ ก็กลายเป็นอาหารเลิศรส นางหิวมาตั้งหลายวัน แต่อาหารรสชาติแย่เหล่านี้ยังคงทำให้ความอยากอาหารของนางหายไปหมด เห็นได้ว่ารสชาติแย่เพียงใด ให้หมูกินหมูยังรังเกียจกระมัง
นางคิดไปคิดมา ในเมื่อนางนอนเตียงของผู้อื่นแล้วก็สมควรตอบแทนบ้าง คิดถึงว่าฝีมือการทำอาหารของนางอูมู่ฉินอยู่ในหุบเขาหมื่นบุปผาก็มีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่งอันดับสอง ด้วยเพราะต้องการจะเอาใจอาจารย์จึงได้ฝึกฝนฝีมือการทำอาหารจนชำนาญ ทุกครั้งที่ทำความผิด กลัวอาจารย์จะลงโทษ นางก็จะทำอาหารรสชาติดีขึ้นมาหนึ่งมื้อให้อาจารย์คลายโทสะ เวลาอาจารย์ลงโทษนางจะได้เบามือหน่อย
นางพบว่าที่นี่วัตถุดิบในห้องครัวมีน้อยจนน่าสงสาร ก่อนจะเจอหลุมเก็บอาหาร จึงเอาเนื้อสด ผักป่าออกมาจำนวนหนึ่ง ยังมีแป้งหมี่หยาบ นางนวดแป้ง ใส่น้ำมันใส่เครื่องปรุงรส แล้วย่างเป็นแผ่นแป้งออกมา ก่อนจะเอาเครื่องเทศที่คิดขึ้นและทำเองเทลงไปบนเนื้อสัตว์แล้วหมักไว้ จากนั้นก็เอาไปผัดเร็วๆ ผักป่าก็เอาก้านที่ขมออก เหลือส่วนที่กรอบอ่อนไว้ แล้วก็ทอดไข่ใบหนึ่ง เอาแผ่นแป้งย่างห่อส่วนผสมทั้งหมดที่ทำเป็นไส้เอาไว้
นางทำออกมาสองชิ้น กินเองชิ้นหนึ่งเติมท้องให้อิ่ม อีกชิ้นหนึ่งวางไว้ในหม้อและปิดฝาเอาไว้ นางระบายลมหายใจออกมาด้วยความพอใจ ตอนหลบหนีเพื่อจะไม่ให้ตันไหวชิงพบร่องรอย กระทั่งกินอาหารก็ต้องพยายามลดน้อย เพื่อจะได้ไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ มีเพียงกินอาหารอยู่ในบ้านชาวนาจึงจะไม่ถูกคนสงสัย
ไป่หลี่ซีแม้จะกำลังผ่าฟืน หางตากลับคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลา กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์โชยมาจากห้องครัว เขาไม่ได้ขัดขวางนางทำอาหาร ถ้าหญิงผู้นี้ถูกส่งตัวมาเพื่อสอดแนมเขา เขาก็ยิ่งต้องรอบคอบระมัดระวัง ก่อนจะยืนยันให้แน่ใจ ไม่อาจแตะต้องนางชั่วคราว ทั้งนี้จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ทว่ากลิ่นหอมของเนื้อสัตว์กลับทำให้ท้องเขาร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิว
ผ่าฟืนเสร็จแล้วเขาวางขวานลง เดินไปทางห้องครัว ในห้องครัวไม่มีคน แต่ในหม้อที่อยู่บนเตามีตัวอักษรเขียนด้วยถ่านอยู่บรรทัดหนึ่ง
‘ขอบคุณมาก มู่เอ๋อร์’
เขามองตัวอักษรเหล่านี้และนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปเปิดฝาหม้อ ในนั้นมีแผ่นแป้งม้วนอยู่จานหนึ่ง ข้างแผ่นแป้งม้วนยังมีก้านผักป่าที่แกะเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ วางอยู่
เขาจ้องมองแผ่นแป้งม้วนที่อยู่ในจาน จากนั้นก็เดินออกจากห้องครัว เหลียวมองไปทั่วสี่ทิศ พบว่านางไม่อยู่แล้ว ดูเหมือนจะไปแล้ว
เขาเดินกลับเข้าไปในห้องครัว หยิบแผ่นแป้งม้วนขึ้นมาแล้วเดินไปยังลานด้านหลัง สุนัขป่าตัวหนึ่งได้กลิ่นหอมก็วิ่งมา เขาโยนแผ่นแป้งม้วนให้สุนัขป่า สุนัขป่ากัดกินคำโตทันที ประเดี๋ยวเดียวก็กินผักและเนื้อสัตว์ที่ห่ออยู่ข้างในจนหมด
สุนัขป่าเงยหน้าขึ้นและแลบลิ้นออกมา ก่อนจะมองเขาอย่างเฝ้ารอคอย ความหมายก็คือมันยังอยากกินอีก
ไป่หลี่ซีจับตามองสุนัขป่าที่แกว่งหางเดินวนไปรอบตัวเขา รออยู่พักใหญ่ เห็นสุนัขป่าไม่เป็นไร เขาจึงเดินกลับไปในห้องครัว กินหมั่นโถวลูกหนึ่งให้อิ่มท้อง แล้วเอาสัตว์ที่ล่าได้เมื่อวานไปขายที่เมืองข้างเคียง
ในเมืองได้จัดวางกำลังคนของเขาเอาไว้ ปกติลูกน้องเหล่านั้นก็จะปะปนอยู่กับชาวบ้านในเมือง อาจจะเป็นขอทานที่ข้างถนน พ่อค้าแผงขายผัก หรืออาจจะเป็นคนงานในร้านค้า
ถ้ามีข่าวเร่งด่วน หยวนเจี๋ยก็จะทำเช่นเมื่อวานคือมาหาเขาที่หมู่บ้านเซ่อจิ่ง ปกติแล้วเขาจะอาศัยการมาขายสัตว์ป่าเข้ามาในเมือง ลูกน้องจะเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งของเขาหรือนำข่าวมาบอก
