X
    Categories: ทดลองอ่านบัญชาปราบโฉมงาม ชุดข่าวลือในยุทธภพมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่สี่

ไม่ได้พบกันหลายวัน นางยิ่งน่าสังเวชใจจนทำให้คนทนดูไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่สกปรก แต่สภาพเหมือนเพิ่งคลานออกมาจากบ่ออุจจาระเช่นนั้น แม้แต่ขอทานข้างถนนยังสะอาดกว่านางกระมัง

“พี่ชาย” อูมู่ฉินทักทายเขาพลางยิ้มด้วยความดีใจ

ไป่หลี่ซีมองแวบเดียวก็รู้ว่าหลายวันมานี้นางผ่านวันเวลามาได้อย่างไร พูดได้ว่าคนไม่เหมือนคน ผีไม่เหมือนผี เห็นอยู่ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวดูไม่ได้ ใช้ชีวิตอย่างกินไม่อิ่มท้อง เทียบไม่ได้กระทั่งสุนัขตัวหนึ่ง แต่นางกลับยังยิ้มออก ใสซื่อเสียจนไม่รู้ว่าโลกมนุษย์เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวและอันตราย

เพลิงโทสะขุมหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากในท้องของเขา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปคว้าข้อมือนาง ไม่พูดไม่จาลากนางเดินไป

การกระทำของเขาฉับพลันกะทันหันยิ่ง ทำให้นางคาดคิดไม่ถึง การถูกลากดึงไปโดยแรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำให้นางเดินโซซัดโซเซ

“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรไป”

อูมู่ฉินใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย คนผู้นี้เหตุใดไม่พูดไม่จาก็ลากนางเดินมา ทั้งยังโมโหฮึดฮัด ผู้ใดไปตอแยเขาเข้า

เห็นเขาไม่ฟัง นางจึงถามอีก “พี่ชาย ผู้ใดทำให้ท่านโมโหหรือ”

เขายังคงไม่ตอบ ฝีเท้าทั้งยาวทั้งเร็ว ฝ่ามือใหญ่กุมข้อมือนางไว้แน่น เอาแต่ลากนางเดินไป

อูมู่ฉินฉงน เขาโมโหเพียงนี้ ทั้งจับมือนางแน่นไม่ปล่อย นางพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบเอ่ยขึ้นเสียงดัง “พี่ชาย ข้าไม่ได้ขโมยของท่านนะ”

ไป่หลี่ซีร่างชะงักค้าง ก่อนจะหันหน้ากลับมาสั่งด้วยความเดือดดาล “เจ้าหุบปาก!”

อูมู่ฉินจู่ๆ ถูกเขาตะคอกใส่จึงตะลึงงันไปทันที จากนั้นก็ถูกเขาลากไปข้างหน้า เดินโซซัดโซเซต่อ

เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาบันดาลโทสะเช่นนี้ หรือว่าของเขาหายไปจริงๆ นางคิดไปคิดมา ในกระท่อมโกโรโกโสของเขาก็ไม่มีสิ่งของมีค่าอะไร คงไม่ใช่เงินถูกขโมยไปกระมัง

ไป่หลี่ซีโมโหมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงโกรธมากเช่นนี้ หลังจากเห็นสภาพน่าสังเวชใจของนางแล้ว เขาก็ข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจไม่อยู่ มาถึงขั้นนี้แล้วนางยังยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นออกมาได้อีก เขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ!

ไป่หลี่ซีพลันหยุดฝีเท้าลง หันกลับมาตั้งกระทู้ถามอีกฝ่ายเสียงเย็น “เสื้อผ้าที่ข้าให้เจ้าเล่า”

นางหดคอเล็กน้อย ชี้เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่าง เสื้อผ้าที่ขาดกะรุ่งกะริ่งตัวนี้ก็คือเสื้อผ้าที่เขาให้

เขาเพลิงโทสะพวยพุ่งอีกครั้ง แต่พุ่งขึ้นมาถึงลำคอก็ถูกเขากดข่มไว้ ดึงนางเดินไปข้างหน้าต่อ

ไป่หลี่ซีไม่เคยเห็นสตรีที่ไหนโง่เขลาเช่นนี้ ไม่มีที่พักอาศัย ไม่มีของกิน ถูกเขาไล่ไปก็ไม่บ่นว่า นางต้องซัดเซพเนจรถึงขั้นนี้ เพราะอะไรยังยิ้มออกมาได้ รอยยิ้มนั่นบริสุทธิ์เสียจนไม่มีอะไรปลอมปน ไม่ถูกกลืนกลายด้วยกรอบปฏิบัติใดๆ ตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว สตรีโง่เขลาผู้นี้ใสซื่อเสียจนไม่รู้ว่าโลกมนุษย์เต็มไปด้วยอันตรายและน่าหวาดกลัว

ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เจอนาง นางใช่จะซุกหัวอยู่กับสุนัขป่าฝูงนั้นตลอดไป และเก็บอาหารที่คนทิ้งให้สุนัขมากินให้อิ่มท้องหรือ คิดถึงตรงนี้เพลิงโทสะไร้นามในใจของเขาก็ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีก

ไม่ถูกสุนัขป่าจับกินก็นับว่านางดวงแข็งมาก!

ไป่หลี่ซีลากนางเดินไปตลอดทาง ดีที่ถนนบนภูเขาเส้นนี้ปกติไม่ค่อยมีคนเดินผ่านจึงไม่มีผู้ใดเห็น

เป็นครั้งแรกที่อูมู่ฉินถูกเขาทำท่าดุดันใส่ แต่นางไม่กลัวเขา เพียงอยากรู้ว่าคนผู้นี้คิดจะทำอันใด เพลิงโทสะของเขามาจากเรื่องใด หรือเพราะเขาเป็นห่วงนาง

ความจริงนางจงใจทำให้ตนเองสกปรก จุดประสงค์ก็เพื่อกำบังพรางกาย นางกับศิษย์พี่ศิษย์น้องเล่นอยู่ในเทือกเขาหุบปีศาจตั้งแต่เล็ก การละเล่นที่เล่นบ่อยที่สุดคือซ่อนแอบ ซ่อนแอบยิ่งเล่นมากครั้ง ระดับความยากก็ยิ่งเพิ่มสูง คนที่ถูกจับได้จะต้องถูกลงโทษ จากโทษเล็กในตอนเริ่มต้นกลายเป็นโทษใหญ่ การลงโทษยิ่งทำให้ขายหน้าเท่าไร ในใจของทุกคนก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นหวาดกลัว จึงพยายามสุดชีวิตที่จะซุกซ่อนตัว