ลูกน้องแจ้งข่าวให้เขาทราบเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้มีคนพเนจรกลุ่มหนึ่งเข้ามาในเมือง ว่ากันว่าเป็นเพราะหมู่บ้านที่พวกเขาอยู่มีโจรผู้ร้ายสังหารคนชิงทรัพย์ เพื่อจะหลบซ่อนตัวจากโจรผู้ร้าย คนในหมู่บ้านจึงพากันอพยพหนีภัย
ตอนไป่หลี่ซีเข้าเมืองมาก็เห็นคนพเนจรจำนวนไม่น้อยเดินเตร่ไปมาอยู่นอกกำแพงเมือง พวกเขาไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะ เนื้อตัวซอมซ่อ สภาพคล้ายกันมากกับมู่เอ๋อร์หญิงสาวผู้นั้น
หรือว่านางหนีภัยมาจริงๆ
ไป่หลี่ซีเดินเข้าไปในร้านขายหนังสัตว์ร้านหนึ่ง หลังจากเอาหนังสัตว์ที่ถลกออกมามอบให้หลงจู๊แล้วก็เอาจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเขาส่งออกไปอย่างแนบเนียน
บนจดหมายระบุชื่อชุยเฮ่า ชุยเฮ่าเป็นเสนาบดีกรมทหาร เป็นหมากสำคัญตัวหนึ่งของเขาในเมืองหลวง หลังจากหลงจู๊เก็บจดหมายที่ซ่อนอยู่ในหนังสัตว์แล้ว ก็แสร้งทำเป็นหยิบลูกคิดมาดีด จากนั้นก็เอาเงินจำนวนหนึ่งมอบให้เขา
“วันนี้ก็ได้ราคาเท่านี้ รับไปเถิด”
“หลงจู๊เพิ่มให้อีกหน่อยเถิด”
“หนังสัตว์ของเจ้าธรรมดาเกินไป เอาไปขายให้ร้านอื่นก็ไม่ได้มากเท่าที่ข้าให้ เจ้าสมควรยิ้มรับแล้ว ไปๆ อย่ามาเกะกะข้าทำการค้า”
ไป่หลี่ซีคว้าเศษเงินมาแล้วหมุนตัวเดินออกไป เขาเดินเตร่อยู่ในเมืองรอบหนึ่ง หลังจากซื้อข้าวของบางอย่างแล้วก็ออกจากเมืองกลับไปหมู่บ้านเซ่อจิ่ง
กลับมาถึงในกระท่อม หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นขึ้นอีก บนเตียงของเขามีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ เป็นนางอีกแล้ว มู่เอ๋อร์
นางนอนหลับสนิท กระทั่งเขาจุดเทียนสว่างขึ้น เสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้เบาลง นางก็ยังคงไม่ได้ตื่นขึ้นมา
ไป่หลี่ซีมองนางอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป สละเตียงให้นาง ส่วนเขาไปนอนตั่งแข็งที่ห้องด้านนอก
วันรุ่งขึ้น ก่อนจากไปนางก็ทำแผ่นแป้งม้วนให้เขาจานหนึ่ง เขายังคงไม่กินและเอาไปเลี้ยงสุนัขป่าเช่นเดิม
ตอนกลางวันนางไม่อยู่ ไม่รู้ไปที่ใด ทว่าพอตกกลางคืนเขาก็จะพบเงาร่างของนางอยู่บนเตียงในห้องนอนอีก
เขาไม่ไล่นาง นางก็นอนตามเดิม นอนอิ่มแล้วก็จะต้องทำแผ่นแป้งม้วนให้เขาจานหนึ่ง ผักและเนื้อสัตว์ที่อยู่ในแผ่นแป้งม้วนยังเปลี่ยนรูปแบบไปไม่เหมือนกันทุกวัน
นางทำมาเก้าครั้ง เขาก็เอาไปเลี้ยงสุนัขป่าเก้าครั้ง สุนัขป่าตัวนั้นจะมารายงานตัวตรงเวลาตอนเช้าตรู่ทุกวัน แลบลิ้นแผล็บๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ กวัดแกว่งหางอย่างมีความสุข มองเขาด้วยสีหน้าประจบเอาใจ ดวงตาของสุนัขเปล่งประกายแวววาว ไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าถูกพิษแม้แต่น้อย
มาถึงครั้งที่สิบ ไป่หลี่ซีมองแผ่นแป้งม้วนแล้วลังเลอยู่ชั่วขณะ เขารู้นางจะทำแผ่นแป้งม้วนสองชิ้น ชิ้นหนึ่งกินเอง อีกชิ้นหนึ่งเก็บไว้ให้เขา เขาคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบแผ่นแป้งม้วนขึ้นมากัดคำหนึ่ง ใบหน้าที่เดิมทีไม่มีอารมณ์ความรู้สึกสักเท่าไรพลันปรากฏแววประหลาดใจ
รสชาติของแผ่นแป้งม้วนดีถึงเพียงนี้ อร่อยจนทำให้คนไม่อยากจะเชื่อ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพียงไม่กี่คำก็กินแผ่นแป้งม้วนจนหมดเกลี้ยง ตอนกินหมดยังอดใจไม่อยู่ เลียคราบน้ำมันที่ติดอยู่บนนิ้วมือ
นางทำด้วยวิธีใด รสชาติถึงได้หอมกลมกล่อมเพียงนี้
บนจานยังมีก้านผักที่แกะเป็นรูปกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง เขาหยิบกระต่ายน้อยขึ้นมาพลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็โยนเข้าปาก กินลงไปในคำเดียว
ในเมื่อเขาจะแสดงเป็นหม่าเฉวียนคนในหมู่บ้านชนบท ย่อมต้องแสดงท่าทางให้เหมือนคนในหมู่บ้าน ช่วงกลางวันไป่หลี่ซีทำงานอยู่ในนา ตะวันตกดินก็กลับมาที่กระท่อม พอเข้ามาในบ้าน เขาก็จะเบาฝีเท้า เดินมาถึงหน้าประตูห้องนอน ก่อนจะค่อยๆ เลิกม่านขึ้น
บนเตียงไม่มีคน เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หมุนตัวเดินไปที่ลานด้านหลังตักน้ำมาอาบ เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่แห้งสบาย อาหารค่ำคือหมั่นโถวที่แห้งแข็งกินกับผักดอง รสชาติไม่ดี เพียงกินให้อิ่มท้องเท่านั้น
เขาอดนึกถึงแผ่นแป้งม้วนที่กินไปตอนเช้าไม่ได้ เมื่อเปรียบกับแผ่นแป้งม้วนแล้ว รสชาติของหมั่นโถวกับผักดองทำให้คนกลืนไม่ลงคอจริงๆ
เขายัดหมั่นโถวคำสุดท้ายเข้าปาก คว้าถ้วยขึ้นมาดื่มน้ำคำหนึ่ง และกลืนหมั่นโถวลงท้องไป
เมื่อถึงเวลานอน เดิมทีเขาจะนอนบนเตียงในห้องนอน แต่พอนั่งลงไปเขาก็พลันลังเลขึ้นมา เพราะอยากรู้ว่าคืนนี้นางจะวิ่งพรวดพราดกลับมานอนหรือไม่
วันนี้เขาใช้เวลาช่วงพักกลางวันไปสืบข่าวในหมู่บ้านมา ไม่ได้ยินว่ามีผู้ใดเคยเห็นมู่เอ๋อร์ อีกฝ่ายเป็นคนที่มาจากต่างถิ่น ถ้าคนในหมู่บ้านพบเจอนางย่อมพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน
นางไปไหนกันแน่ เขานึกสงสัยอยู่ในใจ สตรีผู้นี้นอกจากกลับมานอนตอนกลางคืนแล้วก็ไม่ได้รบกวนเขา ไม่ได้เพิ่มความยุ่งยากให้กับเขา หลังจากทำอาหารเช้าให้มื้อหนึ่งแล้วก็จากไป
เขาคิดไปคิดมา ตัดสินใจไปนอนที่ตั่งด้านนอกเช่นเดิม กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา เตียงที่อยู่ในห้องนอนก็ยังคงว่างเปล่า
บางทีนางคงจากไปแล้วกระมัง
เขาเดินไปที่ลานด้านหลัง เปิดฝาปิดอ่างน้ำ ใช้ถังตักน้ำขึ้นมา ก่อนจะสาดน้ำเย็นชุ่มชื่นไปบนใบหน้า
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว หางตาพลันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง สายตาคมกริบมองไปที่ห้องเก็บฟืน เขาคว้าขวานขึ้นมาและเดินช้าๆ ไปที่ห้องเก็บฟืน
เมื่อเขาเข้าไปใกล้และมองดูอย่างละเอียดก็ต้องตะลึงงันไป
บนกองหญ้าในห้องเก็บฟืนมีหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่ นางก็คือมู่เอ๋อร์
เห็นเพียงนางนอนขดตัว หลับไม่รู้เรื่อง ร่างกายยังคงมอมแมมไปทั้งตัว ทั้งสกปรกยิ่งกว่าเดิม ทั่วร่างมีแต่ดินโคลน และยังมีกลิ่นเหม็นขุมหนึ่งโชยออกมา
เขาเขม้นมองนาง สงสัยว่าสตรีผู้นี้ใช่ตกลงไปในบ่ออุจจาระหรือไม่
นางดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยมาก กระทั่งเขาเดินเข้ามาพิจารณาดูใกล้ๆ นางก็ยังไม่รู้ตัว เขาทนต่อกลิ่นเหม็น จ้องมองนางอยู่เช่นนั้นพักหนึ่ง ถ้านางแกล้งหลับเขาต้องรู้แน่ แต่นางไม่ใช่
ความระแวงสงสัยที่ไป่หลี่ซีมีต่อนางหายไปกว่าครึ่ง สตรีผู้นี้คงรู้ว่าเนื้อตัวของตนสกปรกเกินไปเหม็นเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงเกรงใจไม่กล้าไปนอนที่เตียงของเขา และหนีมานอนที่ห้องเก็บฟืน
เขายืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปผลักนาง
อูมู่ฉินตกใจตื่นทันที นางกะพริบตาสะลึมสะลือ พอเห็นเป็นเขาก็มองจ้องเขาอย่างทึ่มทื่อ
“ตามข้ามา” หลังจากทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง ไป่หลี่ซีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องเก็บฟืน
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลัง ไป่หลี่ซีจึงรู้ว่านางตามมาแล้ว เขาเดินเข้าไปในกระท่อม หยิบเสื้อผ้ากับกางเกงเก่าๆ มาชุดหนึ่ง รวมทั้งผ้าเช็ดตัวและเจ่าโต้ว* ที่ใช้ในการอาบน้ำ เห็นอีกฝ่ายยืนเหม่ออยู่หน้าประตู เขาก็ยื่นสิ่งของให้นาง และชี้ไปที่ห้องอาบน้ำที่ลานด้านหลัง