ไม่มีผู้ใดอยากอยู่อันดับสุดท้าย ดังนั้นต่างจึงสำแดงความสามารถของตน ทุ่มเทความคิดหาวิธีซ่อนตัวต่างๆ นานา ซ่อนอยู่ในโคลนเลนสกปรก แต่งตัวเป็นสัตว์เล็กมุดเข้าไปอยู่ในถ้ำของสัตว์หรือฝังตัวอยู่ในกองกระดูกคนตาย เรื่องที่เลยเถิดอะไรล้วนทำออกมาได้ทั้งนั้น และอูมู่ฉินรู้ว่าจะให้คนหาตัวไม่พบก็ต้องกลืนกลายไปกับสภาพแวดล้อม ด้วยเหตุนี้นางจึงทำให้ตนเองเหม็นเหมือนกับพวกสุนัขป่า เพราะสุนัขป่าวิ่งไปทั่ว ไม่ทำให้คนสงสัย และสามารถอำพรางตัวนางได้

เพื่อไม่ให้คนแซ่ตันจับตัวนางได้ นางไม่อาจทิ้งร่องรอยเบาะแสอะไรไว้ นี่เป็นการต่อสู้กันด้วยสติปัญญา ไม่ว่าอย่างไรวรยุทธ์ของนางก็สู้ตันไหวชิงไม่ได้ ได้แต่ใช้สติปัญญาเอาชนะ

ถ้าไม่ใช่นางเผยร่องรอยออกไปเอง หม่าเฉวียนไม่มีทางสังเกตเห็นนางได้

ไป่หลี่ซีไหนเลยจะรู้ว่านางก็คือคนที่ตันไหวชิงต้องการจะจับตัว เขารู้เพียงหญิงโง่งมผู้นี้ปล่อยให้ตนเองย่ำแย่เพียงนี้ ทำให้เขาโมโหอย่างมาก

เขาลากตัวนางมาจนถึงลานด้านหลังกระท่อม ผลักนางเข้าไปในห้องอาบน้ำและเอ่ยสั่งด้วยความโมโห “รออยู่ที่นี่!”

นางรีบผงกศีรษะหงึกหงัก

ไป่หลี่ซีถลึงตาใส่นางทีหนึ่งแล้วจึงหมุนตัวเดินไป

อูมู่ฉินรออย่างว่าง่าย นางไม่กลัวเขาโกรธ นางเพียงรู้สึกว่าสนุก พร้อมกันนั้นก็อยากรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

ครู่เดียวก็เห็นเขาถือเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งยัดใส่มือนาง

“ชำระล้างเนื้อตัวตั้งแต่หัวถึงเท้าให้สะอาดเอี่ยม” เขาทิ้งคำสั่งขู่ขวัญประโยคนี้ไว้ หมุนตัวจะเดินจากไป แต่พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ หันหน้ากลับมาตั้งกระทู้ถามทันที “ข้าให้เสื้อผ้าเจ้าไปสามชุด นอกจากชุดที่เจ้าสวมอยู่แล้ว อีกสองชุดที่เหลือเล่า”

นางมองเขาอย่างหวั่นหวาด ก่อนจะเผยรอยยิ้มเก้อเขิน “เหลือแค่ชุดนี้…” ชุดอื่นตอนนางทำลายค่ายกลก็ล้วนฉีกขาดทั้งหมด สวมใส่ไม่ได้แล้ว

ไป่หลี่ซีหางตากระตุก เขาไม่รู้ที่เสื้อผ้านางขาดรุ่งริ่งเพราะเกิดจากการทำลายค่ายกล คิดว่านางจะต้องเจอสัตว์ป่าอะไรบนภูเขาอย่างแน่นอน เมื่อถูกวิ่งไล่ก็หกล้ม จากนั้นเสื้อผ้าถูกเกี่ยวขาด ถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หาไม่เสื้อผ้าดีๆ จะฉีกขาดอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร

ความรู้สึกที่เขามีต่อนางคือทั้งปวดใจทั้งเดือดดาล อยากด่านาง แต่พอเห็นท่าทางหวั่นหวาดขลาดกลัวของนาง ดวงตาคู่นั้นดูใสซื่อไร้ความผิดจึงกดข่มเพลิงโทสะเอาไว้

หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้ตายอยู่ในป่าเขารกร้างเปล่าเปลี่ยวก็นับว่านางดวงแข็งแล้ว!

“ใส่ของข้าไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาชุดใหม่กลับมาให้เจ้า” เขาทิ้งคำพูดไว้แล้วก็หมุนตัวสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป กระทั่งเงาด้านหลังก็ยังเจือความกรุ่นโกรธ

นางถือเสื้อผ้าอยู่ในมือ คลี่ออกมาดูเห็นเป็นเสื้อกับกางเกงของเขา

ในที่สุดนางก็หัวเราะพรืดออกมา นึกไม่ถึงว่าที่เขาพานางกลับมาก็เพราะทนดูนางสกปรกมอมแมมเช่นนี้ไม่ได้ ตัวโง่งมผู้นี้ เขาเป็นห่วงนางจริงด้วย

อูมู่ฉินไม่ถือสาแม้แต่น้อยที่เขาบันดาลโทสะใส่นาง ในใจกลับรู้สึกดีใจ บุรุษผู้นี้แม้ใบหน้าเย็นชาแต่หัวใจอบอุ่นยิ่งนัก

ยามนางเป็นประมุขหุบเขา ฐานะปูแผ่อยู่ตรงหน้า รูปโฉมก็สะสวยงดงาม ผู้อื่นดีต่อนางย่อมเป็นเรื่องสมเหตุผล แต่เวลานี้นางปิดบังรูปโฉม ทั้งสกปรกทั้งเหม็น เขาไม่เพียงไม่รังเกียจนาง ยังดีต่อนางถึงเพียงนี้ ทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่น ซาบซึ้งตื้นตันใจยิ่ง