“ไปอาบน้ำให้สะอาด” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในกระท่อม ไม่ได้สนใจนางอีก
อูมู่ฉินสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางมองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ แล้วมองเขาที่อยู่ในกระท่อม ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ลานด้านหลัง
หม่าเฉวียนผู้นี้ไม่ค่อยพูด แต่กลับเป็นคนใบหน้าเย็นชาจิตใจอบอุ่น นางนอนเตียงของเขา เขาไม่ได้ไล่นาง นางกินอาหารของเขา เขาก็ไม่ได้ด่านาง ตอนนี้เห็นนางสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ยังเอาเสื้อผ้ากับเจ่าโต้วให้นางไปอาบน้ำให้สะอาด
นางดมๆ ตนเองก็พบว่าเหม็นมากจริงๆ สมควรต้องไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด
นางอาบน้ำไปพลางคิดไปพลาง ตันไหวชิงผู้นั้นเป็นคนรับมือด้วยยากจริงๆ เขาวางค่ายกลไว้รอบเขตภูเขา คิดจะใช้ค่ายกลปิดล้อมนาง เมื่อวานเพราะนางพลาดเข้าไปในค่ายกลและเผยร่องรอยออกไป คนแซ่ตันจึงตามจับตัวนางอย่างไม่ลดละ ทั้งสองวนยอดเขาเจ้าตามข้าหนี หลายครั้งหลายหนที่ต้องแตกตื่นตกใจแต่นางก็เอาตัวรอดมาได้หวุดหวิด
ขณะจวนตัวนางจึงหนีลงไปในดินโคลนสกปรก ฝังร่างตนเองอยู่ในเลนที่ทั้งเหม็นทั้งสกปรก เพื่อหลบเลี่ยงการค้นหาของตันไหวชิง
ในเลนนั่นนอกจากมีกิ่งไม้ใบไม้ที่เน่าเปื่อยแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นของซากสัตว์โชยมา ทว่าก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้จึงจะอำพรางประสาทสัมผัสทั้งหกของตันไหวชิงได้
หุบเขาหมื่นบุปผาก็วางค่ายกลไว้ทั้งสี่ด้าน ป้องกันไม่ให้คนนอกบุกเข้ามา นางได้รับการฝึกฝนให้ทำลายค่ายกลตั้งแต่เด็ก ศึกษาค้นคว้าเรื่องค่ายกลมาก็ไม่น้อย ค่ายกลของตันไหวชิงกล่าวได้ว่าสำหรับนางแล้วเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ปลุกเร้าจิตใจด้านต่อสู้ของนางขึ้นมา นางไม่เชื่อว่าจะทำลายไม่ได้
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าเพราะอะไรช่วงกลางวันนางจึงไม่อยู่ ค่อยกลับมานอนตอนกลางคืน กอปรกับเจ้าของบ้านไม่ได้ไล่นางไป และไม่ถือสาที่นางมากินข้าวที่นี่มื้อหนึ่งโดยไม่ได้รับเชิญ นางจึงยินดีกลับมานอนต่อ
แม้ก่อนจะกลับมาที่กระท่อมนางได้ไปล้างตัวที่แม่น้ำมาแล้ว แต่จะอย่างไรก็อยู่ในป่าตอนกลางคืนมืดมิด ต้องคลำทางมองเห็นไม่ชัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้างได้สะอาดเอี่ยม บนตัวจึงยังคงมีกลิ่นเหม็นและความสกปรกเหลืออยู่
ไป่หลี่ซีฉวยโอกาสตอนที่มู่เอ๋อร์ไปอาบน้ำออกจากบ้าน จนอีกหนึ่งชั่วยามให้หลังจึงกลับมา ตอนกลับมา ในมือถือห่อของมาด้วยห่อหนึ่ง
เขาเดินไปที่ลานด้านหลัง ไม่ได้ยินเสียงน้ำในห้องอาบน้ำ เหลียวมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นคนจึงหมุนตัวกลับมา แล้วก็ต้องตะลึงงันเพราะเห็นตรงราวตากผ้ามีแม่นางหน้าตาสดใสงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่ นางหน้าตาขาวผ่องสะอาดสะอ้าน ดูแล้วน่าจะอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี รูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม ดวงตาคู่นั้นสุกใสแวววาว เส้นผมบนศีรษะไม่ได้เกล้ามวยแบบหญิงสาว หากแต่ปล่อยยาวคลุมแผ่นหลัง เพียงรวบไว้อย่างเรียบง่าย จอนผมทัดไว้หลังหู เผยให้เห็นใบหูขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกคู่หนึ่ง แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบร่างของนาง ทั้งที่ไม่มีเสื้อผ้างามหรูหราปิ่นปักผมเครื่องประดับ แต่กลับมีท่วงท่าของความสูงส่งเหนือผู้คนเผยออกมาให้เห็น
หัวคิ้วดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้ราคีคู่นั้นกำลังมองดูเขาด้วยความประหลาดใจอยู่พอดี หากไม่เพราะบนร่างของนางสวมเสื้อผ้าบุรุษที่เขาให้ยืมใส่ เขาไม่มีทางจำได้เลยว่านางก็คือมู่เอ๋อร์
นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองมองกันและกันเต็มตา และเป็นครั้งแรกที่ไป่หลี่ซีได้เห็นรูปโฉมของอูมู่ฉินอย่างชัดเจน เขาคิดไม่ถึงว่านางที่อาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดเอี่ยมจะดูสดใสงดงามเช่นนี้ แม้จะพูดไม่ได้ว่างามเพริศพริ้ง แต่รอยยิ้มของนางก็ชวนหลงใหล ในยามเช้าตรู่ที่เงียบสงบเช่นนี้ เป็นภาพที่เขาเห็นแล้วสะดุดตา เกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้ง
“พี่ชาย อรุณสวัสดิ์” แม้แต่เสียงก็ไพเราะเสนาะโสต
ไป่หลี่ซีมองประเมินนางไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เบนสายตาออก ขณะกำลังคิดว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร นางก็เดินเข้ามาหา ทักทายพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางคล้ายรู้จักกันมานาน
“พี่ชาย ขอบคุณที่ให้ยืมเสื้อผ้า สวมแล้วเหมาะกับตัวมาก มู่เอ๋อร์ไม่มีอะไรจะตอบแทน จึงทำอาหารเช้าไว้ให้ถือเป็นการตอบแทน พี่ชายคงจะหิวแล้ว รีบมากินเถิด” นางพูดยิ้มๆ บนใบหน้าไม่มีความเคอะเขินที่ทั้งสองคนเพิ่งพบหน้ากันจริงๆ เป็นครั้งแรก ตอนมองสบตากับเขาก็ไม่มีความขวยอายของอิสตรี กลับดูเป็นธรรมชาติประหนึ่งสนทนากับพี่ชายที่อยู่ข้างบ้านอย่างไรอย่างนั้น
ไป่หลี่ซีพอได้ยินว่านางทำอาหารแล้ว จึงเก็บคำพูดที่คิดจะพูดไว้ชั่วคราวก่อน เดินตามนางเข้าไปในบ้าน แล้วก็เห็นบนโต๊ะมีอาหารจานเล็กสามจานกับแผ่นแป้งย่างสองชิ้นวางอยู่
เขานั่งลงเงียบๆ ร่วมกินอาหารกับนาง แผ่นแป้งย่างได้กำลังพอดี กัดแล้วกรุบกรอบยิ่ง ทั้งยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม อาหารสามจานเป็นเนื้อสัตว์สองจานกับผักป่าหนึ่งจาน กินแกล้มกับแผ่นแป้งย่าง กลืนลงท้องไปแล้วในปากก็ยังมีกลิ่นหอมติดอยู่
อาหารที่นางทำรสชาติอร่อยจนไม่มีอะไรให้ติ ตอนเขาอยู่ในวังแม้กินอาหารรสเลิศทุกวัน ทว่ากลับดึงดูดใจเขาเหมือนอาหารที่นางทำไม่ได้ ยั่วเย้าจนหนอนตะกละในกระเพาะของเขาไม่สงบ แต่เขาก็อดทนไว้ พยายามเหลืออาหารไว้ให้นางกินมากหน่อย
ไป่หลี่ซีคิดในใจว่าอาหารมื้อนี้ก็ให้นางกินจนอิ่มเถิด กินอิ่มแล้วจะได้ไล่คนได้ถนัดปาก
หลังกินอิ่มอูมู่ฉินลุกขึ้นมาจะเก็บจานชาม แต่กลับถูกเขาห้ามไว้
“รออยู่ที่นี่” เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง ครู่เดียวก็เดินกลับออกมา ในมือถือห่อของห่อหนึ่ง เป็นของที่เขาเอากลับมาจากข้างนอกในวันนี้
“รับไป” เขาเอาห่อของยัดใส่มือนาง
“พี่ชาย นี่คืออะไร” อูมู่ฉินถามด้วยความอยากรู้
“ในนี้มีเสื้อผ้าอยู่สามชุด เอามาให้เจ้า”
นางมีสีหน้าคาดคิดไม่ถึง ทำท่าจะถามต่อ เขาก็ยื่นเหอเปา ให้นางใบหนึ่ง
นางรับมาถือไว้ พบว่าเหอเปามีน้ำหนักพอสมควร แล้วก็ได้ยินเขาพูดต่อ “นี่เป็นเงิน เจ้าเอาเก็บไว้ ใช้สอยอย่างประหยัด น่าจะพอใช้ไปได้สักสามเดือน ที่ข้าช่วยเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้ วันนี้เจ้าจงไปเสียเถิด”
กล่าวคำพูดเหล่านี้จบ เขาก็รอนางร้องไห้และเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว ไม่ว่านางจะขอร้องวิงวอนหรือร้องไห้คร่ำครวญบอกตนเองน่าสงสารเพียงใด เขาก็จะปฏิเสธไปทั้งหมด
เขาไม่อาจให้นางอยู่ด้วยได้ ถ้าให้นางอยู่ต่อไป เกรงว่าสุดท้ายนางจะไม่ยอมจากไป ดังนั้นเขาจำเป็นต้องพูดต่อหน้าให้เข้าใจ
ผู้ใดจะรู้ได้ ความจริงกลับไม่เป็นเช่นที่เขาคาดหมาย นางไม่ได้เสียใจเช่นที่เขาคิด ไม่เพียงมิได้ร้องไห้ ยังไม่มีท่าทีน้อยอกน้อยใจ หลังจากฟังเขาพูดจบกลับยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