นางคิดมาโดยตลอดว่าผู้คนที่ด้านล่างภูเขาเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนเสียส่วนใหญ่ จิตใจก็คับแคบ ชอบซุบซิบนินทาว่าร้ายผู้อื่นลับหลัง แต่บุรุษที่ซื่ออย่างหม่าเฉวียนนางเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

ไม่รู้ว่ากับสตรีอื่นเขาได้เอาใจใส่เช่นนี้หรือไม่ หรือว่าสำหรับเขาแล้วนางพิเศษกว่าสตรีคนใด ถ้าเขาไม่สนใจนาง แล้วเหตุใดจึงได้เดือดดาลเช่นนั้น

คิดมาถึงตรงนี้นางก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในใจหวานล้ำ

ตอนนางอาบน้ำ ไป่หลี่ซีไปทำอาหารที่ห้องครัว เขาเอาเนื้อหมักเกลือออกมา พลันนึกได้ว่านางบอกเนื้อหมักเกลือไม่อร่อย เขาลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วเอาเนื้อหมักเกลือวางกลับลงไปในไห เอาไก่ฟ้าที่ล่ามาได้ในวันนี้ออกมา แล้วเริ่มถอนขนเอาเครื่องในออก

เขาวุ่นวายอยู่ในห้องครัวพักใหญ่ก็นำบะหมี่สองชามใหญ่และเนื้อไก่ฟ้าผัดมาวางบนโต๊ะ

ตอนเขาเข้ามาในบ้าน มู่เอ๋อร์อาบน้ำเสร็จแล้ว ยืนอยู่ในห้องรอเขา พอเขาเห็นนางก็อึ้งตะลึงไป

เสื้อผ้าตัวกว้างของบุรุษถูกสวมใส่อยู่บนร่างของนาง ห่อหุ้มร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวไว้ เสื้อผ้าแนบติดเนื้อตัว เส้นโค้งเส้นเว้าที่อยู่ข้างในถูกขับดุนให้เด่นขึ้น เส้นผมบนศีรษะที่เพิ่งแห้งได้สามส่วนของนางปล่อยสยายลงมา เผยให้เห็นด้านที่งดงามละมุนละไม หยดน้ำบนเส้นผมหยดถูกเสื้อ ทำให้เนื้อผ้ายิ่งแนบตัว

นางที่เป็นเช่นนี้ดูงดงามชวนลุ่มหลงอย่างคาดคิดไม่ถึง และทำให้คนลอบมองส่วนโค้งส่วนเว้าที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้า นาง…ดูอวบอิ่มมีเนื้อมีหนังมากกว่าที่คิด

ไป่หลี่ซีมองจ้องนางแล้วจึงนึกขึ้นได้ เขาเอาเสื้อผ้าของตนให้นางยืม แต่เพราะเขาไม่มีเอี๊ยมของอิสตรี ดังนั้นข้างในนางจึงไม่ได้ใส่อันใดเลย และเมื่อครู่เขาเพียงคิดอยากให้นางล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแต่โดยเร็ว ลืมนึกถึงเรื่องที่ต้องป้องกันระหว่างบุรุษสตรี เวลานี้เมื่อได้มาเห็นนาง เรือนร่างที่งดงามน่าประทับใจก็พลันปรากฏต่อสายตา ปลุกเร้าความคิดต่างๆ นานาภายในใจของเขา

“เอ๋? พี่ชาย นี่ให้ข้ากินหรือ” อูมู่ฉินมองบะหมี่ที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ

ไป่หลี่ซีดึงสายตากลับ หลบสายตา ทรุดตัวลงนั่ง

“กิน” เขาสั่ง

อูมู่ฉินรีบนั่งลง หยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความเบิกบานใจ ท้องของนางหิวแล้วจริงๆ หลายวันมานี้กินแต่ผลไม้ป่าจนเบื่อแล้ว เวลานี้มีเนื้อสัตว์ให้กินนางย่อมดีใจ

ไป่หลี่ซีหยิบตะเกียบขึ้นมากินบะหมี่ เขาปั้นหน้าขรึม ไม่มองร่างกายของนางอีก เพียงคิดในใจว่าต้องรีบหาเสื้อผ้าอิสตรีมาสักหลายชุด ไม่อาจให้นางสวมเสื้อผ้าเช่นนี้ เพราะดูช่าง…ขัดหูขัดตาเขายิ่งนัก!

อูมู่ฉินซดบะหมี่จนหมดชาม ตอนนางกำลังกิน ไป่หลี่ซีชายตามองนาง เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย คล้ายทนหิวมานานในใจก็อดสงสารไม่ได้ เหลือบตามองไปเห็นหยดน้ำบนเส้นผมของนางกำลังหยด ทำให้เสื้อผ้าของเขายิ่งแนบติดร่างกายนางมากขึ้น หัวคิ้วของเขาพลันขยับเข้าหากัน มีอะไรบางอย่างกำลังก่อกวนอยู่ในหัวใจ ทำให้เขารู้สึกจิตใจรุ่มร้อนว้าวุ่น

“กินอิ่มแล้ว ขอบคุณพี่ชาย ข้าจะไปล้างชาม” นางลุกขึ้นมาจะเก็บจานชาม ทว่ากลับถูกเขาตวาดห้าม

“ไปเช็ดผมให้แห้ง”

“ไม่ล่ะ ยุ่งยากมาก ปล่อยให้มันแห้งเอง”

ไป่หลี่ซีถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง คว้าผ้าผืนหนึ่งโยนให้นาง “เช็ดให้แห้ง”

นางเห็นเขาทำหน้าตาดุดันราวปีศาจร้ายจึงได้แต่ทำหน้ามุ่ย “ก็ได้” เช็ดก็เช็ด คนผู้นี้เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของนาง ทนไม่ได้ที่จะเห็นนางหลังอาบน้ำเสร็จแล้วเส้นผมยังเปียกอยู่

นางหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดผมพลางเดินออกไปข้างนอก

“ช้าก่อน จะไปที่ใด”

“ข้าไปเช็ดข้างนอก ถือโอกาสตากลม เช่นนี้จึงจะแห้งเร็ว”

นางออกไปนอกบ้านทั้งสภาพนี้ เส้นโค้งเส้นเว้างดงามบนร่างกายนางแม้แต่เขาเห็นแล้วยังร้อนรุ่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษด้านนอกที่อาจผ่านมาเห็นเข้า

นางอยากตายหรืออย่างไร!

ความจริงเขาคิดมากไปแล้ว นอกบ้านไม่มีผู้ใด มีเพียงสุสานที่อยู่ด้านข้างเท่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเขาใส่ใจนาง เขาไม่อยากให้ผู้ใดเห็นนางในสภาพนี้

ไป่หลี่ซียืนขึ้นมาด้วยความโมโห ก่อนจะคว้าตัวนางให้กลับมานั่งที่เดิม เอาผ้าโยนไปที่ศีรษะของนาง เริ่มเช็ดเส้นผมให้นางแรงๆ

อูมู่ฉินพยายามกลั้นหัวเราะ นางนั่งนิ่งๆ ให้เขาเช็ดแต่โดยดี ฝ่ามือของเขาใหญ่มาก ยามเช็ดผมให้นางคล้ายกำลังนวดหนังศีรษะให้อย่างไรอย่างนั้น ช่างสบายยิ่งนัก สบายจนทำให้นางรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา

นอนอยู่ในป่าไหนเลยจะสบายเหมือนนอนอยู่บนเตียง อีกทั้งนางอาบน้ำแล้ว ทั่วทั้งร่างสดชื่นเย็นสบาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัวใหญ่และสะอาด มิหนำซ้ำยังเพิ่งกินอิ่มและมีคนนวดให้ ไม่ง่วงก็แปลกแล้ว

ไป่หลี่ซีช่วยเช็ดผมให้นางจนแห้ง พลันพบว่าศีรษะของนางเอียงพับไปข้างหนึ่ง เขาหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่านางหลับสนิท

เขาจ้องมองนางพลางคิดในใจว่าหญิงโง่งมผู้นี้ไม่เพียงใสซื่อ ยังไม่รอบคอบระมัดระวัง ถึงกับหลับไปเช่นนี้ นางช่างไว้ใจเขาจริงๆ

“ตื่นขึ้นมา ผมยังไม่แห้งสนิท ห้ามนอน”

นางลืมตาสะลึมสะลือ ร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง พยายามขยับนั่งตัวตรง บังคับตนเองให้ลืมตาเข้าไว้ แต่ไม่นานหนังตาก็เริ่มหนักอีก ศีรษะก็หงุบตามไปด้วย พอรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอหลับไปอีกก็รีบขยับขึ้นมานั่งตัวตรง บังคับตนเองให้ลืมตา กลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้ นางไม่เหนื่อย แต่เขาเห็นแล้วกลับทนไม่ไหว

เขาไปที่ห้องนอนหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งมาห่อร่างนาง ปิดคลุมเส้นโค้งเส้นเว้าที่ทำให้คนคิดภาพไปไกลเอาไว้ แล้วลากนางไปที่นอกบ้าน ให้นางนั่งตากลมอยู่บนเก้าอี้ด้านนอก ตอนเขากลับเข้าบ้านหันหน้าไปมองอีกคราก็ไม่ผิดจากที่คาด…นางสัปหงกไปอีกแล้ว

เขาเข้ามาในบ้านเก็บจานชาม ยังต้องแบ่งสมาธิไปมองนางที่อยู่ด้านนอกด้วยกลัวว่านางจะสัปหงกจนเผลอร่วงตกจากเก้าอี้ คิดไปคิดมาก็เห็นว่าไม่เหมาะ เขาจึงเดินออกไปอีกครั้ง อุ้มนางขึ้นมา ก้าวยาวๆ ไปที่ลานด้านหลัง วางร่างนางลงบนเก้าอี้หิน ให้นางพิงเสาไม้ที่อยู่ด้านข้างหลับ ลานด้านหลังมีผ้าห่มตากอยู่ บดบังร่างนางไว้ได้พอดี ไม่ถูกผู้ใดเห็นเป็นแน่ เขาจึงวางใจกลับเข้าไปทำงานในบ้านต่อ

เขาคิดการวางแผนอยู่ในใจ หลังจากนี้จะต้องสั่งคนให้จัดการหาที่อยู่ให้นางให้เรียบร้อย ตนจะได้ไม่ต้องรำคาญใจคอยห่วงพะวง ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปติดค้างอะไรนางตั้งแต่เมื่อไรกัน

เขาเก็บกวาดเรียบร้อย จากนั้นก็ตรวจดูรอบด้าน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจึงหยิบสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ออกมาเขียนอะไรบางอย่าง นี่เป็นจดหมายลับที่จะส่งไปเมืองหลวง เขียนเสร็จแล้วเขาก็หยิบถุงหนังสีดำใบหนึ่งออกมาจากช่องลับที่พื้นกระดาน หยิบตราประทับแกะลายอันหนึ่งออกมา มีแต่คนของเขาเท่านั้นจึงจะรู้จักตราประทับนี้

เขาผนึกจดหมายลับ หลังจากประทับตราลงไปก็เอาเก็บไว้ในช่องลับด้วยกัน

ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จเขาก็เดินไปที่ลานด้านหลัง พอเห็นสภาพของมู่เอ๋อร์เขาก็เกือบจะหัวเราะออกมา นางหนูผู้นี้ท่าทางจะง่วงมาก แต่ก็กลัวตนเองจะล้มลงไป ถึงกับเอาผ้าห่มที่คลุมอยู่มัดตนเองติดกับเสาเอาไว้ จากนั้นก็พิงเสาหลับสบาย

นางที่อยู่ในสภาพเช่นนี้เห็นแล้วทั้งน่ารักและน่าสงสาร แสงแดดสาดส่องใบหน้านางจนแดงน่ามองยิ่ง นางหลับสนิทเสียขนาดเขาเข้ามาใกล้ก็ยังไม่ตื่น เขายื่นมือไปลูบเส้นผมของนาง เส้นผมแห้งแล้ว เพียงรู้สึกนุ่มมือดุจแพรต่วน ทำให้เขาแทบไม่อยากละมือ

เส้นผมนุ่มนิ่มระผ่านนิ้วมือของเขา คล้ายระผ่านส่วนที่นุ่มนิ่มที่สุดในหัวใจของเขา เขามองนางเงียบๆ จะว่าไปก็แปลก นางหาได้งามเลิศเลอ เพียงนับเป็นหญิงงามในหมู่ชาวบ้าน แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาจากนางได้