“พี่ชาย ท่านเป็นคนดีจริงๆ เป็นห่วงกลัวข้าจะไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ซื้อเสื้อผ้ามาให้ข้า ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้เงินข้าอีกด้วย” นางส่ายหน้าและเอากระเป๋าเงินยัดใส่มือคืนให้เขา “พี่ชาย ท่านซื่อเกินไปแล้ว ข้าเป็นคนแปลกหน้า คนแปลกหน้าบุกเข้ามาในบ้านท่าน ท่านไม่ไล่ไป นอนบนเตียงของท่าน ท่านก็ไม่ว่าแม้แต่คำเดียว เกิดข้าเป็นคนเลวจะทำอย่างไร โชคดีคนที่ท่านเจอคือข้า หาไม่จะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้”
ไป่หลี่ซีอึ้งตะลึงงัน นางถึงกับว่าเขาซื่อเกินไป? เขาก็กำลังไล่นางอยู่มิใช่หรือไร
“เสื้อผ้าเหล่านี้ข้าจะรับไว้ ส่วนเงินท่านยังคงเก็บไว้เองเถิด ข้าไปล่ะ ท่านดูแลตนเองให้ดี จำไว้ เงินทองไม่อาจให้ผู้ใดเห็น ท่านต้องระวังอย่าให้คนหลอกเอาเงินไปเปล่าๆ” อูมู่ฉินพูดจบก็ไม่โอ้เอ้ชักช้า รับเอาห่อของแล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที
เขาใช้สายตามองส่งนาง เห็นนางยังหันกลับมายิ้มให้เขาพลางโบกมืออำลาอีกหลายครั้ง เขาให้เสื้อผ้ากับเงินแก่นางก็เพราะเห็นนางน่าสงสาร และเพื่อความสะดวกในการไล่นางไป ปรากฏว่าหญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกเสียหน้าที่ถูกไล่แม้แต่น้อย ยังกลับมาสั่งกำชับเขาให้ดูแลตนเองดีๆ อีกด้วย
กระทั่งเงาร่างของนางออกจากประตูรั้วหายลับไปจากหัวโค้ง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกของเขาจึงมีรอยยิ้มปรากฏออกมาเล็กน้อย
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปแล้ว นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ใสซื่อ แต่เช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ร้องไห้คร่ำครวญ ลดความยุ่งยากให้เขาไปได้ไม่น้อย
ทว่าเขาไหนเลยจะรู้ อูมู่ฉินเติบโตอยู่ในหุบเขาหมื่นบุปผาตั้งแต่เล็ก ในการอบรมสั่งสอนที่นางได้รับมา ไม่มีความคิดว่าสตรีจะต้องพึ่งพาบุรุษอยู่เลย ทุกอย่างล้วนต้องพึ่งพาตนเอง ด้วยเหตุนี้ในสายตาของนาง การกระทำของหม่าเฉวียนจึงดูซื่อเกินไป บุรุษผู้นี้กระทั่งนางมีความเป็นมาอย่างไรก็ยังไม่ได้ถามให้แน่ชัด ทั้งยังให้นางอาศัยนอนมาตั้งหลายคืน ตัวเขาเองก็ยากจนข้นแค้นมากอยู่แล้ว เสื้อผ้าบนตัวยังมีรอยปะชุน แต่ก็ยังจะให้เสื้อผ้านางและเซ่อซ่าเอาเงินให้นางอีกด้วย
เฮ้อ ช่างซื่อเสียจริง ดีที่เขารูปร่างหน้าตาดุดัน ยังพอข่มขวัญคนได้ หาไม่ต้องถูกข่มเหงแน่นอน
หลังจากนางจากไปแล้ว ไป่หลี่ซีก็ทำเช่นทุกวัน หยิบจอบไปทำงานในนา ตกกลางคืนเขานอนอยู่บนเตียงของตนเอง คิดอยู่ในใจว่านางคงไปแล้วจริงๆ กระมัง
เขาหลับตาลง ภาพนางแย้มยิ้มพลันผุดขึ้นมาในสมอง จึงย่นหัวคิ้วน้อยๆ พลิกตัวไป ไม่คิดเรื่องอะไรอีก
วันถัดมาเขาลุกจากเตียงไปล้างหน้าบ้วนปากที่ลานด้านหลัง ตอนเดินผ่านห้องเก็บฟืนก็ชำเลืองตามองไปข้างในแวบหนึ่งโดยสัญชาตญาณ ข้างในไม่มีเงาร่างคน ในห้องครัวก็ไม่มีแผ่นแป้งม้วน
ถัดจากนั้นติดต่อกันสามวันก็ไม่เห็นนางกลับมา เขาจึงแน่ใจว่านางจากไปแล้วจริงๆ
วันนี้ไป่หลี่ซีขึ้นเขาล่าไก่ฟ้ามาได้ตัวหนึ่ง พอเห็นว่าเที่ยงวันแล้วเขาจึงหาที่ร่มเย็นแห่งหนึ่งนั่งลง หยิบห่อผ้าน้ำมันออกมา ในนั้นมีแผ่นแป้งม้วนไส้เนื้อที่เขาทำเมื่อเช้า จากนั้นเขาก็กัดไปคำหนึ่ง ก่อนจะย่นหัวคิ้ว
รสชาติของมันแย่มาก เปรียบกับที่มู่เอ๋อร์ทำแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ก็แค่แผ่นแป้งม้วนไส้เนื้อมิใช่หรือ เขาก็ทำตามแบบทุกอย่าง ดูภายนอกก็คล้ายกันมาก เหตุใดรสชาติกลับยากจะกลืนลงคอ