เขาชอบความใสซื่อของนาง มองใบหน้าที่หลับอย่างสงบสุขของนางทำให้เขาลืมความมืดมนอัปลักษณ์ของโลกนี้ไปได้ชั่วคราว

นางในยามหลับ มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังยิ้ม เขาอยากจะถามนางยิ่งนัก กินไม่อิ่ม สวมใส่ไม่อุ่น ไม่มีที่ให้หลบแดดบังฝน เพราะเหตุใดนางจึงยังนอนหลับอย่างสบายใจเช่นนี้ได้ หรือไม่กลัวเขาซึ่งเป็นบุรุษจะเกิดความคิดมิดีมิร้ายต่อนางหรือ

บางทีเขาควรจะขู่ขวัญนาง นางจะได้รู้จักระวังตัว ด้วยรูปโฉมที่งดงามของนาง เที่ยวระเหเร่ร่อนอยู่ในป่าเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้จะต้องประสบภัยอันตรายแน่นอน

ครั้นแล้วเขาก็ไม่คำนึงถึงเรื่องที่ต้องระวังระหว่างชายหญิง จู่ๆ ก็อุ้มนางขึ้นมา การกระทำนี้รบกวนการนอนของนาง นางลืมตางัวเงียขึ้นมาด้วยความฉงน

“พี่ชาย ท่านจะทำอันใดอะไร” ด้วยความง่วงงุนเสียงของนางจึงอู้อี้ นุ่มนิ่มอ่อนหวาน คล้ายมีผู้ใดเอาขนนกเข้าไปเย้าแหย่หัวใจบุรุษ

ไป่หลี่ซีแสร้งยกยิ้ม กดเสียงลงต่ำ พูดกับนางอย่างคลุมเครือมีเลศนัย “ข้าจะอุ้มเจ้าเข้าไปนอนในห้อง”

“อ้อ” นางพยักหน้า หลับตาลง เอาศีรษะหนุนไปที่หัวไหล่ของเขาและหลับต่อ

ไป่หลี่ซีย่นหัวคิ้ว “ข้าจะอุ้มเจ้ากลับไปที่เตียงของข้า” เขาเอ่ยเสริม กลัวนางฟังไม่เข้าใจ

“อืม” นางพยักหน้า กระทั่งตายังไม่ลืมขึ้นมา

อืมอะไร ถึงกับยังฟังไม่เข้าใจหรือ หญิงโง่งมผู้นี้!

เขาเพลิงโทสะพวยพุ่ง ถ้าเขาเป็นเติงถูจื่อนางจะทำเช่นไร

ไป่หลี่ซีอุ้มนางตรงเข้าบ้าน หลังจากวางนางลงบนเตียงแล้ว เขาไม่ได้ผละไป หากแต่เอามือทั้งสองข้างค้ำยันไว้ซ้ายขวาข้างตัวนาง จากนั้นก็โน้มตัวลง ขยับใบหน้าเข้าไปจนชิด ลมหายใจเป่ารดใบหน้าของนาง จงใจยั่วเย้าผิวหนังของนาง รอให้นางลืมตาและหวาดกลัวเขา

ทว่าคนตัวเล็กกลับไม่ตื่น ยังคงหลับต่อ ประมาทไม่ระวังตัวเสียจนทำให้คนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เขาทนไม่ไหว ขู่ขวัญนางเสียงต่ำ “นี่เป็นเตียงของข้า ไม่สู้เราสองคนมานอนด้วยกันเสียเลย เจ้าไม่ตอบ ข้าก็ถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ”

ตอนเขาพูด ลมปากเป่าระเส้นผมนาง ทำให้นางคันหน้ายุบยิบ นางถูกรบกวนจากการหลับฝัน คิ้วงามขยับเข้าหากัน ฉับพลันนั้นนางก็ยื่นมือคล้องคอเขา จุมพิตไปที่ริมฝีปากเขาทีหนึ่ง

“อย่าดื้อ ไปเล่นข้างๆ อย่าส่งเสียงรบกวน” นางพึมพำออกมาราวกับเสียงนกนางแอ่นร้อง แล้วพลิกตัวนอนต่อ

ไป่หลี่ซีตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง เบิกตามองนางอย่างงงงัน นางจูบเขา…นางถึงกับจูบเขา

ลมหายใจของนางสม่ำเสมอ หัวใจเต้นเป็นปกติ ทั้งร่างผ่อนคลาย ถ้าแสร้งหลับเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองไม่ออก นี่เท่ากับว่านางหลับไปแล้วจริงๆ คำพูดที่ละเมอเมื่อครู่ก็เป็นความจริงเช่นกัน

กลีบปากอ่อนนุ่มนี้หอมและน่าหลงใหลยิ่งนัก แม้จะเพียงแตะเบาๆ แต่กลับปลุกเร้าความรู้สึกลึกซึ้งในใจของเขา ทำให้เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ

เขามองจ้องนางเขม็ง ประกายตาดุจเปลวไฟ แต่หญิงผู้นี้ยังคงหลับใหลราวกับคนไร้หัวจิตหัวใจ คล้ายว่าต่อให้ถูกคนจับขายไปแล้วก็ไม่ตื่น จุมพิตเขาในฝัน แต่กลับนอนอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ช่าง…ประเดี๋ยวก่อน นางเข้าใจว่าคนที่นางจูบคือผู้ใดกัน

เขาอยากปลุกนางขึ้นมาถาม แต่เห็นนางนอนหลับสบายเช่นนี้กลับไม่อาจตัดใจปลุก ทำให้เขาในเวลานี้ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี

เขาพบว่าตนเองไม่รังเกียจจุมพิตที่เหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำนี้แม้แต่น้อย กลับมีความปรารถนาอยากจะลิ้มลองอีกผุดขึ้น

แววตาข่มขู่คุกคามคนของเขาจับจ้องนางอยู่เป็นนาน เสียดายนางไม่รู้ตัวเลย สุดท้ายเขาก็ทอดถอนใจ ตัดสินใจปล่อยนางไปชั่วคราว ให้นางนอนให้เต็มที่สักตื่น พรุ่งนี้เขาค่อยมาคิดบัญชีนี้กับนาง

เขาหยัดร่างขึ้น ก้าวยาวๆ เดินออกจากห้องไป

หลังจากเขาออกไปแล้ว คนที่อยู่บนเตียงพลันลืมตาขึ้น หันหน้ามองไปทางด้านนอก เมื่อแน่ใจว่าเขาไปแล้วนางก็หัวเราะซุกซนออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง

นางตื่นอยู่!

ตอนหม่าเฉวียนอุ้มนางที่ลานด้านหลังนางก็ตื่นแล้ว เพียงแต่ง่วงงุนจนคร้านจะลืมตา แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเขาเอ่ยถ้อยคำคลุมเครือมีเลศนัยเจือการขู่ขวัญเช่นนั้นออกมา

นางประหลาดใจมาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะขู่ขวัญนางเช่นนี้

ตอนแรก ที่นางกล้ามาบ้านหม่าเฉวียน นอนเตียงของเขาโดยไม่กลัวเขาจะทำเรื่องผิดศีลธรรมกับนาง ก็เพราะนางเคยซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านและได้ยินหญิงสาวหลายคนพูดคุยเล่นกัน พวกนางได้เอ่ยถึงหม่าเฉวียน บอกเขาไม่เคยสนใจอิสตรี หญิงม่ายสกุลจ้าวที่อยู่ด้านตะวันออกของหมู่บ้านรูปโฉมงดงาม ทั้งอายุก็ยังไม่มาก นางพอใจในตัวหม่าเฉวียนที่รูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง เคยบอกกับเขาว่าขอเพียงเขายอมแต่งนางเป็นภรรยา ไม่ต้องมีสินสอดทองหมั้น ที่นาของนางและสินสอดฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นของเขาทั้งหมด ทว่ามีหญิงงามมามอบกายถวายตัวให้ถึงประตูบ้านเช่นนี้หม่าเฉวียนกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

คนในหมู่บ้านต่างหัวเราะหม่าเฉวียนว่าโง่เขลา หัวเราะเยาะเขาที่มีเนื้อหอมหวานมาป้อนให้ถึงปากกลับไม่กิน ยิ่งกว่านั้นยังมีคำพูดที่ชั่วร้ายกว่าบอกว่าหม่าเฉวียนไม่อาจมีสัมพันธ์กับอิสตรี หาไม่เหตุใดจึงปฏิเสธการพาตัวมาส่งถึงอ้อมกอดของแม่ม่ายเล่า

แน่นอนอูมู่ฉินย่อมไม่ได้เชื่อคำพูดของคนในหมู่บ้านทั้งหมด แต่ที่นางมั่นใจได้ก็คือหม่าเฉวียนไม่ใช่คนที่มีสตรีมามอบตัวให้ถึงบ้านก็ไม่รู้อะไรควรไม่ควร เท่าที่นางดู เขาเป็นบุรุษที่ซื่อตรงเปิดเผย

ทว่าเวลานี้บุรุษที่ซื่อตรงเปิดเผยผู้นี้กำลังพูดจาคลุมเครือมีเลศนัยกับนาง เขาถึงกับบอกว่าจะนอนร่วมเตียงกับนาง นางไม่เพียงไม่รู้สึกถูกล่วงละเมิด ยังถูกยั่วเย้าให้นึกสนุก ด้วยเหตุนี้เมื่อครู่นางถึงได้ยื่นมือไปคล้องคอเขา ประทับจุมพิตไปทีหนึ่ง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นหลับต่อ

โชคดีเขาไม่ได้อยู่นานและจากไปก่อนที่นางจะหลุดหัวเราะออกมา หาไม่ถ้าเขายังจับจ้องนางต่อไป นางคงแสร้งทำเป็นหลับต่อไปไม่ไหว

พูดตามตรง นางเองก็ถูกการกระทำที่บ้าบิ่นของตนทำให้ตื่นตะลึง ตนเองถึงกับขโมยจูบเขาไปทีหนึ่ง แต่นางหาได้เสียใจไม่ ทั้งยังดีใจที่ทำสำเร็จ นางเพียงเสียดายที่ตนเองหลับตาอยู่ ไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเขาในตอนนั้น

ตอนนางจุมพิตเขา เขาใช่ทึ่มทื่อไปเลยหรือไม่ เขาดีใจหรือไม่ ใช่เป็นเหมือนนางที่มีกวางน้อยวิ่งโลดอยู่ในหัวใจหรือไม่

นางแสร้งทำเป็นหลับต่อ เพราะแสร้งหลับเป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุด เขาจะได้ไม่เห็นว่าใบหน้าของนางร้อนผะผ่าวเช่นนี้

หวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ แม้จะอยู่ในหลับฝันนางก็ยังยิ้ม

 

ไม่ผิดจากที่คาด ไม่นานหม่าเฉวียนก็ช่วยหาเสื้อผ้าใหม่มาให้นางสามชุด ตอนนางตื่นขึ้นมาก็เห็นบนเก้าอี้มีเสื้อผ้าวางอยู่ นางลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง ถอดเสื้อผ้าบุรุษบนร่างออก เปลี่ยนมาสวมเสื้อกับกางเกงของอิสตรี หลังสวมเสร็จเรียบร้อย เนื่องจากตนเกล้ามวยผมไม่เป็น จึงรวบผมยาวไว้ข้างหลังง่ายๆ จากนั้นก็เดินออกไปนอกห้อง

นางไม่พบหม่าเฉวียนที่ด้านหน้า จึงไปหาที่ลานด้านหลัง แล้วก็พบเขาจริงๆ

เขากำลังทำรั้วบ้านใหม่ มือหนึ่งถือมีด มือหนึ่งถือท่อนไม้ ใช้มีดถากปลายไม้ด้านหนึ่งให้แหลมแล้วปักลงไปในดิน จากนั้นก็ใช้เชือกปอมัดไว้

เมื่อเขาสังเกตเห็นนางก็พลันหยุดงานในมือและหันหน้ามองมา

“พี่ชาย” อูมู่ฉินยิ้มน้อยๆ พลางร้องทัก

ไป่หลี่ซีแววตาสั่นไหวเล็กน้อย นางในยามนี้เปลี่ยนชุดใหม่แล้ว ใบหน้าที่ผ่านการนอนมาเต็มอิ่มมีสีแดงระเรื่ออมชมพูยิ่งชวนให้ลุ่มหลงกว่าเดิม

นางเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา ยิ้มให้เขาด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณพี่ชาย เสื้อผ้านี่ใส่ได้พอดี”