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่มีความอยากอาหารเหลืออยู่จึงเก็บแผ่นแป้งย่าง หยิบถุงหนังใส่น้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว เขายังคงนิ่งงัน ไม่กระโตกกระตาก แสร้งทำเป็นดื่มน้ำต่อ แต่มืออีกข้างหนึ่งเลื่อนไปกุมดาบที่เอวแล้ว
ยามนั้นเองเงาร่างสีขาวสายหนึ่งทะยานลงมา ตามมาด้วยใบไม้ร่วงหลายใบ ร่างนั้นลงสู่พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เงาร่างสูงโปร่งยืนอยู่เบื้องหน้าเขาห่างไปราวสิบก้าว
ไป่หลี่ซีแสร้งทำเป็นตกใจลุกขึ้นยืน เขาจ้องมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จ้องมองเขา
ตันไหวชิง! เขาประหลาดใจเล็กน้อย คิดในใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้
บ้านสกุลตันแห่งที่ราบทางตอนใต้แต่ไรมาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผดุงคุณธรรม และตันไหวชิงอยู่ในยุทธภพก็มีชื่อเสียงว่าเป็นฝ่ายธรรมะ ไป่หลี่ซีแม้จะมีฐานะเป็นราชนิกุล แต่ก็ลอบคบหาสหายในยุทธภพอยู่ไม่น้อย ครึ่งปีก่อนเขาแต่งตัวเป็นสามัญชนออกมานอกวัง ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน เคยเห็นตันไหวชิงไกลๆ ในงานเลี้ยงใหญ่โตงานหนึ่ง ตอนนั้นยังนึกชื่นชมท่วงทีและรูปร่างลักษณะของคนผู้นี้
ตันไหวชิงเห็นเขาเป็นชาวบ้านคนหนึ่ง คล้ายถูกการปรากฏตัวของตนทำให้ตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้วจึงประสานมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน “พี่น้องท่านนี้ รบกวนแล้ว อยากจะถามท่านว่าเคยเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งหรือไม่ นางอายุราวสิบหกสิบเจ็ด สูงประมาณนี้” เขาพูดพลางทำมือบอกระดับความสูง
ไป่หลี่ซีประสานมือให้เขาด้วยท่าทางเกรงใจ “จอมยุทธ์ท่านนี้ ในหมู่บ้านของเรามีหญิงสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดอยู่หลายคน ที่สูงประมาณนี้ยิ่งมีมาก”
“นางไม่ใช่หญิงสาวในหมู่บ้าน มาจากต่างถิ่น”
พออีกฝ่ายบอกว่ามาจากต่างถิ่น หัวใจของไป่หลี่ซีพลันกระตุกวาบนึกไปถึงมู่เอ๋อร์ นางหาใช่หญิงสาวในหมู่บ้าน มาจากต่างถิ่น อีกทั้งอายุและความสูงก็สอดคล้อง
ไป่หลี่ซีแสร้งทำเป็นงงงวยพลางสั่นศีรษะ “ไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินว่ามีหญิงสาวมาจากต่างถิ่น คุณชายมีคนในครอบครัวพลัดพรากจากกันหรือ ข้าน้อยจะได้บอกคนในหมู่บ้าน ทุกคนจะได้ช่วยกันหา”
“ขอบอกตามตรง คนที่ข้าตามหาเป็นโจรหญิง”
ไป่หลี่ซีมีสีหน้าประหลาดใจ “โจรหญิง”
“โจรหญิงผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ข้าตามจับนางมาหลายวัน นางหนีมาที่นี่ ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ท่านเคยเห็นผู้ใดน่าสงสัยหรือไม่”
ไป่หลี่ซีขมวดคิ้วสั่นศีรษะ “ขอถามจอมยุทธ์ โจรหญิงผู้นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ”
“นางรูปโฉมงดงามยิ่ง พราวเสน่ห์ชวนลุ่มหลง บุรุษเห็นแล้วเกรงว่าจะต้องถูกรูปโฉมโนมพรรณอันงดงามของนางทำให้หลงใหล”
พราวเสน่ห์ชวนลุ่มหลง? เช่นนั้นก็ไม่ใช่มู่เอ๋อร์แน่นอนแล้ว
ไม่รู้เพราะเหตุใดไป่หลี่ซีพลันรู้สึกวางใจแล้ว
“ข้าน้อยไม่เคยพบ ถ้ามีหญิงสาวลักษณะเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น จะต้องโจษจันเล่าขานกันในหมู่บ้าน ข่าวต้องแพร่กระจายออกมา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินข่าวคราวอะไร”
ตันไหวชิงเองก็คิดเช่นนี้ เขาถามคนในหมู่บ้านไปหลายคน ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นโจรหญิงผู้นั้น
เขาประสานมือให้ชาวบ้านผู้นี้ “ยังอยากจะขอให้พี่น้องท่านนี้ช่วยบอกคนในหมู่บ้าน หากพบเห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามที่มาจากต่างถิ่น จะต้องระวังตัวให้มาก”