เขาเห็นนางยิ้มจนใบหน้าเต็มไปด้วยความโง่งมไร้พิษภัย ทั้งไม่มีท่าทีเก้อเขินอะไร จุมพิตนั่นเกิดขึ้นในความฝันของนางจริงๆ ส่วนเขากลับคิดถึงนางมาทั้งคืนเพราะจุมพิตที่ไม่มีเจตนาของนางเพียงครั้งเดียว

เขาก็ใช่ว่าไม่เคยแตะต้องอิสตรีมาก่อน ในวังหลวง เมื่อองค์ชายถึงวัยเหมาะสมก็จะมีการจัดนางกำนัลมาปรนนิบัติบนเตียง แม้ตอนนี้เขาจะแอบซ่อนตัวมาอยู่กับชาวบ้าน ไม่ได้แตะต้องอิสตรีมานาน แต่ก็ไม่ถึงกับถูกจุมพิตที่ไม่ได้เจตนาทำให้จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกทั้งแบบนั้นไม่อาจนับว่าจุมพิต เพียงแค่แตะถูกริมฝีปากเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับถูกขนนกระผ่าน ยังไม่ทันได้ลิ้มรสใดจริงจัง…

ทว่าหัวใจเขาพลันร้อนวูบ ยามมองจ้องริมฝีปากของนางก็ถึงกับรู้สึกปากคอแห้งผาก

“พี่ชาย บนหน้าข้ามีสิ่งใดหรือ หรือว่าบนร่างมีอันใดไม่ถูกต้อง”

ไป่หลี่ซีมองท่าทางใสซื่อและทึ่มทื่อไร้เดียงสาของนาง ก่อนจะเอ่ยสั่งอย่างน่าเกรงขาม “ข้าหิวแล้ว ไปทำอาหาร”

อูมู่ฉินงงงัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา “ได้”

นางหมุนตัวเดินไปที่ห้องครัว หลังจากเข้าไปในครัวก็รีบหลบที่หลังประตูและลอบมองไปข้างนอก

หม่าเฉวียนผู้นี้ สายตาที่เขามองนางในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เขาไม่ได้ไล่นางไป ทั้งยังเรียกนางให้มาทำกับข้าว นี่ไม่ใช่ชัดเจนยิ่งหรอกหรือ เขาชอบนางแน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้ แก้มนางก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาอีก ในใจมีความเบิกบานที่บอกไม่ถูก

นางยินดีจะเป็นหญิงโง่งมใสซื่อต่อหน้าเขา นางทำอาหารสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างและแผ่นแป้งย่างสองชิ้น เสร็จแล้วก็ยกอาหารเข้าไปในบ้าน ครู่เดียวหม่าเฉวียนก็เข้ามา

อูมู่ฉินจัดวางชามตะเกียบเรียบร้อย ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชายลองชิมดูว่ารสชาติถูกปากหรือไม่”

ไป่หลี่ซีได้กลิ่นหอมแต่ไกล ท้องร้องจ๊อกๆ มานานแล้ว เขารีบนั่งลง หยิบแผ่นแป้งย่างขึ้นมา เริ่มลงมือกิน

ไม่อาจไม่บอกว่าอาหารที่นางทำรสชาติดียิ่ง เขากินอย่างเอร็ดอร่อยจนแทบจะลืมบ้านลืมช่อง

ไป่หลี่ซีลอบมองนาง เห็นนางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกิน แม้นางจะไม่ใช่หญิงงามเพริศพริ้ง เมื่อเปรียบกับหญิงงามในวังที่เขาเคยเห็นแล้วนางเพียงนับว่ารูปโฉมไม่เลวเท่านั้น แต่ก็แปลก เขาเห็นนางแล้วกลับสบายหูสบายตา ไม่ว่าดูอย่างไรก็น่ารัก

มองนางกินเนื้อสัตว์คำเล็กๆ ปากน้อยมีคราบน้ำมันติดอยู่ทำให้ดูอวบอิ่มมันวาว ดูแล้วก็น่าอร่อยเหมือนเนื้อที่นางผัด ชิมแล้วรสชาติต้องดีแน่นอน เขารู้สึกว่าตนเองหิวกระหายมากขึ้น อดกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงไม่ได้

เขาดึงสายตากลับ กัดแผ่นแป้งย่างคำโต คล้ายอาศัยการกระทำนี้มาระบายความหิวกระหายประหลาดยากจะทานทนนั่น

หลังกินอิ่มนางไปเก็บโต๊ะ ไม่ต่างอะไรกับภรรยาตัวน้อย ดวงตาของเขาจับนิ่งอยู่ที่ร่างนาง นางเดินเข้าๆ ออกๆ สายตาก็เลื่อนไปตามการเคลื่อนไหวของนาง ตอนนางหมุนตัวมา เขาก็รีบหันหน้ากลับ แสร้งทำเป็นทำเรื่องของตน

หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อย อูมู่ฉินก็เดินเข้ามาในบ้านแล้วพูดกับเขา “พี่ชาย ข้าเก็บกวาดเสร็จแล้ว”

เขาพยักหน้าพลางส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง นางไม่พูด เขาก็ไม่ปริปาก

อูมู่ฉินคิดในใจ เขาคิดว่านางไม่รู้ว่าเขาแอบมองนาง ดูท่าถ้าไม่กระตุ้นเขาสักหน่อยคงไม่ได้

“พี่ชาย ขอบคุณท่านมาก ข้าไปแล้ว” ไม่ผิดจากที่คาด พอนางกล่าวออกมาเช่นนี้ก็เห็นเขาเงยหน้าขึ้น ปั้นหน้าขรึมทันที

“เจ้าจะไป?”

“ใช่”

“ไปที่ใด”

“เอ่อ…ไม่รู้ ไปก่อนค่อยว่ากัน”

“เจ้ามีที่พักอาศัย?”