“ขอบคุณจอมยุทธ์ที่เตือน ข้าน้อยจะบอกให้คนในหมู่บ้านทราบ” ไป่หลี่ซีรีบค้อมเอวคารวะตอบ แสดงท่าทีซื่อๆ ดุจชาวบ้านในชนบท
ตันไหวชิงพยักหน้า “รบกวนแล้ว” จากนั้นก็สะกิดปลายเท้าใช้วิชาตัวเบา พริบตาเดียวคนก็หายลับไปในป่า เหลือเพียงใบไม้ที่ร่วงปลิดปลิวตามลมไม่กี่ใบ
ไป่หลี่ซีมองไปยังทิศทางที่ตันไหวชิงหายตัวไป ขณะกำลังครุ่นคิด พลันได้ยินเสียงแมลงร้องเรียกจากที่ไกล เขาคว้าสัตว์ที่ล่าได้ขึ้นมาและเดินเข้าไปในภูเขา หลังจากมาถึงถ้ำที่ซ่อนอยู่ในผนังผาแห่งนั้น ร่างก็พุ่งถลันเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาเข้าไปในถ้ำ หยวนเจี๋ยก็ปรากฏตัวขึ้น
“รัชทายาท”
“พูดมา มีข่าวอะไร”
“กระหม่อมตรวจพบว่าในเขตภูเขาลูกนี้ทั้งสี่ด้านมีคนวางค่ายกลไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ไป่หลี่ซีชะงักอึ้ง สีหน้าเคร่งขรึมลง “เป็นผู้ใดกัน”
“คุณชายใหญ่บ้านสกุลตันแห่งที่ราบทางตอนใต้ ตันไหวชิง”
ได้ยินชื่อตันไหวชิง ไป่หลี่ซีก็นึกถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อครู่ก่อน แล้วก็เข้าใจในทันที
“ไม่เป็นไร ค่ายกลนั่นหาได้พุ่งเป้ามาที่เรา ไม่ต้องกังวล เมื่อครู่ระหว่างทางมา ข้าพบกับตันไหวชิงเข้า เขากำลังตามจับโจรหญิงผู้หนึ่ง”
หยวนเจี๋ยฟังแล้วก็ตระหนักรู้ขึ้นมา จากนั้นย่นหัวคิ้วพลางกล่าว ”รัชทายาท ค่ายกลที่เขาวางไว้ทำให้คนของเราถูกขัดขวางอยู่ภายนอกไม่กล้าเข้ามา ด้วยกลัวจะเปิดเผยร่องรอย แหวกหญ้าให้งูตื่น”
“คนในหมู่บ้านก็ออกไปไม่ได้หรือ”
“คนในหมู่บ้านจะออกไปมีเพียงเส้นทางเดียว เส้นทางสายนั้นค่ายกลที่เขาวางไว้ไม่ทำอันตรายคน แต่มีคนเฝ้าจับตาดูอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป่หลี่ซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งการหยวนเจี๋ย “หวังเหล่าเอ้อร์ที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านทุกห้าวันจะออกจากหมู่บ้านเอาสินค้าไปขาย เฉินโก่วจื่อที่ทางใต้ของหมู่บ้านทุกสองสามวันจะต้องออกจากหมู่บ้านไปเล่นการพนัน ยามเข้าออกจงปลอมตัวเป็นสองคนนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไปสืบดูว่าโจรที่ตันไหวชิงผู้นั้นต้องการจับตัวไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด ถ้าจับตัวได้ก็เอาไปมอบให้เขา”
“น้อมรับพระบัญชา”
หยวนเจี๋ยจะผละไปทว่ากลับถูกเขาเรียกกลับมา
“รัชทายาทยังมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยข่าวออกไป ดูว่ามีหญิงสาวที่ชื่อมู่เอ๋อร์ออกจากหมู่บ้านหรือไม่ ถ้าพบเจอ ดูว่านางจะไปที่ใด ช่วยส่งนางไปให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“ไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนเจี๋ยจากไปอย่างรวดเร็ว ไป่หลี่ซีก็เดินไปตามเส้นทางที่จะกลับกระท่อม เขาเห็นในพงหญ้ามีสุนัขป่าอยู่หลายตัว จึงนึกถึงแผ่นแป้งม้วนที่กินเหลือ และหยิบแผ่นแป้งม้วนที่ยากจะกลืนลงคอออกมาโยนไปที่ข้างทางให้สุนัขป่า
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนดังขึ้นมาจากในพงหญ้า “แหวะ…รสชาติแย่มาก”
เขาจ้องมองไปที่พงหญ้าด้วยความตกใจ มือข้างหนึ่งจับดาบที่เอวด้วยสัญชาตญาณ เอ่ยถามเสียงหนัก “ผู้ใด”
เงาร่างคนร่างหนึ่งยืนขึ้นมา ในมือถือแผ่นแป้งม้วนที่เขาโยนทิ้งพลางต่อว่าเขา “ทำแผ่นแป้งม้วนอย่าใช้เนื้อหมักเกลือ จะไม่อร่อย”
เสียงนี้…ไป่หลี่ซีเขม้นตามองคนที่เนื้อตัวสกปรก ทั้งร่างไม่มีส่วนใดสะอาดเลยด้วยความประหลาดใจ สิ่งเดียวที่พอจะจำได้ก็คือดวงตาที่สุกใสแวววาวดุจลูกกวางน้อยคู่นั้น รวมทั้งเสียงที่สดใสกังวานเสนาะโสตนั่น
“มู่เอ๋อร์!” เขาอุทานออกมา
( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 เม.ย 62 )
Comments
comments