“ไม่มี”

“หิวแล้วมีของกินหรือ”

“นี่…”

เขาพลันก้าวยาวๆ มาที่นาง เพลิงโทสะทั่วร่างถูกนางปลุกเร้าขึ้นมาอีก ขณะเดียวกับที่คุกคามเข้ามาใกล้นาง เสียงเย็นก็ตั้งกระทู้ถามขึ้น “ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่นอน เจ้าคิดจะซุกหัวอยู่ข้างนอก ทำให้ตนเองสกปรกมอมแมมไม่ต่างอะไรกับขอทาน หรือจะทำตัวไม่ต่างกับสุนัขป่าตัวหนึ่ง เพียงเก็บของจากพื้นมากิน”

นางถูกเขาคุกคามจนต้องถอยไปข้างหลัง นัยน์ตาเบิกกว้าง มองหน้าตาถมึงทึงน่าหวาดกลัวราวกับจะจับนางกินเช่นนั้น

แต่ก่อนถึงเขาจะดุดัน แต่ไม่เคยข่มขู่คุกคามเช่นนี้ หัวใจของนางเต้นระรัวขึ้นมา บุรุษผู้นี้พอดุดันขึ้นมาแววตาน่ากลัวยิ่ง มีพลังอำนาจน่าเกรงขามอย่างประหลาด

ทว่านางรู้ ต่อให้เขาดุยิ่งกว่านี้ก็ไม่ทำร้ายนาง เขาก็แค่ทำท่าทำทางไปอย่างนั้น ดังนั้นนางจึงจงใจยั่วยุเขามากขึ้น

“ข้าดูแลตนเองได้”

“แม้แต่เสื้อผ้าที่ข้าให้ยังไม่มีปัญญาดูแลให้ดี ยังจะบอกดูแลตนเองได้”

“ข้าก็จนปัญญา เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ต้องสกปรกแน่นอนอยู่แล้ว”

“ไม่ได้”

“เช่นนั้น…รอวันหน้าข้ามีเงินแล้วค่อยซื้อเสื้อผ้ามาคืนท่าน”

“ไม่ได้”

“นี่ก็ไม่ได้นั่นก็ไม่ได้ ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่”

แววตาของเขาไหวระริก รีบเอ่ยบอก “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ก่อน”

“เอ๋?” นางมองเขาอย่างงงงัน

“ข้าลำบากไม่น้อยกว่าจะทำให้เจ้าเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ทั้งยังให้เสื้อผ้าใหม่เจ้าสวมใส่ หากเจ้าไปแล้วก็จะทำให้เนื้อตัวสกปรกมอมแมมอีก ข้าไยมิใช่เสียแรงเปล่า”

อูมู่ฉินเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ คนผู้นี้อ้อมไปวนมาก็ไม่ยอมพูดกับนางให้ชัดเจน เห็นอยู่ว่าไม่อาจตัดใจให้นางจากไป กลับเอาเสื้อผ้ามาเป็นข้ออ้าง

“อยู่ที่นี่เช่นนี้ไม่ดีกระมัง” นางแสร้งทำเป็นลำบากใจ

ไป่หลี่ซีสีหน้าขรึมกว่าเดิม แม้แต่น้ำเสียงก็ขู่ขวัญมากขึ้น

“ไม่ดีหรือ ถ้าไม่ดีจริง เพราะอะไรก่อนหน้านี้เจ้าจึงบุกรุกเข้ามาในบ้านของข้า นอนบนเตียงของข้า กินอาหารของข้า ใส่เสื้อของข้า มาบัดนี้ค่อยบอกไม่ดี ใช่ช้าไปแล้วหรือไม่”

เขาโกรธนาง โกรธที่นางไม่ขอร้องเขา เขาให้นางอาบน้ำ ช่วยนางเช็ดผม ให้เสื้อผ้านางสวม ให้เตียงนางนอน ตอนนี้แม้แต่โอกาสก็ให้นางแล้ว ทว่านางยังไม่ฉวยโอกาสนี้ขอร้องเขา ช่างเป็น…หญิงโง่งม!

นางก้มหน้าลง กล่าวด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ถ้าข้าอยู่ต่อจะทำให้ท่านยุ่งยากหรือไม่”

ไป่หลี่ซีเดิมทียังมีเพลิงโทสะเต็มอก พอได้ยินคำพูดนี้ของนางก็รู้ว่ามีหวัง ในดวงตามีประกายแวววาวเพิ่มเข้ามา

“ถ้า…ข้าไม่กลัวความยุ่งยากเล่า”

“พี่ชายไม่รังเกียจว่าข้ายุ่งยาก เพราะท่านเป็นคนจิตใจดี แต่ข้าไม่อาจทำให้ชื่อเสียงของพี่ชายต้องแปดเปื้อน”

“เจ้านอนบนเตียงของข้า ชื่อเสียงข้าแปดเปื้อนมาตั้งแต่แรกแล้ว”

นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

“ข้าอุ้มเจ้ากลับห้อง เจ้ายังเคยสวมเสื้อผ้าของข้า ในสายตาคนอื่นที่มองมา ระหว่างเราไม่ธรรมดามานานแล้ว นอกจากนี้…” คำพูดมาถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก

“นอกจากนี้อะไรหรือ” นางซักไซ้ด้วยความอยากรู้

เขามองใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนาง นางใสซื่อเกินไป ถ้าเขาไม่พูดและนางจากไป เขาจะทวงบัญชีคืนจากนางได้อย่างไร เขาไม่คิดจะปล่อยนางไป

“เมื่อวานขณะหลับฝันเจ้ายังบังคับจูบข้า”

อา…เขาใส่ร้ายคนแล้ว!

“ปากแตะกัน ไม่ใช่จูบ” นางแก้คำผิด แต่พอคำพูดออกจากปากก็แอบร้องแย่แล้ว นางไม่ระวังพลั้งปากพูดออกไปแล้ว!

เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงงันของเขา นางก็หน้าแดงขึ้นมาทันที หมุนตัวคิดจะหนี แต่ไป่หลี่ซีหรือจะยอมปล่อยนาง เขารีบคว้าเอวอ้อนแอ้นของนางจากทางด้านหลังทันที รั้งตัวนางกลับมา กักไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งแน่นหนาของเขา กัดฟันพลางขู่ขวัญ เสียงแหบต่ำเจือด้วยลมร้อนผะผ่าวดังขึ้นที่ข้างหูนาง

“ดียิ่งนัก ที่แท้เจ้าแสร้งหลับ คิดจะหนีหรือ ไม่มีทาง!”

เขาหมุนตัวนางกลับมา ก้มหน้าลงและจุมพิตนางอย่างดุดัน

 

( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 เม. 62 )

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: